ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 01 ดูตัว
ไร่แห้ว...ไม่จำกัดรัก ตอนที่ 1
เสียงหัวเราะดังขึ้นหลังจากคนเยาว์วัยกว่าฟังคำขอของคนสูงวัย หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสุภาพยิ้มให้ แล้วก็พยักหน้าช้าๆ ก่อนหันไปมองนกเขาพันธุ์ดีที่เจ้าของบ้านสะสมไว้
“ช่วยหน่อยเถอะ น้องน้ำ ลุงก็งงๆ ไอ้ลูกชายมันซื้อไอ้นี่มาให้ใช้ แล้วมันก็ไปนอน ไอ้ลุงก็ทำไม่เป็น อยากอัดเสียงนกเขาเป็นริงค์โทนน่ะ จะได้ไม่เหมือนใคร เสียงลูกๆ ลุงทั้งนั้น เลี้ยงมันยังดีกว่าเลี้ยงลูกแท้ๆ ลูกมันไม่สนใจเรา สนใจแต่ออกไปกับเพื่อน นานๆ กลับมาที” ลุงสมานพูดคุยกับหญิงสาวต่างวัยอย่างเอ็นดู ฟังคนตอบเป็นภาษาพื้นบ้านก็ยิ่งพอใจ
“เดี๋ยวน้องดูให้นะเจ้า” อรรณตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเอื้อมมือไปหยิบกล่องบรรจุใหม่เอี่ยมที่คนสูงวัยไม่กล้าแกะ
“น้องน้ำกลับมานานหรือยัง ลุงได้ข่าวอยู่ แต่ไม่เห็นหน้าเห็นตา อุ๊ยแจ่มจันทร์สบายดีหรือ” ลุงสมานยิ้มอย่างพอใจที่มีคนรุ่นลูกมาช่วยเหลือยามนี้
“ก็นานพอดูจ๊ะ ลุง แต่น้องมัวแต่จัดการเรื่องไร่น่ะจ๊ะ ไม่มีเวลามาเยี่ยมใครๆ เลย วันนี้มีโอกาส ก็เลยหยิบข้าวของมาฝากเป็นการสวัสดีจ๊ะ ส่วนอุ๊ยสบายดีเจ้า เป็นคนแก่อายุเก้าสิบที่ยังชอบเดินไปโน้นมานี่ตลอดเลยเจ้า” เธอค่อยๆ แกะ แล้วก็คุยกับลุงเจ้าของบ้านไปด้วย
“ลุงก็นับถือแกอยู่ เมื่อเดือนก่อนมีงานบุญ ก็ยังเห็นอุ๊ยแจ่มไปงานอยู่นะเนี่ย ว่าแต่น้องน้ำเถอะ จบจากเมืองนอกเมืองนามาทำไร่ทำสวนแบบนี้ น้องน้ำจะไม่เบื่อหรือ” ลุงสมานถามไถ่อย่างอารมณ์ดี
“ไม่หรอกจ๊ะ ก็เพราะอุ๊ยแก่มากแล้ว น้องก็เลยต้องมาอยู่คอยดูแลไงเจ้า” อรรณตอบแล้วก็แกะคู่มืออ่าน แต่ก่อนจะได้พูดอะไร ก็เห็นลูกชายลุงสมานเดินเก่าหัวงัวเงียออกมาจากห้อง
“อ้าว พี่น้ำ” สว่างหรี่ตามองแล้วทักทายแบบลวกๆ
“ไง หว่าง” อรรณวางมือแล้วทักทาย
“ก็ดีพี่” เขาไม่สนใจนัก แม้เธอจะสวยแค่ไหน เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นมากกว่า
อรรณไม่สนใจนัก ก่อนหันมาคุยกับลุงสมานต่อ “ไม่ยากเน้อเจ้า ลุงกดตรงนี้ค้างไว้ก่อน มันจะเปิดเครื่อง แล้วกดตรงนี้ มันจะเลื่อนไปที่ช่องกดอัด แล้วกดตรงนี้อีกที”
เธอพยายามอธิบายไปเรื่อยๆ ก่อนกดอัดให้ดู แล้วให้ลุงฟังจากสาย จากนั้นก็กดอัดเป็นตัวอย่างอีกรอบ ทบทวนกันหลายครั้ง อย่างใจเย็น
“น้องน้ำนี่ใจดีเน้อ ใจเย็นเป็นน้ำสมชื่อเลย ถ้าเป็นไอ้หว่าง มันคงด่าลุงไปละ” ลุงสมานยิ้มแก้มปริ ที่มีหลานสาวใจดีคอยสอน
“ไม่เป็นไรเจ้า น้องเข้าใจ อธิบายกี่รอบก็ได้” อรรณยังคงสอนต่อไป แล้วให้ลุงแกทดลองทำเองจนใกล้จะเป็น
หากเสียงกระแทกประตูชานบ้านก็ดังขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงกุมปืนแล้วหันมาทางคนด้านใน หญิงสาวกับลุงสูงวัยก็หันไปมองอย่างงงๆ
“ยกมือขึ้น พวกคุณถูกจับแล้ว” ชายหนุ่มลืมโกนหนวดพูดขึ้นโดยไม่สนใจอะไร ก่อนสั่งให้ลูกน้องเดินเข้ามาจับทั้งสองคนใส่กุญแจมือ
อรรณขยับถอยไม่ยอมให้ใส่ แต่ยังไม่ทันได้อธิบาย ก็ถูกตำรวจหนุ่มจับล็อกแล้วใส่กุญแจมือจากด้านหลัง
“คิดขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่เหรอ” ตำรวจหนุ่มนอกเครื่องแบบจับเธอกดลงบนโต๊ะ แล้วใส่อย่างไม่สนใจ
“ไม่คิดขัดขวาง แต่มันเรื่องอะไรกัน ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยได้ไหมคะ ในต่างประเทศถ้าคุณคิดจะจับกุมใครก็ควรจะแจ้งข้อกล่าวหา และสิทธิของคนคนนั้นให้รับทราบก่อน ไม่ใช่นึกอยากจับใครใส่กุญแจมือก็ได้แบบนี้” อรรณอธิบายอย่างใจเย็น
“นั่นสิ คุณตำรวจ ผมทำอะไรผิดครับ” ลุงสมานก็เป็นงงที่ถูกจับเช่นกัน
อรรณขมวดคิ้วอย่างสงสัย โดยเอามือไพล่หลังเพราะเขาไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แล้วรอฟังคำตอบอย่างใจเย็น
