คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอน 3 (รีไรท์ 10/11) - คู่พันธะสัญญาผูกรักจองเวร 3
ตอน 3
– คู่สัญญาพันธะผูกรักจองเวร 3
เพียงครู่ ตฤณก็ได้ยินเสียงหัวเราะกังวานพริ้วหวานใสแต่จับฟังหางเสียงแล้ว คล้ายเหมือนจะเย้ยหยันอยู่ในที
พริบตาเดียว ณ บนยอดโดมสูงตั้งต่อเหนือจากกระเบื้องหลังคาสีดำของบ้าน ได้บังเกิดแสงขาวนวลทาบฉายปกคลุมตัวบ้าน ที่มีเนื้อที่กว่าห้าร้อยตารางวาจนสว่างไสวเจิดจ้า!
และเพียงไม่นาน หัวใจตฤณก็ต้องตื่นตระหนกสั่นรัวเต้นแรง เมื่ออมนุษย์ผู้ยังใช้เท้าเหยียบคาท่อนขาของเขา ได้แสดงความดุดันเกรี้ยวกราด เอาเท้าอีกข้างลงกระทืบผืนดินดังสนั่น พร้อมยกนิ้วชี้มีปลายเล็บยาวแหลมงุ้ม
สะบัดพุ่งไปที่ยอดโดมสูงของบ้าน
“เยี่ยงไรรึ ไอ้พวกเผ่าพันธุ์สัตว์หน้าขน!? มึงจะหดหัวอยู่เยี่ยงไรเล่า มิโผล่หน้าสำแดงตัวออกมาเจอกับกู!”
ดวงไฟแสงขาวกระจ่าง เปล่งฉายประกายรัศมีพร่างพราย พลันหักลำแสงทอดยาวจากเบื้องสูง ตกลงสู่ร่างตฤณบนพื้นดิน และในทันทีทันใดนั้น ปลายเท้าใหญ่ที่ถูกลำแสงขาวส่องกระทบ ได้เกิดเปลวไฟร้อนแรงลุกท่วมไหม้เนื้อหนัง ด้วยสะบัดยกเท้าหนีจากไฟเตโชของผู้มาจากหิมพานต์ช้าเกินไป!
เพลิงร้อนแผดเผาเนื้อดำเกรียมซ้ำ สร้างความเจ็บแสบทุรนทุรายแก่เปรตนรกสุดทานทน
เพียงเสี้ยวนาทีต่อมา ทั่วทั้งบริเวณจึงกึกก้องดังจากเสียงหวีดร้องโหยหวนแหลมบาดลึก!
ไม่เพียงแต่อมนุษย์จะแสบร้อนจากเพลิงไฟเตโชของผู้มาเยือนใหม่ แต่เปลวไฟยังได้ลุกลามไปถึงที่สิงสถิตของเจ้าแม่สะรานุช กับสองบริวารในศาลให้ร้อนรุ่มดุจไฟสุมตัว!
“ปากมึงนี่ ยังช่างตรงกับใจที่โสโครกต่ำช้าดั่งเดิม มิเคยจะเปลี่ยนไปเลยนะไอ้เงิน! ยิ่งได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกตกขุมอเวจี
ปากมึงก็ยิ่งต่ำทรามชั่วช้าเพิ่มเป็นทวีคูณ!”
ความเจ็บปวดตรงท่อนขา พลันหายเป็นปลิดทิ้ง เสมือนแสงขาวกระจ่างได้ช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บให้ทุเลาเบาลง ตฤณจึงรีบเงยหน้ามองขึ้นไปที่ยอดโดมสูงบนหลังคาบ้านตามเสียงหวานที่ดังลงมา แต่แล้วเขาก็ถึงกับเบิกตาโตค้างตะลึง
เมื่อดวงตาได้เห็นสองปีกใหญ่สีขาวเด่นสะท้านตา กำลังกระพือพัดโบกสะบัดแรง ช่วยยกนำร่างเจ้าของปีกให้บินลอยตัวเหนือยอดแหลมของโดมสูง!
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง!”
