ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไร่แห้วไม่จำกัดรัก

    ลำดับตอนที่ #4 : ไร่แห้ว...ไม่จำกัดรัก ตอนที่ 4 สวยก็ผิด

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 55


     

    เมื่อถึงสถานี เขาต้องเข้าประชุมด่วน จึงให้เธอนั่งที่โต๊ะทำงานเขาแทน เขาประชุมอยู่กว่าชั่วโมง เมื่อออกมาก็เห็นเธอฟุบโต๊ะเขาหลับสนิท คงเพราะฤทธิ์ยา แต่หัวใจเขากำลังว้าวุ่นสับสน เพราะเจอหน้าแฟนเก่าที่เพิ่งเลิกกัน

    เขาจำได้ว่าหมออดุลย์เคยบอกว่าเจอผู้หญิงคนนี้เมื่อปีกว่า และเป็นเหตุให้เลิกรากับแฟนที่คบกันมานาน เพราะรู้สึกรักผู้หญิงคนนี้มาก เพียงแต่แฟนที่เพิ่งเลิกกับเขาเมื่อหกเดือนก่อน กลับคบกับรุ่นพี่คนนี้ได้ปีกว่า ช่างเป็นเรื่องที่สับสนอย่างแรง

    เขาเห็นเธอยังไม่ตื่น ก็เลยพักสายตาอยู่ในห้องทำงาน ก่อนเพื่อนร่วมห้องทำงานเดินเข้ามา

    “เอ่อ หิน เห็นการ์ดพี่หมอตุลย์หรือเปล่าวะ แหม แฟนพี่ตุลย์น่ารักโคตรเลยว่ะ”  นาราเอาการ์ดมาวางให้ดู แล้วยังพูดอีก “เขาว่าเขาจะเอามาให้นายอีกทีนะ เอ่อ ใครมานอนที่โต๊ะนายวะ”

    “เพื่อนน่ะ มีอุบัติเหตุหน่อย พอดีขับรถสายตรวจผ่านไปก็เลยพาไปโรงพยาบาล สงสัยโดนยาจัด ก็เลยหลับไม่รู้เรื่อง” ศิขาตอบ ก่อนมองดูภาพรักหวานชื่นในการ์ด

    “เออ ไว้วันนั้นไปด้วยกันนะ แต่ถ้านายจะไม่ไป เราก็เข้าใจว่ะ มันเพิ่งผ่านมาหกเดือนเองนี่หว่า ใครจะอยากไปเห็นคนอื่นเขาหวานกันล่ะเนอะ” นาราตบไหล่เพื่อนอย่างปลอบใจ

    เขาไม่รู้ว่าแฟนเก่าเพื่อนคือเจ้าสาวของพี่หมอที่ใครๆ ก็เคารพรักและนับถือ เพราะต่างก็รู้เพียงว่าแฟนเก่าเพื่อนเป็นพยาบาลอยู่ที่กรุงเทพฯ เท่านั้น และระยะทางที่ห่างกันทำให้ห่างเหิน สุดท้ายก็เลิกรา

    “นายกลับก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะรอแม่นี่ตื่นก่อน” เขาพูดแล้วลุกขึ้นอุ้มเธอไปนอนที่โซฟา และเธอคงเหนื่อยมาก เพราะเธอไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย

    “เออ โชคดี ห้ามทำเลอะเทอะในที่ทำงานนะเฟ้ย” นาราพูดสองแง่สองง่ามกับเพื่อน ก่อนรีบออกไป เพราะเพื่อนจะคว้าของใกล้มีมาทุ่มใส่เขา แล้วกลับมามองอีกที เป็นสาวชาวสวนบ้านนอก แต่งตัวเหมือนจะออกไปไร่นา เขาจึงพูดล้อ “ไปหลอกสาวท้องที่ ระวังจะเสียผีแล้วโดนจับแต่งงานนะ”

    “ไอ้บ้า!” ศิขาคว้าของโยนใส่ ก่อนหันมามองสาวสวยในห้อง เห็นเธอสวมผ้าถุงและมีแผลโผล่ออกมา จึงหาผ้าขนหนูของเขามาห่มให้ก่อน แล้วปรับแอร์ในห้องทำงานให้เธอสบายตัว

    **************************************


    เมื่อเธอได้พักผ่อนเพียงพอก็ตกใจ เพราะตื่นมาในห้องที่ไม่รู้จัก ก่อนนึกได้ว่านี่เป็นห้องทำงานของศิขา ที่สถานีตำรวจ และเมื่อมองไปที่โต๊ะเขา เห็นเขานอนเอนเก้าอี้พาดเท้าบนโต๊ะทำงานอย่างสบายอารมณ์

    คิดอีกที...เธอก็ปลุกเขา “นี่คุณ”

    ศิขาตกใจตื่น เพราะไม่คุ้นกับการมีผู้หญิงปลุก ก่อนมองเธอยืนยกขาข้างหนึ่งลอยจากพื้น “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”

    “ค่ะ นี่มันทุ่มหนึ่งแล้วนะคะ กลับได้หรือยัง” อรรณถามขึ้น

    “อ๋อ ว่าแต่คุณหิวไหม ไปหาอะไรกินก่อนไหมล่ะ” ศิขาถาม เพราะคิดว่าเธอน่าจะต้อวทานยา

    “ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะกลับไปทานที่บ้านก็ได้” อรรณบอกตามตรง

    “แต่ผมหิว แวะหาอะไรทานก่อนก็แล้วกัน ไปเถอะ” ศิขาคว้าเอาของส่วนตัว แล้วพาเธอออกไปจากสถานี แบบกึ่งลากกึ่งจูงกึ่งพยุง

    “นี่คุณดูสภาพฉันก่อนสิ จะไปกินได้ยังไงล่ะ” อรรณชี้ที่ผ้าถุง เสื้อแขนยาว ข้างในเป็นเสื้อยืดเก่าๆ ให้ถนัดกับการทำงานในสวน แล้วนี่เขาจะชวนไปทานอาหารในที่สาธารณะ เกรงกว่าเธอจะปวดหัวมากกว่า