“ที่นี่เป็นแหล่งผลิตยาบ้า เราพบของกลางเป็นจำนวนมาก โดยอาศัยวิธีการส่งผ่านการซื้อขายนกเขาพวกนี้” ศิขาตอบ ก่อนสั่งให้ลูกน้องเก็บหลักฐานไปให้หมด
“แล้วมีอะไรยืนยันว่าฉันกับลุงสมานมีความผิด ขอให้คุณแสดงหลักฐานมาตอนนี้เวลานี้ ไม่อย่างนั้นก็ถอดกุญแจมือให้ฉัน ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันจะฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทแน่” อรรณพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“ที่โรงเรือนด้านหลังมีอุปกรณ์ผลิตยาบ้าอยู่เยอะแยะ ถ้าไม่มีหลักฐาน ผมไม่กล้าจับหรอกน่า ผมสังเกตนายสว่างมานานแล้ว คนอย่างพวกแกน่ะ อย่ามาทำหัวหมอหน่อยเลย พวกสารเลวไม่มีที่สิ้นสุด” ศิขาด่ากราดแบบไม่ไว้หน้า
“ไอ้หว่าง ไอ้ลูกอกตัญญู หาเรื่องมาให้พ่ออีกแล้ว” ลุงสมานร้องเสียงดังแทบจะขาดใจ เมื่อรู้ว่าลูกทำเลว
อรรณสูดลมหายใจ พยายามให้สงบ ก่อนพูดขึ้น “ถ้าคุณเฝ้าที่นี่มานาน ขอถามหน่อย คุณเคยเห็นฉันหรือมีข้อมูลว่าฉันทำผิดหรือเปล่า ตอบให้ดีนะคะ เพราะทุกอย่างก็คือหลักฐาน”
ศิขามองเธอแล้วขมวดคิ้ว ออกอาการรำคาญนิดๆ แล้วตอบ “ทำไมต้องรู้จักคุณ ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าคุณมีส่วนรู้เห็นด้วย คุณต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน เอาตัวไปได้แล้ว”
อรรณมองลุงสมานทรุดลงร้องไห้แล้วก็ต้องส่ายหน้าช้าๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วพูดอย่างใจเย็น “ถึงฉันไม่รู้ว่าที่นี่ผลิตยาเสพติด ฉันก็ถือว่ามีความผิดด้วยอย่างนั้นหรือ ไม่ทราบว่าตำรวจไทยใช้มาตรฐานใดในโลก มาปฏิบัติกับประชาชนผู้บริสุทธิ์เหรอคะ ฉันไม่รู้หรอกว่า คุณเหนื่อยกับงานแค่ไหน แต่ถ้าคุณจับฉันในข้อหาที่ฉันไม่ได้ทำ เราได้เห็นดีกันแน่”
แม้เธอจะพูดขู่ แต่น้ำเสียงราบเรียบทำให้หลายคนมอง
“นี่เธอยังคิดว่าจะหนีรอดไปได้อย่างนั้นเหรอ” ศิขาชักอารมณ์เสีย ที่อดหลับอดนอนมาหลายวัน เพื่อรอให้นายสว่างผลิตยาหลังจากหยุดเป็นเดือน
“ฉันไม่ต้องหนีก็รอดค่ะ เพราะฉันไม่ได้ทำผิด แล้วคุณมาจับฉันโดยไม่มีหลักฐานว่าฉันทำผิด ฉันยอมไม่ได้” อรรณไม่ยอมให้ใครเข้ามาแตะต้องตัวเธอ
“ผู้กองครับ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” ตำรวจนอกเครื่องแบบอีกคนเข้ามา ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในห้องอย่างประหลาดใจ “น้องน้ำมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมถูกจับใส่กุญแจมือ”
“ก็ทำผิดสิ ถึงต้องโดน เอาล่ะ จะแก้ต่างยังไงไว้ไปที่โรงพักค่อยว่ากัน เธอจะถูกจะผิด ฉันไม่สน ตอนนี้เธออยู่ในบริเวณที่มีการผลิตยาบ้า เพราะงั้นเธอต้องถูกจับ” ศิขาสรุปอย่างรำคาญใจ
“ผู้กองครับ จับไม่ได้ครับ คนนี้จับไม่ได้ครับ ไม่ผิดแน่ๆ คนนี้ไม่ผิด ขืนจับไปตายหมดยกแถวครับ จับไปแต่นายสว่างกับนายสมานเจ้าของบ้านพอครับ” ชีพรีบเตือน
“ทำไมจับไม่ได้วะ ก็อยากมาอยู่ในที่เกิดเหตุทำไม เส้นใหญ่มาจากไหนน่ะเรา” ศิขาชักโมโห เพราะเจอปัญหาขัดแข้งขัดขามานาน
“ผู้กองศิครับ คนนี้ไม่ใช่เส้นใหญ่อย่างเดียวครับ แต่ได้รับการรับรองว่าไม่มีทางทำผิดกฎหมายแน่นอนครับ” ชีพอธิบายอย่างมั่นใจ
“ใครกล้ารับรอง” ศิขาตวาดลูกน้องเสียงดัง
“เฮ้อ โทรไปหาผู้กำกับสุชาติก็ได้ครับ ผมว่าท่านกล้ารับรองแน่นอน เพราะน้องน้ำเป็นหลานสาวของอุ๊ยแจ่มจันทร์ ญาติห่างๆ ของผู้กำกับครับผม” ชีพอธิบายละเอียด
ศิขากำลังจะด่า ก่อนนึกขึ้นได้อย่างเสียฟอร์ม เขารู้จักผู้กำกับสุชาติดี คนนี้ไม่กินนอกกินใน ซื่อตรงแต่รู้จักประนีประนอม แล้วมองหญิงสาวคนนั้นอย่างขัดใจ
“เอาไงดีครับ ผู้กอง” ตำรวจนอกเครื่องแบบอีกคนถาม
