คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอน 1 - คู่พันธะสัญญาผูกรักจองเวร 1(รีไรท์ 10/11/67)
ตอน 1 – คู่พันธะสัญญาผูกรักจองเวร 1
ณ มหาสระอโนดาตตั้งสถิตกลางป่าหิมพานต์อันศักดิ์สิทธิ์ โอบล้อมด้วยห้าขุนเขาแก้วรัตนะสุดแข็งแกร่ง
บัดนี้กลับตกอยู่ในความเงียบสงัดอย่าง
มิเคยเป็นมา ทั่วทั้งอาณาเขตของมหานทีกว้างไกลสุดประมาณได้จากสายตา มีเพียงเสียงธารน้ำไหลสาดกระแทกชั้นแนวโขดหินเกร็ดแก้ว หากแต่ไร้ซึ่งเสียงสกุณาทุกสกุลเช่นดั่งเดิม
“ตื่นเถิดนางกุศากินรี ถึงเพลาของทุกสรรพสิ่งในครั้งคราก่อน จักได้หมุนกลับมาบรรจบพบเจอ…เพื่อ..ตัดสิ้นบ่วงที่เคยพันผูกของกันและกันแล้ว”
เสียงทิพย์ปริศนาลอยแว่วดังมา
พร้อมประกายแสงทองจากเบื้องบนสรวงสวรรค์เหนือขึ้นไปอีกหนึ่งชั้นภูมิ
ลำแสงทองทอดยาวฉายส่องผ่านหมู่เมฆา ทาบอาบลงสู่เรือนร่างอิสตรีนางหนึ่ง ผู้เอนกายหลับไหลนิ่งสงบเหนือแท่นศิลานิลมณี
เมื่อแว่วสำเนียงเสียงทิพย์แล่นลอยเรียกสั่งกระทบดวงจิตนาง เสมือนต้องการจะปลุกผู้นอนหลับไหลให้ลืมตาตื่นจากห้วงนิทรารมณ์เสียที
และในพริบตานั้นเอง คู่ดวงตาโตล้อมกรอบแพขนตาหนางามงอน ก็พลันเปิดตาตื่น หลังจากถือจำศีลล่วงเลยมานับหลายเพลา!
ฝ่ามือเรียวสวมกำไลทองสลักฝังอัญมณีล้ำค่า
ที่เคยใช้หนุนรองเศียร ก็ฉับเปลี่ยนตวัดฟาดลงแท่นหินที่ใช้เอนกาย ก่อนยันกายผุดลุกยืนขึ้น
ใช้ดวงตากวาดมองหาต้นตอของเสียงทิพย์ปริศนาไร้ตัวตน
“เหตุไฉน ท่านถึงไม่เคยปรากฏกายให้เราเห็น!? เป็นเทวดาหรือเทวบุตรชั้นใดกัน กล้าดีมากนัก
ชอบมาออกคำสั่งกับเรา!
เราเป็นถึงธิดาท้าวอุทุมภอร แล้วท่านเป็นผู้ใด!?”
เสียงหัวเราะทุ้มแว่วกังวานดัง คล้ายขบขันในคำถามของนางกินรี ผู้จุติถือกำเนิดใหม่บนตักของท้าวอุทุมภอร ผู้เป็นใหญ่ในเผ่าวงศ์พญากินนร
แห่งป่าหิมพานต์
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางกินรียังมิได้รับคำตอบเหมือนเช่นเคยแต่เดิมมา นางผู้ขุ่นเคืองจากการถูกปลุกก่อนจะถึงเพลาอันสมควร จึงมิคิดทวงถามความ
ใดอีก
ปลายเท้าก้าวหมุนเดินลงจากแท่นศิลานิลมณีรวดเร็ว บังเกิดเสียงกริ่งกำไลทองฝังอัญมณีล้ำค่าที่สวมติดข้อเท้าหลายอัน เกิดกระทบกันดัง แทรกกลางเสียงน้ำซัดสาดโขดหินตามทุกจังหวะการเยื้องย่างก้าวเดินของนางกินรี
กุศา…อย่าเพิ่งรีบไป โปรดหันกลับมามองใต้พื้นน้ำข้างหลังเจ้าสักนิด
แล้ว…กุศาจักรู้..ถึงเหตุที่เราจำต้องปลุกกุศาให้ตื่นก่อนเพลา
น้ำเสียงทิพย์นุ่มทุ้มเรียกขานนางกินรีให้หยุดอยู่กับที่ได้ทัน ก่อนปลายเท้าจะก้าวเหยียบลงพื้นดินขอบสระอโนดาต
ในนาทีเดียวกันนั้น ดวงฤทัยนาง…เริ่มเต้นรัวกระหน่ำรุนแรง ด้วยมีบางสิ่งในสำเนียง…
นำพาสะดุดหู
แต่ทว่า ก็เป็นเพียงทิพย์น้ำเสียง..ที่ได้คล้ายคลึง
กับใครผู้หนึ่งเท่านั้น
มิมีทาง…จะเป็นผู้เดียวกันได้อย่างแน่นอน !!
