ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Power of Love

    ลำดับตอนที่ #1 : "ของขวัญ"ของ"พอใจ"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 573
      18
      6 ก.ย. 65

    เวลาบ่ายของวันศุกร์แห่งชาติ...

    มันเป็นช่วงเวลานรกแตกอย่างแท้ทรูของคนออฟฟิศอย่างพวกเรา หลังทานข้าวเที่ยงเสร็จ เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้นที่คนอย่างพวกเราจะได้มีโอกาสดื่มด่ำกับรสชาดของกาแฟหอมๆ ความละมุนของฟองนมในคาปูชิโน่ร้อนแก้วใหญ่ หลังจากนั้นต้องรีบกลับเข้าทำงาน ยิ่งช้ายิ่งเสียเวลากลับบ้าน อาจสะสมไปถึงวันจันทร์อีก ยิ่งคิดยิ่งไม่อยากอยู่ในวัยทำงานเลยจริงๆ วัยเรียนนี่ไม่ต้องคิดเยอะ สนุกไปวันๆ แค่เรียนๆเจอเพื่อนๆเฮฮาปาร์ตี้กันตามประสาวัยทีน คิดแค่เรื่องเรียนๆรักๆ ไม่ต้องดิ้นรนมากมาย ไม่เหนื่อยกับคน เฮ้อ...ยิ่งคิดถึงวัยเรียนแล้วมันทำให้อยากย้อนไปหยุดเวลาไว้ในตอนนั้นจริงๆ...ผมคิดและถอนหายใจยาวให้กับอารมณ์เบื่อหน่ายของวัยทำงาน ขณะกำลังยืนอยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสาร เพื่อรอเอกสารสำคัญให้เจ้านายก่อนค่ำ

    ขอแนะนำตัวนิดนึง ผมชื่อ “พอใจ” เพื่อนๆตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมชอบเรียกจนติดปากว่า “ไอ้พอ” อายุ 25 ปีย่าง26 หน้าตาจัดว่าดูดี ค่อนไปทางหล่อ ผิวน้ำผึ้ง สูง 180 ซม. หุ่นไม่อ้วนไม่ผอม(กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ฮ่าๆๆ)ที่สำคัญ โสด จบป.ตรีด้านโฆษณาด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับสอง(ฟังไม่ผิดหรอก...อันดับ2จริงๆ)ส่วนตอนนี้เป็นพนักงานเงินเดือนในบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

    ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า ถ้าแบ่งร่างได้สักสิบร่างน่าจะทำงานได้ทัน ทั้งงานตัวเอง งานแผนก งานเจ้านาย งานลูกค้า โอ๊ย..จะบ้าตาย ต้องเร่งปั่นงานให้เสร็จเพื่อให้ได้เลิกงานทันเวลาห้าโมงเย็นพอดี โดยปกติผมจะเลิกงาน 2-3 ทุ่ม เพราะไม่อยากรีบกลับออกไปเบียดกับคนอื่นๆบนท้องถนนในเวลาที่ทุกคนรีบกลับบ้าน แต่วันนี้ "เรา" ต้องรีบเพราะมีนัดดูหนังกัน...ผมคิดและยิ้มแบบมีความสุขเมื่อนึกถึง เธอ คนนั้น...

    อารมณ์อันสุนทรีกำลังล่องลอยไปกับความรู้สึกในโรงหนังเมื่อนึกว่าจะได้นั่งกินป็อปคอนรสโปรดกับหญิงสาวคนสนิท ต้องสะดุดลง เพราะเสียงแปดหลอดของเจ้าประจำ คล้ายนาฬิกาตั้งเวลาไว้ช่วงบ่ายของทุกวัน เสียงที่ทุกคนได้ยินจนชาชิน ถึงจะเพียงนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าปะทะกับเจ้าของเสียง นั่นเพราะเธอเป็นถึงผู้จัดการบริษัทแห่งนี้ เมื่อไหร่ที่เธอจะด่าว่าใครนั้นแทบทุกคนในบริษัทจะได้ยินกันหมด ครานี้ก็เช่นกันเสียงของเธอนั้นดังขึ้นกลบทุกสรรพสิ่งในออฟฟิศทันที!

    "ยัยโง่! ทำได้แค่นี้ก็ลาออกไปซะ”

    "ฉันบอกให้เธอทำมาแบบนี้เหรอ?"

