ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไร่แห้วไม่จำกัดรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : 05 เข้าใจไม่ถูก

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ย. 55


    ไร่แห้ว...ไม่จำกัดรัก ตอนที่ 5 เข้าใจไม่ถูก
     
    แม้ที่โรงพยาบาลจะทำให้เขานึกถึงแฟนเก่า แต่เขาก็อยากมาอย่างบอกไม่ถูก และถึงจะรู้ว่าเธอปลอดภัยแน่ หากไม่รู้เพราะอะไรเขากลับอยากมาเห็นให้ได้กับตา
     
    เมื่อเขาไปที่ห้องคนไข้ เห็นเธอกดเปลี่ยนช่องอย่างเซ็งๆ และขาก็ถูกหมอนหนุนสูงและบวมมากกว่าที่เขาเห็นนัก
     
    “มาแล้วเหรอคะ เฮ้อ หมอบอกว่าแผลติดเชื้อ แบบนี้แผลเป็นใหญ่แน่เลย” อรรณทักทายแล้วก็บ่นอย่างเบื่อๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้ แต่ก็มีคอมพิวเตอร์พกพากับแอร์การ์ดเสียบอยู่ใกล้ๆ
     
    “คุณออกโรงพยาบาลเมื่อไร” เขาถามอย่างไม่รู้ว่าถามไปทำไม
     
    “เพิ่งเข้ามานี่คุณ อีกสองสามวันล่ะมั้ง ขอบคุณที่มาเยี่ยมนะคะ” อรรณเอนตัวลงนอนแล้วมองคอมพิวเตอร์ที่มีแต่ค่ากราฟอะไรอยู่เต็มไปหมด
     
    “เอ่อ” เขาไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนจะแก้เขินด้วยการถามอย่างหาเรื่อง “คุณเนี่ยนะ จะไปก็ไม่บอกก่อน โทรมาก็ได้นี่ ชอบเรียกร้องความสนใจหรือเปล่าน่ะเรา”
     
    “เฮ้อ ผู้กอง พอหายเมา ปากก็กลับเข้าที่เข้าทางเลยนะคะ จริงๆ ถ้าไม่อยากมาก็ไม่ต้องมาก็ได้ อีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่ถึงกับต้องตัดขา แต่นะ คุณคงเสียใจมากที่ฉันไม่ถูกตัดขาใช่ไหม” อรรณก็ตอบโต้กลับ เพราะหงุดหงิดที่ต้องอยู่บมเตียงนานๆ
     
    ศิขากระแทกลมหายใจเล็กน้อยกับตัวเอง “ผมก็กลัวอยู่ เพราะถ้าคุณโดนตัดขา ผมคงต้องรับผิดชอบคุณไปทั้งชีวิตเลยเชียว” ปากเขาช่างไม่ไปทางเดียวกับใจเขา และไม่รู้เกิดอะไรขึ้น
     
    แทนที่เธอจะโกรธกลับหัวเราะเสียงดัง แล้วส่ายหน้า “คุณจะบ้าเหรอ ฉันมีพี่น้อง มีญาตินะ พวกเขาดูแลฉันได้ อีกอย่างที่ฉันไปค้างบ้านคุณก็เป็นการตัดสินใจของฉันเอง ฉันไม่โทษคุณหรอกน่า”
     
    เขาถอนหายใจ เพราะไม่สามารถพูดได้ตามใจคิด คงกลายเป็นความเคยชินของเขาไปเสียแล้ว ที่ต้องพูดกับเธอแบบนี้
     
    “ผมกลับก็แล้วกัน” ศิขารู้สึกเหมือนยืนอยู่บนที่ที่ไม่ใช่ของเขา
     
    “ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็นั่งคุยกันไปก่อนก็ได้ เพราะฉันนอนมาเยอะแล้วล่ะ อืม คิดอีกทีไม่ต้องคุยดีกว่า เดี๋ยวไข้จะกลับอีกล่ะนะ” อรรณพูดขณะดูโทรทัศน์ในห้อง
     
    “ถ้าไม่ให้คุยแล้วจะให้ผมทำอะไรในห้องนี้ล่ะ” ศิขาหาที่นั่ง
     
    “มาดูรายการเกมโชว์แก้เซ็งกับฉันดีกว่าน่า ยังไงก็ไม่เคยดู ก็ดูด้วยกันแล้วกันนะ” อรรณชวนไปอย่างนั้นยังคิดว่าเขาจะตอบโต้ แต่ไม่เลย
     
    ศิขาดูอยู่พักก่อนพูดขึ้น “อะไรวะ ทำไมไม่กระโดดล่ะ โอ๊ยตาย! ทำแบบนั้นก็ตกน้ำซะอย่างนั้น”
     
    “ถ้าเขาทำได้ล่ะก็ เขาคงโดดอย่างคุณว่าแล้วล่ะ” อรรณดูสนุกไปกับเขาด้วย
     
    “ถ้าโดดอย่างผมว่าล่ะก็ไม่พลาดหรอกน่า ยังไงก็ต้องผ่านด่านนี้ได้ เสียดาย” ศิขาพูดอย่างเสียดายเมื่อตัดเข้าโฆษณา
     
    “แล้วทำไมคุณไม่ไปเข้าแข่งล่ะ” เธอก็กอดอกถามเขา
     
    “ผมต้องทำหน้าที่ตำรวจที่ดีนี่ครับ” เขาพูดประชดนิดๆ
     
    “ไม่รู้หรือไงว่า เวลาไปออกรายการใครๆ ก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา ไม่แปลกหรอกที่เขาจะทำไม่ได้ เพราะมีอะไรหลายอย่างดึงความสนใจเขายังไงล่ะ” อรรณอธิบายอย่างมีเหตุผล
     
    ศิขาคิดตามก่อนพยักหน้าช้าๆ “ก็จริงนะ”
     
    เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้น และมองคนเปิดประตู ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เพราะหมออดุลย์พาคู่หมั้นสาวมาด้วย แต่รอยยิ้มของคนมาเยี่ยมกับกระเช้าผลไม้ ทำให้คนที่เหลือต้องยิ้มให้
     
