ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 3 สู่รูซอน [2]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 810
      1
      25 เม.ย. 52

    บทที่ 3 สู่รูซอน

    [2]

    ณ โถงวิหารเอกแห่งเมืองรูซอน แสงแดดส่องลอดช่องรับแล้วหักเหเข้าอาบประติมากรรมเทพจันทรา ด้วยการออกแบบของยอดสถาปนิก รูปปั้นเทพเจ้าแห่งอาทิตยจันทรศาสน์องค์นี้จักได้รับแสงชโลมตลอดเวลาที่ฟ้าโปร่ง ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน

                    ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นเทพเจ้าผู้งดงาม โถงวิหารนั้นกว้างใหญ่แต่กลับไร้ผู้คน เพราะที่นี่คือวิหารเทพจันทรา เทวสถานแห่งนี้ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาสักการะในตอนกลางวัน ทว่าเขามีตำแหน่งสูงและความจำเป็นมากพอที่จะขอยืมพลังจากพระองค์ในยามนี้

                    ริมฝีปากขยับเอ่ยเอื้อนบทสวด ฝ่ามือสอดประสานกันไว้ที่หน้าอก แต่นัยน์ตาสีม่วงมิได้ปิดลงตามธรรมเนียมทั่วไป ชั่วครู่นั้น นัยน์ตาข้างขวาของเขาคล้ายมีหมอกสีขุ่นเข้ามาบดบัง ส่วนนัยน์ตาข้างซ้ายสะท้อนประกายสีรุ้ง พลันความอัศจรรย์ก็เลือนหายไปพร้อมเสียงสวดที่สิ้นสุดลง

                    ชายหนุ่มยืดกายขึ้น คลายมือออกไว้ที่ข้างลำตัว หากดวงตาสีม่วงคมยังไม่กะพริบหรือปรือลงแม้สักนิด

                    “มาถึงกันแล้วสินะครับ” เขากล่าวพร้อมยิ้มให้กับภาพที่องค์เทพประทานมา

                    คำทำนายอุบัติขึ้นนานแล้ว แต่ปฐมบทของมันเพิ่งจะเริ่มต้น เขายินยอมทำทุกอย่าง เพื่อที่จะให้มันจบลงอย่างที่ควรจะเป็น ในแบบที่เขาต้องการ

                    “หวังว่าผมคงช่วยพวกคุณได้บ้าง แม้พวกคุณอาจจะไม่ปรารถนาความช่วยเหลือนี้ก็ตาม” เสียงพูดนั้นมั่นคง แต่ยินแล้วกลับเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาด คล้ายคำสารภาพบาปจากก้นบึ้งของหัวใจ

                    ในศาสนสถานแห่งนั้น ท่ามกลางกระจกบานเกล็ดสีชาที่สองฟากผนัง ร่างสูงในชุดนักบวชสีดำยืนสำนึกความผิดแสนยิ่งใหญ่ที่ตนกำลังจะก่อ

    ----------------------

    ไมอาสลัดความผิดหวังทิ้งไป เธอรู้ดีว่าการจมปลักกับห้วงอารมณ์นั้นไม่ก่อให้เกิดผลดีใด ๆ กับเธอ มนุษย์ทั่วไปย่อมบังเกิดความรู้สึกนี้ได้ ไม่ผิดอะไร แต่ถ้าหลงอยู่ในวังวนนั้นเป็นเวลานาน คนผู้นั้นคงไม่เหลือความเป็นมนุษย์

                    เด็กหญิงคิดเที่ยวเล่นที่เมืองรูซอนนี้สักระยะก่อนจะหาวิธีเดินทางไปอีกมิติ ภารกิจของเธอจะว่าเร่งด่วนก็ไม่ใช่ ไม่ต้องรีบก็ไม่เชิง เป็นงานที่อาศัยการเสี่ยงโชคเสียมากกว่า ถ้าเข็มทิศมีปฏิกิริยาจึงจำเป็นต้องรีบ เมื่อไม่มีก็ช่วยอะไรไม่ได้ อีกทั้งในภารกิจนี้ เธอเป็นนายของตัวเอง จึงสามารถหยุดพักได้ตามอำเภอใจ และตอนนี้คำพรรณนาของโคเซฟที่ฟังมาตลอดช่วงเช้ากำลังท้าทายให้เธอพิสูจน์ความจริงเสียด้วยสิ สำหรับเธอ ไม่มีอะไรชะล้างอารมณ์เสียที่เกิดจากความผิดหวังได้ดีกว่านี้อีกแล้ว

