ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อภินิหารแห่งเอลมอร์

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑ หมู่บ้านเอลฟ์ (Elve Village)

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 48


    ขออุทิศเรื่องนี้ ให้กับ Marry J. Donnahiew เพื่อนที่แสนดี ซึ่งตอนนี้ นอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสงบ

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    The Miracle in Elmore

    อภินิหารแห่งเอลมอร์

    Chapter 1 : Elve Village

    บทที่ ๑ : หมู่บ้านเอลฟ์



    ป่าเอลฟ์



    “ฮะๆ นางเอลฟ์ความแค้นของพวกเราถึงเวลาต้องสะสางแล้ว”ดาร์คเอลฟ์สาว สวมเสื้อคลุมสีแดงสด กล่าวอย่างพึงพอใจ



    “ข้า...ข้าขอร้องภายใต้นามของเทวีอาธีน่า ได้โปรด อย่าเอาเรื่องเผ่าพันธุ์มาเป็นความเคียดแค้นเลย”นางเอลฟ์ ผู้มีดวงตาสีฟ้า ได้กุมมือพร้อมก้มหน้า ท่องมนต์ ไปเรื่อยๆ



    “นางเอลฟ์ เจ้าสวดไปก็ไร้ผล อาธีน่าไม่ได้อยู่กับเจ้า สวดไปก็ไร้ผล ฮะๆ เจ้าฟังข้า สวดไปก็ไร้ผล ฮะๆฮ่า ...จบซะทีชีวิตของเจ้า”



    “เฮอริคาน่า !” สิ้นเสียงร่ายมนต์ของดาร์คเอลฟ์ ก็เกิดลมพายุขนาดใหญ่ พุ่งเข้าหาเอลฟ์สาว แล้วปะทะเข้าอย่างจัง



    “อั่กก ...เจ้า ...เจ้าเข่นฆ่าฑูตของอาธีน่า เจ้าต้องเจอผลอย่างสาสม” ร่างของนางเอลฟ์ ถูกแรงลมซัดกระเด็นจนล้มลง บนโขดหิน



    “อื้ม ... ทนเหมือนกันนี่ ไม่เสียแรงที่เป็นถึง สามจอมเวทย์อภินิหาร แห่งเมืองเอลฟ์ แต่ก็ว่าล่ะนะ สหายเจ้าอีก สองคน ก็คงตามเจ้าไปอยู่กับฮาเดสในนรก”ประกายตาของดาร์คเอลฟ์สาว แฝงเปี่ยมไปด้วยชัยชนะ



    “ฮาเดสรอเจ้าอยู่!...เฮอริ...”



    “แคนเซิล !” นางเอลฟ์ได้จังหวะ ช่วงที่ ดาร์คเอลฟ์ประมาท จึงร่ายมนต์ขัดขวาง ทำให้ดาร์คเอลฟ์เสียหลักล้มลง

    นางเอลฟ์จึงวิ่งหนีเข้าไปยังพุ่มไม้



    “เจ้าหนอนสวะ...ตายดีๆไม่ชอบ ข้าเข้าใจแล้ว เผ่าพันธุ์เจ้ามันก็โสมม ดีแต่ลอบกัด” ดาร์คเอลฟ์แกว่งไม้เท้าไปมา พร้อมกับร่ายมนต์ต่างๆนานา  สบถคำหยาบด่าออกมาไม่หยุด นางเอลฟ์จึงตัดสินใจขั้นสุดท้าย โดยก้าวออกมาจากพุ่มไม้



    “ด้วยนามของเทวีอาธีน่า ถ้าการสู้รบครั้งนี้จะนำพาเจ้าไปสู่ความสุขแห่งสรวงสวรรค์ ข้าก็ยินดีสู้” นางเอลฟ์กล่าว ด้วยสีหน้าขึงขัง



    “ดี ...” ดาร์คเอลฟ์ยิ้ม และแสดงดวงตาที่แผงไปด้วยความอาฆาต



    “สุดท้าย เจ้าก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมตัวข้าเป็นถึง หนึ่ง ใน สามจอมเวทย์อภิหาร”



    ดาร์คเอลฟ์เบิกตาโพลง และตอนนี้ รู้ตัวว่าสถาณการณ์พลิกไปซะแล้ว \"ไม่...ไม่จริง! จอมเวทย์อภินิหาร ก็แค่จอมเวทย์กระจอกๆ\"



    “ลาก่อน เพื่อน ที่ครั้งหนึ่ง เคยเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับข้า \"ไฮโดร บลาส!\"



    “ครืนนนนนนน ...ซ่าาาาาา...”  