    อรรณได้สติมากกว่าใครจึงทักทายก่อนเพื่อน “ไงคะ พี่หมอตุลย์”
     
    “ได้ยินว่าเข้าโรงพยาบาล เพราะแผลติดเชื้อ พี่ก็เลยมาเยี่ยมน่ะ” อดุลย์ยิ้มให้ แล้วก็ชวนคู่หมั้นนั่ง โดยไม่รู้ว่าที่นี่วุ่นวายใจแค่ไหน
     
    “อ๋อ ฝีมือคนนี้เนี่ยแหละค่ะ” เธอแกล้งพูดโบ้ยไปทางเขา “เมื่อคืนไปค้างที่บ้านเขามาน่ะค่ะ สงสัยจะไม่ค่อยได้ทำความสะอาดเท่าไรค่ะ”
     
    “อ้าวเหรอ ก็นะ คนหนุ่มจะเอาอะไรหนักหนา ไม่เหมือนพี่หมอ อีกหน่อยก็จะมีแม่ศรีเรือนมาคอยดูแลปรนนิบัติ ถ้าเธอเป็นแม่ศรีเรือนบ้าง ก็คงดีกว่านี้” ศิขาดูวิธีการพูดของเธอแล้วเดาออก
     
    “ฉันน่ะไม่ใช่คนรับใช้นะยะ ไหนบอกว่าคนรักกัน เขาไม่เอาแต่ใจใส่กันไง ในเมื่อรู้ว่าฉันต้องไปที่บ้านพักผู้กองอยู่แล้ว ก็ต้องรู้จักคิดถึงใจฉันสิ” อรรณก็เข้าใจเขา แล้วรับมุขขึ้นมาทันที
     
    “ตลก! ก็ปกติไม่เห็นจะคิดอะไรมากนี่” ศิขาทำเป็นไมม่สนใจเธอเท่าไรนัก
     
    “นี่จะหาเรื่องกันตลอดเลยหรือไง” อรรณเริ่มกัดฟันพูด
     
    “โอ้! ที่รัก ขอโทษ” ศิขารู้ว่าเธอจะไม่ช่วยก็เลยต้องยอม จากนั้นก็ไปยืนข้างเตียงทำเป็นปลอบ
     
    “รู้ตัวก็ดีแล้ว ขอโทษด้วยนะคะ พี่หมอ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตั้งแต่เลิกกับแฟนเก่า ผู้กองก็ปากสุนัขตลอดเลย สงสัยผู้หญิงคนนั้นคงเพาะเชื้อหมาใส่ปากให้เห่าไม่หยุดเลยทีเดียว” อรรณถือโอกาสด่ากระทบเสียเลย
     
    “น้ำก็ต้องรักษาพี่สิ เฮ้อ แต่พี่ก็ดีใจนะ ที่เจอคนที่มีความอดทนแบบน้ำ ไม่เหมือนยัยผู้หญิงเฮงซวยนั่น จะเอาอันนั้น จะเอาอันนี้ บ่นโน้นบ่นนี่ตลอด ไม่รู้หน้ามืดตามัวอยู่ได้ทำไมตั้งนาน ใช่ไหมพี่หมอ” ศิขาชวนคุยไปเรื่อยๆ ไม่มองแฟนเก่าที่นั่งอยู่เลย รู้ว่าอีกฝ่ายต้องสะอึก
     
    “ผู้หญิงนิสัยไม่ดีแบบนั้น ก็อย่าไปเสียใจหรือเสียดายมากเลย  คิดเสียว่าได้เจอคนดีๆ แบบน้ำ เป็นเรื่องน่าดีใจมากกว่านะ ใช่ไหม โบว์” อดุลย์หันไปถามคู่หมั้น โดยไม่รู้ว่ากำลังตำหนิเธออยู่
     
    “ก็ไม่แน่นะคะ บางทีอาจเพราะผู้กองเคยทำไม่ดีให้เขาก็ได้ เขาถึงได้ขอเลิก” โบว์พูดปกป้องตัวเอง
     
    “ผมน่ะมันไม่เคยดีพอสำหรับผู้หญิงคนนั้นหรอกครับ ไม่น่าเชื่อขนาดไม่ดีพอ ยังคบกันมาตั้งห้าปี แถมเธอยังคบกับผู้ชายอื่นก่อนเลิกกับผมตั้งหลายเดือน ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะคบกับผู้ชายสองคนพร้อมกันตั้งหลายเดือน แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ผมพบผู้หญิงดีๆ แล้วล่ะ คุณโบว์ ผมดีใจที่หลุดจากผู้หญิงพรรค์นั้นมาได้” ศิขาพูดแล้วก็หันไปมองอรรณที่ทำท่าทางกลั้นหัวเราะ
     
    “โบว์ออกไปรอข้างนอกนะคะ อยากหากาแฟดื่มสักหน่อย หายเร็วๆ นะคะ คุณน้ำ” โบว์หงุดหงิดรีบออกไปเลยทีเดียว
     
    อดุลย์มองตาม แล้วขมวดคิ้ว ก่อนแก้ตัวแทน “สงสัยเพราะอากาศร้อน ก็เลยหงุดหงิดง่าย แล้วนี่ต้องอยู่โรงพยาบาลจนกว่าจะหายบวมสินะ ผู้กองคงมาเยี่ยมทุกวันเลยสิ”
     
    “ก็คงต้องอย่างนั้นแหละครับ แฟนสวยๆ แบบนี้ทิ้งไว้ตามลำพัง เดี๋ยวคนอื่นก็มาคาบไปกินอีก ขอบคุณนะครับที่มาเยี่ยมน้ำ” ศิขาก็โอบไหล่เธอแล้วยิ้มให้พี่หมอ 
     
    อรรณได้แต่ยิ้มให้จนพี่หมอออกไปจากห้อง เธอก็กระทุ้งท้องเขาแรงๆ “ถอยออกไปได้แล้ว”
     
    ศิขานิ่งอึ้งอยู่นาน จนกระทั่งเธอกระทุ้งแรงๆ เขานั่งลงอย่างเงียบๆ และแทนที่จะรู้สึกดีกลับรู้สึกแย่
     