    ผู้จัดการคนนั้นปากเอ่ยด่าทอ มือยังปาทิ้งเอกสารปึกนั้นลงที่โต๊ะอย่าไม่สนใจคู่กรณีตรงหน้าว่าจะรู้สึกเช่นไร แน่นอนว่าเธอตรงหน้าคงไม่พอใจที่ถูกกระทำเช่นนั้น หากแต่ไม่สามารถตอบโต้ได้ เพราะเธอเป็นเพียงพนักงานใหม่เริ่มงานได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น

    "ยัยมนุษย์ป้าเต็มขั้นอีกแล้วเหรอ? ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง"

    ผมยืนคิดถึงฉายาผู้จัดการคนนั้น ฉายาที่เธอได้มาจากการโหวตของชาวออฟฟิศ ฉายาที่ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ พวกเราลงความเห็นว่าเธอเหมาะกับฉายานี้มากกว่าชื่อปกติเสียอีก หลังจากนั้นมาเวลาพวกเราจะพูดถึงผู้จัดการจะต้องมีฉายาของเธอผุดขึ้นในสมองเป็นอันดับแรกเสมอ

    หลายคนเห็นเหตุการณ์ส่วนมากจะสงสารหญิงสาวตรงนั้น รวมทั้งผมด้วยที่ได้แค่ยืนมองห่างๆ รอจนกว่าผู้จัดการคนนั้นจะด่าว่าเรียบร้อยค่อยเข้าไปปลอบใจเพื่อนร่วมงาน ซึ่งคนทั้งออฟฟิศ"คุ้นเคย"กันเป็นอย่างดีกับเหตุการณ์ดังกล่าว

    พอเห็นบ่อยๆกลายเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ป้าเต็มขั้นคนนั้นจะหาเรื่องด่าพนักงานในช่วงบ่ายของทุกวัน อยู่ที่จังหวะใครจะโชคร้ายเจอแจ๊กพ็อตเข้าพอดี แต่อดแปลกใจไม่ได้ตั้งแต่ผมมาทำงานที่นี่ได้เกือบสองปี มนุษย์ป้าเต็มขั้นนั้นไม่เคยเรียกผมไปต่อว่าอะไรสักครั้ง มีเรียกเข้าไปคุยบ้างแต่ไม่เคยดุด่า แม้ผมจะทำผิดเธอแค่บอกกลับไปทำมาใหม่แถมยังส่งยิ้มกว้างให้ทุกครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมไม่สบายใจเท่าไหร่นัก หากเป็นจริงดั่งเสียงลือเสียงเล่าอ้างของคนในบริษัทนั้นก็ยิ่งน่ากลัว "ป้าเค้าชอบแก" อึ๋ยยย.. แค่คิดก็สยองล่ะ

    วันนี้เป็นความโชคร้ายของเธอคนนั้น...

    หญิงสาวแต่งตัวธรรมดาๆคนหนึ่ง เสื้อเชิ๊ตคอปกแขนยาว กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ รวบผมยาวด้วยยางยืดเส้นเดียวแต่งหน้าบางๆแค่แป้งฝุ่นกับลิปมัน กำลังยืนก้มหน้ารับการด่าทอของผู้จัดการ เธอยืนโดยการกุมมือทั้งสองข้างไว้ด้านหน้า ก้มหน้ามองรองเท้าตัวเองตลอดเวลาไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าร่างกายของเธอสั่นเทาเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังร้องไห้หรือโกรธจนตัวสั่น

    "เอากลับไปทำมาใหม่ วันนี้ไม่เสร็จไม่ต้องกลับบ้าน"

    ครั้นผ่านไปเกือบห้านาที เสียงดังค่อยๆเบาลง คล้ายคนที่ดุด่านั้นจะเหนื่อยหอบเสียเอง แต่ยังไม่วายออกคำสั่งเสียงเข้ม สั่งงานให้พนักงานคนนั้นกลับไปแก้ไขงานใหม่

    "ได้ค่ะ" คำตอบรับสั้นๆด้วยน้ำเสียงอ่อยเบา และในขณะที่เธอก้มลงเก็บเอกสารงานชุดนั้นผมแอบเห็นน้ำตาของเธอเอ่อคลอออกมาจากตาคู่นั้น ทันทีที่มันกำลังจะไหลลงมาเธอก็แอบใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาหยดนั้นทิ้งก่อนที่จะมีใครเห็น...ทุกครั้งเธอทำมันแบบนี้ เธอเข้มแข็งเกินกว่าจะให้ใครเห็นน้ำตา คงจะมีแค่เพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นเธอร้องไห้และผมก็เป็นคนเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นน้ำตาจากดวงตากลมโตคู่นั้น...

