ดู Blog ทั้งหมด

งานส่วนตัว

เขียนโดย
ชีวประวัติ
 
วัยเด็ก (พ.ศ.๒๓๒๙ - ๒๓๔๙) แรกเกิด - อายุ ๒๐ ปี
           พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร ์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย
         สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกัน ฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง ส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงานมีสามีใหม่ และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คน เป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัว เป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก
สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่ม เกิดรักใคร่ชอบพอ กับนางข้าหลวง ในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึง กรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน
             เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณ ที่จะมีการ ปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศส่วนพระราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ ชั้นสูงเมื่อเสด็จสวรรคต หรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองแกลงว่า
"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"
แต่เจ้านายท่านใดใช้ไป และไปธุระเรื่องใดไม่ปรากฎ อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วงถึงเดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙
วัยฉกรรจ์ (พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙) อายุ ๒๑ - ๓๐ ปี
       หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสองค์เล็ก ของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยา
สุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นาน ก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้อง ตามเสด็จพระองค์เจ้า ปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐
           สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนัก ในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอก ทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย
          ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไป เพชรบุรี ทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาคในพระราชวังหลัง ดังความตอนหนึ่งในนิราศ เมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลัง สมัยหนุ่ม ว่า
"ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนา ท่านการุญ"

รับราชการครั้งที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๕๙ - ๒๓๖๗) อายุ ๓๐ - ๓๘ ปี
            พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นมหากวีและทรงสนพระทัยเรื่องการละครเป็นอย่างยิ่ง ในรัชสมัยของ พระองค์ ได้กวดขันการฝึกหัดวิธีรำจนได้ที่ เป็นแบบอย่างของละครรำมาตราบทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละคร ขึ้นใหม่อีกถึง ๗ เรื่อง มีเรื่องอิเหนาและเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น
            มูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการ น่าจะเนื่องมาจากเรื่องละครนี้เอง ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีทอดบัตรสนเท่ห์ เพราะจากกรณี บัตรสนเท่ห์นั้น คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกประหารชีวิตถึง ๑๐ คน แม้แต่ นายแหโขลน คนซื้อกระดาษดินสอ ก็ยังถูกประหารชีวิต ด้วย มีหรือสุนทรภู่จะรอดชีวิตมาได้ นอกจากนี้ สุนทรภู่เป็นแต่เพียงไพร่ มีชีวิตอยู่นอกวังหลวง ช่วงอายุก่อนหน้านี้ก็วนเวียน และเวียนใจอยู่กับเรื่องความรัก ที่ไหนจะมี เวลามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
