คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เชน
- 4 -
เชน
แวบแรกที่ข้าเห็นเชน ข้าก็รู้ได้เลยว่าเขาเป็นคนเลว ...หรืออย่างน้อยก็คนที่พยายามทำให้ตัวเหมือนคนเลว
เชนคือนามที่ข้าทราบในภายหลังของชายหนุ่มที่สบตากับข้า เขามีผมชี้ตั้งสีส้มสด ผ้าคาดศีรษะสีม่วงเข้มช่วยรวบมันให้ตั้งขึ้นเป็นกองเดียวกันบนหัว ที่หูทั้งสองเจาะต่างหูข้างละสามห่วง ดวงตาสีทองที่ดูโกรธเกรี้ยวตลอดเวลาของเขามองข้าอย่างหาเรื่อง ไม่ต่างจากบุคลิกอันธพาลที่ฉายอาบทั่วร่าง เขาฉีกยิ้มหยันกว้าง เผยให้เห็นฟันเขี้ยวคมแหลมสองข้างชัดเจน
“มองหน้าหาเรื่องเหรอวะ”
เขากล่าวกับข้าด้วยประโยคทักทายสุดคลาสสิกที่ข้าแอบคิดว่ามันออกจะเก่าไปสักหน่อย ข้าน่าจะตอบเขาไปว่า ข้านั้นแค่กำลังฝึกวิชาแผ่รังสีอำมหิตทางสายตา เขาต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายมองหน้าหาเรื่อง แต่ข้าก็ไม่ได้ทำ
ควรรู้อีกอย่างหนึ่งว่าการใช้วาจาหยาบคายไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากได้ยินยิ่งสามารถเปิดระบบกรองเสียง เปลี่ยนระดับสิ่งที่ได้ยินให้มีความสุภาพมากน้อยให้ตามใจปรารถนา หากอยากเป็นนางฟ้าเป็นเทวดาเต็มตัวย่อมสามารถเลือกฟังแต่เสียงไพเราะเสนาะหูได้ แต่คนเคยธรรมดาเช่นข้าก็ไม่ได้เปิดระบบนี้ไว้ เชนพูดสื่ออารมณ์อย่างไรข้าก็ได้ยินอย่างนั้น ถ้าพวกเจ้าไม่ชอบก็พึงไปเปิดระบบคัดกรองของพวกเจ้าเอง
เราทั้งสองหยุดเดิน เผชิญหน้ากัน กระแสชนไหลเนื่องผ่านพวกเราไป ชายเสื้อของข้ายังคงพัดพลิ้วปลิวสะบัด ขณะที่ผมของเชนยังคงตั้งชันไม่เปลี่ยนแปลงด้วยเพราะไม่มีลมพัด เป็นฉากการประจันหน้ากันที่พิลึกสิ้นดี
ถ้าข้าเป็นคนธรรมดาที่รักตัวกลัวตายดังเช่นปรกติที่ผ่านมา ข้าคงพยายามหลีกลี้หนีห่างจากสถานการณ์เช่นนี้ให้มากที่สุด แต่ตอนนี้ข้ากำลังฝันหวาน และวางแผนจะเป็นคนเลวอยู่ ข้าจึงยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร และพยักหน้ารับคำ
เชนกวาดสายตาสำรวจข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาคงกำลังประเมินอยู่ว่าจะจัดการข้าอย่างไรดี ตอนนี้ข้าชักเริ่มเสียวขึ้นมาบ้างแล้วสิ
“มาจากสำนักไหนวะ” เขาถามขึ้น คงพอรู้เรื่องบุญคุณความแค้นในยุทธจักรอยู่บ้างว่าล้ำลึกถึงเพียงไหน หากพลั้งมือทำร้ายใครไปโดยพลการก็มีสิทธิ์ที่จะถูกตามล่าทวงชีวิตโดยเหล่าครูบาอาจารย์ พี่น้องร่วมสำนัก หรือพ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งหลายได้
“ข้ามิได้สังกัดสำนักใด” ข้าตอบตามตรง
“งั้นเป็นศิษย์ใครกัน”
ข้าส่ายหน้าบอก “ข้ามิได้เป็นศิษย์ใครทั้งนั้น”
เชนเริ่มเหยียดแขน บิดขี้เกียจ เหมือนเตรียมจะอัดข้า เขาหักข้อมือเล่นดังกร็อบๆ พลางถามต่อว่า
“จอมยุทธเร่ร่อนงั้นสิ”
