ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องบ้าๆ ของผม

    ลำดับตอนที่ #10 : ภาวการตัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.14K
      2
      14 มี.ค. 53

    ภาวการตัน

    เทียบตามความรู้สึกแล้ว ผมคิดว่า ผมใช้เวลาคิด คิด และคิดอยู่นานมาก จนกระทั่งพบว่าตัวเองตัน คิดไม่ออก ปวดหัว และอยากหาอะไรอย่างอื่นทำคลายเครียดบ้าง แต่พอบอกเชนและเนฮีเดียว่า ยังคิดเรื่องนี้ไม่ออก เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นกันก่อนดีกว่า นายเชนก็บ่นว่า

    อะไรวะ เพิ่งคิดได้แป๊บเดียวก็เลิกแล้ว”

    แป๊บเดียวในห้วงความคิดมันก็นานนะเชน... ผมตอบเขากลับในใจ

    แล้วนายอยากจะทำอะไรล่ะ” เชนว่าต่อ

    ถึงอย่างไรคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนเลวอย่างเชนก็ยังมีข้อดีของเขาอยู่ล่ะนะ อย่างน้อยคราวนี้เขาก็ยอมทำตามที่ผมขอ

    นั่นสินะ จะทำอะไรดี... เอาเป็น...

    แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัยกันก่อนล่ะกัน แล้ว...”

    ผมมองนาฬิกาและปฏิทินที่ปรากฏขึ้นทันทีในห้อง พวกเราใช้เวลาในการคิดแผนการ (ที่จริง ผมคิดอยู่คนเดียว) และเลือกมาดสำหรับตัวร้าย (ซึ่งก็เลือกให้ผมคนเดียวเช่นกัน) ไปนานทีเดียว ตอนนี้ก็เป็นเวลามืดค่ำเสียแล้ว

    พรุ่งนี้ค่อยมาเจอกันใหม่ที่นี่ล่ะกัน” ผมกล่าวต่อให้จบ

    ก็ได้ แต่มาเช้าๆ และอย่าเบี้ยวนะโว้ย” เชนสั่ง

    ตกลงค่ะ” เนฮีเดียรับคำ

    และทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น

    ผมบอกแล้วนะว่า ช่วงนี้ผมกำลังตัน ดังนั้นเรื่องอาจฝืดๆ ไปบ้าง ถ้าคุณไม่อยากรับรู้เรื่องราวการใช้ชีวิตของคนธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ข้ามไปได้เลย

    ผมเดินเรื่อยเปื่อยกลับบ้าน อันที่จริง ผมจะวาร์ปตัวเองไปอยู่ที่บ้านเลยก็ได้ แต่อยากเดินเล่นไปพลางใช้ความคิดไปพลางมากกว่าเลยเลือกจะออกแรงเอา

    ถึงโลกนี้จะบ้าๆ และผิดเพี้ยนไปอย่างไร บางอย่างก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่จริงแท้อยู่วันยังค่ำ อย่างดวงอาทิตย์ที่ลาลับฟ้าไปแล้วนี่ไง ถึงอย่างไรโลกยังคงหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ ยังคงมีเวลากลางวันกลางคืน แม้มนุษย์บางคนจะทำเป็นมองไม่เห็นมัน แต่ความจริงนี้ก็ยังมีอยู่เช่นเดิม

    แสงสีเสียงและมายาต่างๆ ของท้องถนนยามราตรีดูอลังการอยู่ก็จริง แต่พอได้พบเห็น ได้ยิน ได้สัมผัสอยู่เป็นประจำ เสพไปนานเข้าก็กลายเป็นชาชิน และมนุษย์ก็จะปรารถนาสิ่งที่ปราณีตสวยงามกว่านั้นยิ่งๆ ขึ้นไป

    คิดๆ ดูแล้วผู้ที่ทำอาชีพสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะในยุคนี้ก็คงมีความยากลำบากของเขาเหมือนกัน บางทีอาจจะมีสักหนึ่งหรือหลายคนในนั้นที่กำลังเผชิญทางตันเช่นเดียวกับผมอยู่ก็ได้ พวกเขาต้องสร้างผลงานให้เป็นที่พอใจของผู้เสพ แล้วก็ต้องหาทางพัฒนาทักษะของตนให้สูงขึ้นอีกขั้น พิสูจน์ฝีมือโดยหาทางลบล้างคำปรามาสของนักวิจารณ์ทั้งหลาย แค่เพียงผมจินตนาการเท่านั้นก็ดูจะมีอะไรให้ทำจนล้นแล้ว ถ้าเป็นจริงๆ คงมีอะไรให้ทำมากกว่านี้อีกหลายเท่า

    จะว่าไปแล้ว อาชีพสายวิทยาศาสตร์ก็คงไม่ต่างกันหรอก พวกอดีตเพื่อนร่วมชั้นที่คิดจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ชอบเล่าแนวคิดของพวกเขาให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ ผมเลยพอเข้าใจพวกเขาอยู่บ้าง ก่อนหน้าที่เคยมีข่าวออกมาว่า ไม่มีอะไรที่วิทยาศาสตร์หาคำตอบให้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงนักค้นคว้านักวิจัยทั้งหลายคงตกงานกันถ้วนหน้า (ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาของสังคม ปัญหาคือพวกเขาไม่รู้จะทำอะไรดีต่างหาก เพราะงานที่บ้าก็ไม่มีให้ทำแล้ว) และคงเป็นการสิ้นสุดยุคของวิทยาศาสตร์ขนาดแท้ เหลือแต่วิทยาศาสตร์ประยุกต์ให้ประดิษฐ์คิดทำเท่านั้น โชคดีที่มีคนหาอะไรมาให้พวกเขาหาคำตอบได้ต่อ เมื่อมีสิ่งที่พวกเขายังใช้วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ การศึกษาค้นคว้าจึงมีต่อไป