    กระแสน้ำแรงดันสูง ตกลงมา จากท้องฟ้า ได้ถาโถม มายังร่างของดาร์คเอลฟ์ และทันทีที่กระแสน้ำหายไป ก็พบแต่เพียง พื้นที่ว่างเปล่า และไม้เท้าของดาร์คเอลฟ์ที่ตกอยู่ และนางเอลฟ์ยืนสงบนิ่งกับไม้เท้าคู่กาย



    นางหลับตาเพียงชั่วครู่ ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ เกิดแสงสีทองพุ่งตกลงมาบริเวณหน้าของนาง

    แล้วประตูมิติ สีทองก็เปิดออก นางเอลฟ์ก็ก้าวเข้าไป ประตูก็ปิดทันควัน ทิ้งไว้แต่เพียงคทาดาร์คเอล ...



    ประตูมิติ ถูกเปิดออกกลางหมู่บ้านเอลฟ์

    กลางหมุ่บ้านเอลฟ์มีรูปปั้น หญิงสาว ถือดาบเล่มยาว ภายใต้ฐานรูปปั้น สลักว่า



                                                      เมเลีย อาธีน่า ฑูตรับใช้ของอาธีน่าคนแรก



    อาคารบ้านช่อง สร้างด้วยอิฐสีขาว หลังคาสีเขียวอ่อน เหล็กทุกชิ้นถูกโค้งดัดงอ ให้ดูเป็นจิตรกรรมร่วมสมัย

    นางเอลฟ์เดินอย่างช้าๆ ขึ้นบันไดไปยังร้านเหล้าในหมู่บ้าน ในร้าน แน่นขนัดไปด้วย เอลฟ์ แฟรี่ และ มนุษย์ เต็มร้าน ร้านตกแต่งด้วยไม้โอ๊คเก่าผุ บอกได้ว่าเปิดมานานนับ ร้อยๆปี

    โต๊ะทุกตัวถูกวางกระจัดกระจาย และมีอักษรขนาดเล็กจิ๋ว อ่านจับใจความได้ว่า



                                                                จงมีชีวิตเหนือความชั่ว



    นางเดินไปยังบาร์ พร้อมกับทำท่าทีจะสั่งอะไร

    “สวัสดีตอนบ่าย อาธีน่ายังอยู่กับท่านรึป่าว เกเบียล” เอลฟ์ชายร่างสูง กล่าวทายทักด้วยรอยยิ้มเห็นฟันหมดทุกซี่



    “ไม่ต้องมา ฉอเลาะข้าเลย ข้าไปดวลกับนักเวทย์ฝึกหัดดาร์คเอลฟ์กี่หนแล้วนะ” เกบียลขมวดคิ้วเป็นเชิงคำถามที่ใคร่อยากรู้



    “เท่าที่ข้าจำได้ หกครั้งแล้ว” บาร์เทนเดอร์เอลฟ์ ตอบด้วยเสียงที่มั่นใจอย่างยิ่ง



    “ขอบใจที่เตือนความจำข้า ริทมัท” เกเบียลหันหน้า ไปยังด้านหลัง



    “ไม่เป็นไร ข้าชอบกระเซ้าเหย้าแหย่สาวๆแบบนี้เสมอแหละ”  ริทมัทตั้งหน้าตั้งตา หยิบแก้วน้ำขึ้นมา เช็ดทำความสะอาดต่อ

        

    “เพล้ง!!” เสียงดังมาจากโต๊ะลูกค้า ด้านหน้า หน้าหลังของเกเบียล



    ทั้งเกเบียล กับ ริทมัท หันหน้าไปพร้อมกัน เห็นตัวก๊อปลินสามตัวกระโดดโลดเต้นบนโต๊ะไปมา พร้อมเหวี่ยงจานใส่ลูกค้าในร้าน

    “โธ่ๆ หมดกัน ไป ๆ ๆ เจ้าพวกนี้นี่ลูกค้าข้าหายหมดแล้ว” ก๊อปลิน ไม่สนใจ ยังกระโดดโลดเต้นต่อไป

    เหมือนการที่ริทมัทไปไล่พวกมัน ยิ่งดูวุ่นวายไปกันใหญ่



    “นี่ริทมัท ถ้าบ่นแล้วมันฟัง ป่านนี้ข้าคงจ้างทหารยาม ไปบ่นใส่มัน แทนหน้าไม้แล้วล่ะ” เกเบียลหยิบไม้คทาขึ้นมาพลาง ขำไปด้วย



    “มนต์ป้องกันตัวพื้นฐานเจ้าน่าจะเรียนไว้นะ ริทมัท \"สลีป!”

