คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Vo][cEs III : เพียงตะวันลับขอบฟ้า สัญญาณแห่งการฆ่าและความตาย !!
Vo][cEs III : เพียงตะวันลับขอบฟ้า สัญญาณแห่งการฆ่าและความตาย !!
เสียงฝีเท้าที่เดินเรื่อยเปื่อยบนท้องถนน อันเต็มไปด้วยการจราจรอันคับคั่ง... อาคารบ้านเรือนอันเรียงรายที่ถูกบดบังด้วยตึกสูงเสียดฟ้า ซึ่งเป็นเครื่องแบ่งแยกชนชั้นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเจ้าของฝีเท้านั้น ก็ทั้งเบื่อแสนเบื่อและเหนื่อยแสนเหนื่อยที่จะก้าวเดินต่อไป เขาได้มาหยุดอยู่หน้าบาร์เหล้าเล็กๆแห่งหนึ่ง ยืนชั่งใจอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในนั้น...
ภายในร้านซึ่งมีเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟ รวมถึงผู้คนอันมากหน้าหลายตา ที่เดินกันขวักไขว่ บ้างคุย บ้างหัวเราะ อยู่รอบๆตัวเขานั้น ดูราวกับว่ามันจะค่อยๆสร้างความเงียบ และความเบื่อหน่าย ให้เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งรับรู้มันก็ยิ่งทำให้เขาดูกลายเป็นส่วนเกินของที่แห่งนี้เสียจริงๆ ชายหนุ่มค่อยๆลากสังขารของตนเองไปยังเคาร์เตอร์ พลางสั่งเครื่องดื่มอย่างเนือยๆ ...
"มาคนเดียวหรอคะ?" เสียงบาร์เทนเดอร์สาวผมแดงกล่าวเบาๆ ก่อนที่จะยื่นแก้วที่บรรจุของเหลวสีขาวใส ราวกับน้ำบริสุทธิ์ให้
"ครับ" ชายหนุ่มตอบส่งๆโดยไม่สนใจว่าหญิงสาวจะยืนมองเขาอย่างพินิจพิจารณาแค่ไหน
"ฝนตกหนักนะคะ ภายในดวงตาอันมือมิดคู่นี้หน่ะ" คำพูดของบาร์เทนเดอร์สาวที่อยู่ๆก็กล่าวลอยๆขึ้นมา
"งั้นหรอครับ" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่แก้วใสในมือของเขา
"ทำไมไม่ลองรับร่มจากใครดูบ้างหล่ะคะ?" เสียงอันราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นของเธอนั้น มันค่อยๆเรียกรอยยิ้มจางๆออกมาจากริมฝีปากอันแห้งผากของเขา
"เห็นทีคงจะไม่ได้หรอกครับ เพราะว่า พายุครั้งนี้มันหนักหนาเอาการทีเดียว!!" ชายหนุ่มตอบโดยที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา...
"ทั้งๆ ที่ข้างนอกนั่น อากาศออกจะดีหน่ะหรอคะ?!" สาวน้อยคุยไป มือก็กำลังผสมเครื่องดื่มไป...
"คุณปล่อยผมไว้เถอะ อย่ามายุ่งกับผมนักเลย" ชายหนุ่มตัดบทด้วยท่าทีเย็นชา ราวกับว่าเขาไม่อยากที่จะผูกมิตรกับใครบนโลกนี้ถ้าไม่จำเป็น
แกร๊ง !!! แกร๊ง !!!
เสียงน้ำแข็งที่ออกมาจากกระบอก ค่อยๆกระทบกับแก้วใสพร้อมกับของเหลวสีเขียวใสค่อยๆไหลรินตามออกมา...
"คุณนี่ไม่ยอมเปิดใจเลยจริงๆนะคะ บนโลกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแบบนี้ มันจะมีกันซักกี่คนคะที่จะยอมช่วยเหลือหรือรับฟังคนรอบข้างบ้าง.. อ่ะนี่ค่ะชั้นเลี้ยง" บาร์เทนเดอร์สาวกล่าวก่อนที่จะยื่นแก้วซึ่งบรรจุ ของเหลวสีเขียวใส นั้นให้กับเขา ก่อนที่จะเอาแก้วที่อยู่ในมือของเขานั้นไปเททิ้ง ชายหนุ่มจึงเงยหน้ามองท่าทีประหลาดของหล่อน...
"คุณทำอะไร!" ชายหนุ่มถามด้วยท่าทีอันไม่พอใจ
"ชั้นแค่คิดว่า จินโทนิคไม่เหมาะกับคุณหรอกค่ะ" สาวน้อยยิ้มเหมือนกับว่าที่เธอทำนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา...
"แต่ว่าผม....." ชายหนุ่มยังกล่าวไม่ทันจบ เธอก็กล่าวแทรกขึ้นก่อนว่า...
"ถ้าจะตัดสินปัญหาด้วยเหล้าหล่ะก็ ดิชั้นว่าไม่ดีแน่ค่ะ" หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้มเสมอแต่น้ำเสียงของหล่อนนั้นกลับจริงจัง อย่างตรงกันข้ามกับรอยยิ้มที่ให้เสียจริง แม้แต่ตัวเขาเองยังคิดว่าเธอเป็นคนที่แปลกพอดูทีเดียว ที่อยู่ๆก็เข้ามาคุยกับคนไม่รู้จักอย่างเขา หรือว่า อาจเป็นเพราะอาชีพของเธอกันแน่ ที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับการคุยกับคนแปลกหน้า นั้นเขาก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้...