ด้วยเพราะ ใครคนนั้น ยังคงเวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏสงสารบนโลกมนุษย์
และถึงจะเพียรพยายามตามหาสักเท่าใด….
ก็มิเคยจักได้พบเจอกันสักครั้ง
“โปรดหันกลับมามองพื้นน้ำในสระสักนิด แล้วกุศาคงจักแจ้งแก่ใจสิ้นทุกประการ
เรามาดี มีแต่จิตปรารถนาดีต่อกุศา จงเชื่อใจเราเถิด”
น้ำเสียงทิพย์เร่งเร้าจิต กระตุ้นนางกินรีใคร่รู้
ยอมหมุนกายเดินกลับไปบนแท่นศิลานิลเหมือนเดิม
ดวงตาโตคมเพ่งลงใต้แท่นมณีอย่างตั้งใจ
เพียงอึดใจ ผิวน้ำใสประดุจกระจกบานใหญ่
ที่กำลังสะท้อนเงาของนาง ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเลือนหาย นับแต่ดวงพักตร์งามคมขาวผ่อง คิ้วโค้งเรียวเรียงเส้นดำเป็นระเบียบยาวจรดหางตา
สองใบหูทัดกรรเจียกจอนประดับอัญมณีหลากสีปลายล่างต่อสายพู่ระย้าอุบะทองยาวคลอเคลียต้นคอขาวระหง กลายเปลี่ยนฉายภาพใบหน้า
หล่อเหลาของชายหนุ่มผู้หนึ่งแทน
และเมื่อภาพชายหนุ่มผู้นั้นเด่นชัด ดวงหทัยนาง
ก็ไม่อาจกลั้นความปรีติยินดีเอาไว้ได้
ริมฝีปากหยักแดงคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนร้องเรียกนามของชายผู้เป็นที่รักก้องดัง!
“ท่านชายสะยา!”
มินาน ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครา กลับกลายเป็นภาพคลื่นมวลน้ำสีดำทมิฬ หมุนวนเชี่ยวกรากภายใต้ก้นสระว่ายน้ำใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวชายหนุ่มนัก ฉับพลัน มวลน้ำแปลกปลอมได้ประกอบก่อรูปทรง แลคล้ายร่างกายมนุษย์
ลักษณะใหญ่โตผิดรูป!
โดยเฉพาะส่วนสองแขนขา มีลักษณะท่อนเล็กเรียวยาว แล้วค่อยๆ เหยียดยืดขยายใหญ่จนเต็มความกว้างของพื้นที่สระว่ายน้ำ อันมีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของบริเวณสวนหย่อมกว้างถึงสองไร่กว่า!
ทันใดนั้นเอง กลุ่มมวลน้ำดำทมิฬได้เสกสร้างร่างผิดมนุษย์เสร็จสิ้น เปิดเผยโฉมหน้าเจ้าของร่างผู้หลุดรอดมาจากภพภูมิอื่น!
“ไอ้เงิน! ไอ้สัตว์นรกจกเปรต!!”