                    หลังจากนำทองคำไปแลกสกุลเงินของรูลน์เสร็จเรียบร้อย ไมอาก็เดินเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย หากแต่มีจุดประสงค์ นั่นคือศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองและชื่นชมความงามของวัฒนธรรม

                    เด็กหญิงเดินทัศนาอยู่นานพอควร จนอิ่มหนำในอารมณ์ ท้ายที่สุดแล้วเท้าของเธอก็พามาหยุด ณ ที่แห่งหนึ่ง... ร้านอาหารที่มีบรรยากาศเชิญชวนให้เข้าไปลิ้มลอง ก็ท้องของเธอยังไม่อิ่มนี่

                    ไมอาเกือบจะก้าวเท้าเข้าไปในร้านนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งดึงดูดความสนใจเธอไว้ ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำสี่คนแต่งตัวคล้าย ๆ กัน ทำทีท่าลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีป้ายติดบอกไว้ว่าเป็นโรงฮารูของร้าน หนึ่งในกลุ่มยัดเงินใส่ฝ่ามือของคนเฝ้าโรงก่อนซุบซิบอะไรบางอย่าง พลันเห็นสายตาคู่หนึ่งในกลุ่มปราดมองมาทางนี้ เด็กหญิงจึงรีบเคลื่อนหลบหลังเสา พอยื่นหน้าออกไปอีกทีก็ไร้ผู้คนแล้ว

                    ดูอย่างไรก็เหมือนพวกผู้ร้ายมากกว่าคนดี...

                    แต่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับที่นี่สักหน่อย...

                    ทำไมต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยละ...

                    ไมอาหยักไหล่ไล่ความคิด แต่พอหมายจะย่างเท้าเข้าประตูร้านอาหารไป เสียงในมโนสำนึกอันดีงามก็ดังขึ้นมา

                    ‘...ความดี แม้จะทำยากก็จริง แต่เมื่อทำแล้วก็จะสร้างคุณค่าให้แก่เรา เมื่อมีโอกาสได้ทำความดีแล้วก็จงอย่านิ่งเฉย จงทำมันอย่างสุดความสามารถ...’

                    เด็กหญิงไม่เคยปฏิเสธเสียงนี้ ก็เหมือนกับที่เธอเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง แต่สำหรับเธอ เสียงนี้มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่านัก มันเป็นคำสอนของคนสำคัญ คนที่เธอรักยิ่ง ร่างเล็กเปลี่ยนทิศทางที่จะมุ่งหน้าไป...

    ----------------------

    “โคเซฟ มาอยู่นี่เองหรือ ?” เสียงใหญ่นำหน้ามาก่อน ตามมาด้วยร่างหนาขนาดไม่แพ้เสียงของคนพูดที่ถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะทันที

                    โคเซฟเงยหน้าขึ้นมองคนพูด แล้วค่อยสำนึกได้ว่าเขาไม่ควรเหม่อลอยจนไม่เฉลียวใจสังเกตรอบข้าง หรือไม่ก็ควรจะเหม่อจนหลุดโลก ไม่ต้องได้ยินคำทักนั้นไปเลยดีกว่า

                    “หวัดดีครับลุงเฮตเทฟ” เขาพยายามฉีกยิ้มทักทายไป แต่ดูอย่างไรก็ไม่ต่างจากรอยยิ้มของคนใกล้ตาย ที่ข้างกายของเฮตเทฟมีลูกสมุนเอกยืนปิดช่องทางหนีของเขาอยู่ อีกด้านหนึ่งของโต๊ะนี้ก็วางติดผนังเสียด้วย ท่าทางคราวนี้เขาคงหนีรอดไปได้ยาก

                    ไม่น่าพูดเลยว่าเป็นวีรกรรมที่ง่ายไปหน่อย...

                    เด็กชายก้มหน้านึกเสียใจ พลางลอบกวาดสายตาสำรวจสถานที่อีกครั้ง เขาอยู่ในร้านอาหารของโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง บนโต๊ะมีเพียงกระปุกเครื่องปรุงรส ไม่มีอาหารอย่างอื่น เพราะเพิ่งเข้ามาในร้านและสั่งอาหารเมื่อไม่นานนี้เอง

                    เฮตเทฟเอามือลูบหนวดแล้วกล่าวต่อว่า “พวกลุงพยายามตามหาซะแทบแย่ ซนจริง ๆ นะเรา นี่ถ้าพ่อเราไม่บอกให้ระวังเอาไว้ก่อนคงแย่เลย ทายาทที่มุ่งหวังให้สืบทอดกิจการหายไปทั้งคนนี่จะทำยังไง พวกลุงมิต้องหาเงินไปชดใช้ให้พ่อเราจนล้มละลายหรอกหรือ ?”