"ธริษตรีค่ะ" เธอกล่าวแนะนำตัวสั้นๆ ทั้งๆที่เขานั้นคิดว่ามันไม่จำเป็นเลยที่เธอจะมาทำความรู้จักกับเขา แต่ด้วยมารยาทแล้ว เขาก็คงต้องบอกชื่อของตนเองให้เธอได้รู้เช่นกัน
"ศิวะฤกษ์ ครับ" เขาตอบเรียบๆ พลางยกแก้วทำท่าจะดื่ม แต่ทว่า อยู่อยู่ก็ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่ง เรียกชื่อของเขา เขาจึงหันไปมองด้วยปฏิกิริยาตอบสนองอันเป็นปกติวิสัย จึงได้รู้ว่าชายคนที่เรียกนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ชายหนุ่มผมสั้นสีดำ ซึ่งมีใบหน้าอยู่เบื้องหลังกรอบแว่นตา ....
"ไง ไอ้วะ มานั่งเก๊กอะไรที่นี่" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว พลางเดินมานั่งข้างๆ
"ก็ไม่รู้ว่า ไอ้เว รตัวไหนนัดให้มาหน่ะสิ" ศิวะฤกษ์เอียงคอไปต่อล้อต่อเถียงกับชายที่มาใหม่ หากแต่ว่า สายตาของเขานั้นได้เหลือบมองบาร์เทนเดอร์สาวเมื่อครู่ แต่ทว่าเจ้าหล่อนนั้นได้หายตัวไปเสียแล้ว...
"เฮ้อ... นัดกับนายนี่ก็ดีนะ หาง่ายดีวะ โดยเฉพาะเวลามองหัว!!" ชายผู้มาใหม่เอ่ยแซวขึ้น ก่อนที่จะสังเกตเห็นชายอีกคนที่เดินเข้ามา...
"อ้าว!! นั่นรู้สึกว่า จะมีผู้มาใหม่อีกคนแล้วหว่ะ!!" ศิวะฤกษ์ทักขึ้น เมื่อเห็นชายร่างสูง เส้นผมสีทอง ค่อยๆย่างเท้าก้าวเข้ามาภายในร้าน...
"ไงครับอาจารย์หิรัณย์" ชายผมดำกล่าวทักขึ้นเป็นเชิงล้อ
"เออ ไม่ต้องเลยไอ้คุณรักษิต อย่ามาทำแซวแล้วนี่ไม่ไปประจำตำแหน่งเก้าอี้ผู้บริหารรึไงวะ ถึงได้มาเร่ร่อนอยู่ตามผับแบบนี้" หิรัณย์สวนเข้าให้ดอกนึงเต็มๆ
"ก็ดันเปิดประชุมทำไมหล่ะวะ ประชุมทีข้ามวันข้ามคืน ไม่รู้จักเบื่อ ไอ้เรารึก็เบื่อโคตร ก็เลยโดดมาอยู่นี่ไง เหมือนกับไอ้คุณหมอ ศิวะฤกษ์ไง โดดตรวจมานั่งกินเหล้า" พูดไม่พูดเปล่า รักษิตยังโยงเอาศิวะฤกษ์ เข้ามาเกี่ยวด้วยซะอีก
"พอเลยๆ พวกนาย 2 คน แล้วงานเนี่ยะ จะทำไม่ทำวะ" ศิวะฤกษ์ตัดบทพลางลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งวางเงินค่าเหล้าไว้บนโต๊ะ แล้วเดินนำออกไปจากผับ โดยที่ มีรักษิตกับหิรัณย์ยืนมองหน้ากันอย่าง เซ็งๆ ก่อนที่จะเดินตามออกไป...
และแล้วทิวาก็ค่อยๆเยื้องกรายเข้าสู่ รัตติกาลอันยาวนาน พระจันทร์ค่อยๆลอยเด่นขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมกับไอสังหารที่แผ่กระจายออกมาจากชายทั้ง 3 ซึ่งบัดนี้ ได้ไปยืนรอ ชายอีกคนที่เหลืออยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ชายผมดำนั้นเล่า ยังยืนพิงเสาไฟฟ้าอย่างสบายอารมณ์... ราวกับว่าค่ำคืนนี้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว แรงกดดันและไอสังหารที่แผ่ออกมานั้น ยิ่งฉุดรั้งความหนาวเย็นของอากาศธาตุที่อยู่รอบๆตัว ให้หยั่งรากลึกลงไปภายในจิตใจ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับชายผมทอง ที่นั่งอยู่บนพนักเก้าอี้ในใกล้ๆกันนัก แววตาที่เงียบงัน สุดจะหยั่งในความคิด อันมืดมิดและพร้อมที่จะดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งอเวจี โดยที่ยังมีชายอีกคนที่ดูราวกับว่า เขาก็ไม่ได้เต็มใจที่จะรับงานแบบนี้แม้แต่น้อยนั่งชันเข่าอยู่บนเสาไฟฟ้าซึ่งส่อแสงสว่างรำไรให้กับท้องถนนบนสวนสาธารณะนั้น ความคิดอันเคว้งคว้างของเขานั้น มันสะท้อนความคิดถึงอนาคตที่กำลังที่จะคืบคลานเข้ามา ในค่ำคืนนี้ เขาต้องไปฆ่าใครอีกเล่า 2 มือต้องเปรอะคราบเลือดอีกครั้ง ยิ่งฆ่า ก็ยิ่งสนุก หากแต่ว่า มันจะกลายเป็นการเสพย์ติด จนเลี่ยงไม่ได้รึไม่ หรือว่ามันเป็นสัญชาติญาณดิบ ที่ถูกปลูกฝังมาในร่างๆนี้กันแน่ เพราะในเมื่อเขาไม่อยากที่จะลงมือ แต่แค่เพียงคิดถึงภาพเหล่านั้น มันก็ทำให้เขาฉุดรั้งมันไว้ไม่ได้... เพราะอะไรกันแน่...