    ก๊อปลินสามตัว ที่กระโดดโลดเต้นอยู่ล้มหัวฟาดลงพื้น พร้อมกับ กรน คร่อกๆ นิ่งสนิท ริทมัทรีบกุลีกุจอจับมันโยนออกนอกร้านไป



    “เจ้าช่วยข้าไว้อีกแล้ว ครานั้นก็ตัวโนมส์ เมื่อวานก็โทรล์ วันนี้ยังมาเจอก๊อปลินอีก” ริทมัททำหน้าระแวง

    เกเบียลตีสีหน้านั้นได้ว่า ริทมัทคงกังวลว่า ต่อไปจะมีตัวอะไรมาอีก



    “มาๆ ข้าเลี้ยงเอง เจ้าชอบน้ำดาร์คเบอร์รี่สามดีกรีใช่มั้ยเกเบียล” ริทมัทพูดพลาง ส่งแก้วที่มีน้ำสีม่วงอมแดงระเรื่อ ให้เกเบียล



    “ดาร์คเบอร์รี่ ใครๆก็ชอบดื่ม...แต่ใครจะกล้าไปเด็ดผลต้นไม้ปีศาจอย่างนั้น”

    “เห็นทีข้าควรแวะมาร้านเจ้าทุกวันซะแล้วกระมัง ข้าคงได้ดื่มดาร์คเบอรี่ฟรีทุกวัน” เกเบียลพูดพลางจิบน้ำดาร์คเบอร์รี่ไปเรื่อยๆ



    “เอ้าคุยถึงไหนนะ...อ้อ ข้าจะถามเจ้าว่าต่อสู้ครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ริทมัทถามด้วยความสงสัย



    “ก็เหมือนทุกที มีคนพยายามปองร้ายข้า แต่ข้าไม่เข้าใจ ทำไมถึงส่งจอมเวทย์ที่ไร้ฝีมือมาจัดการกับข้า

    ทั้งที่รู้ว่าข้าเป็น หนึ่งใน สาม จอมเวทย์อภินิหาร”

    หลังจากที่เกเบียลพูดจบ คนในร้านอยู่ในอาการเงียบ แล้วหันมาดูที่มาของเสียง เกเบียลลดเสียงลงและทำหน้าตาจริงจังมากขึ้น



    “ข้า ...เอ่อ ...ข้าว่ามันต้องมีเงื่อนงำอะไรมากกว่านี้แน่นอน” เกเบียลกุมมือแน่นขึ้น



    “เงื่อนงำ? เงื่อนงำอะไรรึ ? ข้าไม่เห็นว่าจะมีอะไรนอกจาก พวกก่อกวนธรรมดา” ริทมัททำหน้าฉงนกับคำพูดของเกเบียล



    “ก็ ทุกครั้งที่ข้าดวล เหตุผลของคนที่มาหาเรื่องข้าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเผ่าพันธุ์ของเรากับดาร์คเอลฟ์” เกเบียลลดเสียงให้เบาลง

    จนเหมือนการพูดประโยคนี้จะเป็นการกระซิบ



    ริทมัทพูดอย่างหัวเสีย “ให้ตายเถอะ อาธีน่าเป็นพยาน ข้าจำได้ว่าเมื่อสิบสี่วันที่แล้ว

    ชาวเอลฟ์ทำสัญญาสงบศึกสองเผ่าพันธุ์ไว้แล้วนี่นา ท่านก็ทราบ” เกเบียลส่ายหน้า



    “ข้ารู้ แต่ข้าว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น มากกว่าที่ข้าคาดคิด และหลายๆคนคาดคิด”

    ตอนนี้เกเบียลรู้สึกว่า ผมบริเวณต้นคอตั้งชันขึ้นมา เมื่อคิดในเรื่องๆหลายเรื่อง ที่กำลังจะเกิด

        

    เกเบียลพูดเสร็จก็รีบเดินออกจากร้าน โดยตรงขึ้นไปที่วิหารแห่งแสงสว่าง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านเหล้านัก

    วิหารแห่งนี้ ดูเผินๆก็เป็นวิหารอิฐสีขาว ศิลปะโบราณธรรมดา แต่ก็ซ่อนความไม่ธรรมดาด้วยการ

    มีสายน้ำเหาะวนรอบตัวอาคาร ซ้ายขวาไม่ขาดสาย เถาวัลย์พันเลี้อยรอบเสาอาคาร พร้อมมีดอกบริทนี่ย์*ขึ้นแซมมุมอาคารเล็กน้อย

    และเมื่อเดินเข้าไปใกล้อาคาร ก็มีเสียงพิณอันแผ่วเบา ราวกับว่า อยู่บนสวรรค์ก็มิปาน



    เกเบียลเดินขึ้นบันได ที่มีสายน้ำไหลลงมาเป็นแนวยาว

    เอลฟ์ชราผู้หนึ่งปรากฏกายหน้าเกเบียล \"เกเบียล เรื่องวิญญาณน้ำอาฆาตที่ข้าให้เจ้าไปจัดการน่ะ เจ้าจัดการรึยัง\"



    “ยังเลยผู้เฒ่า ข้ามัวแต่ไปยุ่งกับการดวลมนตรา” เกเบียลตอบด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อย และอ่อนล้า