    “ก็เอาเข้าปากไง ไม่ต้องไปคิดมากหรอกน่า ไปกันเถอะ” เขาเปิดประตูแล้วจับเธอยัดเข้าไป พร้อมถุงยาและของที่โรงพยาบาลใส่ถุงมาให้ ก่อนจะประจำที่นั่งคนขับแล้วขับออกไปเลย

    “นี่คุณคิดจะถามความสมัครใจของฉันบ้างไหม” อรรณถามอย่างสงสัย

    “เอาน่าคุณ ก็ผมหิวนี่ อีกอย่างคุณก็ดูจะสดชื่นขึ้นแล้ว หรือไม่ยังไง ซื้อไปกินที่บ้านพักผมก็ได้ ก็ไม่ห่างจากบ้านคุณเท่าไร นะๆ ผมหิวมาก ไม่ต้องกลัวว่าผมจะทำอะไรคุณหรอกนะ บอกตามตรงสภาพแบบนี้ก็กลืนไม่ลงเหมือนกันกลัวติดคอ แล้วลุงคุณก็เป็นเจ้านายผมด้วย ผมกลัวจะแย่อยู่แล้ว” ศิขาพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก

    “อย่างน้อยก็ให้ฉันโทรบอกที่บ้านก่อนก็แล้วกัน” อรรณขอโทรศัพท์จากเขา เพราะเธอไม่ได้เอาอะไรมาเลย  เมื่อเขายื่นให้เธอก็โทรไปบอกน้องสาว

    “อ๋อ อยู่กับผู้กองหน้าเหม็น ได้สิ แล้วจะให้ไปรับก็บอกเน้อ ถ้าเห็นท่าทางไม่ดี พี่ก็ฟาดหัวก่อนเลย” อภิรมย์บอกพี่สาวอย่างหมดห่วง

    ตอนแรกก็ยังงงว่าทำไมไม่มาสักที แต่ชีพมาบอกแล้วว่าอยู่ที่สถานีตำรวจก็คิดว่าไม่เป็นไร จึงคลายความกังวลลงไปมาก อีกทั้งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของลุงเธออีก ถ้าพี่สาวไม่เต็มใจ คงไม่มีทางเกิดเรื่องไม่งามขึ้นแน่นอน

    อรรณวางสายแล้วคืนเขา “ขอบคุณค่ะ”

    “ด้วยความยินดี นึกว่าจะกลัวแล้วโทรเรียกน้องสาวให้รีบมารับเร็วๆ ซะอีก” ศิขาพูดล้อ เห็นเธอรายงานน้องสาวเป็นช่วงๆ ตลอดเวลา

    “ถึงฉันจะเป็นพี่สาว แต่ก็โตพอจะรู้ว่าไม่ควรทำให้คนที่รักฉันเป็นห่วง อีกอย่างก็ไม่อยากให้ยายกับป้าเป็นห่วงด้วย เพราะปกติฉันไม่ค่อยไปไหนน่ะ” อรรณอธิบายไปตามเรื่อง

    “นึกว่าจะพูดเป็นแต่เรื่องกฎหมายนะเนี่ย คิดถึงใจคนแก่ก็ได้ด้วย เป็นนางงามหรือเปล่า” ศิขายังคงเล่นลิ้นพูดจาหาเรื่องเธออยู่ตลอด

    อรรณจึงเงียบไป...ยิ่งต่อปากต่อคำ...คงยิ่งปวดหัว

    เขาเห็นเธอเงียบไม่โต้ตอบก็นึกอึดอัด จึงหาเรื่องคุย “ชื่อจริงคุณน่ะอะไรเหรอ เห็นคนอื่นเรียกแต่น้ำๆ ไม่เห็นเรียกอย่างอื่นเลย ตอนผมถามคุณก็ไม่เห็นคุณแก้อะไร อ่านว่า ‘อัน’ น่ะถูกไหม” เขาเข้าเรื่องที่สงสัย เพราะชื่อเธฮภาษาอังกฤษเป็นฝรั่งจ๋า

    “อรรณ อ.อ่าง รอหัน ณ.เณร แต่อ่านว่าอันนะ  แปลว่าน้ำ พระท่านตั้งให้ เพราะยายเจอฉันในวันฝนตกน้ำนอง พ่อแม่ฉันคงเอาไปทิ้งไว้ที่นั่นแหละ ถ้าไม่หวังให้ตาย ก็คงหวังให้มีใครได้ยินเสียงฉันร้องล่ะมั้ง” อรรณเล่าความในใจ แม้จะนึกสะเทือนใจอยู่บ้าง แต่ก็พยายามทำจับเรื่องในอดีต

    ศิขาถึงกับพูดไม่ออก เพราะเหมือนไปจี้จุดเธอเข้า ก็ได้แต่พูดธรรมดาไป “คิดมากไปได้น่า”

    เขาเลี้ยวรถเข้าสวนอาหารอย่างโล่งใจ เพราะจะได้ไม่อึดอัด “คุณจะลงไปด้วยกันไหม”

    “ถ้ารอในรถได้ ขอรอในรถดีกว่า คุณก็สั่งอาหารเผื่อด้วยก็แล้วกัน” อรรณยังเข้าใจว่าเขาจะสั่งอาหารจานเดียว จึงบอกตามง่าย

    ศิขาลงจากรถแล้วเดินไปสั่งอาหารสามสี่อย่าง พร้อมข้าวสวยพอประมาณ ก่อนจะแวะที่เคานท์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มมาเล็กน้อย หากจากเล็กน้อยกลายเป็นดื่มเยอะขึ้นจนลืมเวลา แม้อาหารจะมาถึงเขาแล้วก็ตาม

