ตอนที่ 9 : Castle On The Hill (MarkJay ft. Johhny)
Castle On The Hill (MarkJay ft. Johhny)
“When I was six years old, I broke my leg…”
(ตอนผมอายุ 6 ขวบ ขาผมหัก)
ผมวิ่งหนีจอห์นนี่กับพวกเด็กแถวบ้านคนอื่นๆ ที่ลดตัวมาเป็นลูกน้องพี่ชายคนละแม่สุดชีวิต เด็กประถมแถวนี้รู้ดีกันทั้งนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากปล่อยให้พวกฟอร์มหนึ่ง*จับตัวไว้ได้ในบ่ายวันเสาร์
ถ้าไม่ถูกจับห้อยโตงเตงบนต้นไม้ก็คงถูกบังคับให้เข้าไปขโมยแอปเปิ้ลในสวนของเฒ่าบิลลี่สุดโหด
แต่มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการถูกพี่เฮงซวยอย่างจอห์นนี่ปล่อยให้เด็กคนอื่นรุมซ้อมผมอีกแล้ว
“โอ้ย!”
ผมกลิ้งลงมาจากตีนเขาจนหญ้าสีเขียวอ่อนและละอองเกสรสีม่วงแก่ของดอกไม้ป่าฟุ้งกระจายเข้าเต็มหน้า ผมพ่นเศษหญ้าที่หลุดเข้าไปในปากตามด้วยไอค่อกแค่ก น้ำตาไหลออกมาเป็นสายเพราะความเจ็บใจที่ตัวก็เล็กแถมยังไม่มีแรงพอจะไปงัดข้อกับคนนิสัยไม่ดีอย่างพวกจอห์นนี่
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า!?”
แดดที่ส่องจ้าลงมาบดบังใบหน้าของอีกฝ่ายจนผมดูไม่ออกว่าเป็นใคร ที่สำคัญน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่นี่ยังทำให้ทุกอย่างเบลอไปหมด ผมแหกปากร้องไห้ตามประสาเด็กที่ทนความเจ็บปวดของรอยแตกที่กระดูกไม่ไหว
“อ...อย่าร้องนะ! จอห์นนี่! พี่รีบวิ่งมาดูมาร์คเลยนะ”
สิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะร้องไห้จนหมดแรงก็คือ ‘ผมจะฟ้องคุณน้าว่าคราวนี้พี่แกล้งมาร์คหนักจริงๆ’ ของคนๆนั้นที่เพิ่งย้ายมาอยู่ถัดจากบ้านผมไปสองหลัง ผมไม่เคยจำเขาได้เพราะอีกฝ่ายมักจะเล่นอยู่กับจอห์นนี่ที่อายุใกล้เคียงกันมากกว่าจะมาใส่ใจเด็กเล็กอย่างผม
แต่นั่นแหละจุดเริ่มต้นรักแรกของมาร์ค ลี
---Castle on the Hill---
“ใครสอนนายให้ยุ่งกับของพรรณนั้นน่ะ ส่งมานี่เลย”
เจย์ฉวยบุหรี่ที่ผมอุตส่าห์มวนเองกับมือไปสูบแถมยังพ่นควันสีเทาออกมาปุ๋ยๆ จนกลิ่นเผ็ดหวานของ Amsterdamer ยาเส้นดัชท์*ยี่ห้อโปรดของจอห์นนี่กระแทกเต็มจมูกผม
“ทีกับจอห์นนี่ไม่เห็นจะเคยว่าเลย”
ผมบ่นงุบงิบอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก รู้อย่างนี้ผมไปดื่มกับพวกทีมฟุตบอลจนเมาเละไปข้างตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว ลองนึกถึงผมที่ต้องโดนพวกบ็อบบี้เรียกว่า ‘คนทรยศ’ เพราะไม่ยอมไปวิ่งหนีตำรวจเป็นเพื่อนพวกมัน แถมยังยืนยันจะรีบกลับมาบ้านในคืนวันศุกร์แห่งชาติเพราะเจย์บอกจะมาหาสิครับ
เด็กฟอร์มสาม*กับนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่งอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