    “เฮ้อ...หัดปล่อยวางซะบ้างเกเบียล เข่นฆ่าคนไปมากๆ ท่านแม่อาธีน่าคงไม่พอใจเป็นแน่”

    ผู้เฒ่าส่ายหน้า และเกเบียลยังรู้สึกว่า สายตาของผู้เฒ่าในตอนนี้ กำลังดูแคลนอะไรบางอย่าง



    “ข้าไม่ได้ต้องการฆ่าใคร แต่ทำไปเพราะป้องกันตัว” เกเบียลพูดด้วยน้ำเสียงโมโห



    “โฮะๆ มีวิธีนับร้อยนับพันที่จะป้องกันตัวโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ชีวิต แต่เจ้าไม่หยิบมาใช้”

    ผู้เฒ่ามองเกเบียลอย่างพิจารณาช้าๆ และเกเบียลก็พยายามหลบสายตาผู้เฒ่า



    “เอาเถอะ เกเบียล  รีบไปจัดการวิญญาณน้ำเถอะ เจ้ารู้ไหม ไม่มีน้ำมาหมุนเวียนในหมู่บ้านของเราสองวันแล้ว

    ข้าจะให้ผู้ติดตามเจ้าไปคนหนึ่งละกัน เอ้าออกมาสิ โรวิน”



    ทันทีที่ผู้เฒ่าเรียก มนุษย์หนุ่มก็เดินออกมาพร้อม ทักทายเกเบียล

    “สวัสดี ข้าชื่อโรวิน เป็น บิชอบ**หวังว่าข้าคงช่วยท่านในการค้นหาวิญญาณน้ำอาฆาตได้”

    โรวินพูดจบพร้อมยื่นมือ ออกมาทักทาย แต่เกเบียลยิ้มแล้วตอบอย่างนิ่งๆ



    “ข้าไม่ถนัดทักทายแบบมนุษย์ ขอข้าทักทายตามฉบับชนชาวเอลฟ์ได้หรือไม่” พูดจบเกเบียลก็ คำนับสั้นๆ

    ทั้งสองกล่าวลาผู้เฒ่าแล้วเตรียมตัวออกเดินทาง โดยเกเบียลนำทางไปร้านค้า ร้านหนึ่งในหมู่บ้านเอลฟ์



    “ข้าว่าจะซื้อยาแก้พิษ กับ ผ้าพันแผลวิเศษ ไว้ซักหน่อย ที่ข้ามีติดตัวก็จวนจะหมดแล้ว” เกเบียลพูด พร้อมหยิบถุงเงินออกมาเตรียม



    “ยี่สิบเจ็ด เหรียญขอรับ”พ่อค้ารับเหรียญสีน้ำตาลมาจากเกเบียลห้าเหรียญ และเหรียญบรอนซ์แดงสองเหรียญ



                                                           น้ำตายูนิคอนคือยาแก้พิษชั้นดี



    เกเบียลสะดุดตา กับข้อความข้างขวดยาแก้พิษสีน้ำตาล

    “อ่ะ ขอบใจ นะ เอ้อ ...ยาแก้พิษของเจ้าน่ะ ใช้น้ำตายูนิคอนด้วยใช่มั้ย?” เกเบียลถามพ่อค้าขายของด้วยความอยากรู้



    “ใช่ขอรับ ท่านถามทำไมหรือ” พ่อค้าทำหน้าฉงนใส่เกเบียล



    “ไม่มีไรหรอก ถามประดับความรู้ข้าน่ะ รีบเถอะโรวิน

    เราต้องไปที่ทะเลสาปกระจก คงอีกไกลมาก ข้าคิดว่าคงใช้เวลาเดินทาง พอสมควร”



    “ทะเลสาปกระจก ! ทะเลสาปที่อยู่หน้าน้ำตกโหยหวนน่ะหรือ?” โรวินร้องเสียงหลง



    “ใช่ ...ทำไมล่ะ หรือว่าเจ้าเชื่อตำนานเรื่องปีศาจกระจกที่น้ำตกโหยหวน”เกเบียลมองหน้า โรวินพร้อมเลิกคิ้ว



    “ข้า เชื่อว่าปีศาจกระจกมีตัวตน ข้าเคยฝันถึงมันน่ากลัวมาก” โรวินก้มหน้าลง เพื่อหลบตาเกเบียล



    “ฝัน? ตลกน่าโรวิน อย่าเอาความฝันมาปนกับความจริงสิ”



    โรวินกุมขมับ พร้อมพูดออกมาเสียงสั่นๆ “ข้า ...ข้า ...ข้าว่างานครั้งนี้ต้องหนักมากๆ ข้ากลัวจริงๆเกเบียล”