ดวงตาหวาดหวั่นเพ่งเขม็งจ้องดวงหน้าสวยคมโดดเด่น เหมือนไม่ใช่เชื้อสายไทยแท้อย่างครุ่นคิด
สายตาไล่มองเครื่องแต่งกาย
อันประกอบด้วยผ้าไหมผืนแดงสดใช้พันปิดสองเต้า ตรงบริเวณลำคอขาวระหง ยังคล้องสร้อยห้อยจี้แผ่นทองมีพลอยหลากสีอันใหญ่
สองบ่าคล้องสายสร้อยทองยาวลงมาไขว้ทับพันลำตัว และสุดท้ายเป็นผ้านุ่งสีแดงเป็นเงาวิบวับยาวคร่อมข้อเท้าที่สวมกำไลทองซ้อนหลายอัน!
ทั้งหมดที่ตฤณได้เห็นก็เสมือนจุดประกายความหวังอันริบหรี่ของคนถูกสิ่งเร้นลับมุ่งร้ายคุมคาม ได้คืนกลับมาลุกโชติช่วงสว่างไสวอีกครั้ง!
ภายในหัวของตฤณแน่วแน่มั่นใจในสิ่งที่เห็นด้วยสองตาตรงหน้า จะเป็นสิ่งอื่นใดไปไม่ได้
นอกเสียจาก…..
“ยายเจ้าที่ลูกครึ่งมาช่วยหนูแล้ว! ยายจ๋าจัดการมันเลย มันบุกรุกเข้ามาหาเรื่องในบ้านเรา! อย่ายอมมันนะยาย!”
ตฤณลั่นคำฟ้องต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นยายเจ้าที่ในศาลบ้านตน!!
ในนาทีต่อมา ช่างคล้ายกับทุกสิ่งรอบตัว จะหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง แม้แต่อมนุษย์ก็ยังยกปลายนิ้วค้าง
กระพริบตามองตฤณปริบๆ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะลั่นราวถูกใจ
“นั่นมึงเองรึ อีกุศา! ฮ่าฮ่าฮ่า เจอกับท่านชายสุดที่รักของมึงอีกครั้ง ท่านชายง่อยถึงกับยกให้มึงเป็นยายเจ้าที่เทียว
ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
“มึงหุบปาก!”
ผู้มาใหม่ถึงกับหน้าแดงก่ำ สองปีกสะบัดกระพือเร็วแรงด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
ดวงตาโตคมตวัดมองลงร่างของตฤณที่นอนคว่ำฉีกยิ้มแฉ่งส่งมา
“กุศามิใช่ยายในศาลของท่านชายมังคะ! และยังมิทรงจะรีบหนีกลับเข้าบ้านอีก! จะทรงนอนรอให้ไอ้เงินมันจกไส้ล้วงตับกินเอาหรือมังคะ!?”
“กูมิใช่ผีปอป!”
ตฤณสะดุ้งวาบ
เมื่อน้ำเสียงแหบแหลมแฝงเกรี้ยวกราดของอมนุษย์ตวาดลั่น หัวใจประหวั่นขลาดกลัวจนร่างกายแข็งเกร็ง ไม่กล้าจะขยับตัวคลานหนีไปตามคำบอกของผู้มาช่วยเหลือแม้แต่นิด จึงเลือกใช้สองตาเหล่มองไปทางผู้มีฤทธิ์ทั้งสองตน เพื่อประเมินสถานการณ์เอาแทน!
