ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชันแห่งท้องฟ้า 天空之王 (Re-write)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 ปฐมบท

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 62


    ณ ปราสาทแห่งความมืด
    ราชันอสูรและเหล่าขุนนางระดับสูงต่างกำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด
    “ท่านพ่อ เหตุใดจึงรับสั่งให้พวกเราถอยทัพหนีมนุษย์ชั้นต่ำพวกนั้น!?“ เจ้าชายอสูรกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันด้วยความคับข้องใจ
    “หุบปาก! เจ้ายังเด็กนัก ดูไม่ออกหรืออย่างไร มนุษย์นามว่า เยี่ยนซุย ผู้นั้นได้สังหารขุนพลปีศาจรวมทั้งปู่ของเจ้า นั่นแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของมัน ตอนนี้มันและพวกพ้องเพียงแค่ 8 คนได้บุกโจมตีป้อมปราการทมิฬและสังหารองครักษ์ทั้ง 4 ของข้าไปแล้วอย่างง่ายดาย อีกไม่นานพวกมันคงจะมาถึงที่นี่” ราชาอสูรกล่าว
    “ฮะ!? มันจะเป็นไปได้เช่นไร มนุษย์ล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอและขลาดเขลา มีค่าเพียงนำมาเป็นทาสรับใช้ ทว่าท่านกลับจะบอกว่าพวกทาสต่ำต้อยนั้นสามารถสังหารท่านปู่และท่านลุงได้อย่างนั้นรึ? เราต่างรู้ดีว่าทั้งสองท่านแข็งแกร่งเพียงใด ท่านพ่อกล่าวเกินจริงไปแล้ว ”
    “ข้าเองก็ประหลาดใจ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว เจ้ามนุษย์นั่นไม่รู้มันมาจากที่ใด มันและพรรคพวกได้บุกโจมตีดินแดนอสูรอย่างฉับพลันและสังหารพวกเราไปมากมาย ภายใน 3 วันพวกมันสังหารกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ปู่เจ้าไม่ทันแม้แต่จะสื่อสารผ่านแท่งคริสตัลด้วยซ้ำ ข้ารับรู้ได้เพราะเปลวไฟของเขาได้ดับลง หลังจากที่เขานำกองทัพและเหล่าขุนพลปีศาจเคลื่นพลออกไปเพื่อสังหารไอ้สารเลวพวกนั้น ฮึ่ม! แต่ไม่มีผู้ใดรอดพ้นกลับมาสักคนเดียว”
    หลังคำกล่าวของราชาปีศาจ บรรยากาศภายในห้องโถงพลั้งดึงเคลียด ความหวาดกลัว ความสิ้นหวังได้ก่อเกิดขึ้นภายในจิตใจของพวกมัน จ้าวอสูรนั้นเป็นตัวแทนแห่งความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าอสูรและไม่เคยมีผู้ใดหรือเผ่าพันธุ์ไหนสามารถสังหารได้ หรือเพียงแค่ทำให้ได้รับบาดเจ็บพวกเขายังไม่กล้าแม้แต่จะนึกฝัน เผ่าเทพที่แข็งแกร่งยังไม่กล้าบุกโจมตีหรือก่อสงครามกับพวกมันโดยตรง หากแต่ผู้เป็นตัวแทนแห่งความยิ่งใหญ่นี้กลับถูกสังหารโดยมนุษย์ชั้นต่ำที่พวกมันดูแคลน เมื่อก่อนต่อให้เป็นเทพบรรพกาลลงมาเอ่ยกับพวกมัน พวกมันก็ยังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นความจริงที่พวกมันถูกไล่ต้อนโดยพวกมนุษย์ชั้นต่ำ พวกมันที่เหลือรอดทั้งหมดได้มารวมตัวกันภายในห้องโถงนี้ เป็นภาพที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีในสิ่งที่ราชาอสูรเพิ่งกล่าวออกไป
    ตูม!!