ในห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่รสเข้มของคนแก่กับเบียร์โปแลนด์สองสามขวดที่เจย์ติดตัวมา
ผมพยายามไม่คิดอะไร
แต่มันคุ้มค่าจนหัวใจเต้นแรงเป็นบ้าเลย
“นั่นเค้าอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว นายเพิ่งสิบห้าไม่ใช่หรือไง” เจย์จงใจพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนก่อนจะหยิบเพื่อนยากเวลาดูซีรี่ย์รอบดึกขึ้นมาจ่อตรงปากผม
“กินป๊อปคอร์นเข้าไปแทนซะ อ้าปากสิ อ้ามมมมม”
ผมไม่ชอบเวลาเจย์ทำเหมือนผมยังเป็นเจ้าเด็กขี้แยมาร์คเมื่อเก้าปีที่แล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอ้าปากรับของทานเล่นจากมือคนอายุมากกว่าอย่างว่าง่าย รสเค็มที่ติดมากับปลายนิ้วของอีกฝ่ายยังคงติดอยู่ที่ลิ้น ผมแอบช้อนตามองใบหน้าเห่อร้อนของเจย์ที่กำลังกริ่มกับเบียร์ก้นขวดจนยิ้มไม่หุบ ตามด้วยสูดกลิ่นโคโลญจ์เย็นๆ เหมือนคลื่นลมทะเลในฤดูร้อนที่ติดมากับเสื้อสเวตเตอร์สีขาวตัวโปรดของอีกฝ่ายเข้าจนเต็มปอด
ผมกระดกเบียร์ส่วนที่เหลือลงคอ รสเปรี้ยวที่ยังกรุ่นอยู่ในปากของTyskie*แทบจะฆ่าผมทั้งเป็น
“มาร์ค นายยัง...อื้อ”
ผมคิดถูกแล้วที่ดื่มของเหลวสีทองอำพันนั่นล้างรสชาติป๊อปคอร์นที่ยังหลงเหลืออยู่บนริมฝีปากก่อน ถึงคาราเมลจะช่วยให้จูบแรกของผมหวานขึ้น แต่ผมก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายจำผมในฐานะ ‘เจ้าของจูบรสข้าวโพดคั่ว’ นี่นา
ผมขบริมฝีปากนุ่มของเจย์เบาๆ บดเบียดมันจนช้ำเป็นสีแดง
อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮล์
คนตรงหน้าถึงได้โน้มคอผมลงไปหาจนจมูกผมฝังลงบนแก้มนิ่ม เจย์สอดลิ้นร้อนเข้ามาในปากผมที่เปิดรออยู่ก่อนแล้ว เราทักทายกันพอเป็นพิธีก่อนที่อารมณ์ของเราทั้งคู่จะระเบิดออก
มันเป็นจูบแรกที่ดุเดือด
และไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำผม
เราผลัดกันดันลิ้นอีกฝ่ายไปมาจนของเหลวสีใสรสมอลต์ผสมนิโคตินเจิ่งนองที่มุมปาก ผมกลืนน้ำลายที่ปนกลิ่นบุหรี่ดัชท์ของเจย์ลงคอพลางเขยิบตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น...
ก่อนที่ทุกอย่างจะรวนไปหมด
“กลับมาแล้ว ขอโทษนะที่ดึกไปหน่อย”
เสียงจอห์นนี่จากหน้าประตูบ้านทำให้เราสองคนรีบผละตัวออกจากกัน มือเรียวสวยที่ขยุ้มเสื้อผมจนยับเมื่อครู่ถูกปล่อยทิ้งข้างลำตัวราวกับคนหมดแรง ในใจของเจย์คงอยากไล่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ออกจากสมอง ร่างขาวตรงหน้าหายใจหอบจนผมอยากคว้าตัวเขาเข้ามากอดไว้
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะ...