ประกายตานางกินรีคมกล้า จดจ้องเขม็งตรงภาพอมนุษย์บนผิวน้ำ
สองปีกใหญ่ที่ถูกพรางเก็บซ่อนไว้ ได้คืนกลับประดับติดแผ่นหลังขาวผ่อง ที่ถูกคาดพันด้วยผ้าผืนแดงแซมดิ้นทองเช่นดั่งเดิม
“เร่งไปเถิด…กุศา หนึ่งเสี้ยวบุญผูกพันที่เจ้ามี กับหนึ่งบ่วงที่หลีกหนีการชดใช้บาปกรรม ได้ถึงกำหนดวาระเวียนบรรจบเพื่อกาลสิ้นสุดแล้ว”
สิ้นคำเสียงทิพย์ปริศนา นางกินรีหมดความอยากจะใคร่รู้ถึงตัวตนเทวะผู้สถิตบนสรวงสวรรค์
ชั้นเหนือกว่า
ซึ่งเป็นผู้คอยชี้แนะการบำเพ็ญบุญ เพื่อตัดกิเลส
ทั้งปวง และยังห้ามปรามมิให้กระทำการผิดบาปมาตลอด!
เพียงครู่ นางกินรีสำรวมจิตเพ่งกสิณเพียร
จับสัญญาณของหนึ่งดวงจิต ที่ดำรงอยู่ต่างภพภูมิแสนห่างไกลโพ้นได้คงมั่น!
คู่ปีกขาวประจำกายก็เร่งโบกกระพือพัดสะบัดแรง ก่อนนำพาร่างนางกินรีเหินทะยานบินลอยสูงขึ้นเหนือสระอโนดาต พุ่งเหาะผ่านยอดปลายแหลมของห้าขุนเขาที่โอบล้อมราวปราการอันแข็งแกร่งมั่นคง มุ่งฝ่าเขตแดนป่าหิมพานต์อันศักดิ์สิทธิ์ลงสู่โลกาเมืองมนุษย์!!
อีกด้านหนึ่งของมหานทีสุดกว้างไกล ยังมีสามตนผู้ทรงฤทธิ์เหยียบยืนเหนือแท่นศิลานิล
เฝ้ามองชายผ้าทอสีแดงเพลิง เหาะบินลับหายไป
จนสุดปลายท้องนภา
“แค่เหมือน…แต่ไมล์ไม่คิดว่าพี่ตฤณจะ…”
“มิต้องไปคิดแทนคุณกุศาให้มากความดอกแม่บุศย์ คิดถึงตัวก่อนเถิด จะละวางอโหสิกรรมให้ไอ้เงินกับ…หญิงจันได้หรือไม่?”
คนธรรพ์หนุ่มสะบัดชายเสื้อคลุมไหมสีดำขลับยาวจรดข้อเท้าให้พ้นทาง ก่อนกระโดดลงจากแท่นหินนิลมณี หลังเอ่ยถามเทวนารีข้างตัวน้ำเสียงเรียบเบา
“ไมล์ยังไม่ให้คำตอบใดๆกับหมอธรรพ์ค่ะ ต้องรอดูผลงานคุณภุชงค์จะกระทำการทวงกรรมเป็นวาระต่อไปก่อน
ถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากัน และหวังว่าหมอธรรพ์จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือคุณหญิงจัน
เพราะเห็นแก่ความรักในครั้งก่อนด้วย! ไมล์ขอเตือน!”
คนธรรพ์หนุ่มชะงักปลายเท้า มิกล้าเถียงคำใดกับเทวนารีคู่บุญ นอกจากจะแกล้งเปลี่ยนเรื่องเสีย โดยการหันไปถามวิทยาธรหนุ่มผู้ยังยืนนิ่งสงบบนโขดหินไม่ไกลกัน
“ภุชงค์จะตามคุณกุศาไปด้วยหรือไม่?”