    อรรณรออยู่นานมาก จนหลับได้อีกตื่น ก็ลงจากรถแล้วไปดูเขา เห็นเขานั่งดื่มและมีถุงใส่อาหารวางอยู่ เมื่อสังเกตท่าทางแล้วคงเริ่มเมา “นี่คุณ! อะไรมาหยุดดื่มเนี่ย”

    ศิขามองเธอด้วยสีหน้าแดงเข้มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ และมองขวดเหล้าหนึ่งขวดที่วางอยู่ “กรรม ดื่มไปขวดแล้วเหรอเนี่ย คิดค่าเสียหายด้วยน้อง”

    อรรณมองอย่างประหลาดใจ เพราะเขาท่าทางจะเริ่มเมาแล้ว ก่อนต้องขมวดคิ้วอีกรอบ

    “น้องเอากลับสองขวด แพ็คน้ำแข็งกับโซดา แล้วก็น้ำอัดลมให้อีกอย่างละโหล พี่จะเอาไปดื่มต่อที่บ้าน คิดค่าเสียหายมาให้ถูกด้วยล่ะ” ศิขาพูดก่อนควักกระเป๋าเงินออกมา จากนั้นก็รอและจ่ายเงิน เขาก็หิ้วของทุกอย่าง พร้อมจูงมืออรรณกลับ

    “นี่คุณเมาไม่ขับนะ ถึงเป็นตำรวจก็เถอะ ห้ามขับ” อรรณพูดชัดเจน เมื่อเขาเอาของใส่รถแล้ว

    “คุณขับไหวเหรอ” ศิขาถาม ก่อนถามอีกอย่าง “หรือจะเรียกที่บ้านคุณมารับล่ะ”

    “เจ็บข้างซ้ายน่ะไม่เป็นไร ยังไงก็เกียร์ออโต้ ก็ค่อยๆ ขับไปได้ ดีกว่าให้คนเมาขับ” อรรณส่ายหน้าช้าๆ แล้วเอากุญแจมาจากมือเขา

    “ใครเมาล่ะ แต่ก็ได้” เขาเดินไปนั่งข้างคนขับ

    อรรณเข้าประจำที่ แล้วก็ขับรถออกไปจากที่นั่น โดยฟังเขาบอกทางไปบ้านพัก ที่เขาเช่าเอาไว้ เมื่อมาราชการที่นี่

    พอถึงแล้ว เขาก็เอาของลงจากรถ แล้วลากเธอขึ้นไปบนบ้าน จัดอาหารลงจานเอง แล้วชวนเธอ “กินเลยนะ น้ำอัดลมมี น้ำแข็งมี จัดให้หนัก”

    “จัดหนักบ้าอะไรล่ะ ทานแค่นี้ก็อิ่มแล้ว ซื้ออะไรมาเยอะแยะ เปลืองเปล่าๆ” อรรณ็พูดเตือนตามประสาคนประหยัด

    “ถ้าเหลือก็จัดลงตู้เย็น พรุ่งนี้ก็เข้าไมโครเวฟทานได้ โอเคไหม คุณนายประหยัด” ศิขาพูดยอกย้อนตามปกติ

    ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงไม่พูดแบบนี้ แต่ไม่รู้ทำไมเห็นดวงหน้าสวยเฉียบของเธอทีไร ต้องกวนประสาทเธออยู่เรื่อย บอกไม่ถูกว่าทำไม ทั้งที่เมื่อเจอคนสวยๆ แบบนี้ เขาน่าจะลองทาบทามเผื่อจะคบหากันได้ หรือเพราะเขาเข็ดกับรักครั้งก่อนก็เป็นได้

    อรรณจำเป็นต้องนั่งทานเป็นเพื่อนเขาเงียบๆ ขี้เกียจพูดมาก เดี๋ยวจะทะเลาะกันมากกว่านี้ เรื่องเล็กเรื่องน้อยเขาก็ขุดหามาแขวะเธอได้ตลอด ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูกันมาหรือไง จึงพูดจาดีๆ ใส่กันได้ยาก

    “กินอย่างเดียวได้ยังไง ดื่มหน่อย” ศิขารินน้ำอัดลมให้เธอ

    “นึกว่าจะรินเหล้า ตกใจหมด” อรรณพูดอย่างโล่งใจ

    “ผมไม่ได้ซื้อมาเผื่อคุณสักหน่อย จะรินให้คุณทำไม อีกอย่างนะ ถ้าผมดื่มหมดนี่ ก็คงงีบหลับได้สบาย ไม่ต้องกลัวว่าผมจะทำอะไรหรอกนะ ยังไงก็คงทำไม่ไหวหรอก สลบตาย” ศิขาบอกให้เธอสบายใจ ก่อนนึกขึ้นได “คุณจะกลับบ้านยังไง ขับรถไหวไหม หรือจะให้คนที่บ้านมารับล่ะ ผมคงขับไม่ไหวหรอกนะ”

    อรรณถอนหายใจยาว เมื่อกี้หิวก็ลืมไป จะโทรเรียกให้มารับก็ใช่ที่ เพราะสามทุ่มก็เข้าห้องกันหมด แต่ก็ลืมโทรบอก และเจ้ากรรมก็มาทันใจนึก เมื่อฝนตกฟ้าคะนองที่โผล่มาตั้งแต่เย็นเทลงมาแล้ว และไฟก็ดับวูบ

    “ฉันว่าฟ้าคงให้ฉันอยู่ดูแลคุณ คุณมีเทียนไขไหม” อรรณถามขึ้นทันทีอย่างสงบ ไม่มีท่าทีกลัวแต่อย่างใด

    “จัดให้ได้ทุกอย่างล่ะคุณนาย” ศิขาเมาแล้วก็ชักผ่อนคลายมากขึ้น

    “ขอโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านก่อนนะ” อรรณเอามือถือที่คลำหาด้ง่ายๆ ออกมา ก่อนมองเขาจุดไฟแวเอามาตั้งไว้ตรงโต๊ะที่นั่งทาน