    ผมคิดเพลินๆ ไป ไม่นานนักก็กลับมาถึงบ้านอันเป็นที่ซุกหัวนอนแล้ว

    คุณอาจกำลังสงสัยว่าที่บ้านของผมมีใครอื่นอยู่ด้วยบ้างไหม คำตอบก็คือตอนนี้มีผมครอบครองบ้านทั้งหลังอยู่คนเดียว

    แม้ว่าพ่อแม่ผมจะพยายามเลี้ยงผมให้เติบโตขึ้นเป็นคนธรรมดาที่สุด พวกท่านก็ยังได้รับอิทธิพลจากสภาพสังคมแวดล้อมในสมัยนี้อยู่ดี พวกท่านซึ่งมีความเป็นปัจเจกชนสูงอยู่แล้วจึงแยกออกไปอยู่ที่อื่นเมื่อผมโตพอจะดูแลตัวเองได้ ผมไม่แน่ใจนักว่า พ่อแม่ได้ใช้เครื่องมือ กลเม็ด หรือลูกไม้อะไรคอยแอบติดตามสะกดรอยผมเพื่อดูว่า ผมยังปฏิบัติตนเป็นคนธรรมดาอยู่เปล่า หรือไม่ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมก็รู้สึกเฉยๆ ไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่นะ ผมเชื่อว่าความลับไม่มีในโลกอยู่แล้ว ถ้าคุณอยากรู้อะไรจริง และบ้าพอ คุณก็จะได้รู้เอง ตามทฤษฎีบ้าๆ ของผมนั่นแหละ

    การคิดจะเป็นคนเลวของผมอาจจะทำให้พ่อแม่เสียใจก็ได้นะ แต่ผมก็ยังเป็นคนเลวที่เป็นคนธรรมดาอยู่นี่นา เมื่อเป็นคนธรรมดาก็ต้องมีวันที่คิดออกนอกลู่นอกทางบ้างสิ กรอบของความธรรมดายืดหยุ่นได้เสมอ เพราะความธรรมดานั้นได้มาจากพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ในสมัยก่อน ดังนั้นที่ผมทำอยู่นี่ก็ไม่น่าใช่สิ่งที่จะทำให้พวกท่านผิดหวังล่ะ

    หลังจากให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองเสร็จเรียบร้อย ผมก็เริ่มต้นการพักผ่อนของผมอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ การพักผ่อนของคนธรรมดาก็ต้องธรรมดาทั่วไป เริ่มจากกินข้าว อาบน้ำ ติดตามข่าวสาร ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสืออ่านเล่นต่างๆ และสุดท้ายก็จบลงด้วยการเข้านอน สิ่งเหล่านี้ถึงจะดูเป็นกิจกรรมที่ธรรมดาอย่างไรก็เป็นความสุขของผมล่ะนะ

    ขณะที่ผมกำลังนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ยาว ฟังเพลงบรรเลงเบาๆ มองภาพศิลป์อ่อนหวานที่เข้ากับบรรยากาศ และเตรียมจะพลิกหน้าหนังสือเปิดอ่านอยู่นั้นเอง ก็พลันมีความคิดบางอย่างพุ่งวาบขึ้นมาในหัว

    ก่อนหน้านี้ผมคิดไว้ว่า ศิลปินทั้งหลายในยุคนี้ต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อท้าทายขีดจำกัดทางความสามารถของตนใช่ไหม ผมบอกว่า มนุษย์เมื่อเสพศิลปกรรมมากๆ เข้าก็จะเบื่อหน่ายต่อสิ่งเดิมๆ แล้วแสวงหาศิลปะที่ปราณีตสวยงามยิ่งกว่านั้นใช่ไหม แต่ในหมู่ผลงานเก่าๆ ทั้งหลาย ก็ยังมีหลายชิ้นที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคลาสสิก เป็นอมตะ และเป็นเลิศแห่งยุค ไม่ว่ามนุษย์จะต้องการหาของใหม่อย่างไรก็ยังก็ชอบของเก่าโบราณที่มีคุณภาพอยู่ดี ผลงานใหม่ๆ ทั้งหลายก็มักจะมีแรงบันดาลใจมาจากผลงานที่มีผู้สร้างสรรค์มาก่อนแล้วทั้งสิ้น เป็นการต่อยอดทางความคิดให้ตรงกับสภาพสังคมในยุคนั้น

    แล้วอะไรล่ะที่เป็นตัวชี้วัดว่าผลงานนั้นนั้นเป็นสุดยอดศิลปกรรม สมควรได้รับการยกย่องเชิดชู...

    ก็คือความบ้าที่ถ่ายทอดผ่านตัวผลงานนั้นอย่างไรล่ะ!

    เสมือนนักสะสมหาตัวต่อชิ้นสุดท้ายของจิ๊กซอว์ที่หายไปเจอ... เสมือนนักโบราณคดีค้นพบซากโบราณสถานที่เป็นกุญแจไขปริศนาอารยธรรมซึ่งหายสาบสูญ...

    นัยน์ตาของผมมองเห็นแสงสว่างพร่างแพรงส่องอยู่หลังเปลือกตา ผมค้นพบจุดเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีว่าด้วยความบ้ากับการมันมาประยุกต์ใช้งานจริงเพื่อการเป็นตัวร้ายที่สมบูรณ์แบบแล้ว


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×