                    โคเซฟได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ไม่นึกขำไปกับมุกตลกทางการค้าของเฮตเทฟเลย อุตส่าห์เลือกร้านเล็ก ๆ สงบ ๆ ที่คิดว่าไม่ใช่รสนิยมของคณะพ่อค้าจากจินน์แล้วเชียวนะ ยังถูกลุงเฮตเทฟตามตัวเจอจนได้

                    “ผมเพิ่งสั่งอาหารเสร็จ ลุงเฮตเทฟจะทานด้วยกันก่อนไหมครับ ?”

                    โคเซฟทบทวนรายการอาหารที่สั่งไปในใจ

                    ก็พอใช้ได้แหละน่า...

                    “เอาสิ อยู่ไหนแล้วล่ะ ? บอกร้านให้รีบ ๆ ยกมาเลย...” พ่อค้าใหญ่จากจินน์แสดงท่าทางว่าอยากรับประทานเต็มที ทว่าอย่างไรก็ยังดูออกว่ากิริยานั้นไม่ได้มาจากความปรารถนาที่แท้จริง

                    “...แต่อย่าลืมนะ กินเสร็จแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกัน” เฮตเทฟกล่าวเสริมอย่างมีเลศนัย

                    “ครับ” โคเซฟจะตอบอะไรอย่างอื่นได้อีก

                    อาหารทยอยเข้ามา โคเซฟรับประทานอย่างเซื่องซึม ผู้มีศักดิ์เป็นลุงก็เพียรหาเรื่องมาพูดคุยสร้างบรรยากาศ แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงไรเด็กชายก็ไม่นึกสนุกไปด้วยเลย มีคนหัวล้านหน้าบึ้งมายืนกอดอกคุมเชิงที่ข้างโต๊ะอีกคนอย่างนี้ จะมีบรรยากาศดี ๆ ได้อย่างไร

                    พออาหารอีกรายการถูกยกมาเสิร์ฟ อยู่ ๆ โคเซฟก็เปิดหัวข้อสนทนาขึ้นก่อนบ้าง

                    “ลุงเคยทานไอ้นี่มาก่อนไหมครับ ?”

                    เฮตเทฟมองดูเนื้อสีแดงที่ถูกสับละเอียด มีผักแปลก ๆ วางประดับเป็นเครื่องเคียง ทั้งหมดนั้นราดทับด้วยน้ำซอสเข้มข้น

                    “ไม่เคย เป็นอาหารท้องถิ่นของรูลน์หรือ ?”

                    “ใช่แล้วครับ จานนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของรูลน์ที่ขึ้นชื่อ แต่ไม่ได้รับการกล่าวถึงในจินน์นัก เพราะรสชาติไม่ถูกปากชาวเรา ถ้าจะกินให้อร่อยอย่างรูลน์แท้ ๆ ต้องปรุงรสเพิ่มด้วยครับ...” โคเซฟเอื้อมไปหยิบกระปุกเครื่องเทศที่กลางโต๊ะ แล้วเปิดฝาเหยาะใส่อาหาร

                    “อืม... ดูน่ากินดีนะ” เฮตเทฟเห็นโคเซฟชวนคุยด้วยจึงรับลูกต่อ จำได้ว่าเจ้าเด็กนี่มีภูมิรอบรู้ไม่เบา ไม่ผิดกับคนพ่อ

                    “แล้วรู้ไหมครับ... ทำไมรสชาติของอาหารนี้จึงไม่ถูกปากชาวจินน์ ?” มือของเด็กชายยังคงทำการปรุงรสต่อ

                    “ทำไมล่ะ ?”

                    “ก็เพราะว่ามันรสจัดจ้าเผ็ดร้อนเกินไป ไม่เหมาะสำหรับคนเมืองหนาวอย่างจินน์ไงครับ” สิ้นประโยคฝาครอบชั้นในของกระปุกก็ถูกดึงออก โคเซฟสาดเครื่องเทศกลิ่นฉุนใส่ใบหน้าของคนคุ้มกัน อีกมือคว้าจานอาหารที่เพิ่งปรุงรสเกินขนาดแปะใส่หน้าของเฮตเทฟ

                    เด็กชายตะโกนลั่น “ช่วยด้วยครับ ! สองคนนี้เป็นโจรลักพาตัวเด็กไปขายที่จินน์ ! พวกมันขู่บังคับผมให้อย่าทำตัวมีพิรุธ ให้แกล้งทำเป็นคนรู้จักกัน !”