    “ลมเหรอ พี่นะ พี่คงไม่ได้กลับคืนนี้ล่ะ เสียงฟ้าร้องด้วย แล้วพี่ก็ปวดแผล ค้างที่บ้านพักของผู้กอง แต่ไม่ต้องกังวล ผู้กองเมาใกล้หลับแล้วล่ะ” อรรณใส่น้องสาวเป็นชุด จะได้ไม่ถามมากความ

    “เอามีดไว้ใกล้ๆ มือนะ พี่น้ำ ถ้าเห็นท่าไม่ดีฟันก่อนค่อยส่งโรงพยาบาล แล้เอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่ล่ะนั่น” อภิรมย์ออกจะเป็นห่วงพี่สาว เพราะอยู่ตามลำพังกับผู้ชา

    “ก็คงหาๆ เอาแถวนี้ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พี่ไม่อยากขับกลับเพราะว่าฝนฟ้าด้วยแล้วก็แผลด้วย แค่นี้นะ เดี๋ยวฟ้าผ่า บอกอุ๊ยว่าไม่ต้องเป็นห่วงเน้อ” อรรณสั่งน้องสาวจนเรียบร้อย

    เมื่อน้องสาวตัดสาย เธอก็ทานต่อแล้วก็ดื่มน้ำอัดลม แต่ไม่เห็นเขาแตะกับแกล้มเท่าไร เห็นดื่มแต่เหล้าก็ถาม “ถามจริงๆ เถอะ มีอะไรหรือเปล่า ตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้ว ท่าทางคุณแปลกๆ คุณรู้จักแฟนพี่หมอเหรอ”

    “ช่วยกินอย่างเดียวแล้วไม่ต้องพูดอะไรได้ไหม” เขาเริ่มเมามากขึ้น ท่าทางจึงดูแข็งกระด้างกว่าเดิม

    อรรณจึงเก็บจานแล้วลุกขึ้นทันที เธอไปพร้อมแสงไฟ แล้วก็ล้างจานที่ตัวเองทานเสร็จ ก่อนออกมาเห็นเขานั่งพิงพนักเก้าอี้แล้วไม่พูดอะไรอีก ท่าทางดูเศร้า เธอก็เลิกใส่ใจเขาไปในทันที เมื่อนึกถึงคำพูดของเขา

    “เสื้อผ้าคุณพอมีให้ฉันใส่ได้บ้างไหม ฉันอยากจะอาบน้ำสักหน่อย” อรรณถามขึ้น มองเขาหันมามองตาเยิ้มก็ชักหวั่นๆ กลัวว่าเขาจะขาดสติขึ้นมา

    ศิขาประมวลผลในสมองก่อนพยักพน้า “ในห้องผมมีเสื้อตัวใหญ่ๆ แล้วก็กางเกงนอนอยู่หลายตัว คุณก็ดูๆ เอาเองก็แล้วกัน เฮ้อ”

    เมื่อเธอออกมา ก็เห็นเขาถือแก้วเหล้าแล้วทำท่าหมดอาลัยตายอยากอีก เธอเพียงถอนหายใจแล้วก็เพิกเฉยเสีย ก่อนออกมาดูของบนโต๊ะที่ยังไม่พร่องไปเลย เพราะเขาไม่ใส่ใจจะกิน

    “ผู้หญิงสวยๆ นี่เย็นชาใจร้ายทุกคนเลยหรือเปล่า” เขาถามขึ้นมาลอยๆ

    “ฉันจะรู้ไหม” อรรณตอบแล้วก็เริ่มเคลียร์พื้นที่ เพราะคาดว่าไฟคงจะดับอีกพักใหญ่

    “ก็คุณก็เป็นผู้หญิงสวยๆ แล้วก็เย็นชา แล้วก็ใจร้ายด้วย” ศิขาพูดวิจารณ์ทำเอาเธอขมวดคิ้ว

    “นี่คุณ นอกจากพูดจาเฉือดเฉือนฉันทุกครั้งที่เจอหน้า คิดจะทำอะไรให้มันสร้างสรรค์กว่านี้ไหม ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่หักอกคุณ หรือทำให้คุณเสียใจหรอกนะ อย่าหาเรื่องฉัน” อรรณกระแทกคำพูด เพราะรู้สึกว่าเขาทำตัวทุเรศมากขึ้นเรื่อยๆ

    ศิขามองเธอแล้วถอนหายใจ “ขอโทษ...เฮ้อ ผู้หญิงชอบให้ผู้ชายขอโทษแม้ว่าเจ้าหล่อนจะเป็นฝ่ายผิดใช่ไหม งั้นก็ขอโทษก็แล้วกัน”

    “ถ้าไม่ตั้งใจจะพูดก็ไม่ต้องหรอก” อรรณคว้าโทรศัพท์เขามาเพื่อโทรไปปลุกน้องสาวมารับ แต่เขาแย่งไปซะก่อน ทำให้เธอเสียหลักนั่งลงที่ตักเขาอย่างจัง จากนั้นเธอก็ตกใจแล้วรีบลุกขึ้น แต่เจ็บแผลที่ขามากขึ้นจนลุกไม่ขึ้น

    “หนักนะเนี่ย ตัวบางๆ ทำไมหนักจัง” ศิขาพูดแต่ไม่ได้ถือโอกาสกอดเธอ เขาปล่อยให้เธอพยุงตัวเองขึ้นโดยไม่ช่วย แต่เธอก็ล้มลงนั่งตักเขาอยู่สองรอบ “ลุกไหวไหมเนี่ย ตัวหนักแล้วก็กระตุ้นอารมณ์คนเมามากๆ ด้วย”

    อรรณหันไปจ้องหน้าเขาก่อนทุบเขาแรงๆ อย่างหงุดหงิด “ถ้าฉันไม่เจ็บขาล่ะก็ ฉันคงลุกได้เองแล้ว คนบ้า! ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย มาหาเรื่องฉันทำไม” เธออึดอัดจนร้องไห้ และซัดเขาไปหลายครั้ง เขาก็ทำแค่ปัดป้องเท่านั้น

    ศิขาถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะกอดเธอเอาไว้จนสงบ ก่อนจะพยุงทั้งตัวเองแล้วเธอลุกขึ้น จากนั้นก็จับเธอนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วนั่งลงต่อ

    “ผมขอโทษ” เขาพยายามตั้งสติและขอโทษอย่างจริงจัง และพยายามแก้ตัว “เห็นคุณทีไร คิดถึงผู้หญิงสวยๆ ใจร้ายคนนั้นทุกที ผมคบกับผู้หญิงคนนั้นมาตั้งหลายปี บทจะเลิกก็บอกเข้ากันไม่ได้ซะงั้น เห็นไหมผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณ พูดอะไรก็สวยหรู ไม่รู้ว่าหักอกผู้ชายมาเท่าไรแล้วล่ะ”

    อรรณกระแทกลมหายใจยาว “สรุปคือ คุณจะหาเรื่องฉันจนกว่าจะหายปวดร้าวใช่ไหม รู้ไหมว่าผู้ชายเป็นมนุษย์ส่วนน้อยที่คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด เพราะว่าผู้หญิงมีเยอะกว่าผู้ชาย ทำให้มันแทบทุกคนคิดว่าตัวเองดีเลิศ แต่เปล่าเลย นอกจากร่างกายแข็งแรงแล้ว จิตใจยังอ่อนปวกเปียกเสียยิ่งกว่าผู้หญิง รู้ไหมทำไมเขาถึงให้ผู้หญิงคลอดลูกแทนที่จะเป็นผู้ชาย เพราะอย่างน้อยผู้หญิงก็ไม่บ่นมากกับหน้าที่ตัวเอง

    แล้วไอ้เรื่องความรักอยากรู้ว่ามันจะเป็นจะตายแค่ไหนเชียว ก็แค่คนคนหนึ่งเดินไปจากชีวิตคุณ ไม่ได้หมายความว่าคนที่รักคุณทั้งหมดเดินออกไปจากชีวิตคุณ ฉันเชื่อว่ามีสักช่วงหนึ่งในชีวิตที่คุณลืมไปว่าคุณรักผู้หญิงคนนี้ แล้วไม่คิดจะไปหาเธอเลย พอเลิกกันก็ทำท่าจะเป็นจะตายขึ้นมา นี่คือเหตุผลที่ฉันหมกตัวอยู่แต่ในสวน ดีกว่าเจอผู้ชายงี่เง่าทั้งหลาย”

    ศิขาถึงกับอึ้ง เพราะเธอพูดยาวกว่าปกติมาก คงหงุดหงิดเพราะเขาหาเรื่องมาตลอดเย็น เขาได้แต่มองเธอปาดน้ำตาและกระแทกลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า

    “คุณจะบอกว่าคุณไม่เคยมีความรักเลยเหรอ” ศิขาถามขึ้นแล้วมองเธอด้วยความประหลาดใจ

    “เมื่อก่อนตอนสมัยเรียนมัธยม รู้ไหมเพื่อนๆ เรียกฉันว่าอะไร แม่สาวแห้ว ไม่ใช่เพราะฉันรักใครก็ไม่สมหวังหรอกนะ แต่เพราะบ้านยายของฉันปลูกแห้ว และไม่มีผู้ชายคนไหนจีบฉันติดต่างหาก แล้วก็ขอตอบคำถาม ฉันไม่เคยมีความรักนานๆ อย่างคุณ แต่ฉันกับน้องๆ เกิดจากความผิดพลาดของความรักโง่ๆ ไงล่ะ” อรรณพูดแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนหยิบยากับน้ำมากิน

    “รู้ได้ไงว่ารักน่ะโง่” ศิขาถามอย่างงุนงง

    “ทบทวนดูสิว่าตอนนี้คุณน่ะ ดูฉลาดหรือเปล่า” อรรณถามขึ้นแล้วจ้องเขาอย่างเอาจริงเอาจัง

    เขาขมวดคิ้วแล้วคิดตาม แต่เพราะน้ำเมาทำให้เขาคิดนานไปหน่อยแล้วก็หัวเราะ “นั่นสินะ คุณพูดซะเห็นภาพเลย แฟนพี่หมอน่ะ แฟนเก่าผมเอง เพิ่งเลิกกันได้แค่หกเดือน แต่ก็ห่างๆ กันมาพักใหญ่ ผมก็พยายามชดเชย เพราะผมต้องอยู่ที่นี่ แต่เธออยากให้ผมย้ายกลับไปที่กรุงเทพฯ แล้วดูเธอสิ เธอก็มาลงเอยอยู่ในท้องที่เดียวกันน่าขันไหมล่ะ”

    “ฉันไม่อยากจะวิจารณ์อะไรหรอกนะ แต่พี่หมอดูจะไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย” อรรณวิเคราะห์ตามที่เห็น

    “อืม ผมก็ว่างั้น เพราะเมื่อปีที่แล้วเขาไปสัมมนาอะไรสักอย่างที่กรุงเทพฯ แล้วก็กลับมาหน้าบานเล่าให้ฟังอย่างมีความสุขว่าได้เจอผู้หญิงที่ดีมากๆ ช่างเอาใจ เชอะ ตรงไหนวะ ช่างเอาแต่ใจสิไม่ว่า” ศิขาย่อมรู้จักแฟนเก่าตัวเองดี

    “เมื่อคุณรู้แล้วก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย พี่ตุลย์เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงวันหน้าจะรู้จักผู้หญิงคนนี้ดีขึ้น แต่เขาก็คงรับได้อยู่หรอกนะ เมื่อก่อนเขาใจเย็นยังไงตอนนี้ก็ยังใจเย็นเหมือนเดิม อนาคตเขาก็คงไม่แตกต่างกัน” อรรณบอกตามที่รู้จักพี่หมอหนุ่มคนนี้