“ปล่อยสิวะ รำคาญ จะได้กลับไปนอน เฝ้าตั้งนาน เฝ้าทั้งคืน ง่วงจะตายอยู่แล้ว แต่นายสมานต้องถูกจับกุมไปสอบปากคำก่อน เพราะเป็นเจ้าบ้าน รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องสอบปากคำ” ศิขาแก้เก้ออย่างเสียฟอร์มนิดๆ แล้วมองลูกน้องพาลุงสมานออกไป
“น้องน้ำต้องช่วยลุงนะ ลุงไม่รู้เรื่องจริงๆ” สมานหันมาอ้อนวอน ขอความช่วยเหลือที่เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ “ไอ้ลูกเวรนั่น มันทำเลวแบบนี้นี่เอง ถึงว่ามีเงินซื้อนกให้ลุง”
“ใจเย็นๆ ค่ะ ลุง ในเมื่อลุงบริสุทธิ์ ถ้าตำรวจสอบปากคำเก็บหลักฐานเสร็จก็ปล่อยออกมาเอง อย่าห่วงเลยค่ะ ตำรวจไทยใช่ว่าจะด่วนสรุปไปหมดทุกคน จริงไหมเจ้า อ้ายชีพ” อรรณตบท้ายอย่างประชดประชัน โดยไม่ต้องเสียเวลาพูดกับผู้กองเลือดร้อนนอนไม่พอ
“ใครใช้ให้คุณมาอยู่ในที่แบบนี้ล่ะ ช่วยไม่ได้” ศิขากวนประสาทกลับบ้าง แม้มีความผิด แต่ก็ไม่อยากยอมรับ
“อืม เพิ่งรู้นะคะ ว่าการตัดสินคนด้วยอคติ ทำให้เป็นคนถูกต้องเสมอได้ แล้วคนที่ไม่รู้ต้องผิดเสมอด้วย เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้จริยธรรมกับสัจธรรมไม่ได้ไปด้วยกัน เสียดายจริงๆ คนบางคนโตเสียเปล่า สติปัญญาพัฒนาช้ากว่าอายุ” อรรณพูดขึ้นลอยๆ ขณะหยิบกระเป๋าถือบนโต๊ะ
“นี่เธอ จะมากไปแล้วนะ อยากโดนจับข้อหาหมิ่นเจ้าพนักงานหรือไง” ศิขาอยากเขกกะโหลกคนปากดีสักที แต่ชีพรีบรั้งเอาไว้
อรรณแกล้งทำเป็นนึกออก แล้วหันไปพูดกับเขา “เพิ่งรู้ตัวนะคะว่าพูดกับคุณ แปลกจังเหมือนคุณจะรับคำพูดของฉันยังไงก็ไม่รู้สิ”
“เธอ!” ศิขากำมือแน่น นอกจากจะนอนน้อยยังถูกผู้หญิงบ้าๆ คนนี้ป่วนอีก
“ฉันไปได้หรือยังคะ หรือต้องไปเป็นพยานที่สถานี ก็ยินดีนะคะ อยากแก้ไขอคติของคนหัวแข็งบางคนด้วยค่ะ เกรงว่าจะกลายเป็นผู้ต้องหาโดยไม่จำเป็นอีก ว่าไงเจ้า อ้ายชีพ” อรรณหันมาถามชีพ โดยละเลยคนตำแหน่งสูงกว่า
ชีพทำหน้าลำบากใจ ก่อนพูดขึ้น “ต้องไปครับ น้องน้ำ เพราะน้องน้ำอยู่ในที่เกิดเหตุ ต้องไปสอบปากคำก่อน แล้วค่อยกลับ”
“ได้เจ้า” อรรณหยิบกระเป๋าถือเตรียมเดินตามไป
“หวังว่าคงไม่รบกวนเวลาอันมีค่าเสียมากมายของคุณนะครับ คุณน้องน้ำ” ศิขากระแทกน้ำเสียงใส่อารมณ์ ก่อนหยิบกระเป๋าถือเธอมาถือไว้เอง “ต้องเก็บไว้ตรวจสอบก่อนครับ เผื่อจะมีอะไรผิดปกติ หรือมีคนตั้งใจใส่ร้ายคุณโดยการเอายาบ้าทั้งแพ็กมาใส่กระเป๋าคุณ”
“ขอคืนดีกว่าค่ะ ฉันถือเองได้ ถ้าอยากตรวจสอบก็ขอให้ไปที่โรงพักก่อน แล้วฉันจะเทของทุกอย่างออกมา คุณไม่ต้องกลัวว่าฉันจะแอบทิ้งอะไร เพราะฉันก็ยังอยู่ในระหว่างถูกควบคุมในฐานะพยานค่ะ” อรรณกระชากกับมาด้วยสีหน้าราบเรียบ
ชีพแอบขำ ไม่ต้องกังวลใจว่าผู้กองคนนี้จะใส่อะไรลงไป เพราะได้ชื่อว่าเถรตรง แต่ไม่คิดว่าเพื่อนรุ่นน้องสมัยเด็กจะยังคงจัดจ้านทางภาษา แม้จะไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนาเสียนาน
“ขำอะไร ไปช่วยควบคุมสิ บอกให้เก็บหลักฐานไปให้หมด” ศิขาตีขรึมสั่งงาน ทั้งที่ในใจอยากจะบีบคอระหงนั่นให้แหลก จะได้ไม่พูดจาต่อปากต่อคำกับเขา
อนิจจา...ผู้หญิงอะไร สีหน้านิ่งเรียบได้ตลอด อยากจะรู้นักว่าภายใต้นั้นจะดีอย่างที่ลูกน้องว่าหรือเปล่าเหมือนกัน
*************************************
ที่โรงพัก อรรณทำตามระเบียบทุกอย่าง แล้วให้ความร่วมมือพร้อมอธิบายว่าทำไมเธอถึงไปที่นั่น ชี้แจงว่าเธออยู่ที่ไหนทำอะไรตามระเบียบที่ตำรวจต้องซักถาม ทั้งยังเทของออกมาให้ดู โดยไม่ได้เอาที่อัดเสียงออกมา เพราะมันอยู่ในกระเป๋ากระโปรงของเธอ
“น้องน้ำไปได้แล้วเน้อ ว่าแต่อุ๊ยแจ่มสบายดีไหม” ชีพเดินเข้ามาถามบอกพร้อมถาม
“สบายดีเจ้า ไว้วันหลังไปเที่ยวบ้างเน้อเจ้า” อรรณยิ้มด้วยอัธยาศัยดี
ศิขามองรอยยิ้มสวยๆ แล้วก็นิ่งคิด ‘ยิ้มก็เป็นนี่หว่า’ แต่ถึงจะสวยยังไง เขาก็คงไม่มีเวลาสนใจ เพราะงานเขามากพอดู แล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกบอกเลิกจากแฟนคนก่อน
“ไปแน่ถ้ามีอะไรผิดปกติ นี่กระเป๋าคุณ” ศิขายื่นให้อย่างลวกๆ ก่อนหันหลังเดินออกไป
“ผู้กองก็งี้แหละ อย่าไปถือแกเลย แกเครียด เพราะตามจับมาเป็นเดือนละ นี่ก็แค่รายย่อย รายใหญ่ๆ ยังเข้าไม่ถึงเลย ไม่รู้ว่าทำไมบ้านเราถึงเป็นอย่างงี้” ชีพบ่นอย่างหนักใจ
“สู้ต่อไปเน้อ อ้าย บ้านเรามันใกล้เขตพรมแดนก็อย่างงี้แหละ อย่ากังวล ทำตามหน้าที่ก็พอแล้วเจ้า” อรรณปลอบเพื่อนรุ่นพี่ ที่ไม่ได้เจอมานานถึงสิบปี แม้จะเรียนคนละที่ แต่อยู่ท้องถิ่นเดียวกัน
“อ้าว อ้ายคำปันมารับแล้ว น้องน้ำกลับบ้านเตอะ เดี๋ยวมืดค่ำ อุ๊ยแจ่มจะเป็นห่วง” ชีพหันไปยิ้มให้กับผู้ใหญ่สูงวัยที่เดินมา
อรรณรับคำ ก่อนเดินไปหาคำปัน แล้วนึกขึ้นได้ “อ้ายชีพ แล้วลุงหมานล่ะ”
“อ๋อ แกไม่ได้ทำผิด ก็ตั้งแต่เฝ้ามา แกก็อยู่แต่บนบ้าน ไม่ได้ลงไปที่โรงเรือนด้านหลัง แต่เพราะเป็นเจ้าบ้านน่ะ อาจจะต้องจัดการอีกหน่อย เป็นหน้าที่ของอ้ายเอง น้องน้ำไม่ต้องเป็นห่วง อ๋อ แล้วไปหาพี่คำหล้าบ้างเน้อ ไม่ได้เจอกันนานคงจะคิดถึง” ชีพพูดถึงภรรยาเขา ที่เคยวิ่งเล่นกันมาก่อน
อรรณรับคำก่อนเดินไปพร้อมคำปัน ที่เป็นห่วงและบ่นนิดๆ แต่เธอก็ปลอบไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่
ศิขาแอบมองอยู่แต่ก็ยังไม่หายขัดใจเสียทีเดียว จากนั้นก็เดินกลับไปเก็บของกลับไปพัก เพื่อจะได้มีแรงเขียนรายงานให้เจ้านายอีกที
รอยยิ้มปลื้มใจของคนเป็นยายและเป็นป้าสดใสชัด วัยที่ล่วงเลยและบ้วนน้ำหมากมานานของยายแจ่มจันทร์ กลับสดใสกว่าที่ชาวบ้านคิดนัก เพราะมีหลานสองคนช่วยกันอุ้มแกขึ้นบันได อีกคนช่วยถือกระเป๋าให้และพอเป็นหน้าเป็นตาให้ยายแจ่มจันทร์ได้
“สวัสดีเจ้า อุ๊ยแจ่ม อ้าววันนี้อีเงินไม่มาด้วยเหรอ” แม่หลวงพรทักทาย ที่ได้เป็นแม่หลวง เพราะสามีแกเป็นพ่อหลวง หรือเป็นผู้ใหญ่บ้านในภาษากลางนั่นเอง ชาวบ้านจึงเรียกแกว่าแม่หลวงจนติดปาก เพราะไม่มีใครคิดจะแข่งขันเป็นผู้ใหญ่บ้านกับสามีแก
“อยู่เย็นเป็นสุขเน้อ แม่หลวง อีเงินมันอยากรีบซักผ้า อีกอย่างมันต้องดูคนงานเช็ดห้องทำความสะอาด มันเลยฝากมาทำบุญเน้อ” ยายแจ่มจันทร์ยิ้มแป้น ก่อนแนะนำหลานสาว “แม่หลวงๆ นี่น้องน้ำจำได้ไหม”
“จำเกือบไม่ได้ งามแต้เน้อ ได้ยินว่ากลับมาอยู่บ้านเรานานแล้ว อุ๊ยคงหวงหลานสาวคนนี้เน้อ เพิ่งจะพามาออกงาน” แม่หลวงพรยิ้มให้
“ไม่ใช่เลย มัวยุ่งๆ เรื่องในไร่ในสวน แต่ก็ส่งอ้ายดอยกับไอ้ลมมาช่วยเหลืองานตลอดเลยนี่” ยายแจ่มจันทร์หันไปมองหลานๆ จัดแจงทุกอย่าง
หลานสาวคนที่เธอเก็บมาเลี้ยง เริ่มตั้งแต่อรรณหรือน้ำ ต่อมาก็สองพี่น้อง ธรากับอภิรมย์
อรรณถูกพ่อแม่เอามาทิ้งไว้ในวันน้ำมาก ฝนตกหนัก ตั้งแต่แบเบาะ นางขันเงินหลานสาวคนสนิทของยายแจ่มจันทร์ไปพบเข้า ทำให้ยายแจ่มจันทร์ที่เคยขี้เหนียวตระหนี่และกำลังสิ้นหวังกับชีวิตก็ได้เห็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้น จากคนไม่ค่อยทำบุญก็ทำมากขึ้น ให้การเลี้ยงดูเด็กทารกราวกับหลานแท้ๆ เพราะตั้งแต่มาอยู่กับยายแก ยายแกก็หายจากโรคภัยที่รุมเร้า
ส่วนธรากับอภิรมย์ถูกทิ้งไว้ที่ท่ารถ ตอนแกกำลังจะกลับจากตรวจโรคและพบว่าตัวเองหายขาด จึงรับเลี้ยงเอาไว้ เมื่อไม่มีพ่อแม่มาตามหา และตามหาพ่อแม่ไม่พบ เด็กสองคนตอนนั้นคนหนึ่งสองขวบ อีกคนสามขวบ และอรรณก็อายุเพียงห้าขวบเท่านั้น แกก็ชุบเลี้ยงเด็กทั้งสามคนเรื่อยมาในไร่แห้วของแก
ธรา...เป็นหนุ่มเด็กเรียนเก็บตัวไม่ค่อยได้แต่งเนื้อแต่งตัวเท่าไร แต่ก็เป็นกำลังให้ยายได้ดี เมื่อถูกลากมาวัด ไม่อยากนั้นเก็บตัวอยู่แต่ในห้องทำงานของตัวเอง แล้วไม่ออกไปไหน แม้แต่ในไร่
อภิรมย์ค่อนข้างลุยกว่ามาก เป็นหญิงสาวร่างอวบอ้วนที่คล่องตัว ทำไร่ออกแดดช่วยยายแจ่มเรื่อยมา ขณะที่อรรณนั้นตั้งใจไปเรียนต่อเมืองนอก และกลับมาพร้อมเงินส่วนตัวจำนวนมาก ที่เกิดจากการทำงานด้วยตัวเอง ไม่เคยขอแบ่งมาจากยายแจ่มจันทร์แม้แต่น้อย