                    ปลายนิ้วชี้ไปยังเจ้านายและลูกสมุนที่กำลังหลับตาปี๋ หนึ่งไอค่อกแค่กรุนแรง ใบหน้าแดงก่ำมีน้ำมูกน้ำตาไหล หนึ่งเปื้อนคราบอาหารจนดูไม่ได้จดจำไม่ออก

                    “แก !” เฮตเทฟแผดเสียงลั่นเดือดดาล ก้าวสะเปะสะปะชนข้าวของวุ่นวายไปหมด พวกพนักงานของร้านและพลเมืองผู้หวังดีเข้ามายึดกุมตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว ก็โต๊ะนี้มันดูมีพิรุธน่าสงสัยอยู่ตั้งแต่ต้น

                    “ไม่ใช่นะ ข้าไม่ใช่โจรลักพาตัว ข้ารู้จักกับเจ้าเด็กนั่น ไอ้เด็กแสบเอ๊ย !” ร่างหนาดิ้นสะบัด วิ่งพล่านพยายามจับตัวการ หากไม่นานก็ถูกซัดจนล้มหงายไป

                    กว่าเฮตเทฟจะฟื้นและอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ เด็กชายต้นเรื่องก็หายตัวไปไกลแล้ว

    ----------------------

                    “ไหน... ลองบอกมาสิว่าทำไมพวกเจ้าคิดจะขโมยของจากเกวียนสินค้านี้” ไมอากำลังสอบสวนผู้ร้าย ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ถูกจับมัดอย่างหนาแน่น นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าคนตัวเล็กอย่างไม่มีทางขัดขืน

                    เงียบงันไร้เสียงตอบ... เธอจัดการเขกกบาลพวกมันไปคนละทีเพื่อความเท่าเทียมกัน

                    “รีบว่ามา” ปลายดาบสั้นสีเงินพิสุทธิ์จ่อจี้อยู่ที่ลำคอของพวกมันคนหนึ่ง ดาบนั้นเหมือนปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าที่เบื้องหลังเด็กหญิง เมื่อกี้เธอยังใช้มือเปล่าจัดการคนทั้งสี่ได้สบาย ๆ อยู่เลย

                    “เราไม่ได้มาขโมยของ นายท่านสั่งให้เรามาทวงของของท่านคืน” อย่างไรเสีย ดาบก็เค้นคำตอบได้ดีกว่ามือ

                    ปลายดาบเคลื่อนไปชี้ที่คอหอยของคนถัดไป “นายท่านของพวกเจ้าเป็นใคร ?”

                    “ท่านเฮตเทฟ...” เห็นคนถามยังคนขมวดคิ้วยุ่ง และดาบเคลื่อนเข้ามาใกล้อีก มันจึงรีบกล่าวต่อ “เป็นพ่อค้าชาวจินน์ที่เดินทางมาขายของที่รูลน์”

                    “สินค้าในเกวียนนี้เป็นของนายท่านของพวกเจ้า ?” คราวนี้ถึงตาคนที่สามตอบ สายตาคมกริบจากดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่มองมาจากมุมสูงนั้นคาดคั้นคำตอบได้ดีอย่างยิ่งกว่าดาบใด ๆ คนโดนสอบสวนรู้เลยว่าต้องพูดแต่ความจริงเท่านั้น

                    “ม-ไม่ใช่... สินค้าเป็นของเด็กชายร่วมคาราวานพ่อค้าคนหนึ่ง แต่มันคิดหนีออกจากขบวน นายท่านจึงบอกว่าเมื่อมันไม่ต้องการจะเป็นพ่อค้าแล้ว เราก็ควรยึดสินค้าของมันเอาไว้เสียเอง”

                    ไมอาพอใจในคำตอบนั้น เธอรู้อยู่แล้วว่าเกวียนนั้นเป็นของโคเซฟ เธอแค่ต้องการวัดใจคน

                    ดาบในมือเปลี่ยนตำแหน่งอีกครั้ง เด็กหญิงยิงคำถามต่อว่า

                    “แล้วตอนนี้เจ้าเด็กนั่นเป็นอย่างไรแล้ว ?”