    เสียงระเบิดดังมาจากหน้าประตู พลันปรากฏกลุ่มคนตรงหน้าพวกมัน ผู้ที่พังประตูและยืนอยู่ด้านหน้าสุดนั้นเขาคือเยี่ยนซุย ใบหน้าที่หล่อเหลางดงามราวกับภาพวาด นัยตาเป็นประกายดุจทับทิมชั้นเลิศทว่าเครื่องแต่งกายกลับย้อมไปด้วยเลือดจนแดงฉาน ไม่อาจคาดเดาสีเดิมได้
    บรรยายกาศรอบตัวเยี่ยนซุยนั้นเต็มไปด้วยพลังกดดันมหาศาล ความน่ากลัวหยั่งลึกเข้าสู่จิตใจ พวกมันมองเห็นเป็นเพียงยมทูตแห่งความตายมาเยือน ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างรุนแรงซึ่งไม่สามารถอธิบายได้พุ่งเข้ามาปะทะพวกมันจากด้านหน้า จนทำให้พวกมันทั้งหมดเนื้อตัวแข็งทื่ออย่างฉับพลัน จิตใจของมันพลันสั่นระรัวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สัญชาตญาณภายในตัวมันได้สั่นเตือนตัวพวกมันอย่างรุนแรง ถึงศัตรูที่ทรงพลังข้างหน้า อันตรายขั้นสูงสุดที่พวกมันไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต
    สัญชาตญาณเตือนของพวกมันย่อมไม่มีทางผิดพลาด(เพราะเป็นอสูร) ความรู้สึกนี้บอกกับมันว่า ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกมันนี้คือศัตรูที่ทรงพลังอย่างมาก
    ทรงพลังถึงขนาด ถ้าชายหนุ่มตรงหน้าขยับนิ้วแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจจะสามารถบดขยี้มันเป็นชิ้นๆได้อย่างง่ายดาย และไม่มีทางที่พวกมันจะสามารถต่อต้านหรือขัดขืนได้เลย
    ภายในใจของมันยามนี้เริ่มสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม จนพวกมันทั้งหมดแทบจะคุกเข่าหมอบคลานให้กับเยี่ยนซุย
    ขณะที่กำลังใจของเหล่าลูกน้องเริ่มลดลง
    “แกชนะแล้ว… ต่อจากนี้พวกข้าเผ่าอสูรขอให้สัตย์สาบานว่าจะไม่ไปข้องเกี่ยวใด ๆ กับพวกมนุษย์อีก” ราชาอสูรกล่าวกับเยี่ยนซุย
    “ตลก! ฮ่าฮ่า” เยี่ยนซุยหัวเราะไปพลาง ใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง “แกคิดว่าเพียงแค่พูดเช่นนั้นแล้วต่างคน ต่างแยกย้ายไปได้งั้นหรือ? ข้าบุกแดนปีศาจเข้ามาจนถึงปราสาทของเจ้าเพื่อมายืนถ่มน้ำลายงั้นรึ”
    เยี่ยนซุยปรายตามองไปยังราชาปีศาจด้วยความเหยียดหยาม
    “ในอดีต…พวกเจ้าเหล่าอสูรได้เข่นฆ่ามนุษย์ไม่เว้นวันเพื่อความสนุกสนาน ต่อให้มนุษย์อ้อนวอนขอความเมตตาอย่างไรก็แค่เพิ่มความฮึกเหิมให้เท่านั้น บนผืนดินนี้ผู้ชนะคือราชาที่แท้จริง”
    ราชาอสูรตระหนักแล้วว่าวันนี้มันคงไม่อาจมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน เยี่ยนซุยได้สังหารจ้าวอสูร บิดาที่แข็งแกร่งของมัน นับประสาอะไรกับราชาปีศาจที่พลังด้อยกว่าอย่างมัน ดังนั้นมันจึงแอบส่งกระแสจิตไปสั่งให้องครักษ์พาบุตรชายของตนหนี หากรัชทายาทสิ้นชีพไปด้วยตรงนี้ เผ่าพันธุ์อสูตรคงได้จบสิ้นอย่างแท้จริง หลังคิดใคร่ครวญเสร็จ ราชาปีศาจได้ยกดาบฟันออกไป เกิดเป็นคลื่นแสงสีดำขนาดใหญ่พุ่งตรงออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เยี่ยนซุยกลับแสดงท่าทีเฉยเมย ผิวปากคราหนึ่ง พลันปรากฎแสงอักษรโบราณออกมากางเป็นรูปโล่ป้องกันทันที!