    อรรณมองเขาท่าทางไม่ดีก็ถาม “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
     
    ศิขาได้สติแล้วมองเธอ ก่อนถอนหายใจ “ผมไม่น่าทำแบบนั้นเลย”
     
    “อะไรที่ทำไปแล้วก็ทำไป อย่าไปคิดมาก ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายคุณก่อน หวังว่าเขาจะไม่ทำร้ายพี่หมออีกคน ไม่งั้นล่ะก็คงเรื่องใหญ่แน่ เพราะยังไงพี่หมอก็เป็นเพื่อนที่ดีของเราทั้งสองคนล่ะนะ” อรรณบอกแล้วถอนหายใจยาว
     
    “นั่นสินะ ถ้าเขาเปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่ดีของพี่หมอได้ ผมก็ควรดีใจ” ศิขาพูดแล้วรู้สึกว่าตัวเองแย่ เพราะไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยของผู้หญิงคนหนึ่งให้ดีไม่ได้
     
    “เฮ้! การที่เขาเป็นแบบนี้ไม่ได้เป็นความผิดของคุณนะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าก่อนจะมาเจอคุณ เขาเป็นคนยังไง แต่เราจะมาโทษคนอื่นที่อยู่รอบข้างเรา เมื่อเราทำไม่ดีกับคนอื่นไม่ได้หรอก สุดท้ายเราก็ตัดสินใจทำทั้งนั้นแหละ” อรรณพูดไปตามเรื่อง ก่อนเปิดดูช่องอื่น
     
    ศิขามองเธออีกครั้ง นอกจากดวงหน้าสะสวยแล้ว เธอยังมีสมอง และมองเหตุการณ์ทุกอย่างแบบมีสติกว่าเขามาก คงเพราะเธอไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เธอจึงปลอดโปร่งกว่าเขามากนัก
     
    ‘ถึงยังไงก็ยังรู้สึกว่ายัยนี่กวนประสาทคนได้อีกจริงๆ’
     
    *************************************
     
     
    วันธรรมดาที่แสนเรียบง่าย อรรณกลับมาจากไปดูงานในไร่ในสวน แล้วก็เปลี่ยนชุดเรียบร้อย เตรียมเข้าไปดูหุ้นในห้อง แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นบ้าน ก็มีแขกมาเยี่ยม
     
    “อ้าว พี่หมอ คุณโบว์ สวัสดีค่ะ” อรรณทักทายแทน ก่อนช่วยพยุงยายให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วจัดน้ำมาต้อนรับแขก เหมือนคนสมัยก่อน แต่ใช้ขันเล็กๆ ลอยไว้ในขันใบใหญ่ มีกลิ่นหอมใบเตยจางๆ ทำให้ชื่นใจ แล้วยังใส่น้ำแข็งลงไปด้วย
     
    “หอมจังเลยนะครับ น้ำบ้านนี้ผมมาดื่มทีไรก็หอมเหมือนเดิม” อดุลย์พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมแล้วเยือกเย็น บ่งบอกลักษณะสุขุมนุ่มลึกของเขา
     
    “เตยขึ้นได้ดี ก็เลยมีเตยมาต้มน้ำดื่มน่ะค่ะ เวลากลับจากสวนจากนาก็จะได้ดื่มน้ำหอมชื่นใจ คนบ้านนอกก็อย่างนี้แหละค่ะ หาความสุขจากความเรียบง่าย” อรรณตอบอย่างมีอัธยาศัย
     
    “นั่นสินะ พี่ถึงอยากอยู่แถวนี้ต่อไป แต่หลังแต่งงานพี่คงต้องซื้อบ้านในเมือง เพราะโบว์เขาจะมาอยู่ด้วยล่ะนะ” อดุลย์พูดแล้วก็ยิ้มเขินนิดๆ เมื่อนึกถึงความสุขของชีวิตคู่ในวันข้างหน้า
     
    “พี่ตุลย์คะ เดี๋ยวเราต้องไปแจกการ์ดบ้านอื่นอีกนะคะ อย่ารบกวนคุณยายนานเลยค่ะ” โบว์รีบเตือนเพราะไม่อยากเสียเวลานาน
     
    “ได้จ๊ะ” อดุลย์ควักการ์ดเชิญออกมา แล้วก็ร่วมยื่นกับคู่หมั้นเขา ก่อนจะพูดเชิญ “ขอเชิญไปร่วมงานแต่งงานของผมกับโบว์นะครับ เราจะจัดที่กรุงเทพก่อน แล้วก็จะมาจัดที่นี่ครับ”
     
    แจ่มจันทร์ยิ้มให้ แม้จะลำบากใจอยู่บ้าง เพราะหมออดุลย์นั้นเป็นคนบอกเลิกกับหลานสาวอีกคนของเธอ แต่หมอก็มีบุญคุณ เคยวิ่งเต้นเรื่องอาการเจ็บป่วยของเธอ
     
    “อุ๊ยจะไปแน่นอนจ๊ะ หมอ ขอให้มีความสุขกับชีวิตคู่นะ” เธออวยพรไปตามใจคิด 
     
    แม้จะรู้ว่าไม่ควรไป เพราะยังไงผู้กำกับสุชาติก็เป็นญาติที่ดี แต่เมื่อได้รับเชิญโดยตรงแบบนี้ เธอจะปฏิเสธยังไงได้ นอกจากรับปากไปเท่านั้น เพียงแต่ต้องคิดถึงสิ่งที่เหมาะสม
     
    “จริงสิ น้ำคงไปกับผู้กองศิสินะ แต่พี่ก็แจกการ์ดให้เขาไปแล้วล่ะนะ ยังไงก็มาให้ได้ทั้งคู่ล่ะ” อดุลย์หันไปเอ่ยปากชวน ก่อนขอตัวกลับพร้อมคู่หมั้น
     
    โบว์กลับใจเต้นแรงเมื่อรู้ว่าแฟนเก่าจะไปร่วมงานด้วย ขณะที่อรรณได้แต่ยิ้มเท่านั้น จนทั้งคู่ไปจากที่นั่น
     