                    “นายท่านกับลูกพี่กำลังไปจับตัวมัน นายท่านคิดจะส่งมันกลับไปให้พ่อของมันจัดการ เอาความดีความชอบที่หามันพบ แล้วอ้างว่าสินค้าถูกขโมยไปขณะที่มันหลบหนี”

                    “อ้อ อย่างนี้นี่เอง...” ไมอาเอานิ้วชี้แตะปลายคาง...

                    ได้ยินเสียงคนวิ่งเข้ามาในโรงฮารู ทั้งหมดเงียบกริบ เห็นเงาร่างหนึ่งวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่คนที่วิ่งจะเบรกเอี๊ยด หันกลับมามองสิ่งที่คิดว่าตาฝาดไป

                    “ไมอา ?” เด็กชายผมทองทักด้วยใบหน้าตื่น ๆ

                    “หวัดดี เจอกันอีกแล้วนะโคเซฟ” ไมอารีบไพล่มือที่ด้านหลังเพื่อซ่อนดาบ

                    “เธอมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ?” หากอยู่ในสถานการณ์อื่น เขาคงดีใจที่ได้พบเด็กหญิงอีกครั้ง แต่ตอนนี้เธออยู่ในโรงฮารู ด้านหลังมีชายฉกรรจ์สี่คนถูกจับมัดส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือ ดูน่าเวทนา แล้วเขาก็กำลังรีบอยู่ด้วย

                    “จริงสิ ! ต้องรีบหนีนี่นา...”

                    เด็กชายหันหลังกลับไปทางเดิม จัดแจงปลดฮารูทั้งสองตัวออกจากเกวียน ตอนแรกเขาคิดจะเอาสินค้าไปขายเป็นทุน แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะสนใจมันแล้ว ขอแค่มีม้าช่วยในการหลบหนีก็พอ โคเซฟนำอานมาสวมให้ม้าตัวหนึ่ง ไปหยิบสัมภาระในเกวียน แล้วกระโดดขึ้นม้า เด็กหญิงอาศัยช่วงที่เขากำลังวุ่นวายอยู่นั้นเก็บดาบใส่กระเป๋า

                    “ไมอา รีบขึ้นมา ไปด้วยกันเร็ว” โคเซฟยื่นมือมาให้ ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่เดี๋ยวเขาค่อยไปถามเธอเอาทีหลังก็ได้ ที่สำคัญตอนนี้คือต้องรีบหนีก่อน

                    ไมอาทราบเรื่องคร่าว ๆ อยู่ก่อนแล้ว พอเห็นโคเซฟปรากฏตัวโดยไม่ถูกจับกุมเช่นนี้ ก็คาดเดาเรื่องโดยรวมได้ทันที

                    เก่งกว่าที่คิดนี่...

                    นึกว่าจะต้องให้ฉันช่วยซะแล้ว...

                    แต่ถ้านายมาเจอเจ้าพวกนี้ก็คงแย่เหมือนกัน...

                    เด็กหญิงไม่กล่าวคำ กลับเดินไปหยิบอานที่แขวนอยู่ที่ผนังมาสวมให้ฮารูอีกตัวอย่างคล่องแคล่ว เธอกระโดดขึ้นหลังมันอย่างสง่างาม กลายเป็นว่าเธอขึ้นขี่ฮารูเรียบร้อยโดยที่มือของโคเซฟยื่นมาเก้อ

                    “พร้อมยัง ?” เด็กชายถาม

                    “เดี๋ยวนะ...” ไมอาขี่ฮารูวนรอบหนึ่ง เธอขี่ปราดกลุ่มคนที่ถูกมัดไว้ ประกายแสงสว่างเล็ก ๆ ร่วงออกจากฝ่ามือเธอขณะนั้น

                    ขอลบความทรงจำหน่อยนะ...

                    “อื้อ... พร้อมแล้ว ไปกันเถอะ” เมื่อวนครบรอบ ฮารูของเด็กหญิงก็กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิม ไมอาส่งยิ้มพราวให้โคเซฟที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าเธอแค่รื้อฟื้นวิธีขี่ฮารูเฉย ๆ ซึ่งนั่นก็เป็นจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เขาได้แต่ยิ้มแหย ๆ ตอบ เป็นรอยยิ้มที่ให้อารมณ์คนละอย่างกับคราวที่ยิ้มให้เฮตเทฟโดยสิ้นเชิง
    ฮารูทั้งสองวิ่งทะยานออกจากโรงม้าไป

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×