“น้ำเอ๊ย ไหว้ผู้ใหญ่เสียลูก เป็นสิริมงคลกับตัวเอง” แจ่มจันทร์บอกหลานสาว และได้ยิ้ม เพราะยังบอกไม่จบ ผู้ใหญ่ก็รับไหว้กันเป็นทิวแถว ยายแกก็มองหลานสาวอย่างภูมิใจ
“นึกว่าไปอยู่เมืองนอกเมืองนานจะทำตัวเหมือนฝรั่ง ที่แท้ก็มารยาทงามเหมือนเดิมเลยเน้อ” แม่หลวงออกปากชมแทนชาวบ้าน
“น้องก็ขอขมาที่ไม่ได้มาไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน หลังจากกลับมาแล้ว พอดีในไร่มีอะไรหลายอย่างต้องเรียนรู้อีกมาก น้องก็เลยเพิ่งจะว่างเน้อเจ้า” อรรณทักทายเป็นภาษาเหนือ เหมือนที่ทุกคนก็พูดภาษาถิ่น
“งามอย่างนี้ไม่มีใครโกรธลงเน้อ พ่อได้เห็นหน้าอีหล้าก็ดีใจแล้ว ใช่ไหมแม่” พ่อหลวงชัยวุฒิยิ้มปลื้มไม่แพ้กัน
“พ่อหลวง พี่สาวเราคนนี้นอกจากกลับมาแล้ว ยังใจดีซื้อของมาถวายวัดเยอะแยะเลยเน้อ น้องให้คนขนของมาแล้วเอามาถวายหลวงลุง” อภิรมย์พูดแทนพี่สาว ท่าทางโผงผางของเธอทำให้ผู้ชายเกรงใจอยู่ไม่น้อย
“ไอ้ดอย อย่ามัวแต่นั่งอ่านหนังสือ ทักทายพูดกับผู้ใหญ่บ้างสิ” ยายแจ่มจันทร์พยายามดึงหลานชายอีกคนออกจากหนังสือ
ธราก็มองแล้วก็พยักหน้า ทักทายเสียงค่อยๆ “สวัสดีครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก อุ๊ย อ้ายดอยไม่ค่อยพูดมากอยู่แล้ว พวกเราก็ชินเสียแล้ว” พ่อหลวงก็หัวเราะอารมณ์ดี ไม่ถือสา เพราะรู้ว่าบ้านนี้ถึงนิสัยแตกต่างกัน แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจ ก่อนหันเห็นผู้กองหนุ่มเดินขึ้นมา “ผู้กองๆ มาทำบุญด้วยเหรอ”
“ครับๆ สวัสดีครับ” เขามองไปรอบๆ เห็นชีพก็พยักหน้าด้วย แล้วเอาถุงใส่ของส่งให้ลูกน้อง
“ได้ข่าวว่าวันก่อนจับน้องน้ำด้วยใช่ไหม งามๆ แบบนี้จับลงเหรอครับ” พ่อหลวงถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง ออกแนวล้อนิดๆ เพราะหัวเราะอย่างเอ็นดูในตอนท้าย
อภิรมย์หันขวับไปมองผู้กองหนุ่มทันที ปกติโผงผาง แต่เพราะพระมากันแล้ว จึงเงียบลง แล้วก็แอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในที ส่วนธรานั้นวางหนังสือแล้วมองรอดแว่น ก่อนยกมือไหว้พระเมื่อเริ่มเทศน์ แล้วค่อยๆ พิงเสาหลับอย่างตั้งใจ และเมื่อถวายเพลเสร็จก็โดนน้องสาวปลุก ก่อนมองตามพี่สาวที่เดินลงข้างล่างทิ้งให้ยายนั่งอยู่ข้างบน เพื่อช่วยกันเก็บของและยกถาดอาหารมานั่งรอพระฉันเพลเสร็จ ค่อยเริ่มทานกัน
อรรณจัดการกับอาหารที่เหลือจากถวายเพล แล้วแจกจ่ายลงจาน เพื่อให้เด็กวัดได้เตรียมทาน ขณะที่พระก็อนุญาตให้ญาติโยมทานอาหารได้ แต่หลังจากที่พระฉันเสร็จแล้ว เพราะมีประชุมเรื่องงานวัดต่ะ และชาวบ้านก็พร้อมกันที่นี่แล้ว
เมื่อจัดทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็เอาขึ้นมาแจกจ่ายกัน รอพระให้พรจึงค่อยเริ่มทานกัน แต่ยายแจ่มจันทร์พูดขึ้นมาก่อน “ไอ้ลม ไปเอาจานข้าวมาให้ผู้กองศิด้วย อย่าเพิ่งรีบกลับเลยนะผู้กอง ยังไงก็มาแล้ว ร่วมทานอาหารด้วยกัน บ้านยายก็มีอะไรง่ายๆ แบบนี้เสมอ ยังไม่ไปอีก ไอ้ลม” ยายแจ่มจันทร์หันไปดุหลานสาว
อภิรมย์ทำหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนลงไปและกลับมาพร้อมจานข้าว เพราะตรงนั้นมีถาดกับข้าวอยู่แล้ว ก่อนกระแทกลงพื้นเล็กน้อย บอกให้รู้ว่าไม่ชอบใจ ก่อนกลับมาที่วงข้าวตัวเอง
“ทำไมทำแบบนั้นล่ะ ลม เคยมีเรื่องกับผู้กองเหรอ” อรรณถามน้องสาว
“เปล่า ก็เพิ่งจะมีตอนที่รู้ว่าจับพี่น้ำเนี่ยแหละ เพิ่งรู้ว่าวันที่ให้น้าคำปันไปรับ เพราะไอ้ผู้กองคนนี้มั่วจับคนนี่เอง” อภิรมย์พูดกับพี่สาวอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก
“น้องลมจะพูดอย่างนั้นได้ยังไง ผู้กองเขาไม่รู้ คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็เป็นผู้ต้องสงสัยทั้งนั้นเน้อ” ชีพช่วยเจ้านายแก้ตัว