จอมยุทธเร่ร่อนก็ฟังดูดีอยู่หรอกนะ แต่ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจเอาไว้เช่นนั้น
ข้าสั่นศีรษะอีกครั้ง พยายามบังคับไม่ใช่ส่วนอื่นสั่นไปด้วย
“แกเป็นตัวอะไรกันแน่วะนี่” ในที่สุดเชนก็หมดความอดทนจะเล่นเกมยี่สิบคำถามกับข้าต่อ เขาเหลือกตาข้างหนึ่งขึ้น แล้วยื่นหน้าเข้ามามองข้าใกล้ๆ
“ข้าชื่ออันเวส แต่เดิมเป็นเพียงคนธรรมดา แต่ตอนนี้กำลังคิดอยากเป็นคนเลวดูบ้าง และข้าก็สุ่มเลือกได้พื้นเพของตัวร้ายเป็นยุทธจักรจีน จึงแต่งตัวเช่นนี้ออกมาเดินถนน”
เฮ้ย! นี่ข้ากำลังพูดอะไรอยู่นี่ ทำไมถึงบอกออกไปหมดเปลือกอย่างนี้ เสียมาดตัวร้ายกันหมดพอดี
สมองส่วนหนึ่งกำลังประท้วงในสิ่งที่ข้าทำ แต่ดูเหมือนส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณปากจะกลัวฝ่ายตรงข้ามเกินกว่าจะรับรู้หรือทำตาม
สีหน้าของเชนดูอัศจรรย์ใจอยู่แวบหนึ่งเมื่อได้ฟังคำตอบของข้า แล้วเขาก็ถอยไปเอามือกอดอกข้างหนึ่ง มืออีกข้างยกขึ้นกุมคาง พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงดังพอที่ข้าจะได้ยินว่า
“เป็นพวกกำลังพยายามทำลายกรอบของตัวเองนี่เอง”
จากนั้นเขาก็ฉีกยิ้มโชว์ฟันเขี้ยวที่สะท้อนแสงสว่างสดใสเป็นประกายอย่างกับนายแบบโฆษณาผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาฟัน ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นเพียงเหตุบังเอิญจากการสะท้อน หักเห เบี่ยงเบน และแทรกสอดของคลื่นแสงที่ทำมุมได้จังหวะเหมาะสมพอดี หรือว่าเป็นระบบที่เชนติดตั้งไว้ที่ฟันเขี้ยวของเขากัน หากก็รู้สึกถึงรังสีชั่วร้ายประหลาดขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้
“ข้าชื่อเชน” เขาแนะนำตัว แล้วเข้ามาโอบไหล่ข้าอย่างสนิทสนมราวกับกำลังคิดจะเข้ามาตีสนิทเพื่อตบทรัพย์ ข้าคอยระวังเอาไว้และเพิ่งสังเกตว่า เชนตัวสูงกว่าข้าเล็กน้อยเมื่อเทียบจากบ่า แต่หากวัดกันที่ผม ปลายผมชี้แหลมของเขาก็สูงกว่าทรงผมเกล้าม้วนอย่างชาวยุทธของข้าแน่
“ถ้าแกอยากเปลี่ยนเป็นคนชั่วก็มาร่วมมือกับข้าสิ รับรองว่าจะได้เรียนรู้อะไรร้ายๆ สมใจทีเดียว”
“อ้อ...” ข้ายกลิ้นเออออไป ค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่า สิ่งที่เชนพูดเป็นความจริง แต่ถ้าข้ายอมร่วมมือกับเขาก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างลูกกะจ๊อกคนอื่นอยู่ดีน่ะสิ ข้าต้องเป็นตัวร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่นเฟ้ย
“ขอบคุณ แต่ไม่ล่ะ วิถีทางแห่งตัวร้ายที่แท้จริง ต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง” ข้าพยายามกล่าวถนอมน้ำใจ และค่อยๆ แกะมือเชนออกจากไหล่ข้า
“อุดมการณ์ยิ่งใหญ่ดีนี่ ไม่ยอมอยู่ภายใต้กรอบของใคร รวมถึงกรอบของข้าด้วย” เหมือนเชนจะกลับไปคิดกับตัวเองดังๆ อีกแล้ว ซึ่งก็ดี ข้าจะได้หนี...