ชายหนุ่มคิดพลางเงยหน้ามองพระจันทร์ พระจันทร์ที่เป็นแสงสว่างให้กับความมืดมิดอย่างเขา พระจันทร์ในตอนนี้ ดูเหมือนว่า จะสว่างขึ้นอีกนิด ถึงแม้ว่าจะเหลือเพียงซีกเดียวก็ตาม หากแต่ภายในใจของเขาเล่า จะมีจุดสว่างเพิ่มขึ้นบ้างรึเปล่า เขาก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ชายหนุ่มก้มหน้าลงอีกครั้ง ก่อนที่จะถอนหายใจ...
เส้นผมสีเงินถูกพัดให้ไหวอีกครั้ง ด้วยแรงแห่งสายลมหนาว ที่ครางครวญราวกับว่า มันจะรับรู้ถึงบางสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ...
อยู่ๆ ร่างๆ หนึ่งก็ค่อยๆปรากฏขึ้น เบื้องหน้าชายทั้ง 3 นั่นก็คือหัวหน้ากลุ่ม ซึ่งเดินออกมาจากความมืด เขานั้นเอง คือผู้ที่นำสารแห่งความตาย มายื่นให้กับคนทั้ง 3 งานคืนนี้ คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากงานเก็บกวาดคนดีๆ ที่ไอ้พวกเศษเดนสั่งให้พวกเขาทำนั้น ไม่มีจิตใจบ้างรึไงกัน ถึงได้ไม่คิดถึงความรู้สึกของคนที่จะต้องตามฆ่าผู้คนไปมากน้อยแค่ไหน แล้วพวกเขาทำไปเพื่ออะไรหล่ะ นอกจากคำว่าเพื่อให้เซ็นเตอร์ อยู่รอด ทำเพื่อให้ CS. คงอยู่ แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เอาชีวิตไปต่อชีวิตนักหรอก...
"มิลคืนนี้ที่ไหนหล่ะ" คำถามเรียบๆค่อยเอ่ยขึ้นจากปากของเอ็กซ์โดยที่ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าผู้ที่ถูกตนเองถาม
"ตึกไซร์นิ่งแฟรช ชั้น 39 งานแสดงดนตรีการกุศล" มิลเลอร์ตอบพลางยืนมอง ชายหนุ่มทั้ง 3 ค่อยๆลุกจากที่นั่งของตน มายืนอยู่ที่ด้านหน้าของเขา
"งั้นก็ต้องพึ่งฝีมือของนายแล้วหน่ะสิ เอ็กซ์" รูอินกล่าวพลางส่งสายตากวนประสาทให้
"งั้นคืนนี้คนต้องโชว์ฝีมือให้เต็มที่หน่อยสินะ" เอ็กซ์ตอบรับ พร้อมด้วยรอยยิ้มเสมือนเด็กที่กำลังจะได้รับของเล่นชิ้นใหม่
หลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีร่างของชายหนุ่มทั้ง 4 ก็ค่อยๆจางหายไปแทบจะพร้อมๆ กัน...
Shining Flash Tower.
บนชั้นสูงสุดของอาคารสูงเสียดฟ้า นั้น ผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งนี้ เมื่อมองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง จึงได้พบกับ แสงไฟหลายสี ซึ่งส่องสว่าง แข่งกับแสงอันอ่อนนุ่มแห่งดวงจันทร์ และแสงอันระยิบระยับของดวงดาว บนฟากฟ้า อันมืดมิดแห่งรัตติกาล... ค่ำคืนนี้ก็คงจะเป็นอีกคืน ที่เขาจะต้องรับรู้กลิ่นคาวเลือด พร้อมๆกับ ความสนุกสนานในการได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด สายลมเอื่อยๆ ซึ่งพัดโชยขึ้นมาบนดาดฟ้าแห่งนี้ ราวกับผู้ที่อยู่เบื้อล่างนั้นร่ำร้อง ให้เหล่าพระกาฬอย่างพวกไปเยือนโดยเร็ว เสมือนประหนึ่งว่าโลกนี้มันช่างน่าเบื่อเสียนี่กระไร ดังนั้น พวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องขัดศรัทธา และคำเชิญชวนแต่อย่างใด... ค่ำคืนนี้ บทเพลงแห่งรัตติกาล ก็จะได้บรรเลงขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งการแสดงที่ ถูกจัดขึ้นโดยใช้ชีวิตของผู้แสดงเป็นตั๋วเข้าชม...
ณ โถงรับรองกว้าง ซึ่งประดับประดาไปด้วย โคมระย้า ซึ่งให้ความสว่างไสวอยู่บนทางเดินที่ถูกปูด้วยพรมกำมะหยี่สีแดงสดอย่างดี ราวกับว่ารับรู้ถึงการมาเยือนของ เหล่าหัวหน้ามาเฟียทั้งหลายซึ่งต่างคนก็ต่างมาในมาดของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง และร่ำรวย ซึ่งความจริงแล้วคนพวกนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับนักธุรกิจทั้งหลายมากมายนั้น หากแต่ว่า ธุรกิจที่พวกเขาเหล่านั้นได้ประกอบ มันได้แตกต่างกันอย่างชัดเจนเลยทีเดียว...
งานแสดงดนตรีการกุศล ที่ถูกจัดขึ้นเพื่อการต่อรองราคาอาวุธเถื่อนและยาเสพย์ติด ค่อยๆดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยที่ ไม่รู้เลยว่า ความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาสู่พวกเขาแล้ว...