“ชิช่ะ อีกุศา! กูก๊ะนึกว่าได้เกิดเป็นนางสวรรค์อยู่ชั้นไหน? ที่ไหนได้ เสือกดันไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหน้าขนในป่าพงไพรนี่เอง ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
ตฤณเหลือบมองขึ้นไปตรงยอดปลายโดม ที่มียายเจ้าที่ในความเชื่อของตัวเอง กางปีกบินลอยตัวอยู่ ในจังหวะที่ได้สบแววตาดุกร้าวที่จ้องขึงตาใส่ผีเปรต ราวโกรธเดือดดาลเป็นอย่างมาก เขาก็รีบหลบตาวูบลงอย่างเร็วด้วยความเกรงกลัว
“มิได้อยากจะ…บูลลี่มึงดอกนะ! แต่กูก็ได้ไปจุติใหม่เป็นนางกินรีสัตว์กึ่งเทพในป่าหิมพานต์ตามกระแสบุญที่สร้างสมมา"
นางกินรีเพียรกลั้นสะกดอารมณ์โกรธกริ้วไว้ภายในอกได้แล้ว ดวงตาหวานซึ้งจึงเพ่งพิศลงมองสารรูปเปรตอสุรกายจากนรกอย่างปลงสังเวชใจ
ถึงแม้ในเพลานี้ ไอ้เงินจะจำแลงกายจากร่างเปรตสูงยาวเสียดฟ้า ลดย่อส่วนสัดลงเหลือเท่ารูปร่างมนุษย์ หากยังไม่อาจแปลงปิดรูปลักษณ์เนื้อหนังดำไหม้เกรียมทั่วตัวชวนสยดสยอง
เป็นรูปกายอื่นได้
“ว่าแต่ตัวมึงเถอะ…ไอ้เงิน…ตายแล้ว…ได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกหมกไหม้ในขุมอเวจีชั้นต่ำสุด! มึงยังกล้าจะเอาอะไรมาเทียบชั้นกับกูอีกรึ? กูถาม?”
ริมฝีปากหยักแดงขยับพูดเน้นเสียงหนักในทุกถ้อยคำ ต้องการให้บาดลึกกรีดกลางดวงใจของเปรตนรกให้ดิ้นพล่าน และก็ได้ผลมิต่างจากทุกครั้ง!
“อีกุศา มึงยังจะเถียงกูฉอดๆอีก! กูด่ามึง มึงก็ควรจะสำเหนียกจำใส่กระโหลกไว้! มิใช่มาเถียงกลับกู อีสัตว์!”
อมนุษย์คลั่งแค้นคำรามตวาดกึกก้อง ใบหน้าเสียโฉมเนื้อเน่าเละเทะเกือบครึ่งหน้า หลงเหลือผิวเนื้อส่วนดีแค่เสี้ยวหน้าฝั่งซ้าย นับจากบริเวณเหนือริมฝีปากจรดหน้าผาก แลเห็นถึงเค้าโครงใบหน้าเดิมอันหล่อเหลาปานเทพบุตรชั้นฟ้าในอดีตชาติ และเมื่อใบหน้าครึ่งผีครึ่งคนได้ม้วนบูดเบี้ยวพันรวมกันจากแรงโทสะรุนแรงติดฝังสันดาน
นางกินรีก็ไม่อาจจะจำกัดคำเรียกใบหน้าของเปรตไอ้เงินควรจะมองแล้ว น่าเกลียด หรือ น่ากลัว มากกว่ากัน!
“มีกระไรรึ? ไอ้เงินสัตว์นรกจกเปรต..หน้าชิงชัง!”
ตฤณยังนอนหมอบบนพื้นในท่าเดิม พลางหันหน้าสลับมองระหว่างข้างบนยอดโดม ที่มียายวิเศษติดปีกบินลอยตัว กับพื้นสนามหญ้าที่มีผีเปรตกระทืบเท้าเดือดโกรธดังตึงๆอย่างเพลิดเพลินลืมตัว
จนกระทั่งต่อมา หญิงสาวผู้วิเศษได้แผ่กางสองปีกใหญ่สยายออกกว้างเต็มที่ พร้อมทะยานเหินบินเหาะลอยผ่านเหนือศีรษะของเขา เหยียบยืนสู่ผืนดิน เข้าขวางหน้าผู้หลุดมาจากอเวจีในชั่วพริบตา
เมื่อสองปรปักษ์ได้ยืนประจันซึ่งหน้ากัน อมนุษย์ผู้คุมคาม ก็แสยะยิ้มโชว์ซี่ฟันเรียงเล็กคมกริบดุจใบเลื่อย พร้อมกับชิงแผลงฤทธิ์ข่มขวัญฝั่งตรงข้ามเป็นการประเดิมเปิดก่อน
ฝ่าเท้าใหญ่ดำไหม้เกรียมของเปรตอสุรกาย ยกกระทืบสลับกันลงผืนดินปังๆ พลางส่งเสียงขู่ร้องคำรามในลำคอ เยี่ยงเสียงสัตว์ได้รับความเจ็บปวดดังชวนปวดแก้วหู!