“นั่นแกคิดจะไปไหนกันฮึ” เชนขึ้นเสียง และยื่นมือมาดึงชายแขนเสื้อข้าไว้ได้ก่อนที่ข้าหลุดพ้นรัศมีการคว้าจับของเขา นี่ถ้าข้ามีลมปราณจริง ป่านนี้เขาคงถูกซัดคว่ำไปแล้ว แต่ไอ้ชายแขนเสื้อที่ไหวๆ อยู่นี้มันใช่ของจริงเสียที่ไหนกันเล่า
เชนแยกเขี้ยวพร้อมปล่อยรังสีชวนสยองอีกคราหนึ่ง ข้าค่อนข้างเชื่อแล้วว่ารังสีอำมหิตจากเชนเป็นของจริง เพราะตอนที่ข้าจะหาชุดที่เปล่งรังสีเช่นนี้ได้มาใส่บ้างไม่ยักจะมีขาย
“ข้าคิดจะไปหาที่สงบๆ ให้พวกเราคุยกันน่ะ” ข้าปด มองในแง่ดีก็ต้องนับว่าประสบความสำเร็จในการทำตัวชั่วร้ายผิดศีลธรรมยิ่งขึ้น แต่สมองอีกซีกหนึ่งก็กำลังกระหน่ำด่าข้าว่า แกจะบ้าหรือไง ถ้าไปในที่ลับตาผู้คน เดี๋ยวก็แย่กันพอดี
จริงอยู่ที่คนในโลกบ้าๆ นี้ส่วนใหญ่แล้วสนใจแต่เรื่องของตัวเอง หรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น หรือที่เรียกเป็นภาษาวิชาการได้ว่าเป็นพวกที่มีความเป็นปัจเจกชนสูงนั่นแหละ แต่เมื่อข้าและเชนหยุดยืนสนทนาขวางทางชาวประชาอยู่นานสองนานเช่นนี้ ก็ต้องมีคนให้ความสนใจกันบ้างล่ะ ไม่อย่างนั้นก็ผิดมนุษย์เกินไปแล้ว
เชนมองโดยรอบแล้วประจักษ์เห็นเช่นเดียวกับข้า
“ไปที่ไหนดีล่ะ”
“ไปห้างไหม” ข้ารีบชิงเสนอ “ที่นั่นน่าจะมีทุกอย่างที่เราต้องการสำหรับการเป็นคนเลว”
“ใช่ ไปที่นั่นก็ดี” เชนพูดเสียงเหี้ยมขึ้น “ที่นั่นน่าจะมีทุกอย่างที่ข้าต้องการสำหรับการยึดครองโลก”
ฮะ... ว่าไงนะ
นี่ข้าไม่ได้หูฟาด ได้ยินที่เชนคิดออกมาดังๆ เพี้ยนไป หรือว่ากำลังหลับฝันไม่ตื่นอยู่ใช่ไหม
เสียงหัวเราะชั่วร้ายของเชนดังก้อง ย้ำเตือนให้รู้ว่าข้าไม่ได้คิดไปเอง
อา... ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ชั่วร้ายอะไรเช่นนี้ ข้าต้องฝึกหัวเราะให้ได้อย่างนี้บ้างเสียแล้ว
ความคิดเห็น