ภายในห้องซึ่งถูกจัดให้เป็นห้องพักสำหรับนักแสดง ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดสูทสีดำ แต่งตัวภูมิฐาน นั่งอยู่ในห้องพักของนักแสดง
"นี่ อีกไม่กี่นาทีก็แสดงแล้วสินะ กรณ์" เสียงของ ภารวี แฟนสาวได้เดินเข้ามาพร้อมช่อกุหลาบสีขาวเพื่อให้กำลังใจ กับนักดนตรีหนุ่ม ผู้ซึ่งได้ถูกรับเชิญให้มาเล่นในงานแห่งนี้ โดยที่เมื่อเสร็จจากงานนี้แล้ว ทั้งเขาและ ภารวีนั้นก็จะได้แต่งงานกันเสียที หลังจากที่ได้ดูใจกันมาเป็นเวลาหลายปี...
"ใช่จ๊ะ แล้วก็อีกไม่กี่นาทีเหมือนกัน ที่เราจะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ" คำหวานของปกรณ์ ได้เรียกเลือดฝาดบนใบหน้าอันขาวผ่องของ ภารวีให้ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดพร้อมๆกับท่าทีเขินอายของเจ้าหล่อน โดยที่ปกรณ์ นั้นมีท่าทีพอใจกับการที่เขาได้ทำให้แฟนสาวมีท่าทีขวยเขินอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
แต่ทว่าอยู่ๆ บรรยากาศซึ่งเต็มไปด้วยความสุข และความหวังนั้น ก็ได้มีบางอย่างค่อยๆเข่ามาแทนที่โดยที่ ทั้ง 2 คนนั้นแทบที่จะไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ
"ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าตอนนี้หมดเวลาที่จะ สวีทกันแล้วนะครับ" น้ำเสียงอันเรียบเย็นของชายหนุ่มที่ยืนพิงประตูอยู่นั้น ทำให้ คู่รักทั้ง 2 ตกใจพลางหันมามอง ว่าเหตุใดภายในห้องนี้ นอกจากเขาทั้ง 2 แล้วทำไมถึงมีชายผมสีเงินผู้นี้อยู่ภายในห้องได้ และคนที่ทำแบบนี้ได้ก็มีแต่...
"วี
." ชายหนุ่มร้องเรียกแฟนสาวของตน ซึ่งในขณะนี้ เขารับรู้ถึงชะตากรรมของตนเองดีว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นเขาจึงได้โอบแขนของแฟนสาวเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม ก่อนที่จะผละเธอออกจากอ้อมกอด แล้วค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ...
"เดี๋ยว ! นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น" ภารวีตกใจลุกตะโกนถามเมื่อเห็นว่า ชายอันเป็นที่รักของตน อยู่ๆก็มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม จนแม้แต่ตัวของเธอเอง ก็ยังตั้งตัวไม่ติด
ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่สิ่งที่เขาทำนั้นแค่เพียงปรายสายตามาทางหล่อนช้าๆ แล้วหันหลังเดินจากไป หากแต่ว่าภารวี กลับไม่คิดเช่นนั้น เธอวิ่งเข้าไปฉุดร่างของ ปกรณ์ ก่อนที่จะมองหน้าของเขาเป็นเชิงถามว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากแต่ชายหนุ่มกลับก้มหน้าลง โดยที่ไม่แม้จะเหลือบมองสายตาอันเว้าวอนของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ในความคิดของเขานั้น คิดได้แค่เพียงอย่างเดียวว่าถ้าเธอรู้ความจริงเข้า เธอก็คงจะต้องลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควรเป็นแน่ คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงสลัดมือของหญิงสาวออก ก่อนที่จะหันหลังแล้วทำท่าจะเดินจากไป แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อหญิงสาว หันไปมองหน้าชายผมสีเงินเป็นเชิงถาม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เธอกระทำมากที่สุด
"ถ้าอยากรู้เธอความจริง คุณก็ไม่ต้องไปไหนหรอกครับ ปกรณ์........." น้ำเสียงอันเย็นเหยียบของชายหนุ่มนั้น ค่อยๆดังขึ้นราวกับว่าสัญญาณมรณะทั้งของเขา และแฟนสาว ได้กำลังคลืบคลานเข้ามาใกล้ จนไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว...
"ผมคงต้องเปลี่ยนใจทำงานให้เสร็จๆไปตรงนี้หล่ะนะครับ" เสียงของซิลเวอร์ ค่อยๆเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบก่อนที่ดวงตาอันดำสนิทของเขาจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตอย่างช้าๆ แค่เพียงสิ้นเสียง ร่างของนักดนตรีหนุ่มนั้นได้ทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมด้วยของเหลวสีแดงเข้ม ที่ไหลทะลักออกมาจากปาก 2 มือของเขานั้นไปเกาะกุมอยู่บริเวณท้องพร้อมทั้งบิดร่างไปมาอย่าทุรนทุราย ...
หญิงสาวหวีดร้องพลางวิ่งเข้าไปกอดร่างของแฟนหนุ่ม พร้อมทั้งหันมาร้องอ้อนวอนของชีวิตของเขา จากมัจจุราชหนุ่ม ผู้ซึ่งยืนมองเหตุการณ์อย่างไม่ยี่หระ
"ชั้น.. ชั้นขอร้องหล่ะ!! ช่วยเค้าด้วย ช่วยแฟนของชั้นด้วย~!!!" หญิงสาววิงวอนต่อหน้าของเขาทั้งคราบน้ำตา เพื่อให้ชายหนุ่มแปลกหน้านั้น ช่วยเหลือชายที่เธอรัก ให้หายจากความทรมาน หากแต่ว่าเธอกลับไม่รู้เลยว่า สาเหตุที่คนรักของเธอต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะเขา ผู้ซึ่งถูกส่งให้มาสังหารทั้งเขาและเธอ...