        (กรณีวิเคราะห์นี้ มิได้รับรองโดยนักประวัติศาสตร์ เป็นความเห็นของคุณปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ เขียนไว้ในหนังสือ "เที่ยวไปกับสุนทรภู่" ซึ่งเห็นว่ามูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้า รับราชการ น่าจะมาจากเรื่องละครมากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งข้าพเจ้า พิเคราะห์ดูก็เห็นน่าจะจริง ผิดถูกเช่นไรโปรดใช้วิจารณญาณ)
          อีกคราวหนึ่งเมื่อทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกสิบขุนสิบรถ ทรงพระราชนิพนธ์บทชมรถทศกัณฐ์ว่า
"๏ รถที่นั่ง บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน
กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาล ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน
ดุมวงกงหันเป็นควันคว้าง เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน
สารถีขี่ขับเข้าดงแดน พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุณ"
ทรงพระราชนิพนธ์มาได้เพียงนี้ ทรงนึกความที่จะต่อไปอย่างไรให้สมกับที่รถใหญ่โตปานนั้นก็นึกไม่ออก จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ สุนทรภู่แต่งต่อว่า
"นทีตีฟองนองระลอก กระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น
เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน อนนต์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน
ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท สุธาวาสไหวหวั่นลั่นเลื่อน
บดบังสุริยันตะวันเดือน คลาดเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา"
            กลอนบทนี้เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยิ่งนัก นับแต่นั้นก็นับสุนทรภู่เป็นกวีที่ปรึกษาด้วยอีกคนหนึ่ง ทรงตั้งเป็นที่ขุนสุนทรโวหาร พระราชทานที่ให้ปลูกเรือนที่ท่าช้าง และให้มีตำแหน่งเฝ้าฯ เป็นนิจ แม้เวลาเสด็จประพาสก็โปรดฯ ให้สุนทรภู่ลงเรือพระที่นั่งไปด้วย เป็นพนักงานอ่านเขียนในเวลาทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน
 ออกบวช (พ.ศ.๒๓๖๗ - ๒๓๘๕) อายุ ๓๘ - ๕๖ ปี
          วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต นอกจากแผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุดในชีวิต ได้เป็นถึงกวีที่ปรึกษา ในราชสำนักก็หมดวาสนาไปด้วย
"ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มา จนตลอดรัชกาลที่ ๒ ... "
          จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย ประกอบกับ ความอาลัยเสียใจหนักหนาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ จึงลาออกจากราชการ และตั้งใจบวชเพื่อสนอง พระมหากรุณาธิคุณ สุนทรภู่ได้เผยความในใจนี้ ในตอนหนึ่ง ของนิราศภูเขาทอง ว่า
"จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป"
เมื่อบวชแล้ว ท่านได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่างๆ เล่ากันว่า ท่านได้เดินทางไปยังหัวเมืองต่างๆ หลายแห่ง เช่นเมืองพิษณุโลก เมืองประจวบคีรีขันธ์ จนถึงเมืองถลางหรือภูเก็ต และเชื่อกันว่า ท่านคงจะเขียนนิราศเมืองต่างๆ นี้ไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่ ยังค้นหาต้นฉบับไม่พบ
            ชีพจรลงเท้าสุนทรภู่อีกครั้ง เมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะ ไปค้นหา ทำให้เกิด นิราศวัดเจ้าฟ้า และนิราศสุพรรณ ปี พ.ศ.๒๓๘๓ สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านอยู่ที่นี่ได้ ๓ พรรษา คืนหนึ่งเกิดฝันร้าย ว่าชะตาขาด จะถึงแก่ชีวิต จึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราว ในชีวิตของท่านอีก เป็นอันมาก จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เพื่อเตรียมตัวจะตาย

รับราชการครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๓๘๕ - ๒๓๙๘) อายุ ๕๖ - ๖๙ ปี
         เมื่อสึกออกมา สุนทรภู่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งทรง พระยศเป็นสมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ โปรดอุปถัมภ์ให้สุนทรภู่ ไปอยู่พระราชวังเดิมด้วย ต่อมา กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ทรงพระเมตตา อุปการะสุนทรภู่ด้วย กล่าวกันว่า ชอบพระราชหฤทัย ในเรื่องพระอภัยมณี จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ นอกจากนี้ สุนทรภู่ยังแต่งเรื่อง สิงหไตรภพถวายกรมหมื่น อัปสรฯ อีกเรื่องหนึ่ง
        แม้สุนทรภู่จะอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังรักการเดินทางและรักกลอนเป็นที่สุด ท่านได้แต่งนิราศไว้อีก ๒ เรื่องคือนิราศพระประธม และนิราศเมืองเพชร สุนทรภู่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ ขณะที่ท่านมีอายุ ได้ ๖๕ ปีแล้ว ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๘ รวมอายุได้ ๖๙ ปี
 
 
 
 
 
 
เมื่อกล่าวถึงสุนทรภู่ ต้องนึกถึงเรื่องพระอภัยมณี  และถ้าพูดถึงพระอภัยมณี ก็ต้องนึกถึงสุนทรภู่เป็นคู่กัน เรื่องพระอภัยมณีโด่งดังมานานมาก  สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในคำอธิบายว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ตอนหนึ่งว่า   "เมื่อข้าพเจ้ายังเยาว์ เป็นสมัยแรกมีหนังสือเรื่องพระอภัยมณีพิมพ์ขาย  ครั้งนั้นเห็นคนชั้นผู้ใหญ่ทั้งผู้ชายผู้หญิง ชอบอ่านเรื่องพระอภัยมณีแพร่หลาย  ถึงจำกลอนในเรื่องพระอภัยมณีไว้กล่าวเป็นสุภาษิตได้มากบ้างน้อยบ้างแทบจะไม่เว้นตัว"   หมอสมิท ซึ่งเข้ามาตั้งโรงพิมพ์ในกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ ๕ ไล่ๆ กับหมอบรัดเลย์  ได้เป็นผู้พิมพ์ผลงานของท่านสุนทรภู่ ขายดิบขายดีจนร่ำรวย  ถึงแก่ออกตามหาทายาทของสุนทรภู่  เพื่อมอบเงินรายได้ส่วนหนึ่งให้  ทำให้เราได้ทราบว่า ทายาทของท่านสุนทรภู่ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือหงษ์"
เหตุที่พระอภัยมณีโด่งดังเป็นที่สุด  น่าจะมาจากความแปลกแหวกแนวของท่านสุนทรภู่นั่นเอง  แม้พระเอกของเรื่องจะยังเป็นโอรสเจ้าเมืองเหมือนนิทานจักรๆ วงศ์ๆ เรื่องอื่น  แต่แทนที่พระเอกคนนี้จะไปเรียนวิชากษัตริย์ วิชานักรบ  กลับไปเรียนดนตรี  การออกผจญภัยของพระเอกคนนี้ก็ไม่ได้เจอแค่ยักษ์หรือเทวดาอย่างเรื่องอื่นๆ  แต่มีทั้งผีเสื้อสมุทร นางเงือก โจรสลัด แขก ฝรั่ง อาหรับ จีน ฮินดู ฤาษี ชีเปลือย ฯลฯ  แล้วยังฉากหลังของเนื้อเรื่องที่เป็นดินแดนผจญภัยอีกเล่า กลับไปอยู่นอกสมุทรอ่าวไทยเสียนี่ !!  ความพิสดารของเนื้อเรื่องประกอบกับความสามารถในเชิงการประพันธ์ของท่านสุนทรภู่ทำให้นิทานเรื่องนี้โดดเด่นมาเป็นร้อยๆ ปีอย่างไม่มีเรื่องใดเทียบได้
พระอภัยมณี เป็นกลอนนิทานที่มีความยาวมากถึง ๙๕ เล่มสมุดไทย  แบ่งเป็น ๖๔ ตอน  ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ท่านสุนทรภู่แต่งตอนใด เมื่อใด ให้ใคร  แต่แต่งขึ้นประมาณรัชกาลที่ ๒-๓  มีกล่าวกันหลายลักษณะ บ้างก็ว่าท่านแต่งเมื่อครั้งตกยากหรือต้องจำคุก  บ้างก็ว่าท่านแต่งถวายเจ้านายที่ให้ความอุปการะ เช่นพระองค์เจ้าลักขณานุคุณบ้าง  กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพสุดา
     
พระอภัยมณี เป็นเรื่องราวของการผจญภัยของพระอภัยมณี และศรีสุวรรณน้องชาย ทั้งสองถูกขับไล่ออกจากเมืองเนื่องจากพระอภัยมณีไปเรียนวิชาเป่าปี่ ส่วนศรีสุวรรณไปเรียนวิชากระบี่กระบอง ทำให้ท้าวสุทัศน์และพระนางปทุมเกสรพระบิดาและพระมารดา เกิดความไม่พอพระทัยจนขับไล่ออกจากเมือง พระอภัยมณีถูกนางผีเสื้อสมุทรจับไปจนมีลูกด้วยกันคน
 
หนึ่งชื่อว่าสินสมุทร และหนีออกมากับนางเงือกและมีลูกด้วยกันอีกคนหนึ่ง ชื่อว่าสุดสาคร ต่อมาได้พบกับนางสุวรรณมาลี และนางละเวง ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่งที่มีความไพเราะเป็นที่นิยมมาก ดังต่อไปนี้
 
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
 
แม้เกิดในใต้หล้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
 
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
 
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมประทุมทอง
 
เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่
เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง
 
จะติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป
 
เป็นสัจจังหวังจิตสนิทถนอม
งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว
 