    “ของขวัญ” หรือ “ขวัญ” คือชื่อของเธอคนนั้น เธอเป็นพนักงานเข้าใหม่ได้เพียงไม่กี่เดือน ด้วยการเชิญชวนของผมให้เธอมาทำงานที่นี่ด้วยกัน ขวัญเป็นหญิงสาวที่นับว่ามี "ความน่ารัก" โดยธรรมชาติ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานจนถึงตอนนี้เธอยังเป็นขวัญใจของพนักงานหนุ่มๆในออฟฟิศทั้งหลาย ด้วยการพูดจาไพเราะ น้ำเสียงชวนฟัง ดวงตากลมโต ลักยิ้มบนแก้มใสๆทั้งสองข้างนั้น แถมยังโสดสนิท ทำเอาหนุ่มๆคันที่หัวใจเป็นอย่างมาก หลายคนขยันขายขนมจีบซะจนเห็นแล้วก็หมั่นไส้...จากที่ผมพูดถึงดูเหมือนขวัญจะดูเป็นหญิงสาวสดใสใช่มั้ยล่ะ เปล่าเลยในทางกลับกันเธอกลับเป็นคนที่ยิ้มยากมากจนได้รับฉายาจากหนุ่มๆว่า "ตุ๊กตายิ้มยาก" ผู้ชายหลายคนเคยพนันกันด้วยซ้ำว่าใครที่สามารถทำให้เธอยิ้มได้ คนนั้นได้กาแฟสตาร์บั๊คแก้วใหญ่ฟรี แต่จนแล้วจนรอดคนท้าส่วนใหญ่แพ้พนันตลอด ซึ่งมีแค่ผมเท่านั้นที่ได้กาแฟฟรีในหลายๆครั้ง เพราะผมเป็นเพียงผู้ชายคนเดียวที่ทำให้ขวัญยิ้มได้...ไม่ใช่เพราะผมหล่อหรือดูดี หรือผมเก่งกาจมาจากไหน หากแต่เพียงผมกับขวัญเราเป็นเพื่อนสนิทกันน่ะสิ! จะว่าไปหลายเดือนมานี้ยังไม่มีใครรู้ความลับของพวกเราสองคนว่าผมกับขวัญเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว และคนที่เรียนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งก็เธอเองนี่แหล่ะโธ่!...จนถึงปัจจุบันสถานะของเราก็ไม่เคยเปลี่ยนจากคำว่าเพื่อนสนิทไปเป็นอย่างอื่น...ถึงแม้เราจะสนิทกันมากๆๆๆก็ตามที

    จำได้ว่าตอนนั้นบ้านของขวัญเพิ่งย้ายมาใหม่ๆ พวกเราอายุราวๆห้าหกขวบ เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่เงียบๆขี้อาย ดวงตากลมโตใสซื่อบริสุทธิ์ ลักยิ้มบนแก้มน้อยๆทั้งสองข้าง ทว่ากลับมีแววตาที่มุ่งมั่นไม่ยอมคนซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น เธอมักจะยืนแอบอยู่หลังพ่อของเธอเวลาที่เราเจอกัน บ้านพวกเราค่อนข้างสนิทกันมาก...

    แต่มีครั้งหนึ่งทำให้ผมไม่เคยลืมภาพนั้นเลย เมื่อมีเด็กชายแถวบ้านล้อเธอว่า "ยัยเด็กฟันหลอ" ไม่มีใครรู้ว่าเธอคิดอะไรจากคำล้อเลียนนั้น เธอดูนิ่งและส่งยิ้มฟันหลอกลับไปให้เด็กชายคนนั้น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปต่อยปากเด็กชายคนนั้นหนึ่งทีจนฟันน้ำนมหลุดออกมาสองซี่ เด็กชายล้มลงไม่เป็นท่า ส่วนเธอยืนมองเด็กผู้ชายคนนั้นนั่งร้องไห้ มือกุมปากที่มีเลือดไหลออกมาจากที่ฟันหลุด พวกเราในตอนนั้น รวมถึงผู้ใหญ่หลายคนต้องอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม่ของเด็กผู้ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาดูลูกชาย พร้อมกับดุขวัญซะยกใหญ่ ขวัญเองกลับนิ่งไม่ตอบโต้ จนพ่อของเธอเดินเข้ามาดูยังที่เกิดเหตุ เมื่อขวัญเห็นพ่อเธอเดินเข้ามา เธอจึงเงยหน้ามองหน้าพ่อของเธอสลับกับก้มลงมองดูที่ปลายเท้าของตัวเอง คล้ายรู้ว่าเธอจะต้องโดนทำโทษ แต่ก่อนที่เธอจะรับสารภาพผิดกับพ่อของเธอ ขวัญหันไปยังเด็กผู้ชายคนนั้นและแม่ของเขาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า