"ผม... คง.... ช่วย.... ตามที่คุณ..ขอไม่ได้หรอครับ" น้ำเสียงอันเย็นชาที่ตอบกลับมานั้น ยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้แก่เธอยิ่งนัก น้ำตาอุ่นๆค่อยไหล ลงมาจากดวงตาทั้ง 2 ข้างของหล่อน พร้อมๆกับการซบหน้าลงบนร่างของชายอันเป็นที่รัก ซึ่งกำลังทรมานกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
"เพราะว่า... ถ้าผมช่วยคุณ ความสนุกของผมก็คงจะหมดไป!" ชายหนุ่มกล่าวลอยๆอย่างเงียบๆ ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะถูกกระแทกให้ไปชนกับผนังทางด้านหลัง พร้อมกับร่างของชายหนุ่มผมสีเงินนั้นพุ่งเข้าหาร่างของเธอก่อนที่จะคว้าคอของหล่อนไว้ สีหน้าอันตระหนกและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวของหล่อนนั้นห่างกับใบหน้าอันเย็นชากับรอยยิ้มอันเย้ยหยันของเขาแค่เพียงปลายจมูก เสียงร้องที่ออกมาจากลำคออันตีบตันนั้น ดูเหมือนว่าจะไร้สำเนียงใดๆเลยแม้แต่น้อย ...........
"ใจเย็นๆ ผมยังไม่ให้คุณตายหรอก เพราะการแสดงชุดนี้ ยังไม่ทำให้ผมพอใจ!" ชายหนุ่มกล่าว ก่อนที่จะค่อยๆปล่อยมืออย่างช้าๆ เป็นผลให้ร่างของหญิงสาวทรุดลงกองกับพื้น...
ความรู้สึกหนาวเหน็บค่อยๆเกาะกุมเข้ามาในหัวใจ พร้อมกับ การหายใจที่ค่อยๆติดขัดขึ้นอย่างช้าๆ หล่อนเริ่มหอบหายใจ หัวใจของหล่อนเริ่มเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอกันแน่ ความรู้สึกนี้ ยิ่งค่อยๆเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวขึ้นอย่างช้าๆ และแล้วอยู่ๆ ของเหลวสีน้ำเงินเข้มก็ไหลทะลักออกมาจากริมฝีปากอันเรียวบางของหล่อน ก่อนที่ความเจ็บปวดจะจู่โจมเข้าสู้โสตประสาทของหล่อนโดยฉับพลับ แต่ทว่า เพื่อนชายของหล่อนเล่า จะปล่อยให้เขาอยู่แบบนั้นหน่ะหรือ ไม่มีทางแน่ หล่อนจึงพยายามที่จะลุกขึ้น หากแต่เรี้ยวแรงที่หมดไปนั้น กลับทำให้หล่อนต้องล้มลง แต่ความพยายามของหล่อนก็ยังไม่หมดไป มันอาจเป็นเพราะความรักที่หล่อนมีให้แก่เขาก็ได้ จึงทำให้หล่อนไปถึงร่างเขา พร้อมๆกับรอยยิ้มอันสื่อได้ถึงความสมเพชในชะตากรรมของหล่อน ซึ่งเจ้าของรอยยิ้มนั่นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก
ซิลเวอร์!!!
นิ้วมืออันสั่นเทาของหล่อน ค่อยๆเอื้อมไปโอบกอดร่างของชายอันเป็นที่รักเหมือนดั่งครั้งที่เขากอดเธอ เพื่อที่จะทำให้เธอไม่ต้องได้รับอันตราย... คงเป็นเพราะเธอเองที่ฉุดรั้งเขาไว้ เป็นเพราะเธอเองที่งี่เง่าอยากฟังเหตุผล สาวน้อยคิดพลางก้มหน้าลงแล้วร้องไห้ พร้อมๆกับของเหลวสีน้ำเงิน ที่ไหลออกจากริมฝีปากของเธออย่างไม่หยุดหย่อน..... ซึ่งฉากรักฉากนี้ ถ้ามันถูกใจของผู้ชมอย่างซิลเวอร์ก็คงจะดีไม่น้อย แต่ทว่า ผู้ชมอย่างซิลเวอร์นั้น กลับรู้สึกไม่พอใจกับมันอย่างมาก เขาจึงลุกขึ้น ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกับดีดนิ้ว
เปาะ!!!!
สิ้นเสียงนั้น อยู่ๆร่างของชายหนุ่ม ที่กำลังดิ้นรนอย่างทุรนทุรายนั้น ก็ได้หยุดลงอย่างน่าแปลกใจ แต่ว่ามันคงไม่น่าแปลกใจไปกว่าที่อยู่ๆก็ค่อยๆลุกขึ้นมาพร้อมผลักหญิงสาวออกจากอ้อมกอดราวกับว่าความเจ็บปวดทั้งหมดได้ถูกกลืนหายไป หากแต่มองเข้าไปภายในแววตาของเขานั้นกลับเงียบงัน และเย็นชา ชายหนุ่มผู้ซึ่งมีคราบสีแดงเข้ม เปรอะอยู่ทั่วนั้น ค่อยๆก้าวเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังร้องครวญครางด้วยความทรมาน...
อยู่ๆ มีดเล่มใสเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในมือของชายหนุ่มเส้นผมสีเงิน โดยที่เขาได้ยื่นให้กับชายหนุ่มนักดนตรีคนนั้น เขารับมีดไว้อย่างทะนุถนอมราวกับว่ามันอาจจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และแล้วร่างของเขาก็ค่อยๆย่างสามขุมไปหายหญิงสาวอันเป็นที่รัก...