จงโอนอ่อนผ่อนตามความอาลัย
ให้ชื่นใจเสียรู้แล้วเถิดแก้วตา
 
 
การวิเคราะห์ตัวละคนในเรื่องพระอภัยมณี เรื่องพระอภัยมณี
มีตัวละครอยู่มากมายเปลื้อง ณ นคร ได้แบ่งสถานที่และตัวละครไว้ เป็น 3 ฝ่าย พวกหนึ่งเรียกว่า ฝ่ายไทย มีเมืองรัตนา เมืองรมจักรเมืองผลึก เมืองการะเวก เมืองที่มีพฤติการณ์มากที่สุดคือเมืองผลึก พวกหนึ่งเป็น ฝ่ายเทศ สุนทรภู่ได้ออกชื่อไว้มากมาย ที่สำคัญ ที่สุดคือ เมืองลังกากับเมืองวาหุโลม พวกหนึ่งเป็น ฝ่ายทะเล ซึ่งมีเกาะแก้วพิสดาร เกาะนางผีเสื้อ เกาะกาวิน ฯลฯ ตัวละครในเรื่องถ้าแบ่งตามฝ่ายดังกล่าว
ก็จะได้ดังนี้ ฝ่ายไทย มี พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ นางสุวรรณมาลี สินสมุทร สุดสาคร เกษรา นางวาลีเป็นต้น
ฝ่ายเทศ ก็มี อุศเรน ท้าวสิงหล นางละเวง สังฆราชบาทหลวง เป็นต้น ส่วนฝ่ายทะเล ก็มีพระโยคี
แห่งเกาะแก้วพิสดาร นางเงือก นางผีเสื้อสมุทร
เป็นต้น  ในเรื่องนี้จะนำตัวละครสำคัญบางตัวมาวิเคราะห์ ดังต่อไปนี้
        1. พระอภัยมณี
พระอภัยมณีเป็นตัวละครที่แปลกไปจากพระเอกในเรื่องอื่นๆ
ของวรรณคดีไทย คือ ไม่มีฝีมือในการใช้อาวุธและไม่มีความรู้ทางเวทมนต์คาถา แถมยังขี้ขลาดอีกด้วย
แม้ว่ารูปร่างลักษณะ และบุคลิกทั่วๆ ไปจะเหมือนพระเอกอื่นๆ คือ รูปงาม บอบบาง เจ้าชู้ และเป็นคนดีก็ตาม
ความสามารถ ของพระอภัยมณีมีอยู่อย่างเดียวคือเป่าปี่ สันนิษฐานกันว่าสุนทรภู่เอาแบบมาจาก เตียวเหลียง
ในพงศาวดารจีนเรื่องไซ่ฮั่น เมื่อพระอภัยมณีและศรีสุวรรณ สองพี่น้องไปขอเรียนวิชาจากอาจารย์ทิศาปาโมกข์
นั้น พระอภัยมณีอายุ 15 ปี ได้ตัดสินใจเลือกเรียนวิชาเป่าปี่
พระเชษฐาว่าจริงแล้วเจ้าพี่
วิชามีแล้วใครไม่ข่มเหง
แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลง
หมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง
ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลก
ได้ดับโศกสุญหายทั้งชายหญิง
         นี่เป็นความคิดเห็นเรื่องดนตรีของพระอภัยมณี ซึ่งอาจารย์ได้ขยายความถึงอานุภาพของ เพลงปี่อีกว่า
ถ้าแม้ว่าข้าศึกมันโจมจับ
จะรบรับสารพัดให้ขัดสน
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน
ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส
เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ
จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง
         กระนั้นก็ตาม คุณประโยชน์ของดนตรียังเป็นที่คลางแคลงแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับพระอภัยมณี
อยู่มาก ท้าวสุทัศน์เองก็เห็นเพียงว่า
อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลง
เป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง
แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวัง
มันก็ยังเรียนร่ำได้ชำนาญ
 
 
 