    “คุณรู้จักพี่หมอนานแล้วเหรอ” ศิขาถามขึ้น

    “ตั้งแต่พี่หมอย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ฉันอายุแค่สิบห้าล่ะมั้ง เขามาใช้ทุน อยู่ไปอยู่มายังไงไม่รู้อยู่นานเลยสิบเอ็ดสิบสองปีได้ เคยใจเย็นยังไงก็อย่างนั้น อีกอย่างโรงพยาบาลที่นี่ก็หาหมออยากมาอยู่ยากแล้ว พี่หมอก็เลยอยู่ได้นาน” อรรณเล่าความตามที่รู้

    ศิขามองเธอเล่าพี่หมออย่างชื่นชม เพราะเขาก็รู้สึกกับพี่หมอแบบนั้นเช่นกัน พี่หมอใจดีที่ช่วยให้กำลังใจคนที่ไม่อยากมาอยู่ที่นี่อย่างเขา ถ้าไม่มีพี่หมอ เขาคงขอย้ายไปอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้รู้กันไป แต่เขาก็ใจเย็นลงได้เพราะพี่หมอคนนี้

    “คุณนี่รู้จักพี่หมอดีจังเลยนะ เหมือนเคยชอบพี่หมอยังไงอย่างนั้นเลย” ศิขาคาดเดาและมองเธอยิ้มเขินแล้วก็หัวเราะ

    “พี่หมอเนี่ยใกล้เคียงความรักมากที่สุดแล้ว ตอนวัยรุ่นล่ะนะ ผู้หญิงที่เจอผู้ชายที่เป็นคนใจเย็นมองโลกในแง่ดี ไม่ชอบก็คงแปลก แต่มันคงไม่ใช่ความรัก เพราะถ้าใช่ ฉันคงไม่อยู่เป็นโสดจนป่านนี้ อีกอย่างตอนนั้นพี่หมอก็คบกับลูกพี่ลูกน้องฉัน คุณน่าจะรู้นะ ก็พี่พิงค์ไง” อรรณเล่าแล้วกลับมองเห็นความเชื่อโยงกัน

    “อ่าจริงสิ คุณว่าพี่หมอกล้าแจกการ์ดให้ท่านสุชาติไหม” ศิขาถามอย่างขำๆ

    “คงไม่กล้าหรอก และถ้าทำ ฉันก็จะหยุดคิดว่าพี่หมอเป็นคนดีเสียที เพราะการไปยั่วให้คนอื่นยิงแล้วทำให้ญาติฉันติดคุก คงไม่ใช่คนดีนัก” อรรณตอบแล้วก็ตักกับแกล้มของเขาทาน “คุณมีแปรงสีฟันใหม่ๆ ไหม”

    “มีสิ ตอนที่แม่ผมมาค้างที่นี่ ท่านซื้อไว้สักโหลได้ล่ะ ผมใช้อันเดียวก็พอ แต่ท่านกลัวว่าตัวเองจะลืมเอามาน่ะสิ” ศิขาบอกที่เก็บไว้เสร็จสรรพ ก่อนถาม “ที่คุณไม่ดื่ม เพราะกลัวปวดแผลเหรอ”

    “เปล่าหรอก ฉันตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้เหล้าทำให้ขาดสติ ไม่ว่าจะที่ไหน ก็เลยตั้งใจไว้ว่าจะไม่ดื่ม” อรรณตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

    “แล้วเวลาไปสังคมคุณทำยังไง” ศิขาเริ่มผ่อนคลายถามอย่างสนใจ

    “ก็แกล้งกลืน แต่คายแล้วก็เททิ้งน่ะสิ” อรรณตอบและเฉยๆ เรื่องอะไรจะยอมให้เหล้าทำให้เธอขาดสติได้

    “เก่งจริง แปลว่าคุณไม่เคยทำอะไรที่ผิดพลาดหรือผิดกฎหมายสินะ” ศิขาเดาไปตามเรื่อง แทบลืมเรื่องที่มีคนสงสัยว่าเธออาจะเป็นคนค้ายารายใหม่

    “ทุกคนต้องเคยทำผิดกฎหมายหรือทำผิดพลาดกันบ้างนั่นแหละ แต่อย่าทำจนติดนิสัยก็แค่นั้น ว่าแต่คุณเถอะทำไมไม่สูบบุหรี่ล่ะ” อรรณถามเพราะไม่เห็นเขาสูบบุหรี่เหมือนผู้ชายคนอื่นที่มักสูบ โดยเฉพาะผู้ชายที่ชอบดื่ม

    “แม่ผมแพ้ควันน่ะ อีกอย่างผมคงเป็นลูกที่แย่มากที่คิดแต่จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วไม่คิดถึงสุขภาพของแม่ เพราะงั้นผมต้องทำให้ติดเป็นนิสัยจะได้ไม่ทำร้ายแม่ผม” ศิขาบอกเธอ แล้วก็ถามที่อยากรู้ “นอกจากเรื่องพี่หมอแล้ว ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ใกล้เคียงความรักเลยเหรอ”

    อรรณทำท่าคิด ก่อนนึกว่าไม่เสียหาย เมื่อคุยกันมาตั้งนานแล้ว ก่อนบอกเขา “ฉันเจอเขาที่ฮาร์วาร์ด ก็มีโรแมนติกนิดๆ แต่ก็จบลงที่เพื่อนล่ะนะ ไม่มีอะไรมากหรอก”

    “ฮาร์วาร์ด! คุณจบฮาร์วาร์ดเหรอ” ศิขาแทบสำลัก

    “อืม ก็ฉันคิดว่าถ้าจะเรียนให้ดี ต้องเรียนให้จบสถาบันด้านบริหารที่ดีที่สุดของโลก ที่ไหนๆ ก็จัดอันดับที่นี่ ฉันก็เลยไปเรียนที่นี่ยังไงล่ะ” อรรณบอกเล่าตามปกติ ไม่เห็นเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น