    ตูม!!
    คลื่นแสงเข้าปะทะกับโล่อย่างรุนแรง เกิดเป็นเสียงดังกังวานและกึกก้องขึ้นทันที
    ใบหน้าของราชาอสูรและเหล่าขุนนางซีดขาวราวกับคนตาย ภาพที่พวกมันเห็นไม่อาจนับเป็นตัวอันใดได้เลย เยี่ยนซุยและพวกพ้องไม่มีแม้แต่ร่องรอยบาดแผลใด ๆ แม้กระทั่งบนโล่ก็ยังไร้ร้อยขีดข่วน แม้ว่าราชาปีศาจจะใช้ท่าที่ทรงพลังที่สุดของมัน แต่กลับไม่สามารถทำอะไรเยี่ยนซุยและพวกพ้องได้เลย สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน
    “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน” เยี่ยนซุยจ้องมองไปยังเหล่าอสูรด้วยความเย็นชา
    หลังจากได้ยินคำพูดของเขา เหล่าพวกพ้องรีบถอยออกไปในทันทีโดยไม่ลังเล เยี่ยนซุยยกมือขวาขึ้นกลางอากาศ ปรากฏเป็นวงเวทย์ขนาดใหญ่สีทอง เหล่าอสูรต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอแห่งความตายจึงรีบพากันโจมตีด้วยกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของตน ทว่าโล่ของเยี่ยนซุยกลับไม่สั่นไหวแม้เพียงสักนิดเดียว เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ขุนนางปีศาจจึงพุ่งไปคว้าตัวองค์ชายของพวกมันไว้พร้อมร่ายเวทย์เคลื่อนย้าย เยี่ยนซุยขยับโบกมือซ้าย เกิดแรงโน้มถ่วงกดทับจนพวกมันไม่สามารถขยับตัวได้ พวกมันทนแรงกดดันไม่ไหวจึงทรุดลงไปบนพื้น บริเวรณนั้นยุบตัวลงไปเป็นหลุมลึก แม้กระทั่งราชาปีศาจคิดตัดสินใจจะใช้ศาสตร์ลับต้องห้าม ยอมกระทั่งเสี่ยงชีวิตตนเอง แต่ ก็ไม่อาจขยับเเขยื้อนร่างกายของตนได้แม้แต่น้อย
    ราชาปีศาจพยายามคิดว่ามันเกิดอันใดขึ้น ทักษะะต้องห้ามที่มันเปิดใช้ไม่ทำงานอย่างนั้นรึ? ไม่สิ...ไม่ใช่….ทักษะต้องห้ามได้ทำงานแล้ว ตัวมันรู้สึกได้ถึงพลังที่ก้าวกระโดดและเพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาล แต่ว่าทำไมละ? ทำไมข้าถึงยังขยับร่างกายไม่ได้เลยสักนิด ? จากนั้นมันจึงตระหนักได้ถึงความต่างชั้นของระดับพลังที่ห่างกันมากเกินไป ชายหนุ่มนั้นทรงพลังเกินไป ราชาปีศาจได้หันไปมองบุตรชายตนเองด้วยความสิ้นหวัง เผ่าอสูรคงถึงกาลสูญสิ้นแล้วอย่างแน่นอน มันรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ไม่ฟังคำเตือนของเยี่ยนซุยที่เตือนให้พวกอสูรอย่าได้มาระรานเหล่ามนุษย์อีก เพลานั้นมันเพียงโกรธแค้นมนุษย์ตัวกระจ้อยที่กล้าหยามหน้าสังหารแม่ทัพและเหล่าลูกน้องที่จงรักภักดิ์ดีของมันไปเป็นจำนวนมาก ราชาปีศาจจึงส่งกองทัพกลับไปสังหารเยี่ยนซุย แม้กระทั่งจ้าวอสูร บิดาที่แข็งแกร่งของมันก็ยังสิ้นชีพ มาตอนนี้ถึงคราของมันและพรรคพวกที่เหลือ แม้มันจะเสียใจแค่ไหน แต่ทุกอย่างล้วนไม่อาจย้อนกลับได้แล้ว