    เสียงถอนหายใจดังขึ้น ทั้งสามคนก็โล่งใจ เมื่อทั้งคู่กลับไปก่อนที่นงลักษณ์จะกลับมา เพราะทั้งสามไม่ได้บอกว่านงลักษณ์ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว จึงโล่งใจมากที่ทั้งสองกลับไปก่อน
     
    “พูดแล้วก็สงสารน้องพิงค์เน้อ แม่เน้อ ต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้แล้ว เราก็สงสาร ไม่อยากให้ต้องเจออะไรแบบนี้เลย” ขันเงินพูดแล้วก็ถอนหายใจ
     
    “แล้วจะให้แม่ทำยังไง คนก็รู้จักมักคุ้นกันดีอยู่ แม่ก็ต้องแบ่งแยกให้ออกล่ะเน้อ” แจ่มจันทร์ก็รู้ว่าหมออดุลย์ทำไม่ถูก แต่จะทำยังไงได้อีก เมื่อเชิญมาก็ต้องส่งคนไปจนได้ เพียงแต่ต้องไม่พูดให้นงลักษณ์เสียใจเท่านั้น
     
    “เราต้องทำยังไงก็ไม่ให้พี่พิงค์เสียใจเจ้า เพราะยังไงพี่พิงค์ก็ดูจะยังทำใจไม่ได้กับเรื่องนี้เน้อ” อรรณบอกยาย แล้วก็วางแผนกันอยู่พักใหญ่ กว่าอีกสามคนที่เหลือจะกลับมา
     
    แจ่มจันทร์เห็นว่าหลานๆ ต่างก็เข้ามาทักทายแล้วก็ต้องหาช่องบอก จึงเรียกหลานอีกสองคนเอาไว้ “ไอ้ลม เอ็งไปตามพี่น้ำมาหน่อย อุ๊ยมีเรื่องจะคุยด้วย”
     
    นงลักษณ์ได้ยินแบบนั้นก็พยายามเลี่ยงขอตัว “หนูขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเจ้า อุ๊ย”
     
    “พี่พิงค์ยังไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวก็คุยด้วยกันไปเลยเน้อ” อภิรมย์ไม่รู้เรื่องก็ชวนนั่งคุยกัน แล้วก็ไปเรียกพี่สาวออกมาจากห้อง เมื่อนั่งแล้วก็เงยหน้าขึ้นถามยาย “มีอะไรเหรอจ๊ะ”
     
    “พิงค์มีอะไรจะไปทำก็ไปเถอะ อุ๊ยมีเรื่องจะคุยกันหน่อยนะ” แจ่มจันทร์พยายามไล่หลานสาวอีกคน เพื่อไม่ให้มีปัญหาในภายหลัง
     
    “อุ๊ยอย่าแบ่งแยกสิ ยังไงพี่พิงค์ก็อาจจะเข้ามาอยู่ร่วมกับเรา แบ่งเขาแบ่งเรา มันไม่ดีนะ” อภิรมย์รีบแย้งเพราะกลัวว่านงลักษณ์จะคิดมาก
     
    “ไอ้ลม ข้าแก่มาขนาดนี้ได้ ข้าต้องรู้อะไรควรไม่ควร ไม่ต้องมาสั่งสอนอุ๊ยหรอกน่า พิงค์ไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วไม่ต้องคิดมาก เรื่องในไร่ในสวนอยู่ฟังก็ไม่รู้เรื่องหรอก” แจ่มจันทร์ไม่อยากจะมุสา แต่เมื่อหลานสาวคนเล็กทำพิษ จำเป็นต้องโกหกบ้าง
     
    เมื่อนงลักษณ์ออกไปแล้ว ยายก็เริ่มเทศน์หลานสาวทันที “เอ็งเคยคิดจะใช้สมองก่อนอารมณ์ไหมวะ รู้ไหมว่าที่อุ๊ยให้พิงค์ออกไปก่อนก็เพราะว่าจะคุยเรื่องงานแต่งงานของหมอตุลย์ เอ็งอยากให้พี่เขาช้ำใจหรือไง”
     
    อภิรมย์ทำหน้าแห้ง ยิ้มจางๆ แล้วขอโทษ “แหม อุ๊ยก็รู้นี่จ๊ะว่าฉันน่ะเป็นพวกใจร้อน”
     
    “ร้อนยังไงก็หัดฟังคนอื่นก่อน ทนมานานแล้วนะ ไอ้เรื่องเถียงฉอดๆ เนี่ย แม่ไม่เห็นด้วย” ขันเงินก็สั่งสอนหลานสาว
     
    “ขอโทษจ๊ะ ว่าแต่อุ๊ยมีอะไรเหรอ ไม่เห็นจะต้องคิดมาก ก็ไม่ต้องไป” อภิรมย์บอกชัดเจน
     
    “นั่นไง เพิ่งบอกให้มันรู้จักใจเย็น มันก็เริ่มใจร้อนออกมาทันที” แจ่มจันทร์พูดอย่างปลงๆ ก่อนจะบอก “อุ๊ยรับปากแล้วว่าจะไปก็ต้องไปล่ะนะ อุ๊ยก็อยากคุยกันก่อนว่าจะยังไงดี เพราะยังไงพิงค์ก็มาอยู่ที่นี่แล้ว อุ๊ยไม่อยากมีเรื่องกับผู้กำกับสุชาติ ก็เลยต้องเรียกมาคุย”
     
    เสียงถอนหายใจดังขึ้น ธรานั้นก็เห็นใจ แต่อดุลย์ก็เป็นหมอที่ดูแลสุขภาพของยายเขา ขณะที่อภิรมย์นั้นหนักใจ เพราะไม่อยากไปพอๆ กับอยากไป แต่ติดที่เริ่มสนิทกับนงลักษณ์แล้ว จึงลำบากใจ
     
    “พี่น่ะอยากให้เราไปกัน จริงๆ อยากให้พี่พิงค์ไปด้วย ไม่ใช่เพื่อตอกย้ำให้เจ็บปวดหรอกนะ แต่อยากให้พี่พิงค์ได้ลุกขึ้นสู้มากกว่า อีกอย่างมันไม่ควรจะเป็นวันที่พวกเขามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น” อรรณบอกชัดเจน เพราะสังเกตท่าทีของ
     