    “ไม่มีงานไหนหนักเกินไป สำหรับคนที่มีใจทำงาน ข้าว่า เรารีบไปเถอะ เราต้องฝ่าป่าแห่งความเงียบงันอออกไปอีก”

    เกเบียลท่องคาถาเปิดประตูวาป จูงมือโรวินก้าวเข้าไป



    โรวินหลับตาสนิท พอลืมตาอีกที สภาพรอบข้าง จากเดิมที่เป็นตึกอารามอันวิจิตรพิศดาร

    ก็กลายเป็นป่ารกชัฏ เขียวขจีไปรอบด้าน



    “แฮ่กๆ พักหน่อยสิ เกเบียล ข้าเหนื่อยจนขาดใจอยู่แล้ว” โรวินหอบเป็นระยะๆ เพราะฝีเท้าของเกเบียลนั้น วิ่งเร็วเหลือเกิน

    และไม่มีทีท่าว่าจะช้าลงเลย



    “โรวิน รู้ไหมว่าเราอยู่ที่ไหน?” เกเบียลหยุด และหันหน้ามาถามโรวิน



    “ป่าแห่งความเงียบงัน” โรวินตอบด้วยน้ำเสียงที่สะดุดๆ เนื่องจากความเหนื่อยนั่นเอง



    “แล้วท่านรู้กฎ ป่านี้ไหม” เกเบียลถามโรวิน แต่ดูเหมือนเกเบียลก็ไม่ได้ต้องการคำตอบเท่าไหร่นัก



    “ไม่รู้...ทำไมหรือ เกเบียล” เกเบียลเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อหลังได้ฟังคำตอบจากโรวิน





    เกเบียล ทำหน้าเบื่อๆ แล้วนั่งลงบอกโรวิน“ต้นไม้ ใบหญ้าทุกใบ ในป่าแห่งความเงียบงันนี้

    มีชีวิต มีจิตใจอันกระหายเลือด ถ้าเจ้าคิดพักผ่อนในป่าแห่งนี้ ข้าว่า คงไม่ฉลาดเท่าไหร่นักนะ”



    โรวินทำหน้าเหมือนจะระเบิดหัวเราะใส่เกเบียล “ฮ่ะๆ ฮ่า ท่านจะบอกข้างั้นหรือ ว่าต้นไม้พวกนี้จะจับข้ากินเป็นอาหาร”

    โรวินพูดไปพลางจะเตะต้นเบอร์รี่สีเลือด



    “อย่าโรวิน อย่าๆ”ดูเหมือนเกเบียลจะห้ามโรวินช้าไป โรวินเตะต้นเบอร์รี่สีเลือดอย่างจัง

    เหมือนปฏิกิริยาตอบสนอง รากของต้นเบอร์รี่สีเลือดโผล่ออกมาจากดิน พร้อมสบัดรากใส่กลางหน้าอกโรวิน

    ทำให้โรวินกระเด็นไปราวๆห้าเมตร แล้วรากนั้นก็รัดโรวินมากขึ้นๆ “โอ้ย ข้าเจ็บๆ เกเบียลช่วยข้าทีๆ”



    เกเบียลเอาด้ามไม้เท้างัดรากนั้นออกแต่ไม่เป็นผล เกเบียลพยายามหลายๆครั้ง แต่เหมือนเอาไม้เล็กๆไปสะกิดไม้ซุงเท่านั้น

    “ท่านจะบ้าหรอเกเบียล ท่านเป็น จอมเวทย์นะ ท่านร่ายเวทย์สิจะเอาไม้เท้างัดรากไปทำไม”



    “ถ้าข้าร่ายเวทย์ใส่รากไม้นั่น ท่านคงเป็นผีไปอยู่กะฮาเดสแล้วล่ะ” เกเบียลยังพยายาม งัดรากดาร์คเบอร์รี่ออก



    “ท่านไม่มีคาถา ฉุกเฉินไว้เหตุการณ์แบบนี้บ้างหรอ... อั่ก...อั่ก ...ข้า ไม่ไหวแล้ว”



    “ออร่าเบิร์น!”



    ทันทีที่เกเบียลร่ายคาถา ก็เกิดแสงออร่าพุ่งขึ้นมารอบตัวเกเบียล พร้อมเผารากต้นดาร์คเบอร์รี่ ลุกไหม้เป็นเถ้าถ่าน



    “โอ้ย...หนังข้าไหม้หมดแล้วกระมังเนี่ย” โรวินร้องโอยแล้วจับแผล ที่แขน ซึ่งตอนนี้แดงลอก เหมือนโดนน้ำร้อนราด มาหมาดๆ



    “ข้าไม่รู้จะใช้วิธีไหนจริงๆ เห็นเจ้าบอกไม่ไหวแล้วข้าเลยใช้เวทย์นี้ เจ้าเป็นอะไรมากรึเปล่า”