คมมีดที่ใสราวกับแก้ว ค่อยๆถูกยกขึ้นต้องแสงไฟ เป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่จะฝังตัวลงบนเนื้อของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านับสิบครั้ง !
"ไม่นะ~~!!!!!!!" เสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้น หากแต่ว่ากลับไม่ใช่เสียงของหญิงสาวเคราะห์ร้ายที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับเป็นของใครบางคนที่อยู่ในมโนสำนึกของเขา หากแต่เขาก็ไม่ได้ยอมให้เสียงๆนี้ รบกวนความสุขของเขาเป็นแน่
มีดในมือของชายหนุ่ม ค่อยๆทะลุผ่านเนื้อหนังของหญิงสาว และทุกๆครั้งที่มันผ่าน มันก็จะนำพาเอาของเหลวสีแดงสด พุ่งขึ้นตามมาด้วยเสมอ พร้อมๆกับหยาดน้ำตาของหญิงสาว ผู้ถูกชายที่ตนเองรัก ค่อยๆสร้างรอยแผลให้เธอทีละแผลๆ จนกระทั่งลมหายใจของหล่อนค่อยๆขาดช่วงไป...
คราวนี้ ความสนใจของเขาก็กลับมาอยู่ที่ชายหนุ่มอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้ซึ่งไม่สามารถรับรู้ถึงการกระทำของตนเอง?
"พอแล้วหล่ะปกรณ์ อ้อ! ไม่ใช่สินะ?! จริงๆ แล้วต้อง.. ชาโดว์~!!" น้ำเสียงอันเรียบเฉยของเขากล่าวเบาๆกับเพื่อนร่วมอาชีพ!
"หึ ละครนี้แนบเนียนดีนะ ว่าแต่นายนี่รสนิยมไม่เลวนะ เฮ้อ......แต่มันเปื้อนสูทของชั้นนี่สิแย่" ชาโดว์ปัดรอยเลือดของหญิงสาวราวกับว่ามันเป็นเพียงเศษสวะไร้ค่า...
"นึกอยู่แล้วว่านายต้องมาเล่นที่นี่ แต่ไม่คิดว่าจะเอาคู่ควงคนใหม่มาด้วย~!!" ซิลเวอร์ตอบกลางเหลือบมองร่างอันไร้วิญญาณของหญิงสาวอย่างไร้ค่า ผู้หญิงที่ทุ่มเทให้กับความรัก โดยที่ไม่รู้เลยซักนิดว่า คนที่เธอรักที่สุด ต้องกลับกลายมาเป็นคนที่ฆ่าเธอด้วยมือของเขาเอง...
"ช่างเหอะ!! แล้วนี่ อีก 3 คนก็มาด้วยหน่ะสิ?!" ชาโดว์ตอบพลางกระชับสูทให้เข้าที่
"อื้อ!! อ้าวแล้วนายจะไปแล้วหรอ?"
"อื้อ!! ไม่รู้จะอยู่ทำไม เพราะว่าชั้นไม่ได้รับงานฆ่านี่ แต่ว่าอีกเดี๋ยวนายจ้างชั้นก็ตายกันหมดแล้ว ก็คงไม่ต้องอยู่แล้วหล่ะ ส่วนเรื่องดนตรีหน่ะ ชั้นก็ไม่ถนัดใช้สังหารเท่าไหร่นัก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเอ็กซ์ ดีกว่า?" ชาโดว์กล่าว ก่อนที่จะใช้เทเลพอร์ตจากไป...
ปล่อยให้ซิลเวอร์อยู่กับร่างซึ่งชุ่มโชกไปด้วยเลือดของหญิงสาวที่แน่นิ่งอยู่ตรงมุมห้อง...
"เฮ้ !!! รูนที่นี่เรียบร้อยแล้ว ต่อไปพวกนายก็จัดการได้เลย~!!!" เสียงของซิลเวอร์ที่ดังขึ้นผ่านอุปกรณ์สื่อสารที่ติดไว้ที่ต่างหูด้านซ้ายของเขา...
การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้น เหล่านักธุรกิจทั้งหลายต่างทยอยกันเข้ามาในห้อง โดยที่มีเวทีอยู่เบื้อหน้า ทุกคนต่างเริ่มหาที่นั่งของตนเองตามอัธยาศัย และแล้วแสงไฟที่เคยสว่างจ้า กลับค่อยๆหรี่ลงอย่างช้าๆ พร้อมกับถูกแทนที่ด้วยแสงไฟจากสปอทไลท์ ม่านสีดำสนิท ค่อยๆถูกเปิดขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมๆกับเสียงปรบมือต้องรับเสียงไวโอลิน...
ท่วงทำนองที่แผ่วเบา ราวกับเสียงของสายลม ค่อยๆถูกบรรเลงขึ้นอย่างอบอุ่น.. ทุกๆเส้นที่คันชักของไวโอลินสัมผัส ทุกๆเส้นที่นิ้วมืออันเรียวงามได้บรรจงเรียงร้อยเป็นบทเพลงดันพริ้วไหว และอ่อนโยน ชวนให้หลงใหลเป็นยิ่งนัก หลังจากที่บทเพลงแห่งความหอมหวานสิ้นเสียงลง เสียงปรบมืออันกราวเกรียวก็ค่อยๆดังขึ้นเป็นสัญญาณว่า การแสดงดนตรีของเขานั้น มันช่างไร้ที่ติ และแล้ว บทเพลงก็ได้เริ่มบรรเลงอีกครั้ง โดยชายคนเดิม...