    ขณะที่ทั่วทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนา เสียงกระดูกแตกดังไปทั่วบริเวณอันเกิดจากพลังกดดันของเยี่ยนซุย เขาร่ายบทเวทย์ที่ทรงพลัง หนึ่งในสี่มหาเวทย์กงล้อสวรรค์ พลันแสงสีทองได้สาดส่องลงมาบนพื้น อาบไล้บนร่างกายทุกคน สร้างความอบอุ่นสบายตัวแก่พวกพ้องเดียวกัน แต่กับเหล่าศัตรูมิได้เป็นเช่นนั้น! มันจะสร้างความเจ็บปวดทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!!
    เพียงชั่วพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนมากมายได้หายไป ทิ้งไว้เพียงระอองหมอกโลหิตและความว่างเปล่า ณ ห้องโถงใจกลางปราสาท เหล่าอสูรได้สิ้นชีพแล้ว…ไม่เหลือแม้เพียงเถ้าธุลี…



    1 สัปดาห์ต่อมา
    ข่าวที่เยี่ยนซุยและพวกพ้องทั้งแปดได้บุกไปยังปราสาทอสูรเพื่อทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เกิดระลอกคลื่นแห่งความหวาดกลัว สร้างความหวาดระแวงต่อผู้คนทั่วไปรวมทั้งเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่เคยข่มเหงรังแกพวกมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่เคยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่มีผืนดินเป็นของตัวเอง แต่ละวันพวกเขาถูกล่า ตกเป็นทาส ถูกจับไปขาย หลายครอบครัวล้วนทรมานจากการพรัดพรากจากกัน พวกเขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน โทษฟ้าดินที่ลิขิตให้เกิดมาเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตอนนี้มิได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เยี่ยนซุยได้สร้างความน่ายำเกรงให้แก่มนุษย์ ชายหนุ่มนำพาเผ่ามนุษย์มายังดินแดนปีศาจและได้อาศัยอยู่ที่นี่
    เยี่ยนซุยคอยปกป้องทุกคนเสมอมาด้วยคิดว่าทุกคนล้วนเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ชายหนุ่มมีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย มักจะมอบรอยยิ้มที่งดงามให้กับผู้คนอยู่เสมอ พลังยุทธ์ของเขาสูงส่ง เป็นชายที่มีคุณธรรมอย่างแท้จริง ชาวบ้านต่างนับถือเยี่ยนซุยและพรรคพวก ซ้ำยังสรรเสริญบุคคลทั้งแปดว่า เทพแห่งสงคราม และมอบสมญาณามให้แก่เยี่ยนซุยว่า ราชันแห่งท้องฟ้า สืบเนื่องด้วยพลังเวทย์ที่ยิ่งใหญ่และทักษะการต่อสู้อันสูงส่ง