 
         พระอภัยมณีและศรีสุวรรณก็เลยถูกขับออกจากเมืองและเริ่มการผจญภัยตั้งแต่นั้น ความสามารถ
ในเชิงปี่ของพระอภัยมณีได้แสดงให้พราหมณ์หนุ่ม โนรา สานน และวิเชียร ซึ่งขอชมเป็นครั้งแรก เพลงปี่
ตอนนี้มีความไพเราะในลีลาน้ำคำคล้ายเสียงดนตรี มีเนื้อความว่า
ในเพลงปี่ว่าสามพราหมณ์เอ๋ย
ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยบุปผาสุมาลัย
จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
พระจันทร์จรสว่างกลางโพยม
ไม่เทียบโฉมนางงามพี่พราหมณ์เอ๋ย
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย
ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
         พราหมณ์ทั้งสามและศรีสุวรรณได้ฟังก็เคลิ้มหลับไป พระอภัยมณีจึงถูกผีเสื้อยักษ์ลักพาไปเป็น
สามีเพราะนางเห็นว่า "ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง" เพลงปี่ทำให้
พระอภัยมณีมีชายาเป็นครั้งแรกเมื่ออายุยังไม่เต็มสิบหกปี และอยู่กินด้วยกันจน สินสมุทร บุตรชายอายุได้
แปดปี จึงได้พากันหนีจากนางผีเสื้อผจญภัยต่อไป แต่ถึงแม้พระอภัยมณีจะมีชายหลายคนจนได้ชื่อว่าเจ้าชู้
ก็มิได้ประพฤติผิดประเพณีเหมือน พระเอกวรรณคดีอื่นๆ บางเรื่อง พระอภัยมณีได้นางผีเสื้อเพราะ
จำยอม ได้นางเงือกเพราะความกตัญญู และสงสาร ได้นางวาลีเพราะนางถวายตัว ได้นางสุวรรณมาลี
ก็โดยอภิเษกสมรส หลังจากที่ได้ใช้ความพยายาม อย่างยิ่งยวด นางละเวงก็เช่นเดียวกันพระอภัยมณี
ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพราะเป็นความรักระหว่างรบ และต้องอาศัยคนอื่นช่วยเหลือ พระอภัยมณีไม่เคย
เกี้ยวผู้หญิงสำเร็จด้วยตนเองเลย นอกจากกับนางเงือก ความรักของพระอภัยมณีที่มีต่อชายา
ทุกคนนั้นเป็นรักแท้ แม้กับผีเสื้อยักษ์ซึ่งถูกข่มขืนให้จำยอม แต่ผีเสื้อยักษ์ตายไปพระอภัยมณีก็ร้องไห
้จนสลบ เมื่อนางวาลีตายก็เช่นกัน พระอภัยมณีก็อธิษฐานให้ได้ พบกันใหม่ในชาติหน้า
กับนางสุวรรณมาลีและนางละเวงก็ครองคู่อยู่จนไปบวชด้วยกันในบั้นปลาย กับนางเงือกเท่านั้น
ที่ดูห่างเหิน แต่ตอนหลังพระอภัยมณีก็ไปเทศน์โปรดให้ถือศีล
         อุปนิสัยของพระอภัยมณีเป็นคนใจอ่อนและขี้ขลาด เหมาะจะเป็นศิลปินมากกว่ากษัตริย์
ในคำกลอน มักจะมีสร้อยต่อท้ายชื่อแสดงบุคลิกของพระอภัยมณีให้เห็นได้ชัดเจน เช่น
         พระอภัยใจอ่อนถอนสะอื้น..........................
         ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลโฉม...........................
         ฝ่ายพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท...............
         สงสารองค์พระอภัยวิไลลักษณ์....................
         สงสารองค์พระอภัยวิไลโลก........................
         องค์พระอภัยมณีศรีโลภา............................ ฯลฯ
         แม้แต่ศรีสุวรรณ เมื่อถูกขับออกจากเมืองพร้อมกัน ยังวิจารณ์พระอภัยมณีตรงๆ ว่า
พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด
เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
แม้นชีวันยังไม่บรรลัยลาญ
ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง
พอประทังกายาอยู่อาศัย
มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร
ชีวิตไม่ปลดปล่อยคงได้ดี
         นางสุวรรณมาลีเองก็เคยเขียนเพลงยาวตัดรอนพระอภัยมณีว่า
น้องตั้งสัตย์ตัดขาดแล้วชาตินี้
อันสามีขี้ขลาดไม่ปรารถนา
จะขออยู่ผู้เดียวด้วยลูกยา
เป็นสัจจาใจจริงทุกสิ่งเอย
         ในด้านการรบพระอภัยมณีไม่เคยแสดงฝีมือเลย ใช้แต่เพลงปี่ห้ามทัพ เช่น ตอน
พระอภัยมณี ตีเมืองใหม่เป็นต้น ดูเหมือนจะมีอยู่ตอนเดียวที่พระอภัยมณีแสดงความกล้าออกมา
ตอนรบกับนางละเวง ที่สนามรบครั้งแรกว่า
พระอภัยใจกล้าเห็นข้าศึก
ลุกสะอึกองอาจฟาดพระแสง
นางแทงอีกหลีกเลี่ยงก็เพลี่ยงแพลง
พระต่อแย้งยกปืนขึ้นยืนยิง
         นอกจากจะขี้ขลาดแล้ว พระอภัยมณียังเป็นคนขาดความมั่นใจ ไม่กล้าตัดสินใจเองนับตั้งแต่
จะตัดสินให้นางสุวรรณมาลีแก่อุศเรนหรือไม่ ก็ให้สินสมุทรทำหน้าที่ตัดสินใจ การศึกเมื่อลังกายกมาตี
เมืองผลึกก็ปล่อยให้นางวาลีเป็นผู้ตัดสิน มาตัดสินใจเองก็ตอนออกบวชเป็นฤาษีที่เขาสิงคุตร ทำให้นางสุวรรณมาลี
และนางละเวงต้องออกบวชตามไปด้วย พระอภัยมณีเป็นตัวละครที่ผู้แต่งต้องการแสดงให้เห็นว่า ผู้เป็นกษัตริย์นั้น
ไม่จำเป้นจะต้องเป็น นับรบเสมอไป ถ้าหากมีมุขมนตรีที่ดีแล้วก็สามารถปกครองแผ่นดินได้เช่นเดียวกัน
          2. นางผีเสื้อสมุทร นางเกิดจากก้อนหินในมหาสมุทร โดยนางอสูรตนหนึ่งได้พรพิเศษ
ถอดดวงใจฝากไว้กับก้อนหินนั้น แล้วขึ้นไปรบกับพระเพลิง ถูกไฟกรดไหม้หมดทั้งกาย แต่ดวงใจและอายุ
ยังไม่หมด ก้อนหินนั้นได้ไอน้ำและ ไอดินก็งอกออกเป็นแขนขาอย่างแข็งแรง นับหมื่นปีก็มีชีวิตขึ้นมาเป็น
ผีเสื้อสมุทร เป็นใหญ่ในหมู่ภูติผีในย่าน แม่น้ำอโนมาน มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถนิรมิตร่างกายให้ใหญ่โต
หรือสวยงามอย่างไรก็ได้ มีมนตร์วิเศษเรียกฝน และลูกเห็บได้ด้วย วันที่พระอภัยเป่าปี่ให้พราหมณ์หนุ่ม
ทั้งสามและศรีสุวรรณฟังที่ชายน้ำนั้น นางผีเสื้อกำลังเที่ยวเล่น จับสัตว์น้ำเป็นๆ กินเป็นอาหารอยู่ เผอิญ
ได้ยินเสียงปี่พระอภัยมณีก็ป่วนปั่นหัวใจด้วยความเสน่หา เข้าเกยฝั่ง อย่างรัญจวนใจ เห็นพระอภัยมณีทั้ง
รูปงามและเป่าปี่ไพเราะ นางผีเสื้อสมุทรถึงกับกระโดดขึ้นไปอุ้มเอา พระอภัยมณีไปไว้ในถ้ำ
แล้วจำแลงร่างเป็นมนุษย์ปรนนิบัติพระอภัยมณีอย่างดียิ่ง แรกๆ พระอภัยมณีก็ไม่ยอม แต่ต่อมา
ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงอยู่กินกับนางถึงแปดปีเศษ ความรักของนางผีเสื้อสมุทรรุนแรงและมั่นคง
ต่อองค์พระอภัยมณียิ่งนัก พระอภัยมณีจะด่าว่า อย่างไรนางก็ไม่เคยถือโกรธ เมื่อสินสมุทร
พาพระอภัยมณีหนีนั้น ผีเสื้อยักษ์ไม่ได่โกรธพระอภัยมณีเลย ไปโกรธเงือกพ่อแม่ที่ให้พระอภัยมณีขี่หลัง
ถึงขนาดที่พอจับตัวได้ก็ "แล้วนางยกษ์หักขาฉีกสองแขน          ไม่หายแค้นเคี้ยวกินสิ้นทั้งคู่"