เส้นผมสีทองที่กำลังทอแสงอยู่ท่ามกลางดวงไฟ อันระยิบระยับ ราวกับเจ้าชาย ผู้ซึ่งขับขานบทเพลงอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น ดวงตาสีฟ้า ที่เด่นอยู่ท่ามกลางใจหน้าขาวผ่อง ซึ่งกำลังหลงใหลไปกับบทเพลงที่ตนเองได้คัดสรรมาบรรเลงอย่างดี โดยที่มิได้รู้เลยว่า เจ้าชายองค์นี้ ได้ถูกส่งมาจากดินแดนมิคสัญญี ดินแดนแห่งความชั่วร้ายและการทรมาน ซึ่งจะมานำพาวิญญาณ ที่ต้องการลงสู่ห้วงหุบแห่งโลกันตร์...
บทเพลงอันหวานซึ้ง กลับกลายเป็นบทเพลงอันเร่าร้อน และเร่งเร้า คันชักที่สีกับสายไวโอลินอย่างแผ่วเบานั้นได้กลับกลายเป็นความเร็วและแรง เสียงที่แผ่วเบาและนุ่มนวลนั้น กลับกลายเป็นดุดันและแข็งกร้าว บนเพลงแห่งความรัก ได้กลับกลายเป็นบทเพลงแห่งความตาย...
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข กลับค่อยๆเต็มไปด้วยความมืดมิด อากาศที่ระบายออกได้อย่างดี กลับกลายเป็นความอึดอัดและกดดันลงอย่างรวดเร็ว ความทรมานค่อยๆผุดขึ้นมาจากจิตใจ... อาการเหนื่อยหอบที่ค่อยๆ แสดงตัวขึ้นอย่างช้าๆ บางคนที่ถึงกับเป็นบ้า พลางลุกขึ้น กระชาก ทุบ ดึง ทึ้ง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้สิ่งๆนั้น พินาศย่อยยับไปคามือ... หรือแม้แต่ตรงเข้าบีบคอกันเองโดยไม่ลืมหูลืมตา...
เสียงดนตรีอันเร่งเร้าก็ยังคงบรรเลงและเร่งจังหวะขึ้นอีกทีละน้อยๆ โดยที่ผู้บรรเลงนั้น มิได้ยี่หระต่อผู้ฟังเลยแม้แต่น้อย...
โสตประสาททั้งหลายกำลังค่อยๆปริแล้วก็แตกตัวออก พร้อมกับเส้นเลือด และกล้ามเนื้อ ที่ค่อยๆฉีกออก จนกระทั่ง ปริแยกออกมาตามผิวหนัง นิ้วมืออันเรียวยาว และเหยียดตรง กลับกลายเป็นงอเกร็ง ร่างกายที่ยืดตรงดูเป็นสง่า กลับค่อยๆงอตัว พร้อมบิดไปมาด้วยความทรมาน กระดูกที่แข็งแกร่ง กลับค่อยๆแหลกละเอียดจนร่างกายนั้นกลับกลายเป็นเพียงกองเนื้อเหลวๆ พร้อมๆกับเส้นเลือดที่พุ่งออกมาจากทุกทิศทุกทาง ...
ร่างของชายหนุ่มที่กำลังบิดตัวด้วยความทรมาน กลับถูกสายใยบางอย่าง จับมัดแขนทั้ง 2 ข้างพลางโยงร่างนั้นขึ้นเหนือศีรษะ ของผู้คนที่ทรมานอยู่เบื้องล่าง เขาคงคิดว่า อยู่แบบนี้อาจจะดีกว่า หรือปลอดภัยกว่า แต่หากได้เป็นอย่างที่เขาคิดไม่ บนอัฒจันทร์คนดูที่อยู่บนสุดนั้น ได้ปรากฏร่างของชายหนุ่ม 2 คนคนหนึ่งมีดวงตาสีเทา ส่วนอีกคนมีดวงตาสีอำพัน ซึ่งอยู่เบื้อหลัง กรอบแว่นตาด้วยกันทั้งคู่
"ไงมิล คิดว่า... เล่มนี้จะไปปักตรงไหนดีหล่ะ!!!" รูอินเอ่ยถามขึ้น หลังจากนั้นเขาจึงค่อยๆหลับตาลงโดยที่ในมือถือแท่งแก้วใสซึ่งดูเหมือนว่า จะแหลมคมยิ่งนัก
"ชั้นว่า... ไหล่ซ้าย!!" มิลเลอร์กล่าวจบ รูอินจึงปาดมือนั้นออกไป มีดสั้นที่เป็นเพียงแท่งแก้วใสนั้น ได้พุ่งตรงเข้าสู่ ดวงตาข้างขวาของชายผู้เคราะห์ร้าย พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นหลังจากที่หยดเลือดค่อยๆไหลออกมาจากบาดแผลที่เบ้าตานั้น
"ว๊า... พลาดแฮะ!!" รูอินร้องขึ้นหลังจากที่มองผลงานของตน ราวกับเด็กที่ทำอะไรไม่ค่อยถูกใจ...
"ลองใหม่อีกทีดิ!! มันคงไม่พลาดอีกหรอกน่า..." มิลเลอร์ปลอบใจ ราวกับพี่ชายที่กำลังสอนให้น้องชายลองเล่นปาลูกดอก...
"คราวนี้เอาเป็นลำคอนะรูน!!" หลังจากที่สิ้นเสียงของมิลเลอร์ รูอินจึงหลับตาลง แล้วเรียกมีดออกมาอีกครั้ง พลางปาใส่ชายหนุ่มที่ถูกแขวนคนนั้น !!