วิทยาธรผู้เรืองเวทย์เพียงระบายยิ้มบาง ดวงตาเรียวยาวตวัดมองไปที่สองคู่บุญทางด้านหลัง
“ยังมิรีบหรอก ปล่อยให้คุณกุศาเธอเล่นสนุกนำไปก่อนแล้วกัน”
ณ โลกมนุษย์
“คืนนี้
แม่จะให้ตาชุ่มมาช่วยเข็นรถพาตฤณขึ้นห้องนอนตอนเที่ยงคืนนะลูก”
หญิงสูงวัยพูดน้ำเสียงเข้มเด็ดขาด เท้าก้าวฉับชิดติดเก้าอี้วีลแชร์ไฟฟ้าของลูกชายคนเล็กที่กำลังนั่งเล่นโน๊ตบุ๊คบนโต๊ะอยู่ตามลำพัง
“คุณแม่อย่าไปกวนเวลานอนของคนแก่เลยครับ ผมกลับขึ้นห้องเองได้”
เด็กหนุ่มละสายตาจากหน้าจอ ตอบกลับทันควัน ยื่นมือหยิบยางวงบนโต๊ะ เอามาใช้รัดผมยาวปรกหน้าผาก ไม่ให้เกะกะลงมาทิ่มตาตัวเอง
ผู้เป็นแม่อ่อนใจกับรูปลักษณ์ของลูกชายที่เปลี่ยนไปสุดขั้ว ทั้งปล่อยตัวไม่ยอมตัดผมเผ้าให้เข้าทรง แถมเสื้อผ้าก็ใส่เพียงเสื้อยืดแขนสั้นตัวใหญ่
กับกางเกงลำลองขาสามส่วนสีดำทั้งชุด
ไม่ยอมเลิกไว้ทุกข์ให้แฟนสาวสักที
และที่เธอเป็นห่วงสุด คงไม่พ้นท่อนขาข้างขวา
ที่ยังเข้าเฝือกพลาสติกดามรักษาไว้
“แม่จะไม่ตามใจตฤณอีกแล้วนะ
จะมานั่งตากน้ำค้างกลางสวนเกือบเช้าทุกคืนแบบนี้ไม่ได้ แค่เที่ยงคืนเท่านั้น นี่แม่ก็ถือว่าตามใจตฤณมากพอแล้ว!”
เธอสั่งความกับลูกชายเสียงเฉียบ ส่งผลให้ใบหน้า
ที่ยังคงเค้าความงามในวัยสวย แลดูถมึงทึงเคร่งเครียด เธอขยับสายเชือกรัดเสื้อคลุมนอนเนื้อแพรสีน้ำเงินให้กระชับตัว ก่อนจะกระแทกนั่ง
ลงเก้าอี้หวายตัวใหญ่ข้างเก้าอี้วีลแชร์ไฟฟ้า
ของลูกชาย
“เมื่อไรตฤณจะเลิกจมอยู่กับเรื่องของหนูไมล์สักที? นี่น้องก็จากไปหลายเดือนแล้วนะ
ตฤณควรจะทำใจได้บ้างแล้ว แม่เห็นสภาพตฤณตอนนี้ แม่เป็นห่วงตฤณ!”
“ผมเชื่อว่าคุณแม่ก็ยังสงสัยเรื่องการตายของไมล์เหมือนกับผม
แต่คุณแม่เลือกที่จะมองข้ามไปเหมือนกับคนอื่นๆ…แต่ไม่ใช่กับผม!”
“แล้วยังไงล่ะตฤณ! จะแย้งผลชันสูตรของหมอที่หนูไมล์กระดูกหักทั้งตัว เพราะผลัดตกจากระเบียงบ้านถล่มลงมาตาย! หรือจะแย้งกับทีมวิศวกรที่เขามาตรวจโครงสร้างของบ้านคุณเทียดที่สร้างมาร้อยกว่าปี แล้วเกิดผุพังตามกาลเวลา!”
เธอพูดรัวยาวใส่ลูกชายหัวรั้น ที่ได้แต่นั่งอ้าปากเถียงไม่ทัน ก็ไม่คิดจะอยู่นั่งคุยกันในเรื่องเดิมๆ
ต่อไปอีก
“พอล่ะตฤณกับเรื่องหนูไมล์
และยังจะเรื่องผีบ้าบออะไรที่ตฤณบอกกับแม่อีก ทั้งหมดที่ตฤณเห็น! ตฤณรู้สึก! หรือสัมผัสได้! มันเป็นแค่ภาวะทางจิตใจที่ได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรงจากเรื่องการตายของคนรักและอุบัติเหตุ มันไม่มีอยู่จริง!”
แม้เธอจะเห็นลูกชายส่ายหน้าปฎิเสธความจริง
ในสิ่งที่เธอพูด แต่เธอก็ยังเลือกจะพูดซ้ำย้ำตอกความจริงเช่นนี้ไปจนกว่าตฤณยอมรับได้ในที่สุด!