         ครั้งถึงเกาะแก้วพิสดาร พระโยคีห้ามปรามและป้องกันพระอภัยมณี ผีเสื้อยักษ์ ก็ด่าว่าฤาษี
อย่างเผ็ดร้อนว่า
นางผีเสื้อเหลือโกรธพิโรธร้อง
มาตั้งซ่องศีลจะมีอยู่ที่ไหน
ช่างเฉโกโยคีหนีเข้าใช้
ไม่อยู่ในศีลสัตย์มาตัดรอน
         แม้กับสินสมุทรบุตรชายของนางเองนางก็ไม่รัก เพราะตอนสินสมุทรหลอกล่อให้หลงทางนั้น
นางคิดในใจว่า "จะจับไว้ให้พาไปหาพ่อ          แล้วหักคอเสียให้ตายในภายหลัง"
แต่กับพระอภัยมณีแล้วนางตาม อ้อนวอนและกราบกรานอย่างน่าสงสาร ดังคำกลอนตอนหนึ่งว่า
อยู่ดีดีหนีเมียมาเสียได้
เสียน้ำใจน้องรักเป็นนักหนา
จึงอุตส่าห์พยายามสู้ตามมา
ขอเป็นข้าบาทบงสุ์พระทรงธรรม
พระเสด็จไปไหนจะไปด้วย
เป็นเพื่อนม้วยภัสดาจนอาสัญ
ประทานโทษโปรดเลี้ยงแต่เพียงนั้น
อย่าบากบั่นความรักน้องนักเลย
         หรือตอนพระอภัยมณีหนีนางขึ้นเกาะตอนเรือแตก และหนีขึ้นภูเขานั้น นางขึ้นเขาตามไป
ไม่ได้ ก็คร่ำครวญดังกลอนว่า
จะขึ้นเขาเล่าก็ลื่นขึ้นไม่ได้
สุดอาลัยแลหาน่าสงสาร
เห็นผัวนั่งพังพาบลงกราบกราน
แล้ววิงวอนอ่อนหวานด้วยมารยา
พระรูปหล่อพ่อคุณของเมียเอ๋ย
ไฉนเลยหลบตัวกลัวนักหนา
น้องอุตส่าห์พยายามตามพระมา
จงมาหาเมียบ้างอย่าหมางเมิน
         ถึงนางผีเสื้อจะรักพระอภัยมณีเพียงใดก็ตาม แต่พระอภัยมณีกลัวฤทธิ์และความโมโหร้าย
ของนาง เสียแล้ว จึงตัดใจเป่าปี่สังหารนางเสีย เพื่อมิให้เป็นภัยต่อมนุษย์และสัตว์อื่นทั่วไปนางผีเสื้อยักษ์
ตายไปด้วย ความรักอย่างน่าสงสาร เช่นเดียวกับเรื่องสังข์ทอง ที่นางพันธุรัตน์สอนมนตร์มหาจินดา
ให้พระสังข์แล้วก็ อกแตกตาย กล่าวกันว่าสุนทรภู่นำเค้าโครงตอนนี้มาจากเรื่องสังข์ทอง
                  3. สินสมุทร สินสมุทรเป็นลูกพระอภัยมณีกับนางผีเสื้อสมุทร มีลักษณะพิเศษคือ
รูปร่างเป็นมนุษย์แต่มี เขี้ยวงอกจากปากเหมือนยักษ์ มีกำลังมหาศาลเหมือนแม่ เป่าปี่เก่ง
เหมือนพ่อโมโหร้ายเหมือนแม่ เจ้าชู้ อย่างนุ่มนวลเหมือนพ่อ เป็นต้น ได้เรียนวิชาเบื้องต้นจากพ่อ
และเรียนเพิ่มเติมจากพระโยคีที่เกาะแก้วพิสดาร แสดงความสามารถในการรบใหญ่ๆ หลายครั้ง เป็นผู้ตัดสินใจ
ดีเด็ดเดี่ยวและรอบคอบ สินสมุทรมีชายา 2 คน คือ อรุณรัศมี บุตรีศรีสุวรรณ กับนางยุพาผกา ลูกเลี้ยง
นางละเวง เมื่อพระอภัยมณีสละราชสมบัติออกบวช สินสมุทรได้ครองเมืองผลึกแทนบิดา สุนทรภู่คงจะสร้าง
ตัวละครตัวนี้ขึ้นจากลูกของตนเอง ที่ขาดความรักความอบอุ่นจากแม่ที่แท้จริง จึงใฝ่ฝันที่จะมีแม่เช่นคนอื่น
บ้าง โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้ที่ตนจะนำมาเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไรเพราะพ่อก็ยังมี ตัวตนอยู่ สินสมุทรคิดเพียงแต่
ให้มีแม่ที่รักตนเองสักคนเท่านั้น
                  4. พระโยคีเกาะแก้วพิสดาร เงือกน้ำที่สินสมุทรจับได้เล่าให้พระอภัยมณีฟังว่า
แจ้ง Blog ไม่เหมาะสม
1 ก.ค. 51
763
0

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น