    “คุณเพิ่งกลับมา นี่คุณอายุเท่าไรเนี่ย” ศิขาเริ่มสงสัยว่าสาวหน้าอ่อนคนนี้อายุเท่าไรแน่

    “ยี่สิบเจ็ด ฉันเรียนจนจบโท ทำงานเก็บเงินแล้วก็กลับมาเนี่ยแหละ จะได้ไม่เสียดายที่อุตส่าห์เรียนมา เพราะรู้ว่ามาอยู่ที่นี่ก็คงไม่ค่อยได้ใช้ความรู้เท่าไรนอกจากเรื่องดูหุ้นนิดๆ หน่อยๆ” อรรณรู้ว่าเขาสนใจจึงบอกเล่าไปตามเรื่อง

    “โห! เก่งมากเลยนะ นี่ผมลงเรียนกฎหมายยังไม่จบเลย ผมจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทำงานตั้งนาน แล้วค่อยคิดอยากเรียนนิติ แต่ก็ไม่นานแล้วล่ะ ผมก็จะเรียนจบแล้ว” ศิขาบอกเธอและมองเธออย่างทึ่งๆ

    “ดีแล้วล่ะ คนเราต้องหาความรู้เพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง” อรรณพูดกับเขาแล้วยิ้มให้ เมื่อรอยยิ้มสวยต้องแสงไฟจากเทียนก็ทำให้คนมองต้องมนต์ได้เช่นกัน

    ศิขาพยายามเรียกสติ เมื่อเธฮขมวดคิ้ว เพราะเขามองเธอนานเกินไป “เอ่อ แล้วเรื่องโรแมนติกนี่ยังไงเหรอ”

    “ไม่มีอะไรมาก เขามาขอเข้าเรียนอาชญกรรมทางการเงินแต่ไม่ได้ลงเรียนหรอกนะ เด็กกฎหมายก็งี้ จริงๆ ของเขาก็มีสอนนะ แต่เขาอยากรู้มุมมองของฝั่งฉัน เราเจอกันถกกันในประเด็นที่สนใจ แล้วก็ผ่านไปเรื่อยๆ หลายวัน ทานกาแฟด้วยกันตอนเช้า นัดเจอกันบ้างตอนเที่ยง แล้วก็ทานมื้อเย็นบ้าง” อรรณเล่าและดูมีความสุขมาก จนคนฟังเริ่มหวั่นใจ

    “ฟังดูดีนะ แล้วทำไมถึงบอกแค่ว่าใกล้เคียงความรักล่ะ” ศิขาถามแล้วก็ขมวดคิ้วสงสัย

    “ความรักของผู้ชายก็คือการได้มีเซ็กซ์กับผู้หญิงที่ตัวเองอยากได้เป็นแฟน ฉันไม่ใช่ประเภทนั้นด้วยสิ ฉันจะมีเซ็กซ์กับผู้ชายที่ฉันแต่งงานด้วยแล้วเท่านั้น น่าเบื่อใช่ไหม แต่ฉันยอมเป็นสาวพรหมจรรย์ไปจนตาย ดีกว่าเสียใจเพราะผู้ชายที่แค่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น ฉันนั่งมองคนแล้วคนเล่าผ่านเข้ามาในชีวิตเพื่อนฉัน แล้วก็ขอทำตามความตั้งใจดีกว่า จบ” อรรณตัดบท ก่อนจะลุกขึ้น แต่เขาจับมือเธอไว้

    “จะไปไหนล่ะ กำลังคุยกันสนุกเลย” ศิขามองเธออย่างอ้อนวอน เขาไม่อยากอยู่ตามลำพัง

    “อยากแปรงฟัน เดี๋ยวมานั่งด้วยใหม่” อรรณไม่แกะมือเขา แต่เขาก็คลายมือแล้วปล่อยให้เธอไปจัดการธุระ

    พอเธอออกมา เขาก็ซัดเหล้าหมดไปครึ่งขวด ทั้งที่ตอนเธอจะไปยังไม่ลดเลย เธอก็กอดอกขมวดคิ้ว แต่เขาก็แทบจะไม่รับรู้แล้ว เพราะหลับสนิท เธอทำได้แค่ เอาแก้วออกจากมือเขา แล้วเอาทุกอย่างไปลงอ่างล้างจานเก่าๆ ด้านหลัง

    เธอมองเขาแล้วส่ายหน้าแต่ด้วยสภาพเธอคงไม่สามารถแบกเขาเข้าห้องได้ ดังนั้นจึงเอาผ้าห่มมาห่มให้ แล้วเดินไปปิดไฟทุกดวง เพราะคาดว่าไฟฟ้าคงไม่มาเร็วนัก อาจเพราะมีไฟฟ้าเสียหายสักที่

    **************************************


    อาการมึนงงเกิดขึ้นหลังจากตื่นเมื่อดื่มเหล้าไปแล้วสามขวด เขาน่าจะสั่งเหล้านอก แต่เหล้าไทยก็ดีๆ ก็ว่าหายากแล้ว ถึงได้มึนหนักแบบนี้ แล้วเขายังลืมซื้อยาแก้เมามาด้วย ตอนนี้นอกจากมึนแล้วเริ่มปวดหัวแล้ว

    เขามองรอบๆ เห็นเธอผึ่งผ้าถุงไว้ที่เก้าอี้ยาวของเขา ก่อนมองห้องนอนแล้วค่อยๆ เปิดเข้าไป เห็นเธอนอนอยู่ แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะสาวงามหน้าหวานคนนี้กำลังกรน แม้จะไม่ดังมาก แต่คาดว่าคงหลับสนิท

    ‘ตัวเล็กนิดเดียว...ก็กรนได้แฮะ’

    เขาเผลอยิ้มเอ็นดู แต่ก็อยากรู้ว่าเธอมีไข้หรือเปล่าจึงเอามืออังหน้าผากห่างๆ แล้วก็ถอนหายใจ เพราะเธอมีไข้แน่นอน เขานึกจะไปหาซื้อของกินให้เธอ