“มึงจงสำเหนียกใส่กระโหลกของมึงไว้! กูจะมิยอมรับส่วนบุญจากการอโหสิกรรมของมึงเป็นอันขาด! กูจะตามไปเจอะเจอกับมึงทุกๆชาติภพ มึงจักต้องบรรลัยย่อยยับคามือของกูคู่นี้
เหมือนชาติที่แล้ว!
และมิต้องมาแส่มายุ่งเรื่องของกูกับไอ้ท่านชายง่อยด้วย!”
อสุรกายตะคอกเสียงดัง ปลายนิ้วมีเล็บงอกแหลมยาว ก็พลันยกชี้มาทางตัวตฤณ แสดงความชัดเจนในคำพูด!
และในนาทีเดียวกันนั้นเอง ผู้แสดงตนเพื่อมาปกปักษ์คุ้มครองเจ้าของบ้าน
ก็แผดเสียงตวาดดุเดือดไม่แพ้กัน
“ถ้าเยี่ยงนั้น มึงก็จงไปรอเอาชาติหน้า! เพราะชาตินี้
กูยังเป็นเทพนารีนางกินรีเสวยบุญไปอีกแสนนาน ส่วนมึงก็ถึงเพลากลับลงขุมนรก ไปชดใช้บาปกรรมที่ก่อมาได้แล้ว! หาใช่จะมาก่อกรรมทำร้ายท่านชายสะยาเพิ่ม
กูมิยอม!”
ฉับพลัน นางกินรีพุ่งทะยานตัวรวดเร็ว มือข้างหนึ่งเปลี่ยนกลายเป็นกรงเล็บแหลมคม ประดุจกรงเล็บเหยี่ยวเข้าตะปบจิกกลางลำคอเกรียมของอมนุษย์ ที่ยืนแสยะยิ้มยินดี ไม่มีถอยหนีสักก้าวเดียว และยังกล้าแอ่นอกแห้งหนังหุ้มซี่โครงมีรอยแผลกรีดแหวะคล้ายรอรับ เสมือนมันต้องการท้าทายในฤทธานุภาพของผู้มาจากหิมพานต์
และเมื่อปลายกรงเล็บคมจิกลึกเข้าเนื้อลำคอของอมนุษย์ ผู้มาจากอเวจีกลับพลันสูญสลายแตกกระจาย เหลือแต่หมอกควันดำทมิฬลอยฟุ้งทั่วทิศ
“อีกุศา อีโง่! มึงมันก็โง่กว่ากูเหมือนเช่นทุกครา! มึงทำกระไรกูมิได้ดอก! นอกเสีย… ฮ่าฮ่าฮ่า มึงจะมีบุญได้ไปเกิดใหม่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์โน่น”
ถึงเหลือเพียงสายหมอกดำหนาทึบไร้ตัวตนของอมนุษย์จากขุมนรก ดวงตาคมเปล่งแสงฟ้าเรืองจ้า จ้องตามกลุ่มควันหมอกลอยตีม้วนตัวพุ่งข้ามกำแพงปูนของรั้วบ้านจากไป
ถึงจะเพ่งกสิณจับดวงจิตไอ้เงินสักเท่าใดก็ตาม ก็มิอาจจะจับถึงกระแสดวงจิตของศัตรูคู่อาฆาตตนนี้ได้เลย
สร้างความประหลาดใจให้กับนางกินรีอยู่มิน้อย!
“กระไรกัน ถึงไร้ดวงจิตของไอ้เงินไปได้!”
ดวงตางามคมยังกวาดมองโดยรอบอาณาเขตตัวบ้าน มิเคยวางใจในเล่ห์เหลี่ยมของเปรตนรกตนนี้
ถึงแม้สรรพสิ่งจะหวนคืนสู่สภาวะปกติ ไร้พายุลมแรง รวมทั้งตฤณก็ได้รับไฟเตโช ช่วยระงับความเจ็บปวดตรงท่อนขาจากการถูกไอ้เงินกระทืบเหยียบไว้
แต่ว่ายัง….