    “อ๋อ ถ้าพี่พิงค์ไป พวกเขาจะได้รู้ว่าความสุขที่พวกเขาได้มา มากจากความทุกข์ของผู้หญิงคนหนึ่งใช่ไหม พี่น้ำ” อภิรมย์สรุปตามความเข้าใจ
     
    “ไม่ใช่แค่คนคนเดียว แต่เป็นผู้กองศิด้วย จริงๆ คนผิดน่ะ เท่าที่เดาดูแล้วน่าจะเป็นเจ้าสาวของพี่หมอมากกว่านะ เพราะผู้หญิงคนนี้คบกับพี่หมอพร้อมๆ กับผู้กองตั้งหลายเดือน กว่าจะเลิกกับผู้กองแล้วมาคบกับพี่หมอคนเดียว” อรรณอธิบาย
     
    “อ๋อ ถึงว่าล่ะหมอตุลย์พูดเรื่องผู้กองศิกับน้องแปลกๆ” แจ่มจันทร์คาดเดาขึ้น ขณะที่ขันเงินไม่รู้เรื่อง เพราะมาทีหลัง
     
    “จริงๆ ไม่มีอะไรหรอกเจ้า ตอนนั้นที่ผู้กองไปส่งโรงพยาบาล เจอกับพี่หมอแล้วก็คู่หมั้นเขา แล้วเขาก็เข้ามาถาม ทีนี้ผู้กองศิท่าทางจะเคยมีอดีต น้ำก็ช่วยส่งมุขไป ทีนี้เจออีกทีที่โรงพยาบาล พี่หมอมาเยี่ยม แล้วผู้กองศิก็อยู่ด้วย แล้วพี่หมอก็เข้าใจผิดคิดว่า น้ำกับผู้กองเป็นแฟนกันก็เท่านั้น” อรรณอธิบายและทำให้น้องสาวหัวเราะเสียงดังลั่น
     
    “ตลกแล้ว พี่หมอเข้าใจแบบนั้นได้ยังไงล่ะเนี่ย เจอหน้ากันทีไร พี่กับผู้กองก็ฉะกันทุกทีเลยเน้อ ตลอดล่ะ” อภิรมย์พูดขึ้น ก่อนหันไปมองพี่ชายที่ดูจะไม่สนใจเท่าไร
     
    “เอาเถอะ เมื่อเข้าใจผิดไปแล้วก็แล้วกันไป อืม เอาเป็นว่ายังไงเราก็จะไปงานกันนั่นแหละนะ” อรรณสรุปในตอนท้าย ก่อนบิดซ้ายขวา แล้วดูนาฬิกา “พี่ไปขายหุ้นก่อนนะ”
     
    อภิรมย์กับคนอื่นๆ พยักหน้า ก่อนเธอหันไปถามยาย “อุ๊ยว่าถ้าเราจับอ้ายดอยไปแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่ แล้วพาออกงานกับพี่พิงค์ จะทำให้พี่หมอตุลย์เสียหน้าไหม”
     
    “แกจะหาเรื่องอะไรอีก” แจ่มจันทร์ฟังแล้วหัวเราะ
     
    “ก็ลมว่าจะจับอ้ายดอยไปแปลงโฉม แล้วออกงานเย้ยคนอื่นไง” อภิรมย์เริ่มวางแผนและต้องตกใจ เพราะมีคนเดินมาข้างหลัง
     
    “พี่เอาด้วย พี่ต้องลุกขึ้นให้ได้ ดีกว่านั่งสมเพชตัวเองไปไปวันๆ” นงลักษณ์เรียกความเชื่อมั่นให้ตัวเอง แม้จะหวาดหวั่นอยู่ในใจบ้างก็ตาม เพราะเจ้าเงาะของเธอคงยากจะถอดรูปออกมาได้
     
    อภิรมย์มองตามไปที่พี่ชายตัวเอง ก่อนถอนหายใจ แล้วให้กำลังใจญาติผู้พี่ “ลมเชื่อว่าพี่น้ำมีทางแปลงโฉมพี่ชายสุดโทรมของลมได้แน่นอน พี่พิงค์ไม่ต้องกังวลใจไปหรอกนะ”
     
    ทุกคนก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่อรรณ ซึ่งออกไปสัมผัสโลกกว้าง และเคยไปเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแฟชั่นของโลกแห่งหนึ่ง เพราะงั้นคงมีทางทำให้หนุ่มคนเดียวในบ้านกลายเป็นเจ้าชายผู้เลอโฉมได้แน่นอน
     
    *************************************
     
     
    ชายหนุ่มมองธนาคารแล้วถอนหายใจยาว เพราะวันนี้น้องสาวไม่สะดวกมาด้วย เขาเลยต้องมาถอนเงินเอง แต่คงไม่ใช่เรื่องยาก เขาแค่ประทับลายนิ้วมือลงบนใบถอนเงินเท่านั้น
     
    ถ้าไม่ใช่เพราะต้องเอาเงินไปซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างก่อน แล้วพี่สาวจะโอนเงินคืนให้ เพราะพี่สาวต้องใช้เงินไปกับการลงทุนในไร่แห้วของพวกเขา ก็คงมีเงินมาให้เขาแล้ว
     
    เมื่อเขามาถึงก็เขียนใบถอนเหมือนที่น้องสาวบอกก่อนที่เขาจะมา วันนี้น้องสาวต้องไปดูปุ๋ยในโรงปุ๋ย เพราะจะเข้าฤดูทำนาแห้วอีกรอบแล้ว เขาก็เลยต้องมาเอง
     
    เขาต้องย้อนไปกดบัตรคิวหลังจากนั่งรออยู่ครึ่งชั่วโมง และเมื่อโดนเรียกแล้วเขายื่น เขาก็ถูกเชิญไปห้องผู้จัดการ เพราะเขาต้องถอนเงินห้าแสนบาท เพื่อไปซื้อของ
     