    "ฟันหลอเหมือนกันแล้วนะ" เธอพูดพร้อมกับยิ้มกว้างโชว์ฟันหลอต่อหน้าทุกคน

    ผมจำได้แม่นว่าตอนนั้นผู้ใหญ่หลายคนแอบอมยิ้ม ผมเองยังหลุดหัวเราะออกมาทั้งที่สถานการณ์ตึงเครียดขนาดนั้นและภายหลังจากนั้นผู้ใหญ่เขาก็จัดการเรื่องกันเอง สุดท้ายขวัญต้องขอโทษเพื่อนผู้ชายคนนั้น แม่และพ่อของเขาก็ไม่ได้เอาเรื่องมากมายอะไร ทำเพียงตักเตือนว่ากล่าวผ่านทางพ่อและแม่ของขวัญเท่านั้นเอง ทุกอย่างจึงจบลงด้วยดี...ภายหลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมจึงไม่คิดว่าขวัญเป็นเด็กขี้อายและขี้แยอีกเลย จวบจนถึงปัจจุบัน(นี่ยังอดเสียวแทนผู้จัดการมนุษย์ป้าคนนั้นไม่ได้ ถ้าขวัญปรี๊ดขึ้นมาล่ะแย่แน่ๆ)

    ผมเป็นเด็กอีสานตั้งแต่เล็กจนโต เพิ่งจะได้ย้ายเข้ากรุงเทพฯก็เมื่อตอนสอบเรียนเตรียมอุดมได้ ส่วนบ้านของขวัญย้ายมาจากชลบุรี บ้านพวกเรารั้วติดกัน จึงทำให้ทั้งสองครอบครัวสนิทกันพอสมควร แต่เราสองคนตอนนั้นจวนจะเข้าเดือนที่สองยังไม่เคยปริปากคุยกันสักครั้ง แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ทำให้ผมกับเธอได้คุยกัน และตั้งแต่นั้นมาเราจึงได้รู้จักกันอย่างจริงจังเสียที

    วันนั้นพ่อกับแม่ของขวัญต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัด ไม่มีใครอยู่บ้านและไม่สามารถพอขวัญไปด้วยได้ จึงพาขวัญมาฝากไว้ที่บ้านของผม บ่ายของวันนั้นฝนตกหนักฟ้ามืดลมแรง แถวบ้านยังมีฟ้าผ่าต้นไม้อีกเปรี้ยงใหญ่ ทำเอาทุกคนในละแวกนั้นผวากันเป็นแถบ พวกเรานั่งรวมตัวกันในบ้านผม จังหวะที่ฝนตกหนักและก่อนที่ฟ้าจะผ่านั้นขวัญได้ขอเข้าห้องน้ำ...หลังเกิดเสียงฟ้าผ่าพวกเราแปลกใจที่ขวัญเข้าห้องน้ำนานเกินไป ผมก็อดห่วงเธอไม่ได้แต่ไม่ได้พูดอะไร สักพักแม่จึงบอกให้ผมไปดูขวัญหน่อย ทำไมไปนานผิดปกติ ผมรับคำจึงเดินไปหน้าห้องน้ำเรียกเธออยู่สองสามครั้งไม่มีเสียงตอบรับ จนผมต้องเคาะประตูห้องน้ำไปอีกหลายรอบ แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน แม่ผมได้ยินเสียงดังเพราะผมเริ่มเอะอะ แม่จึงตามมาดูและเคาะเรียกขวัญไปหลายครั้งเหมือนกัน และสุดท้ายพวกเราตัดสินใจพังประตูห้องน้ำเข้าไป สิ่งที่เจอตรงหน้าทำเอาผมและแม่สงสารจับใจ ภาพที่พวกเราทั้งสองเห็นคือ ขวัญกำลังนั่งขดตัวอยู่มุมห้องน้ำมือทั้งสองอุดหูสองข้างเอาไว้ น้ำตาไหลพรากเป็นทางยาว ตัวของเธอสั่นสะท้านอย่างรุนแรงด้วยความกลัว

    "ขวัญ! หนูเป็นอะไรไปลูก?"