    นิสัยส่วนตัวของเกเบียล แม้จะดูขึงขัง ขาดความเป็นหญิง แต่เมื่อถึงเข้าตาจน เกเบียลกลับแสดงความมีน้ำใจ

    ไม่ว่าใครที่ได้เป็นสหาย ก็ต้องประทับใจ



    “ขะ ...ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบใจเจ้ามากนะ เป็นเพราะความไม่รู้ของข้าแท้ๆ ทำเจ้าเสียเวลา”

    โรวิน รู้ว่าความประมาทของตัวเองนั้น ทำให้เกิดเรื่องยุ่งๆมากมาย จึงกล่าวคำขอโทษเกเบียล

        

    “ไม่เป็นไรหรอก มาเถอะ ก่อนที่ดาร์คเบอร์รี่มันจะเหม็นขี้หน้าเจ้าอีก”



    “เซฟฮีล !” บาดแผลบนตัวของโรวิน ที่โดนคมต้นเบอร์รี่สีเลือดบาด พลังออร่าเบิร์น ที่ได้รับจากเกเบียล หายไปหมดสิ้น



    “เจ้าเป็นบิชอบนี่นา เจ้าร่ายพรได้ใช่มั้ย” เกเบียลถามโรวิน



    “ข้าไม่ค่อยเก่งนะ ข้าเรียน มาได้แค่ยี่สิบกว่าบทเท่านั้น จากร้อยๆบท” โรวินถ่อมตัว



    “อืมมม ข้าเข้าใจ วิถีแห่งผู้แสวงบุญไม่ได้ ศึกษากันง่ายๆ” เกเบียลพยักหน้า และกำลังจะเดินทางต่อ

    แต่ต้องหยุด เมื่อพบกับกระดาษสีน้ำตาลแผ่นหนึ่ง ปลิวมาตามลม หยุดอยู่บริเวณหน้าของเกเบียล

    เมื่อเกเบียลหยิบกระดาษขึ้นมาดู กลับพบว่าบนกระดาษ มีตราประทับรูปพระจันทร์สีน้ำเงิน พร้อมไขว้กับรูปเทวดาเพศหญิง



    \"ตราเอลฟ์!\" เกเบียลคิดว่ากระดาษแผ่นนั้น

    น่าจะเป็นสิ่งสำคัญของใครบางคนที่ทำตกไว้ เกเบียลจึงเก็บใส่ย่ามของตนเอง



    เกเบียลกับโรวิน เดินออกมาจนถึงแนวชายป่า โรวินสังเกตเห็นว่า มีแอ่งน้ำเล็กๆ อยู่แอ่งหนึ่ง

    แอ่งน้ำนั้นมีฟองอากาศเดือดปุดๆ ไอร้อนระเหยขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

    แต่เมื่อทั้งสองสัมผัสกับน้ำในแอ่งนั้น กลับมีความรู้สึก เย็นเหมือนเอามือจุ่ม ลงในน้ำของทะเลสาปอันเย็นยะเยือก



                                                                    น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งป่าเอลฟ์

                                                                เหล่าพี่น้องแห่งความมืดจงระวัง



    โรวินเหลือบไปเหนข้อความบนป้าย ข้างๆแอ่งน้ำ จึงสะกิดเกเบียล แต่ ณ เวลานี้ หากในน้ำมียาพิษ

    เกเบียลคงตายไปแล้วหลายหน เพราะเกเบียลกำลัง วักน้ำจากแแอ่งน้ำนั้น ดื่มอย่างไม่ลืมหูลืมตา

    \"อ๊า...ชื่นใจ\" เกเบียลดื่มเสร็จ พลางหยิบขวดน้ำในย่าม  บรรจุน้ำลงขวดจนปริ่ม



    “ท่านทั้งสองจะไปที่ไหนหรือ” เสียงแหลมเล็กๆ โผล่งถามออกมาเสียงดัง ทั้งสองคน หาต้นตอของเสียงแต่ไม่พบ



    “ใครน่ะ?”เกเบียลตะโกนถาม \"ข้าถามว่าใคร?”



    “มองลงมาที่แอ่งน้ำสิ” เกเบียลมองลงไปที่แอ่งน้ำ ก็เห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ คล้ายพิ๊กซี่

    แต่ไม่ใช่  มีขนาดใหญ่กว่าพิ๊กซี่มาก แล้วปีกเป็นสีทอง



    “ข้าคือแฟรี่ ข้าบินเล่นมาจากหมู่บ้านข้า แต่ตตอนนี้ข้าถูกลงโทษให้ติดอยู่ตรงนี้สามวันแล้ว”

    เสียงแหลมเล็กสวนตอบกลับมา



    \"หมู่บ้านท่าน?\" เกเบียลทำหน้าไม่เชื่อ เนื่อจากระยะทางจากหมู่บ้านแฟรี่ มายังป่าเอลฟ์นั้น ไม่ใช่ใกล้ๆ