    “เชิญนั่งครับ เอ่อ เป็นเจ้าของบัญชีใช่ไหมครับ” ผู้จัดการรวีถาม
     
    “ครับ นี่บัตรประชาชน” ธรายื่นบัตรประชาชนให้อีกรอบ
     
    “คุณธรา แก่นจัน คือว่าภาพคุณไม่เห็นเหมือนในบัตรเลยนะครับ” รวีถามให้แน่ใจ แล้วพยายามมากหน้าคนตรงหน้า 
     
    หากธราไม่ชอบให้ใครจ้องหน้า เขาก็เบี่ยงข้างให้ ก่อนพยักหน้าอย่างเงียบๆ
     
    “คุณมีทะเบียนบ้านมายื่นยันหรือใบขับขี่ไหมครับ” รวีถามให้แน่ใจอีกครั้ง
     
    “ลมบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ ผมก็เลยไม่เอามา ปกติน้องสาวผมจะจัดการให้ทุกอย่าง ลมบอกว่าให้มาขอพบผู้จัดการอรัญ เพราะเขาจะเข้าใจดี” ธราไม่ชอบให้คนท่ไม่รู้จักจ้องหน้าเขาแบบนั้น และเขาก็คุ้นเคยกับผู้จัดการอรัญดี
     
    “คุณอรัญย้ายไปประจำสาขาอื่นแล้วครับ ตอนนี้ผมเป็นผู้จัดการสาขานี้อยู่ และเป็นพื้นที่ที่ต้องได้รับการตรวจสอบมาก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่มีการค้ายาเสพติดมากที่สุด คุณช่วยเซ็นลายเซ็นลงบนใบถอนเงินหน่อยได้ไหมครับ” ผู้จัดการสาขาร้องขอ
     
    ธราส่ายหน้า “ผมไม่สามารถเซ็นได้ เพราะยังไงก็คงเซ็นไม่เหมือนเดิม ปกติผมใช้ประทับลายนิ้วมือแทน” น้ำเสียงเขาสั่นๆ ทำให้ดูไม่น่าไว้ใจมากกว่า
     
    รวีที่ระแวงแต่แรกแล้ว ก็ขอตัว ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมตำรวจ “ผมรู้สึกว่าคนนี้น่าสงสัย ยังไงช่วยสืบสวนก่อนได้ไหมครับ”
     
    “คุณครับเชิญออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่านะครับ” ตำรวจคนหนึ่งเข้ามาเชิญเขาออกไป
     
    “คุณจะให้ผมไปไหน ผมมาเพื่อถอนเงินเท่านั้น” ธราพูดเสียงอ่อยๆ
     
    “ช่วงนี้มีการว่าจ้างเปิดบัญชีและถอนเงินกัน ทางเราจำเป็นต้องตรวจสอบ ระหว่างตรวจสอบขอเชิญคุณไปโรงพักกับเราสักครู่” ตำรวจทำมือเชิญ 
     
    ธราเริ่มกลัวมากขึ้น เมื่อเดินออกไปได้หน่อย เขาก็วิ่งทันที แต่ รปภ.หน้าประตูก็จับเขาเอาไว้ “ปล่อยผม ผมจะกลับบ้าน”
     
    “จับไปโรงพักเลยทำตัวน่าสงสัย” ตำรวจตัดสินใจ แล้วก็ขอให้ทางธนาคารช่วยจับตัวไปส่งที่โรงพัก
     
    “นั่นไง ผมว่าแล้วว่ามันมีพิรุธ” รวียิ่งมั่นใจ แล้วก็โล่งใจ ก่อนหันไปปลอบลูกค้าในธนาคาร แล้วจัดการเก็บหลักฐานไปส่งที่สถานีตำรวจ
     
    *************************************
     
     
    เมื่อถึงสถานีตำรวจ ชีพก็ขมวดคิ้วมองอย่างงุนงง “จ่าๆ จ่าไปจับใครมาน่ะ”
     
    “อ๋อ ไอ้นี่มันมามั่วนิ่มถอนเงิน พอโดนจับไต๋ได้ก็จะวิ่งหนี ผมก็เลยจับมา” ตำรวจที่เพิ่งย้ายท้องที่มาทำท่าทางภูมิใจในความสามารถของตัวเอง ที่จับคนร้ายได้ 
     
    ท่าทางของชายหนุ่มที่จับมาก็เข้าข่ายคนบ้าได้เช่นกัน เพราะผมเผ้าพะรุงพะรังดูไม่น่าไว้ใจ เสื้อผ้าก็เก่าๆ ดูแล้วไม่น่าจะถอนเงินตั้งห้าแสนได้ หากท่าทางแบบนั้นทำให้ชีพต้องขอดูหน้าใกล้ๆ
     
    “ตายห่า! จ่าเอ็มจะบ้าแล้วเหรอ ไปจับหลานชายผู้กำกับสุชาติได้ยังไง เนี่ยคุณธรา หลานชายท่านผู้กำกับ” ชีพรีบพยุงแล้วดูหน้าให้ชัดๆ “ดอยเป็นยังไงบ้าง”
     
    “อ้ายชีพ เรากลัวมากๆ อยู่ๆ โดนจับ โทรหาลมให้หน่อยเถอะ” ธรารีบขอให้ช่วยทันที
     
    ชายหนุ่มอีกคนเปิดประตูออกมา ก่อนมองหน้าคนที่ถูกจับ แล้วมองผ่านเพราะจำไม่ได้ ก่อนจะถาม “มีเรื่องอะไรกันเหรอ จ่า”
     
    “ผู้กองครับ จ่าชีพบอกว่าผมจับหลานชายผู้กำกับสุชาติมาครับ” จ่าคนนั้นมองแล้วมองอีกให้แน่ใจ
     
    “ผู้กองครับ เนี่ย หลานชายผู้กำกับสุชาติจริงๆ นายธรา แก่นจัน ก็น้องชายของน้องน้ำนั่นแหละครับ แต่ไม่รู้ทำไมถึงโดนว่าสวมรอยถอนเงินได้ก็ไม่รู้” ชีพหันไปถามเพื่อนรุ่นน้องหมู่บ้านเดียวกัน
     
    ธราจึงต้องตอบ “ผมไปถอนเงิน แต่ไม่ได้เจอผู้จัดการอรัญ เขาไม่ให้ถอนเงินแล้วยังแจ้งความจับผมอีก อ้ายชีพ”
     