    แม่ของผมโผเข้าไปกอดพร้อมกับสอบถามเธอด้วยความตกใจ ขวัญเองไม่ได้ตอบอันใดกลับมา เธอเพียงร้องไห้สะอื้นเบาๆในอ้อมกอดของแม่ผมที่สวมกอดเธอไว้แน่น

    กว่าที่พ่อกับแม่ของขวัญจะมารับกลับบ้านก็ดึกพอสมควร ตอนนั้นขวัญหลับไปเพราะความเพลีย ผมเห็นเธอนอนคล้ายคนฝันร้ายตลอดเวลา ร่างกายน้อยๆนั้นสั่นเทิ้มเป็นระยะ ขนตางอนยาวสั่นระริก ผมตั้งใจจะปลุกเธอหลายครั้งแต่แม่กลับห้ามไว้ เพราะอยากให้เธอพักผ่อน โดยแม่ให้เหตุผลว่า

    "บางทีขวัญเขาอาจจะกำลังต่อสู้อยู่กับฝันร้าย ถ้าเราปลุกเขามาตอนนี้ ภายภาคหน้าขวัญเขาจะไม่สามารถเอาชนะฝันร้ายนี้ได้ตลอดไปนะลูก"

    "แล้วขวัญเขาจะเป็นอะไรมากมั้ยครับแม่" ผมถามกลับไปด้วยความห่วงใย

    "แล้วหนูว่าขวัญเขาจะชนะเจ้าฝันร้ายนั้นได้หรือเปล่าล่ะ?" แม่ผมถามกลับมาด้วยความเอ็นดู

    "ต้องชนะได้อยู่แล้วครับแม่ เพราะของขวัญเขาเป็นคนเก่ง ผมยังชอบเขาเลย" ผมตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสาตามความรู้สึกที่มีในตอนนั้น

    "ใช่แล้วล่ะ หนูขวัญเป็นคนเก่ง​ หนูต้องเก่งเหมือนหนูขวัญนะ เพราะต่อไปหนูโตขึ้นต้องคอยดูแลปกป้องคนที่รัก เหมือนพ่อของหนูที่ดูแลแม่กับหนูไงล่ะลูก" แม่พูดไปยิ้มไปพร้อมกับเอามือลูบหัวผมเบาๆ

    "แม่ไปล่ะนะ หนูจะเฝ้าหนูขวัญตรงนี้ก็ได้นะ เผื่อเขาตื่นจะได้เรียกแม่ ดีมั้ย?" แม่เอ่ยถามทิ้งท้ายไว้

    "ได้เลยครับ ผมจะเฝ้าขวัญเอง ถ้าเขาตื่นผมจะรีบไปเรียกนะครับ" ผมตอบรับปากกับแม่ไปแบบนั้น

    จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่ตื่น ผมในตอนนั้นผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้สึกต่างๆมากนัก รู้เพียงว่าเธอคือเพื่อนที่ผมต้องดูแล จึงเฝ้าทำได้เพียงมองเธออยู่ตรงนั้นจนพ่อกับแม่ของเธอมารับกลับบ้านพร้อมกับเล่าถึงสาเหตุที่เธอเป็นแบบนั้นให้พ่อแม่ผมฟัง เมื่อได้ฟังจึงทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่สามารถทำให้เธอสั่นเทากลัวจนร้องไห้คือสิ่งใด ผมอดมองไปที่ใบหน้าน้อยๆนั้นไม่ได้ด้วยความสงสาร ดวงตาของขวัญที่กำลังหลับพริ้มด้วยความเพลียนั้นจู่ๆกลับลืมขึ้นมองตอบ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าแววตานั้นกำลังพูดได้และเธอกำลังพูดว่า "ขอบคุณ"

    รุ่งเช้าของขวัญเดินมาเรียกที่ริมรั้วบ้าน ผมจึงรีบออกไปพบ เธอยื่นขนมชั้นสีรุ้งให้ผมจานนึง พร้อมกับพูดว่า

    "นี่...แม่ให้เอามาให้"

    นั่นคือคำพูดประโยคแรกที่เธอคุยกับผมอย่างเป็นทางการ

    "ขอบคุณนะ"