ฉึก !!!
เสียงอาวุธพุ่งเข้าเป้าหมายอย่างเต็มเปา !!!
อ๊าก~!!!!!!!!!
เสียงร้องดังตามขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้รูอินปาไปถูกที่อก ลิ่มโลหิตสีแดงฉานจึงค่อยไหลเยิ้มออกมาตามรอยมีด...
"ทำไมปาไม่ถูกซะทีวะ?!" รูอินรู้สึกหัวเสียเล็กๆ ที่ตนเองปาไม่เคยถูกเป้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งนี้เขาจึงพยายามใหม่ โดยการที่จะต้องปาให้โดนกลางหน้าผาให้ได้ แต่ทว่า ไม่ว่าเค้าจะปามีดไปกี่ที มันก็ไปเสียบกองกันอยู่ที่ท้องของชายหนุ่มอยู่ดี ดังนั้น บริเวณท้องของชายหนุ่ม จึงเต็มไปด้วยแท่งแก้วที่ปักลงชุ่มโชกไปด้วยสีแดงฉาน เนื่องจากมันแทบจะปนอยู่กันรอยเลือดที่ไหลออกมา แต่น่าแปลกที่ชายหนุ่มผู้นั้น ยังมีชีวิตอยู่...
"เฮ้อ...ไม่เอาแล้ว เบื่อหว่ะ?!" รูอินกล่าว ราวกับเด็กน้อยที่เบื่อของเล่นชิ้นใหม่ ดังนั้น มิลเลอร์ ซึ่งถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ พลางยื่นมือออกไปข้างหน้า พร้อมกับหลับตาลงอย่างช้าๆพร้อมกับลืมตาขั้นโดยทันที แล้วอยู่ๆ แท่งแก้วบริเวณท้องของชายหนุ่ม ก็ได้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็น ลำไส้ และอวัยวะภายใน ที่ทำท่าที่จะพากันไหลทะลักออกมาจากร่างที่ถูกแขวนนั้น หากแต่เหตุใดกันที่เจ้าของร่าง ยังมีลมหายใจอยู่ ใช่แล้ว มันเป็นความต้องการของเขา เขาทั้ง 2 ยังอยากให้ชายคนนี้รับรู้ถึงรสชาติความทรมานและ ความเจ็บปวด ซึ่งมีน้อยคนนัก ที่จะสามารถมองเห็นสภาพของตนเองที่เป็นเช่นนี้ได้...
มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขาทั้ง 2 คน พร้อมๆกับการปรากฏร่างของชายหนุ่มผมสีเงิน
"ไง?! มาแอบเล่นอะไรสนุกๆอยู่ตรงนี้กับ 2 คน ปล่อยให้ชั้นต้องไปทนดูฉากน้ำเน่านั้นตั้งนาน!!" ซิลเวอร์กล่าวพลางเดินไปนั่งข้างๆ รูอิน...
"ก็เนี่ยะ!! ชั้นยังหลับตาแล้วลองปาดู ไม่เห็นตรงเป้าซักที?!" รูอินบอกอย่างเซ็งๆ
"ขอลองหน่อยนะ ชั้นขอ.. คอก็แล้วกัน!" ความคิดไวเท่าการกระทำ ซิลเวอร์เรียกแท่งแก้วนั้นขึ้นมา พลางปามันออกไป
แท่งแก้วใส วิ่งตรงเข้าสู่ หลอดลมของชายหนุ่มอย่างพอดิบพอดี พร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจของรูอิน
"เฮ้~!! นายทำได้ไงอ่ะ?!"
"มันอยู่ที่เคล็ดลับเล็กๆ เอง..." เสียงของเอ็กซ์ดังขึ้นเบื้องหลังของ คนทั้ง 3 โดยที่เขาไม่ได้สังเกตเลยซักนิดว่า เสียงดนตรีได้เงียบลงไปนานแล้ว...
"เฮ้!! นายก็ปาได้หรอ?!" รูอินหันไปถามชายหนุ่มผู้มาใหม่...
"อื้อ !! นิดๆหน่อยๆหน่ะ !! เดี๋ยวจะลองปาหัวให้ดูนะ!!" ว่าแล้ว เอ็กซ์ ก็หลับตาลงช้าๆ พลางปาแท่งแก้วใสนั้น ให้มันพุ่งลงไปในตำแหน่งที่ตนเองต้องการ...
"เฮ้ย~!! เจ๋งหว่ะ นี่ก็แสดงว่าพวกนายทำกันได้หมดเลยดิ ยกเว้นชั้น!!" รูอินกล่าวคล้ายๆกับว่าน้อยใจ
เขาจึงยื่นมืออกไปข้างหน้า พลางรวบรวมสมาธิ ฉับพลันนั้นเอง แท่งแก้วทั้งหลายก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ จึงทำให้ เลือดที่ค่อยๆไหลซึมออกมาจากบาดแผลนั้น ได้กลายเป็นสาย แล้วไหลพุ่งออกมาจากทุกที่ๆ แท่งแก้วนั้นเคยเสียบอยู่จนกลายเป็นสายฝนโลหิตที่หยาดหยดลงสู่ พื้นห้องเบื้องล่าง
"เบื่อแล้วสิท่า... ช่างเหอะ!! กลับกันดีกว่า?!" มิลเลอร์กล่าวชวนก่อนที่ร่างของพวกเขาทั้ง 4 คนนั้นค่อยๆจางลงๆ จนหายลับไปในที่สุด ซึ่งมันก็เป็นคำตอบที่ดีว่า งานของพวกเขาได้จบสิ้นลงแล้ว...
T o B e C o n t i n u e s . . .
ความคิดเห็น