    “ก็ตอนผมเชิญมาที่โรงพัก นายคนนี้ก็วิ่งหนี ดีที่ยามธนาคารจับไว้ได้ ผมก็เลยดูแล้วมีพิรุธนี่ จ่าชีพ” จ่าคมสันบอกตามที่คิดไว้
     
    “ถ้าใครจะมีพิรุธทั้งที่ไม่มีความผิดก็เนี่ยแหละ ดอยเอ๊ย ทำไมต้องวิ่งหนีด้วยล่ะวะเนี่ย แล้วใครไปส่งที่ธนาคาร” ชีพถามให้แน่ใจอีกรอบ
     
    “น้าคำปันครับ ตอนนี้ไม่รู้ไปไหนแล้ว” ธราตอบอย่างอับจนหนทาง
     
    “เอาไงดีครับ ผู้กอง”  ชีพหันไปถามคนที่มีอำนาจสูงกว่า ขณะที่จ่าคมสันทำท่าจะเป็นลม
     
    “ก็จับคนผิดนี่นะ ก็ต้องปล่อยไป” ศิขาพูดอย่างเรียบง่ายที่สุด
     
    “ปล่อยไปได้ยังไง เนี่ยคนผิดชัดๆ คุณตำรวจปล่อยไปไม่ได้นะครับ” รวีเข้ามาทันฟังพอดี
     
    “ก็ได้ครับ จ่าจับไปขัง แล้วก็เรียกทนายมาให้คุณธราด้วย จะได้ฟ้องกลับ แล้วก็จับคุณคนนี้ข้อหาแจ้งความเท็จ เป็นเหตุทำให้ผู้อื่นต้องเสียชื่อเสียง แบบนี้ โอเคไหมครับ” ศิขาถามอย่างกวนๆ จริงไ เขามีหน้าที่ดูแลคดีเกี่ยวกับการค้ายามากกว่าเรื่องทั่วไปแบบนี้
     
    “อะไร! ผมไม่ได้ทำอะไรผิด” รวีรีบแก้ตัว
     
    “ทำไมไม่ผิด คุณทำให้คุณคนนี้ต้องโดนจับทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขาแค่จะไปถอนเงินที่ธนาคารของคุณเท่านั้น แต่คุณกลับแจ้งความจับเขา” ศิขาพยายามแก้ปัญหา
     
    “แต่ถ้าเขาไม่ผิด แล้วเขาวิ่งหนีทำไม” รวีแย้งขึ้น ทั้งหมดหันไปมองธรา
     
    ธราที่หลบหน้าหลบตาอยู่จึงยังไม่รู้ตัว 
     
    “คำถามดี คุณธรา คุณวิ่งหนีทำไม” ศิขาจึงถามแทน เพราะตำแหน่งเขาสูงกว่าคนอื่น
     
    “ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด ผมก็เลยวิ่ง” ธราก็ตอบตามตรงและง่ายดาย
     
    ยังคงโต้แย้งกันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมีคนร่างใอวบอ้วนเดินขึ้นมาแล้วท่าทางโมโห 
     
    “ไหนใครจับอ้ายดอยมา” อภิรมย์ถามท่าทางโกรธน่าดู
     
    “ลมๆ” ธรารีบวิ่งไปเกาะหลังน้องสาว ทั้งที่มีกุญแจมืออยู่ “อ้ายไม่รู้ว่าอ้ายทำอะไรผิดเน้อ ตำรวจก็จับมา ผู้จัดการอรัญก็ไม่อยู่ด้วย”
     
    อภิรมย์กระแทกลมหายใจ ก่อนถาม “แล้วทำไงให้โดนจับมาวะ ทำตามที่บอกหรือเปล่าเนี่ย”
     
    “ทำสิ ทำตามทุกอย่าง เดินไปเขียนใบถอนเงิน เอาบัตรคิว รอพนักงานเรียก แล้วยื่นให้ที่เคาน์เตอร์ รอพบผู้จัดการ คนนี้ แต่เขาไม่ให้อ้ายปั๊มลายนิ้วมือ แล้วก็ขอทะเบียนบ้านกับใบขับขี่อ่ะ แล้วก็จะให้เซ็นชื่อ พี่จะปั๊มลายนิ้วมือ แต่เขาไม่ยอม เขาก็เรียกตำรวจมาจับ หาว่าพี่หน้าตาไม่เหมือนในบัตรประชาชน แล้วก็มาอยู่ที่นี่แหละ” ธราเหมือนเด็กโดนสอบสวนอย่างไรอย่างนั้น
     
    อภิรมย์หันไปหาผู้จัดการที่พี่ชายชี้นิ้วไป ก่อนจะถามขึ้น “ทำไมต้องแจ้งความจับพี่ชายฉันด้วย เขาแค่ไปถอนเงินแล้วเขาก็ไม่สามารถเซ็นชื่อให้เหมือนกันได้ตลอด เดี๋ยวนี้เขาห้ามปั๊มลายนิ้วมือแทนแล้วหรือไงคุณ ผู้จัดการย้ายมาใหม่เหรอ เคยเจอฟ้องฐานหมิ่นประมาทไหม คุณตำรวจด้วย รับแจ้งความเท็จได้ยังไง ฉันจะฟ้องให้หมดตัวไปเลยนะ ทั้งคุณแล้วก็ตำรวจที่จับมั่วนี่ด้วย”
     
    “นี่คุณลมใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม ก็พี่ชายคุณน่ะ ทำท่าเหมือนทำอะไรผิดมา มันก็เข้าใจผิดกันได้ ว่าไงคุณรวี เขาจะเอาเรื่องคุณแล้วนะ คุณจะว่ายังไง” ศิขาพยายามไกล่เกลี่ย
     
    รวีเสียหน้า แต่ก็ต้องยอม “ก็ได้ครับ ผมขอถอนแจ้งความ แล้วก็ขอโทษด้วย ก็ใครจะคิดว่าผู้ชายคนนี้แต่งเนื้อแต่งตัวแบบนี้ จะเป็นแบบนี้”
     