    ผมเอ่ยตอบกลับไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขวัญยิ้มรับบางๆก่อนจะรีบหันหลังกลับเข้าบ้านและหลังจากนั้นมาเราทั้งสองได้พูดคุยทำความรู้จักกันมากขึ้น หากที่บ้านผมทำอาหารหรือขนมอะไร ผมจะอาสานำไปส่งให้ที่บ้านของขวัญ ขณะเดียวกันบ้านของขวัญทำอาหาร ขวัญจะเป็นคนนำของพวกนั้นมาส่งให้ทุกครั้งเหมือนกัน

    พวกเราใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กันแบบเพื่อนบ้านหลายปี จากเด็กอายุเพียงหกขวบ ล่วงเลยจนจบม.ต้น บ้านของขวัญต้องย้ายเข้ากรุงเทพเธอจึงต้องย้ายตามครอบครัว และเข้าเรียนที่โรงเรียนหญิงแห่งหนึ่งในนนทบุรี ผมจำได้ว่าวันที่เรารู้ว่าต้องแยกจากกัน ผมได้ขอไปช่วยของขวัญเก็บของส่วนตัวของเธอด้วย พ่อกับแม่ของขวัญไม่ได้ว่าอะไรเพราะพวกท่านเห็นว่าเราทั้งสองสนิทกันมาก ผมกับขวัญสามารถเข้านอกออกในบ้าน จนถึงห้องนอนของกันและกันได้อย่างสบาย

    วันสุดท้ายที่พวกเราต้องเจอกัน ผมและเธอเพียงส่งยิ้มให้กันโดยไม่ได้เอ่ยลาใดๆ

    "ไม่บอกลานะ เพราะสักวันเราจะต้องได้เจอกันอีก...สัญญานะ"

    ขวัญเอ่ยในวันนั้น ผมรู้ว่าเธอต้องการพูดอะไรมากกว่านี้ เพราะแววตาคู่นั้นมันบอก หากแต่ด้วยนิสัยของเธอมักเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ลึกๆเสมอมา ผมก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรมากนักเมื่อเธอต้องการแบบนี้ผมก็อยากให้เธอสบายใจจึงตอบกลับไปคล้ายๆกันว่า

    "อืม...แค่กรุงเทพฯเดี๋ยวเราก็ได้เจอกัน...สัญญาสิ"

    ผมเพิ่งรู้วันนั้นเองว่า การที่จะพูดอะไรยาวๆในวันที่ต้องจากใครสักคนนั้นมันจุกจนพูดอะไรไม่ออก รถคันนั้นวิ่งออกไปไกลจนลับตา ผมยังยืนมองอยู่ตรงนั้น โดยหวังว่าสักวันเราทั้งสองจะได้เจอกันอีกครั้งจริงๆ

    ปีใหม่ผ่านไปแล้วหลายรอบ...เวลาล่วงเลยเกือบสี่ปีที่ขวัญย้ายไปเรียนในเมืองกรุง ทุกวันผมเฝ้าภาวนาให้เราได้เจอกันเร็ววัน นั่นมีเพียงวิธีเดียวที่พวกเราทั้งสองจะได้เจอกันคือการตั้งใจเรียนและสามารถเอ็นทรานซ์เข้ามหา'ลัย พร้อมกับคณะที่พวกเราทั้งสองตั้งใจจะเรียนไว้ ตลอดช่วงระยะมัธยมปลายผมไม่ทำให้ขวัญผิดหวังเกรดเฉลี่ยผม 4.00 ทุกเทอมจนได้โควต้าจากหลายๆมหา'ลัย ซึ่งผมตอบปฏิเสธไปทั้งหมด นั่นเพราะผมมีจุดมุ่งหมาย เราทั้งสองถึงจะไม่ได้เอ่ยบอกกันในวันที่แยกจาก แต่เราต่างเชื่อมั่นว่าเราจะได้พบกันในที่นั้นและแล้ววันที่ผมสมหวังก็มาถึงจนได้ เมื่อพ่อของผมจะได้ย้ายเข้าไปรับตำแหน่งที่กรุงเทพฯ ส่วนผมสามารถสอบติดมอดังของประเทศได้ด้วยคะแนนหนึ่งในร้อยคนแรกของประเทศ ผมจึงไม่ลังเลที่จะเลือกคณะที่ต้องการ

    วันลงทะเบียนเรียนผมและขวัญได้เจอกันอีกครั้ง สัญญาที่เราให้ไว้ซึ่งกันและกันมันยังคงทำหน้าที่ได้ไม่บกพร่อง และนี่คือจุดเริ่มต้นของความผูกพันระหว่างเราสองคนที่ผมไม่เคยลืม...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×