“ยายๆ หนูขอบคุณยายมากนะจ๊ะ
ที่มาช่วยไว้ได้ทัน พรุ่งนี้ยายอยากกิน! อยากได้อะไร!? เดี่ยวหนูจะจัดหามาถวายบูชายายให้ถูกใจเลยจ๊ะ”
นางกินรีหมุนร่างหันกลับตามเสียงใสแจ๋วของตฤณผู้คลานศอกพาตัวมาใกล้ แถมยังเอามือกระตุกชายผ้าถุงทอของเธอ
“กุศามิใช่ยายเจ้าที่บ้านของท่านชายมังคะ และบ้านหลังนี้…ก็มิมีท่านเจ้าที่ศาลพระภูมิ และมิเหลือตากับยายประจำศาลอีกแล้ว
ทุกท่านล้วนทิ้งศาลหนีไปหมด เพราะกลัวจะถูกไอ้เงินมันจับกินมังคะ!”
นางกินรีเอ่ยน้ำเสียงแข็งห้วนกระด้าง มิค่อยพอใจนักที่ถูกเรียกเป็น
ยายเจ้าที่ พลางหลุบตาลงเพ่งพิศสภาพของตฤณที่ไม่ถึงกับสาหัสบอบช้ำเท่าใดนัก
“กุศามิต้องการเครื่องเซ่นอันใด
มิต้องจัดมาถวายนะมังคะ
เพราะกุศาหาใช่สัมภเวสี
หรือผีเปรต ผีเร่ร่อนที่ต้องกินเครื่องเซ่น หรือต้องไปเข้าฝันหลอกหลอนคน เพื่อขอส่วนบุญ”
ดวงตาโตคมพูดพลางกวาดตามองตรงตัวเสื้อยืดสีดำแขนสั้นตัวโคร่ง กับกางเกงขาสามส่วนที่สวมใส่ติดตัวตฤณ ก็เห็นคราบเปอะเปื้อนสกปรกติดเศษดินเศษหญ้า ส่วนสองแขนและสองขายังได้แผลถลอกเลือดซิบจากการคลานหนีภัย ดูแล้วน่าจะเจ็บตัวไปไม่น้อย!
เฉียบพลัน
ภายในใจก็รู้สึกพิกลบางอย่าง ที่ไม่อาจจะบรรยายถึงความรู้สึกนั้นได้ว่าคือสิ่งใดกัน!
มือเรียวดึงชายผ้าถุงเบา เพื่อให้หลุดจากมือของตฤณที่ดึงจับไว้ ก่อนย่อเข่าโน้มตัวลง ส่งมือหนึ่งยกช้อนปลายคางของตฤณให้เงยหน้าขึ้น
“กุศาเป็นกินรี สัตว์กึ่งเทพ กุศาอิ่มทิพย์มังคะ”
ตฤณประมวลความคิดเพียงชั่วครู่ก็ทำความเข้าใจได้อย่างเร็วไว แต่อย่างไรก็ตาม
เขาก็อยากจะตอบแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ ที่ได้เข้าช่วยเหลือให้รอดปลอดภัยจากผีเปรต
“เอ้า ถ้ายายไม่กินเครื่องเซ่น
งั้นยายอยากได้อะไรจ๊ะ?
หนูจะได้จัดอย่างอื่นถวายให้ยายแทน”
ตฤณถามพลางพยายามขยับดันตัวลุกขึ้นมานั่ง ฝืนความปวดรุมตรงบาดแผลถลอกตามเนื้อตัว เพื่อจะคุยกับยายเจ้าที่ให้จบเรื่องจบราวเสียที
“มิต้องฝืนลุกมาดอกมังคะ จะเจ็บตัวเปล่า
ทรงนอนอยู่ท่าเดิมนั่นแหละดีแล้วมังคะ”
ตฤณยิ้มแฉ่ง รู้สึกเห็นดีงามตามคำบอกของผู้วิเศษ ฝ่ามือที่วางทาบบนพื้นหญ้า
จึงเปลี่ยนมาใช้รองคางแทน
แต่ในจังหวะเดียวกันนั้น น้ำเสียงหวานก็ได้เอ่ยถ้อยคำบางคำ ส่งผลทำให้ตฤณต้องชะงักค้าง พร้อมกับขนลุกเกรียวทั่วสรรพางค์กาย
“กุศาอยากได้…อยากได้ตฤณกลับไปเป็น ผัวมังคะ"
ความคิดเห็น