“อ๋อ งั้นตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็เป็นผู้ต้องสงสัยด้วยใช่ไหม อ้ายชีพ” อภิรมย์พูดยอกย้อน ก่อนถูกยายตบกะโหลกไปที “โอ๊ย! อุ๊ยแจ่มอ่ะ”
“กินข้าว พูดมาก” ยายแจ่มจันทร์ดุหลานสาวคนเล็ก
“ลม พี่ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ก็อยากให้ตำรวจระมัดระวังตัวในการทำงานหน่อย เพราะคนหัวหมอมีเยอะ ถ้าไม่คิดถึงใจคนอื่น ก็คิดถึงทรัพย์สินที่ราชการจะต้องเสียไป เพราะความเข้าใจผิดของตัวเองจะดีกว่านะ” อรรณพูดออกมาทำเอาศิขานึกมันเขี้ยวขึ้นมา อยากจะตอบโต้ แต่ติดที่อยู่ท่ามกลางคนสนิทๆ กับเธอเท่านั้น
ชีพได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน ส่วนคำหล้าก็มองสามีเป็นเชิงถามว่าเรื่องอะไร เพราะสามีเล่าให้ฟังเรื่องที่อรรณถูกควบคุมตัวเรื่องคดียาบ้า แต่เป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น
เมื่อทานอาหารเสร็จ ชาวบ้านกำลังรวมตัวกันพูดคุยเรื่องงานวัด อรรณลงมาพร้อมน้องๆ ช่วยชาวบ้านอีกกลุ่มล้างจาน แล้วต้องมองคนที่มาช่วยเธออย่างแปลกใจ
“เพิ่งรู้ว่าคนหัวหมอก็ชอบหาเสียงเหมือนกัน ปีหน้าจะลงสมัครเลือกตั้งหรือยังไง ทั้งเลี้ยงอาหาร ทั้งลงมาช่วยล้างจานชามแบบนี้” ศิขาหาทางเล่นงานเธอกลับได้แล้ว
“ชัทอัพ!” อรรณลืมตัวพูดเป็นภาษาอังกฤษออกมา ก่อนเปลี่ยน “ถ้าคุณทำงานอย่างสงบไม่ได้ ก็ไปทำที่อื่น ไม่ต้องมาทำตรงนี้กับฉัน เพราะฉันไม่ต้อนรับคนที่มีอคิตสูงอย่างคุณ”
“โธ่ ตรงอื่นคนช่วยเยอะแล้วนี่นะ เห็นทำอยู่คนเดียวก็มีน้ำใจจะช่วย อีกอย่างคนอคิตเยอะเห็นจะไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก ทางคุณก็น่าจะมากเหมือนกัน เขาว่าคนสวยๆ ยิ่งอคิตเยอะพอๆ กับอีโก้” ศิขาได้ทีก็เล่นคำเข้าให้
อรรณหยุดมือจ้องเขาอย่างเอาเรื่องเล็กน้อย นานแล้วไม่ค่อยมีใครหาเรื่องเธออย่างเขา ความสวยช่วยให้เธอมีผู้ชายมากมายเข้ามาเอาใจ เพิ่งจะเจอผู้ชายปากเสียพยายามหาเรื่องเธอ ตั้งแต่เรื่องจับคนผิดตัวนั่นแหละ
“เดี๋ยวนี้พูดไม่เป็นแล้วเหรอ หรือต้องถูกจับก่อนค่อยพูดออกล่ะ” ศิขายังคงเล่นลิ้นกับเธอไปเรื่อยๆ ก่อนเขาตกใจเมื่อน้ำเทรดใส่เขาเต็มๆ
“อุ๊ย! ขอโทษนะฮะ ผู้กอง เห็นว่าแถวนี้ร้อนๆ ก็เลยเอาน้ำมาเติมให้พี่น้ำ แหม ผู้กองเนี่ยตัวเล็กจังมองแทบไม่เห็น” อภิรมย์หัวเราะ ก่อนมองผู้กองหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วกำลังจะเอาเรื่อง
“ผู้กองไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่านะครับ ทางนี้ผมจัดการเอง “ไอ้ลมขอล่ะวะ อย่าหาเรื่องหาราวกันเลยเน้อ อ้ายขอร้องเตอะ” ชีพรีบเข้าไปเคลียร์แทนกลัวว่าจะมีเรื่องมากกว่านี้
“เอ๊ะ! อ้ายชีพนี้ มาหาว่าเฮาหาเรื่อง บ่ได้หาเรื่องเน้อ จะเอาน้ำมาเติมให้พี่น้ำ จะได้รีบๆ ล้างจานให้เสร็จๆ จะได้ขึ้นไปบนศาลาเน้อ มะ พี่น้ำ ลมช่วย” อริรมย์ทำมึนไม่สนใจเสียอย่างนั้น เรื่องอะไรจะยอมรับง่ายๆ
“น่าจับข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงานจริงๆ” ศิขาพูดขึ้นลอยๆ
“ไม่เห็นเครื่องแบบ แถมไม่ได้อยู่ในหน้าที่ ไม่เรียกว่าทำร้ายเจ้าพนักงานหรอกนะคะ อุ๊ย! ขอโทษคะ ที่หัวหมออีกแล้ว” อรรณพูดขึ้นลอยๆ เช่นกัน แล้วไม่มองคนน่ารำคาญ
ชีพรีบขอให้หัวหน้าเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะได้เอาเสื้อผ้าไปตากให้ “ขอโทษด้วยนะครับ ผู้กอง ชาวบ้านก็อย่างนี้ เข้าใจผิดกันก็เรื่องยาวเลยทีเดียว”
“หัวดื้อทั้งบ้านล่ะสิไม่ว่า” ศิขาพูดขึ้น ขณะเปลี่ยนเสื้อสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรม
ชีพแค่ยิ้มแห้งๆ ก่อนออกไป เพื่อให้ผู้กองแต่งตัว เขาก็แค่จ่าตัวเล็กในพื้นที่ที่แสนห่างไกลความเจริญแบบนี้ จะอะไรได้มาก ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ก็ต้องอยู่กับพวกชาวบ้านให้ได้