    “คุณอยากโดนข้อหาหมิ่นประมาทเพิ่มอีกหรือไง พี่ชายฉันจะเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของเขา คุณมีหน้าที่ให้บริการก็ทำไป แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะกลับไปคุยกับที่บ้าน แล้วเราจะไม่เป็นลูกค้าของคุณอีกต่อไป คุณจะได้ไม่ต้องคอยจับพี่ชายฉันส่งตำรวจ แล้วก็จะไม่ต้องเสียเวลาแล้วก็งบประมาณของรัฐในทางไร้สาระแบบนี้ กลับบ้าน อ้ายดอย” อภิรมย์เรียกพี่ชายให้กลับ
     
    ศิขาส่ายหน้าช้าๆ มองจ่าสองคนกับผู้จัดการขี้ระแวงแล้วรีบกลับเข้าห้อง แล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องไปพบอรรณเพื่อคุยเรื่องไปงานแต่งงาน จึงออกไปอีกครั้ง
     
    *************************************
     
     
    อรรณทำหน้าช็อคเพราะเรื่องของน้องชาย ก่อนจะมองนงลักษณ์ที่ทำหน้าประหลาดใจในเชิงแย่ แล้วก็มองน้องชายหลบหน้าหลบตา ท่าทางหวาดกลัวจะโดนดุ
     
    “พรุ่งนี้พี่จะพาไปแปลงโฉมเตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน ส่วนเรื่องธนาคาร เดี๋ยวพี่จะลองโทรไปคุยกับผู้จัดการเอง ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ถ้าธนาคารไม่ขอโทษ เราก็จะขนเงินทั้งหมดย้ายไปธนาคารอื่นเองไม่ต้องกังวลไป ถ้าจำเป็นจะต้องติดตั้งห้องนิรภัยที่นี่ พี่ก็จะทำ” อรรณบอกน้องๆ 
     
    นงลักษณ์มองความเข้มแข็งของญาติผู้น้องอย่างทึ่ง เพราะนอกจากจะจัดการปัญหาอย่างง่ายดาย และไม่กลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้นเลย ผิดกับเธอที่อายุมากกว่าแต่ค่อนข้างลังเลมากมาย
     
    “ถ้าพรุ่งนี้พี่พิงค์ว่างก็ไปด้วยกันนะคะ คงไม่เสียเวลามากหรอก แล้วนี่ก็ไม่มีเงินมาจ่ายค่าของพรุ่งนี้ล่ะสิ แย่เลยนะเนี่ย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ พรุ่งนี้เช้าลมไปกับพี่ พี่จะจัดการปัญหาต่างๆ เอง จะได้มีเงินมาจ่ายเขาในตอนสาย” อรรณบอกน้องๆ 
     
    “ผมขอโทษ ผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเลย” ธราพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด
     
    “ตลกน่า ดอย พวกพี่ต่างหากไม่น่าปล่อยให้นายไปธนาคารคนเดียวเลย ทีหลังจะไม่ให้คาดสายตาเวลาไปธนาคารอีก พี่พิงค์คงยังไม่รู้ว่า ดอยมีปัญหากับการไปธนาคารคนเดียวเสมอ เพราะงั้นเขาถึงต้องมีเอทีเอ็มติดตัว แต่ก็ไม่สามารถเปิกเงินจำนวนมากได้แบบนั้นล่ะเน้อ” อรรณบอกอย่างไม่คิดมาก เพราะน้องชายมีปัญหากับการไปธนาคารมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
     
    “พี่ก็เพิ่งรู้เนี่ยแหละ ไปธนาคารทีก็ต้องมีคนไปด้วยเหรอ” นงลักษณ์มองว่าที่สามีอย่างแปลกใจ
     
    “เขามีความบกพร่องเรื่องพวกนี้น่ะค่ะ ขนาดเขียนหนังสือยังไม่สามารถคงตัวหนังสือให้เป็นแบบเดิมได้ ไม่ต้องพูดเรื่องเซ็นชื่อเลย สิ่งเดียวที่เขียนให้เหมือนเดิมได้ คงจะเป็นเรื่องพวกเครื่องกลฟิสิกส์อะไรเทือกๆ นั้นแหละค่ะ” อรรณบอกพี่สาว ก่อนจะหันไปมองน้องชาย “ดอยไม่ต้องกลัวแล้วนะ เรื่องแค่นี้เองเข้าใจผิดกันได้น่า อุ๊ยไม่โกรธหรอก”
     
    ธราพยักหน้าช้าๆ แล้วก็หยิบหนังสือมาอ่าน
     
    “เขาจะเป็นอย่างนี้ตลอดไหม” นงลักษณ์ก็กลัวว่าจะได้สามีสติไม่ดีเหมือนกัน
     
    “ไม่นะ พี่ เพียงแต่ถ้าสมมติพี่แต่งงานกับดอยจริงๆ แล้วพี่อยากได้อะไร น้ำหมายถึงอยากได้ เอ่อ บนเตียงน่ะ บอกดอยหน่อย ก็คงทำได้” อรรณกระซิบแทนเพราะกลัวว่าพี่สสาวจะอายเรื่องพวกนี้
     
    “น้ำก็ พี่ก็ถามไปอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่อยู่ที่นี่มา ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนอกจากเรื่องนี้แหละ ท่าทางจะกลัวธนาคารมากนะเนี่ย” นงลักษณ์มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะมีคนกลัวธนาคารแบบนี้
     
    “กลัวสิ เมื่อก่อนดอยเคยเอาเงินยายไปหายสองหมื่น โดนตีน่าดูเลย ยายให้เอาไปเข้าธนาคาร แต่ทำท่าไหนไม่รู้ไปวางลืมไปไว้ แล้วหายไป จำฝังใจเลยล่ะ” อภิรมย์เล่าให้ฟัง เพราะพอเดาได้
     
    ทั้งหมดคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถจักรยานยนต์คันใหญ่เลี้ยวเข้ามาใกล้ๆ แม้จะเป็นยามเย็นของวันแล้วก็ตาม แต่ก็ดูออกไม่ยาก เพราะเป็นรถสายตรวจของตำรวจใช้
     
    *************************************
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×