    “แล้วท่านทำไมถูกลงโทษล่ะท่านพิ๊กซี่” โรวินถามด้วยความสงสัย



    “ข้าบอกแล้ว ว่าข้า คือแฟรี่ แฟรี่ ไม่ใช่พิ๊กซี่ อย่าเอาข้าไปเปรียบกับพวกภูติจิ๋วไร้สมองนั่นนะพ่อหนุ่ม”



    \"ช่างเถอะ ...ข้าจะเล่าให้ฟังแล้วกัน ครั้งนึงข้าเคยเป็นแฟรี่ทั่วไป

    ข้าบังเอิญบินเล่นไปเมืองเอลฟ์ ข้าบินไปในวิหารของ ตาแก่อัลเร ...อัลเร ...\"



    “อัลเรออส” เกเบียล กับ โรวินพูดพร้อมกัน



    “ใช่ ท่านรู้จักตาแก่นั่นหรือ” ภูติจิ๋วกระพรือปีก สองหนเป็นอาการของความดีใจ



    “เอ่อ พอรู้จักน่ะ”เกเบียลรีบตอบ



    “ข้าเผลอไปอ่านกระดาษศักดิ์สิทธิ์ของตาแก่นั่น แล้วข้าอยากเอากลับไป เอ่อ...แบบว่าหยิบไปโดยเจ้าของไม่รู้น่ะ”



    “เขาเรียกขโมย” โรวินทำท่าล้อเลียน



    “เออ นั่นแหละ แล้วคราวนี้ข้ากำลังบินข้ามป่า แต่ข้าทำตำราตกไปที่ป่า ข้ากลัวมาก ข้าไม่กล้าบินลงไปเอา ข้าเลยคิดหนีปัญหา

    โดยการบินหนีมาทางปากทางป่า ตรงน้ำพุนี่แหละ แต่จู่ๆข้ารู้สึกเรี่ยวแรงข้าหายไปหมดสิ้น

    ข้าจึงคิดว่าอาจเป็นเพราะ ตาแก่จอมงั่งคงเสกมนต์กำกับไว้ ท่านช่วยข้าได้ไหม สหาย ข้าไม่อยากติดอยู่ที่นี่แล้ว”

    ภูติจิ๋วลูบในหน้าของตัวเองไปมา เกเบียลเข้าใจในกิริยานั้นว่า แฟรี่กำลังเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา



    “ให้เรากลับเข้าป่าไปอีกเนี่ยนะ” โรวินทำหน้าเหยเก



    “ข้าว่า ...”เกเบียลยังไม่ทันจะถามว่า ใช่กระดาษแผ่นที่เจอเมื่อครู่หรือเปล่า

    ฝูงผึ้งเป็นร้อยๆตัวบินเข้ามาทางที่เกเบียลยืนอยู่ ผึ้งแต่ละตัวตัวใหญ่ขนาดประมาณลูกมะพร้าว



    “หลบเร็ว!” เกเบียลหมอบตัวลง พลางเอามือตบหลังโรวิน ให้หมอบลงมาด้วย



    “อะไรอีกเนี่ย ข้าจะบ้าตาย” โรวินสบถคำหยาบออกมาดังๆ สองสามที



    “เกเบียล เจ้าใช้เวทมนต์นิทราเป็นรึเปล่า” แฟรี่ถามอย่างร้อนใจ



    “เป็นสิ แต่พลังอำนาจข้าไม่มีพลังพอที่สาป ผึ้งมรณะ ร้อยกว่าตัวนี่หรอก”

    เกเบียลนึกไปถึงครั้งที่ สาปก๊อปลินที่มาก่อกวนในร้านเหล้าให้หลับ



    “ท่านบอกว่าผึ้งอะไรนะ” โรวินตะโกนถาม ด้วยเสียงที่ร้อนอกร้อนใจ



    “ผึ้งมรณะ เป็นคล้ายยามเฝ้าเขตแดนป่านี้ อย่าโดนมันต่อยเชียวนะ เจ้าได้เป็นผีเฝ้าฮาเดสแน่ๆ”



    “แล้วเราจะทำยังไง” ครั้งนี้เกเบียล หันมาถามโรวินกับแฟรี่



    “ข้ามีเวทย์มนต์ที่จะควบคุมพลังธรรมชาติ แต่ข้าถูกตาแก่นั้นสะกดพลังไว้” แฟรี่บอกพร้อมทำหน้าอย่างหมดหวัง



    “แล้วทำยังไงถึงจะคลายมนต์สะกด ให้ท่านมีพลังเหมือนเดิม” โรวินหันหน้าไปถามแฟรี่



    “อย่างที่บอก ข้าต้องได้กระดาษศักดิ์สิทธิ์มาคืนผู้เฒ่า คำสาปถึงจะหมดไป...แต่คงไม่มีทาง”



    เกเบียล เทกระเป๋าสัมภาระลงมา พร้อมหาว่ายามคับขันเช่นนี้มีอะไรที่จะรักษาชีวิตพวกเขาไว้ได้ไหม

    ไม่มีเลย ในกระเป๋า มี ผ้าพันแผลวิเศษ หนังสือ “ปีศาจร้อยชนิด” สร้อยคอของแม่ ยาแก้พิษ ...กระดาษ !