*************************************
หลังประชุมที่วัดเสร็จ สามพี่น้องรีบพายายกลับบ้าน เพราะไม่อยากมีเรื่องกับผู้กองอารมณ์ร้อนจอมหาเรื่อง อีกทั้งยายได้บอกก่อนแล้วว่ามีเรื่องจะคุยกับหลานๆ เมื่อมาถึงก็เป็นผู้หญิงวัยสามสิบกับเด็กหญิงวัยเก้าขวบนั่งอยู่
“มีอะไรล่ะ นางไล เดือนนี้จะเอาอะไรอีกล่ะ” ยายแจ่มจันทร์ถามขึ้นแล้วส่ายหน้า “ไอ้เงิน ทำไมไม่ถามแล้วไปจัดการตามปรกติ”
“แม่ ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี ถ้าเป็นสิ่งของพอจะจัดการให้ได้ แต่นี่มันจะเอาเงินก็เลยต้องให้มันมารอแม่เนี่ยแหละจ๊ะ” ขันเงิน...สูงวัยใกล้หกสิบรายงานไปตามเรื่อง
“ที่นี่ไม่มีเงินให้หรอกนะ แม่ไล คนทุกคนที่มาขอความช่วยเหลือที่นี่ก็รู้กันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” แจ่มจันทร์บอกออกชัด และนั่งลงที่ศาลาที่นั่งสูงเต็มพื้นที่ และมีโต๊ะตั้งอยู่ ทางภาพเหนือเรียก ‘ฮ้าน’ ก่อนหยิบขันน้ำที่ขันเงินหลานสาวหยิบมาให้
“แต่แม่อุ๊ยเจ้า อ้ายขวัญมันเอาเงินข้าเจ้าไปจนหมดแล้ว ไอ้แป้งมันก็ไม่มีเงินค่าธรรมเนียมเทอมนี้แล้วเจ้า” วิไลพยายามชี้แจงอย่างหมดปัญญา
“พี่วิไล ที่นี่มีกฎ ถ้าตั้งกฎมาแล้วไม่มีใครทำ ก็ไม่รู้จะมีกฎทำไม อุ๊ยน่ะใจบุญมากแค่ไหนแล้ว เลี้ยงปลาให้กิน ปลูกกล้วยให้ด้วย แล้วยังมีเสื้อผ้าชุดนักเรียนให้เด็กๆ แล้วก็เสื้อผ้าง่ายๆ ของผู้ใหญ่ แค่เรื่องเดียวที่ให้ไม่ได้คือให้ยืมเงิน ถ้าทุกคนพูดความจำเป็นของตัวเองเพื่อยืมเงินหมด กี่แสนกี่ล้าน มันก็ไม่พอหรอกนะ” อภิรมณ์ส่ายหน้าช้าๆ
อรรณมองหน้าที่เป็นสีช้ำ คาดว่าเมื่อคืนคงโดนซ้อมมา แต่หากทุกคนเดินเข้ามาพร้อมรอยฟกช้ำแล้วได้รับความช่วยเหลือโดยไม่ทำอะไร คนที่ชอบเอาเปรียบคนอื่นก็จะเดินเข้ามาที่นี่เรื่อยๆ แล้วเงินเท่าไรที่มีก็คงช่วยได้ไม่หมดสิ้น
ธรากลับหาที่นั่งและเลี่ยงนิดๆ ก่อนหยิบหนังสือมาอ่านอย่างสบายใจ
“แม่อุ๊ยแจ่มช่วยเราด้วยเถอะเจ้า เราไม่มีที่พึ่งที่ไหนแล้ว ขอยืมเงินท่าเทอมให้ไอ้แป้งสักสองพันเถอะเจ้า” วิไลพยายามร้องขอ
“พี่วิไล ที่นี่ไม่มีใครให้เงินใครยืมหรอก ถ้าพี่อยากได้เงิน พี่ก็ต้องทำงานแลกมันมา แต่พี่ก็มีงานประจำอยู่แล้ว เอาอย่างนี้ ช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอม ให้ไอ้แป้งมันมาช่วยงานที่นี่ ทำเล็กๆ น้อยๆ ให้วันละห้าสิบบาท ถ้าขยันทำอย่างอื่นด้วย ก็จะให้พิเศษต่างหาก ส่วนพี่ก็มาทำงานหลังเลิกงาน ครบสองพันเมื่อไร ก็มารับเงินแล้วก็อย่าทำแบบนี้อีก ไอ้ลมพาพี่วิไลไปให้เด็กๆ ทำแผลแล้วก็หาข้าวหาปลาให้กินกัน แล้วกลับมาคุยเรื่องที่เราต้องคุยกันบนเรือนดีกว่าเน้อ” อรรณสรุปและถือเป็นสิทธิขาด
ขันเงินถอนหายใจยาว ก่อนนั่งลง “นี่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างใด ถ้าไม่มีน้องน้ำเน้อ”
“เดี๋ยวก็หาทางไปได้เองล่ะเจ้า เราขึ้นบนบ้านดีกว่าเจ้า เดี๋ยวค่อยลงมานั่งข้างล่างเน้อ” อรรณชวนป้ากับยายขึ้นชั้นบน และกระทุ้งน้องชายขึ้นด้วย ก่อนจะนั่งอ่านอยู่ตรงนี้แล้วไม่สนใจเรื่องที่จะคุยกัน
เมื่ออภิรมย์มาถึง ก็ไล่คนงานบนบ้านลงไปก่อน แจ่มจันทร์จะเริ่มพูดเป็นคนแรก “ ที่อุ๊ยเรียกทุกคนมาวันนี้ ก็เพื่อจะบอกเรื่องสำคัญ อุ๊ยกับแม่เงินได้หารือกันเรื่องอนาคตของหลานๆ เพราะอีกไม่นานอุ๊ยก็คงจะต้องไปจากโลกนี้ แต่อุ๊ยยังมีเรื่องที่เป็นห่วงอยู่หลายเรื่องด้วยกัน”
“โธ่! อุ๊ยยังแข็งแรงอยู่เน้อ” อภิรมย์พูดขึ้นแล้วถอนหายใจ เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่า อุ๊ยอายุจะเข้าเลขเก้าแล้ว
“อีลม มึงฟังกูก่อนได้ไหม กูรู้ตัวดีว่ากูแก่จนไม่รู้จะลงโลงวันไหนแล้ว ไม่ต้องมาพูดปดกู” ยายแจ่มจันทร์ก็ขึ้นเสียงดังลั่น ก่อนส่ายหน้าแล้วหันไปมองหลานแต่ละคน จากนั้นก็พูดต่อ “แม่เงินของหลานๆ ก็อยู่เป็นโสด ซึ่งอุ๊ยก็รู้ว่าเป็นความผิดของอุ๊ยที่ขี้เหนียว ไม่ยอมให้แม่เงินของหลานได้แต่งงาน ป้าขอโทษเน้อ”