    เขาไปจัดการกับตัวเอง ก่อนออกมาแล้วสังเกตได้ว่า ทุกอย่างเรียบร้อยกว่าสภาพเมื่อวานมากนัก คาดว่าเธอคงจัดการก่อนนอน เขาต้องเอาเสื้อผ้าออกมาแต่งตัวข้างนอก ก่อนได้รับโทรศัพท์ด่วนจากสถานี จึงรีบออกไปทันที

    เมื่อเหลือเพียงเธอ เธอก็ใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะตื่น และพอตื่นก็ต้องตกใจ เพราะได้ยินเสียงตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านพักของศิขา และห้องนอนก็อยู่ด้านหน้าบ้าน เธอจึงชะโงกออกไปดู

    “ไงลม” อรรณเห็นน้องสาวมากับน้าคำปัน ก็ค่อยๆ เดินกระเผลกๆ ไปเปิดประตู “มาไงเนี่ย”

    “โทรไปถามอ้ายชีพ เห็นว่าสายแล้วพี่ยังไม่กลับเจ้า” อภิรมย์ดูสภาพห้องที่สะอาดแทบไม่มีของก็โล่งใจ ก่อนหยิบเสื้อผ้าของพี่สาวใส่ถุงง่าย “งั้นเรากลับเลยเน้อ”

    “อืม ได้สิ ผู้กองคงไปทำงานแล้วล่ะนะ น้าปันรอเดี๋ยวนะคะ” อรรณพยายามลากขาตัวเองที่เช้านี้หนักกว่าเมื่อวานมาก คงเพราะอักเสบขึ้น

    “พี่ๆ ลมว่าพี่นั่งดีกว่า เดี๋ยวลมจัดการให้เอง วันนี้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปโรงพยาบาลในเมืองดีกว่า ดูแล้วขาบวมเยอะนะเนี่ย” อภิรมย์จัดการทุกอย่างห้พี่สาวก่อนถาม “เมื่อคืนนอนยกขาให้สูงหรือเปล่า พี่ ขาถึงได้บวมแบบนี้”

    “ไม่อ่ะ พี่ง่วงจะตาย กว่าผู้กองจะหลับล่อไปดึก สงสัยต้องไปนอนให้ที่โรงพยาบาลให้ยาลดบวมหน่อยแล้วล่ะ จัดการให้พี่หน่อยได้ไหม” อรรณถามน้องสาว

    “โห พี่น้ำกำลังพูดอยู่กับใครรู้ไหม เรื่องนี้ลมทำได้สบายมาก พี่พักเถอะ เดี๋ยวไอ้เพื่อนลมจะเอาแบบบ้านไปให้ดูถึงโรงพยาบาลเลย” อภิรมย์พูดอย่างอารมณ์ดี ทำให้น้าคำปันได้หัวเราะด้วย

    อรรณค่อยสบายใจหน่อย เพราะตั้งใจเอาไว้ว่ากลับไปจะต้องย้อนเข้าโรงพยาบาลในเมืองให้ตรวจดูอีกรอบ และหวังว่าจะมีห้องพิเศษว่างๆ ให้ได้นอนพัก

    เธอลืมไปว่าจะทำให้ใครบางคนต้องตกใจ...

    เมื่อเขาได้พักเที่ยงกลับมาก็ต้องตกใจ เพราะไม่เห็นเธออยู่เลย เขาตั้งใจซื้อโจ๊กมาให้ แต่ดูเหมือนเธอจะกลับไปแล้ว เขาทำได้เพียงถอนหายใจ ก่อนมองจดหมายที่โต๊ะ

    ‘ฉันกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปโรงพยาบาลค่ะ เมื่อตื่นมามีไข้แล้วขาก็บวมมาก คงรอคุณกลับมาไม่หว ขอบคุณที่ให้ที่นอนนะคะ...อรรณ’

    เขาถอนหายใจแต่ก็เชื่อได้ เพราะเมื่อเช้าเขาก็รู้ว่าเธอมีไข้ แต่เพราะงานสำคัญจึงไม่มีโอกาสได้ดูแลเธอให้ดีกว่านี้ แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้เธอก็มีน้องสาวดูแลอย่างดี คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรอีก

    คิดอีกที เขาก็กดหาลูกน้อง และเมื่อมีการตอบรับเขาก็ถาม “จ่าชีพ มีเบอร์คุณน้ำหรือคุณลมไหม”

    ชีพให้เบอร์อย่างงุนงง แต่ก็ขัดไม่ได้ จึงให้ไป

    เมื่อได้มาแล้วเขาก็ลองโทรหาเธอก่อนน้องสาวเธอ “สวัสดีครับ ผมขอสายคุณน้ำหน่อยได้ไหมครับ”

    “หลับอยู่ค่ะ ใครคะจะได้บอกถูก” อภิรมย์ตอบเป็นภาษากลาง เพราไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร

    “ผมผู้กองศินะครับ อืมเดี๋ยวเย็นๆ ผมจะไปเยี่ยมได้ไหม” เขาถามเอารายละเอียด

    “ผู้กองจะมาเหรอ แน่ใจนะว่าไม่ได้มาหาเรื่องพี่สาวฉันอีกน่ะ” อภิรมย์ถามกวนๆ

    “แน่ใจที่สุด” ศิขาบอกแล้วก็ฟังเสียงหัวเราะสดใสของน้องสาวเธอ

    “งั้นก็ได้” อภิรมย์ให้รายละเอียดไป ก่อนตัดบทแล้ววางสาย

    เขาถอนหายใจยาว ท่าทางคนบ้านนี้เอาเรื่องพอควร และรู้ว่าน้องชายเธอจะมานอนเฝ้าไข้ในตอนเย็น ท่าทางเธออาจต้องอยู่โรงพยาบาลอีกพักใหญ่

    **************************************

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×