    เจอแล้วกระดาษ เกเบียลรีบส่งกระดาษให้แฟรี่ ทันใดนั้น

    ทันทีที่กระดาษม้วนนั้นถึงมือแฟรี่ ปีกของแฟรี่ก็กางออก แล้วมีแสงประกายสีทองอร่าม เปล่งประกายออกมา

    แฟรี่โบกมือเล็กๆ พร้อมท่องคาถา





    “ด้วยอำนาจแฟรี่ ที่คุ้มครองป่านี้” แฟรี่ท่องคาถาด้วยเสียงที่แปลกประหลาด

    เกเบียลจับใจความได้แค่ ประโยคแรกที่แฟรี่พูดเท่านั้น และทันทีที่แฟรี่ท่องคาถาจบ

    ก็มีละอองสีเงินโปรยปรายลงมาที่ ฝูงผึ้งที่ดังหึ่งๆ ผึ้งนับร้อยๆตัวก็บินอย่างช้าๆ กลับเข้าไปในป่าลึกอีกครั้ง



    “ท่านได้กระดาษศักดิ์สิทธิ์นั่นมาจากไหน” แฟรี่ยักเส้นบนใบหน้า ซึ่งโรวินเข้าใจว่า นั่นน่าจะเป็นคิ้วของแฟรี่



    “เจอตรงนู้นอ๊ะ” โรวินทำเสียงล้อเลียนแฟรี่



    แฟรี่ไม่สนใจฟังคำพูดของโรวิน เพียงแต่หันหน้าไปทางเกเบียลเท่านั้น

    “ขอบใจท่านมาก นี่คือกระดาษศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าทำตกไปในป่าข้าจะรีบบินไปคืนตาแก่นั่น”



    “จะบินอีกเรอะ ? เดี๋ยวก็สะเหร่อ ทำตกไปอีก” โรวินถามเชิงล้อๆ



    “เจ้า ...เจ้ากล้าดียังไงมาล้อเลียนข้า เจ้ามนุษย์หัวโต” แฟรี่ขเย่ามือเล็กๆ เป็นเชิงขู่โรวิน



    “ข้าเนี่ยนะหัวโต เหอะๆ ก็ยังดีกว่าพวกหน้าแหลมแหละ” โรวินล้อเลียนท่าขเย่ากำปั้นของแฟรี่



    “โอ้ย พอซะที รำคาญ ...เอาเป็นว่าข้าจะเปิดประตูมิติให้แฟรี่ไปหมู่บ้านเอลฟ์ละกัน จะได้ไม่ต้องบินไปไกล”



    “วาร์ป โพสเทล!”



    “ลาก่อน ขอบใจพวกเจ้ามาก”



    “เจ้าหัวโตด้วย เราอาจจะต้องเจอกันอีก โชคดี เกเบียล” แฟรี่บินผ่านประตูสีทอง แล้วประตูก็ค่อยๆจางหายไป



    “ฮึ เกเบียล ข้าถามหน่อย ข้าหัวโตตรงไหน?” โรวินหันหน้าไปถามเกเบียล แล้วเลิกคิ้ว



    “....” เกเบียลเลิกคิ้วกลับใส่โรวิน



    “ข้าว่านี่ก็มืดแล้ว นอนแถวนี้เถอะ เดี๋ยวข้าเฝ้ายามให้แป๊ปนึง” เกเบียลนั่งลงพิงต้นไม้



    “ไม่ได้ๆ ข้าจะปล่อยให้ผู้หญิงทำงานแล้วผู้ชายหลับแบบนี้ได้ไง” โรวินถกแขนเสื้อขึ้น



    “หลับไปเถอะน่า อย่าเรื่องมากเลย ไม่หลับระวังต้นดาร์คเบอร์รี่จะมาหาเจ้าหรอก”

    เกเบียลขู่ แม้โรวินจะรู้ว่า นี่เป็นแค่การขู่ แต่ก็ยังหันดูซ้ายขวา



    “ก็ได้ๆ ข้านอนก็ได้ แหม...ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ ไม่ต้องมาขู่หรอก”



    โปรดติดตามตอนต่อไป ลวงตา



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    **ดอกบริทนี่ย์ ดอกไม้สีเหลืองทอง ลักษณะดอกตั้งชูตรง

    **บิชอบ Bishop นักบวช ผู้ศึกษาทางธรรม
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×