“แม่ก็นะ ดีเสียอีก ดูอ้ายมลนั่นล่ะ ตอนนี้วันๆ เอาแต่กินเหล้าเมายา มีลูกก็ใช้ไม่ได้ แม่ต่างหากที่ช่วยให้ฉันได้มีชีวิตที่ดี มีลูกหลานที่น่ารักถึงสามคน แค่นี้ก็พอแล้ว” ขันเงินพูดอย่างสบายใจ แม้จะเคยโกรธ แต่มาเป็นผลลับที่คิดว่าจะดีกว่านี้ก็รู้สึกโชคดีมากกว่าโชคร้าย
“ตกลงอุ๊ยกับแม่มีอะไรมากกว่านี้ไหมเนี่ย” อภิรมย์ที่ใจร้อนก็ถามขึ้นมา
“อีนี่ มันจะใจเย็นๆ เหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้หรือยังไงวะ ไอ้ดอย มึงวางหนังสือสิกๆ ลงเดี๋ยวนี้ แล้วตั้งใจฟังให้ดีๆ” แจ่มจันทร์หันไปปรามหลานชาย ก่อนพูดต่ออีก “ยายมีเรื่องจะพูด ก็เป็นเรื่องการแบ่งสมบัตินี่แหละ หมู่เจ้าก็รู้ว่าสมบัติยายมีเยอะแยะ ที่ดินร้อยไร่ เป็นไร่แห้วแปดสิบ นาข้าวอีกสิบ แล้วก็บ่อปลา สวนกล้วย สวนผัก ต้องคุยให้มันรู้เรื่องกันไป ไม่อย่างนั้นวันหน้า ไอ้หมู่ญาติโกโหติกาทั้งหลายจากทุกสารทิศมันจะมาแย่งเอาของหมู่สูไปหมด”
ยายแจ่มจันทร์พักดื่มน้ำก่อนจะพูดต่อไปอีก “อุ๊ยก็รู้ว่า นอกจากขี้เหนียวแล้วยายยังลำเอียง ไม่ได้ยุติธรรม เพราะงั้นการแบ่งสมบัติก็ยังเป็นเรื่องของความลำเอียงเหมือนเดิม”
อภิรมย์หัวเราะกร๊ากออกมาเป็นคนแรก “โอ๊ย! อุ๊ยจะยกให้พี่น้ำหมดก็ไม่ใช่ปัญหา อย่างไงๆ พี่น้ำก็ต้องเลี้ยงลมกับอ้ายดอยอยู่แล้ว”
“ไอ้ลม มึงฟังกูก่อน” แจ่มจันทร์ก็ต้องปรามๆ หลานสาวคนเล็ก อย่างเร็วๆ แล้วพูดต่อ “ที่อุ๊ยเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องนั้น อุ๊ยอยากเห็นเหลนก่อนตาย อุ๊ยอยากเห็นหมู่สูได้มีคู่ครองที่ดี ได้มีคนมาดูแล แต่กลับมาเรื่องสมบัติก่อนดีกว่า”
ธราขมวดคิ้วเป็นงง เพราะเขาก็ไม่เคยคิดเรื่องมีคู่ครอง หน้าอย่างเขาจะไปหาคู่ครองมาจากไหน ทั้งผมยาวปละบ่า เสื้อผ้าเก่าๆ ที่เขาไม่คิดจะซื้อใหม่ ถ้ามันยังไม่ขาด อีกทั้งเขาพอใจชีวิตเขาอยู่แล้ว
“อุ๊ยจะแบ่งที่ดินออกเป็นสามส่วน ไม่เท่ากัน ส่วนหนึ่งห้าสิบกว่าไร่ อุ๊ยจะยกให้น้ำ เพราะมันต้องดูแลอุ๊ยกับแม่ ส่วนเรื่องรายได้ ไอ้ลม เอ็งต้องให้พี่น้ำครึ่งหนึ่ง ถึงเอ็งจะดูแลมานานก็ตาม ส่วนเอ็งสองคนก็เอาไปแบ่งกันคนละครึ่ง จะว่ายังไง” แจ่มจันทร์ถามหลานทั้งสาม
“มันไม่ยุติธรรมสำหรับน้องๆ เน้อ” อรรณพูดก่อนคนแรก แต่น้องสาวกระทุ้งห้ามไว้
“ตกลงตามนี้ โอเคบ่ อ้ายดอย” อภิรมย์หันไปถามพี่ชายร่วมสายเลือด
“ตกลงตามนั้นเลยครับ จริงๆ แล้วนะ อุ๊ยจะให้พี่น้ำหมด ผมก็ไม่มีปัญหา งานการก็มีทำ เงินก็ได้รับแบ่งจากส่วนกลางทุกเดือน อีกอย่างพี่น้ำคงไม่ทิ้งน้องอย่างผมกับลมหรอก” ธราพูดยาวๆ ทำเอาคนทั้งวงมองด้วยความประหลาดใจ
ยายแจ่มจันทร์มีสติกว่า ก็พูดต่อ “ตกลงเรื่องแบ่งสมบัติไม่มีปัญหา ไอ้ลมยังช่วยทำงานเหมือนเดิมเน้อ มาอีกเรื่อง เรื่องสำคัญ เรื่องคู่ครองเนี่ยแหละ อุ๊ยไม่ห่วงเรื่องไอ้ลม ยิ่งน้ำ อุ๊ยยิ่งไม่ห่วง ถ้าออกงานหน่อย รับรองหัวกระไดบ้านคงไม่แห้ง ส่วนไอ้ลมมันก็แล้วแต่มัน จะแต่งผัวหรือแต่งเมียก็เรื่องของมัน”
“เอ๊ะ! ทำไมอุ๊ยพูดอย่างนั้นอ่ะ ถึงฉันจะอ้วน แต่ก็นะ แค่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจเท่านั้น ว่าแต่อะไรทำให้อุ๊ยคิดว่าฉันจะแต่งเมียด้วยล่ะ” อภิรมย์พูดอย่างเสียเส้น
“ก็ตั้งแต่แกจูบกับไอ้เบลนั่นแหละ ฮ่าๆ” ขันเงินบอกก็หัวเราะ จึงโดนหลานสาวค้อนเข้าให้
“พอๆ ไอ้เงิน กลับมาเรื่องนี้ดีกว่า อุ๊ยจะให้ไอ้ดอยมันดูตัว” ยายแจ่มจันทร์ทำฟ้าผ่ากลางบ้านดังเปรี้ยง ทำเอาคนอึ้งไปเป็นแถบ
สามพี่น้องมองหน้ากัน แม้แต่ธรายังต้องเงยหน้ามองให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด
*************************************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น