“เอาล่ะ แม่จะเข้าบ้านไปตามตาชุ่มให้มานั่งเฝ้าตฤณจนถึงเที่ยงคืน แล้วให้แกพาขึ้นห้องนอน! ห้ามโยกโย้! ไม่อย่างนั้น แม่จะไม่ให้ตฤณนั่งเล่นในสวนช่วงกลางคืนอีก!”
ผู้เป็นแม่พูดจบ ก็ลุกพรวดจากเก้าอี้หวาย
รีบเดินหนีเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ยุติการสนทนากับลูกชายในคืนนี้
“ไมล์ จะให้พี่เชื่อได้อย่างไรว่ามันคืออุบัติเหตุ”
ตฤณพึมพำกับประโยคคำพูดเดิมๆ
ที่เขามักใช้ถามตัวเองซ้ำบ่อยครั้งเสมอมา
หลังจากรู้ข่าวการตายของแฟนสาวในเดือนที่สองระหว่างช่วงพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจากอุบัติเหตุขับรถชนต้นไม้จนท่อนขาขวาหัก
พอฟื้นลืมตาได้สติ ก็ไม่เคยพบกับไมล์ แฟนสาว
รุ่นน้องในมหาวิทยาลัยมาเยี่ยมกันสักครั้ง
ชวนให้ประหลาดใจเป็นอย่างมาก!
ถึงจะไต่ถามคนในครอบครัวกับเพื่อนฝูงเท่าไร
ก็ได้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันคือ
ไมล์ติดธุระสำคัญ
ยังมาเยี่ยมไม่ได้!
จนกระทั่งสุดท้าย ถึงได้รู้ความจริงที่ทุกคน
ร่วมปิดบังเขาเอาไว้ ก็เมื่อผ่านพ้นงานศพของ
แฟนสาว กับคุณเทียด และแม่บ้านประจำตัวที่มีอายุยืนเกินร้อยกว่าปีไปร่วมเดือนแล้ว
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในวันนั้น?”
ฉับพลัน ปลายจมูกของตฤณได้กลิ่นเหม็นเน่
าคล้ายซากสัตว์ตาย
โชยลอยกระจายคลุ้งตามกระแสลม จนต้องรีบใช้ปลายนิ้วบีบจมูกกลั้นหายใจไว้
“อะไรตายว่ะ เหม็นฉิบ!?”
เพียงชั่วครู่ ยังไม่ทันจะมองหาต้นตอของกลิ่นอัน
ไม่น่าพึงประสงค์นี้ได้ ทั่วบริเวณสวนหย่อมกลับเกิดสายลมกรรโชกแรง ได้กวาดหมุนพัดพาเอาเศษใบไม้แห้งปลิวลอยว่อน เข้าฟาดโดนตามตัวของคนผู้อาศัยรถเข็นแทนสองขาให้ตื่นตระหนก!
ไม่ใช่ว่าตฤณกลัวจะหลบพายุฝนที่คล้ายจะตั้งเค้าตกหนักในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าไม่ทันการ
แต่ทว่าเขาเชื่อในลางสังหรณ์ตนเองมากกว่าถึงบรรยากาศผิดแปลกอย่างกะทันหันไปต่อหน้า
ต่อตานี้
มันย่อมเป็นสิ่งอื่นใดไปไม่ได้
นอกเสียจาก…มันเป็นการกลับมาเยือน
ของสิ่งเร้นลับที่คอยตามรังควาน..
ดุจเงาตามตัวต่างหาก!
“คราวนี้เล่นใหญ่เชียวนะมึง! แถมเอฟเฟคประกอบฉากเขย่าขวัญกูอีก!”
ขอกลับมาทักทายคนอ่านอีกครั้งนะจ๊ะ
หลังจากอาซิ้มหายไปเกือบ 2 ปี
คราวนี้กลับมาเขียนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง
พร้อมบทสรุปจบบริบูรณ์
และปิดจบ set ผู้มาจากหิมพานต์ครบทั้ง 3
เรื่องด้วยจ้า
ความคิดเห็น