    สำหรับครอบครัวของชายหนุ่มนั้น บิดามารดาของเยี่ยนซุยได้จากไปแล้ว เหลือเพียงตนกับ น้องสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขาเท่านั้น ทว่าเพราะพลังที่มีมากเกินไปทำให้เหล่ามนุษย์เริ่มหวาดระแวงในตัวราชันของพวกเขา สร้างความคลางแคลงใจ ความโลภ ความอิจฉา ได้ก่อตัวขึ้น นำพาไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่คาดคิด มนุษย์ที่เขาดูแลและคอยช่วยเหลือ เหล่าผู้คนที่เขายอมต่อสู้จนเอาชีวิตเข้าแลกได้ทรยศหักหลังเขาด้วยการลอบวางยาพิษ
    เมื่อเยี่ยนซุยกลับมายังปราสาท ร่างกายของเขาพลันแข็งทื่อ ภาพที่ได้เห็นเปรียบดั่งสมรภูมินรก ทั่วทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยเศษชิ้นส่วนมนุษย์ แม้พิษจะออกฤกธิ์ร้ายแรงหวังผลให้ตายทันที แต่ด้วยพลังยุทธ์ที่สูงส่งของบุคคลทั้งแปด เยี่ยนซุยรู้ดีว่าสหายของตนคงฝืนร่างกายไล่สังหารพวกคนทรยศทั้งหมดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
    จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้าน น้ำตาหลั่งริน ร่างของเขาทรุดลงกับพื้นอย่างเงียบงัน แต่แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงสัญญาณชีพจรอันแผ่นเบา เสี่ยวเอ๋อร์ของเขายังไม่ตายแต่อาการสาหัสมาก เยี่ยนซุยพยายามร่ายเวทย์แห่งการรักษาเยียวยาทุกวิถีทางแต่ก็ไม่อาจขับพิษหงอนกระเรียนแดงออกจากร่างน้องสาวของตนได้ ความโกรธปะทุถึงขีดสุด เขาต้องการทำลายล้างทุกอย่างให้สิ้นซาก
    บรรยายกาศรอบตัวชายหนุ่มสั่นไหว พื้นดินแตกเป็นเสี่ยง ๆ ท้องฟ้าได้เกิดการเปลี่ยนแปลง สายฟ้าฟาดลงมาราวกับพายุ เขาจะหามันให้พบและแยกร่างมันเป็นแปดส่วน ไอ้ตัวชั่วที่อยู่เบื้องหลังแผนการณ์นี้
    “ท่านพี่…อย่าได้โกรธเคืองพวกเขาเลย พวกเขาล้วนอ่อนแอไร้พลังจึงถูกชักจูงได้ง่าย มิใช่พวกเขาทั้งหมดเป็นคนเลวร้าย ได้โปรดสัญญากับข้าได้หรือไม่… ท่านพี่อย่าได้ทำลายทุกสิ่งที่พวกเราร่วมแรงกันสร้างขึ้นมาเลย…” เสี่ยวเอ๋อร์ของเขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
    ตัวเขานั้นไม่อาจระงับเปลวไฟแห่งความเคียดแค้นที่แผดเผาอยู่ในจิตใจได้ แต่เมื่อสบแววตาอ่อนแสงของเสี่ยวเอ๋อร์รวมถึงคำร้องขอครั้งสุดท้ายของนาง เยี่ยนซุยได้ให้สัญญากับน้องสาว ดวงใจเพียงคนเดียวของเขาว่าจะไม่สังหารพวกมัน ทว่าก็ไม่คิดปกป้องอีกต่อไป ความรังเกียจที่มีต่อมนุษย์กัดกินจิตใจหยั่งลึก ความแค้นไม่มีวันจางหาย เหล่าผู้คนที่เคยรักและห่วงใย เหตุใดจึงได้กระทำอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ชายหนุ่มทรุดลงกับพื้น ตระกองกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขน แหงนหน้าขึ้นฟ้า น้ำตาไหลเป็นสายเลือด วันเวลาผ่านไป และแล้วตัวตนของเขาก็ได้หายไปตลอดกาล



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×