“เจย์อยู่ไหนน่ะ? อ้าว มาร์ค ไหนว่าวันนี้จะไปดื่มกับเพื่อนไง”
ผมเขยิบตัวให้เจย์ขยับเข้ามานั่งตรงกลางโซฟาโดยอัตโนมัติ จอห์นนี่ทรุดลงอีกฝากตรงข้ามกับผม แขนหนาๆ ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแบบนักกีฬาเทนนิสประจำมหาลัยโอบไหล่เจย์ไว้ราวกับจงใจแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มที่
น่าหมั่นไส้ชะมัด
“...นานๆ ทีพวกนายจะกลับมาบ้านนี่นา เลยคิดว่าถ้าได้เจอก็ดี”
พูดจบ ผมก็ลุกขึ้นทำทีเป็นเด็กอายุสิบห้าที่กำลังง่วงเพราะมันก็ปาเข้าตีสองแล้ว ผมพยายามเมินสายตาหวานเยิ้มที่มองมาทางผมทั้งๆ ที่กำลังซบอยู่กับอกจอห์นนี่ เจย์ผู้แสนดีและเอาใจใส่ผมยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆ เอนตัวลงนอนบนตักของแฟนหนุ่มที่คบกันมาได้หลายปี
ก่อนที่คำว่าราตรีสวัสดิ์จะเป็นสัญญาณสิ้นสุดของค่ำคืนระหว่างเรา
---Castle on the Hill---
“มาร์ค ไปหาไรดื่มกัน”
ผมวางผ้าเช็ดจานลงบนเคาน์เตอร์แกรนิตในครัวหลังบาร์ East Slope อาณาจักรส่วนตัวของผมในคืนวันเสาร์-อาทิตย์ บ็อบบี้เป็นคนชวนผมมาทำงานพิเศษที่ร้านอาหารแถวมหาลัยตั้งแต่ปีหนึ่ง เราดื่มกันหนักมากช่วงนั้น แต่พอผ่านไปนานๆ จนขึ้นปีสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาปริญญาตรี ไอ้อาการแฮงก์ข้ามคืนหรือสภาพหัวฟูอยู่ข้างโถส้วมก็ถูกถอดออกจากพจนานุกรมมาร์คลีกับบ็อบบี้เพื่อนยากจนเกลี้ยง
“ปิดเทอมวันจันทร์หน้า นายจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า”
“ก็คงงั้น... ตอนปิดฤดูหนาวไม่ได้กลับน่ะ”
บ็อบบี้กระดกเอล*เข้าปากก่อนจะพยักหน้าเป็นจังหวะตามเพลง Tears Dry on Their Own ของ Amy Winehouse เราสองคนมาเรียนที่ Sussex ด้วยกันแต่คนละสาขา ผมเรียน Film Studies ส่วนบ็อบบี้ได้ทุนสนับสนุน First-generation Scholars*จนได้มาเรียน Digital Arts ตามที่มันฝันไว้
“เออ นายกลับไปเยี่ยมมัมกับแด๊ดนายบ้างเถอะ ฝากหวัดดีจอห์นนี่ด้วยล่ะ”
บ็อบบี้ตั้งใจว่าจะไม่กลับไปเมืองเล็กๆ บ้านนอกอย่างแฟรมลิงแฮมจนกว่ามันจะมีชื่อเสียงไม่ก็ทำเงินด้วยแลปท็อปของมันได้มากกว่าธุรกิจร้านขายของชำ Reese and Barney’s ของครอบครัว หมอนี่เป็นคนแรกของตระกูลที่สมัครเข้าเรียนมหาลัยเลยได้ทุนเฟิร์สเจนฯ มาครอง ส่วนผมน่ะเหรอ? บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่ติดเรื่องนั้น ผมคงกลับไปเยี่ยมมัมบ่อยกว่านี้
รักแรกของผมเกิดขึ้นในแฟรมลิงแฮม
และมันก็จบลงในแฟรมลิงแฮม
ความรู้สึกผมเข้าใจไม่ยาก มันเหมือนเวลาคุณสูญเสียเพื่อนที่คบมาเป็นสิบปีไปทีละคนสองคนตามกาลเวลา ผมก็เหมือนคนอื่นๆ ที่ซ่อนวัยเด็กไว้ในกล่องแพนโดร่า เรารู้ว่ามีความขมขื่นมากมายถูกกักเก็บไว้ในนั้น แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทิ้งมันไว้อย่างนั้นและคอยบังคับตัวเองไม่ให้เผลอเปิดมันออกมา
จนรู้สึกตัวอีกที
ผมก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้าเขตชนบทที่แสนคุ้นตาของบ้านเกิดเสียแล้ว
อาจเพราะผมขับเปอโยต์ 107 ที่จอห์นนี่ยกให้ใช้ต่อฟรีๆ ด้วยความเร็ว 90 ไมลส์ต่อชั่วโมงมาตลอดทาง สายลมพัดทุ่งดอกคาโนลาสีเหลืองจัดจ้านเลยโบกกระหน่ำจนยากจะชื่นชมบรรยากาศสงบสุขของแฟรมลิงแฮมที่มักผ่านไปช้าๆ ตรงข้ามกับธรรมชาติของรถผม
“...Hold me closer tiny dancer! Count the headlights on the highway!”
ผมเปิดหน้าต่างรถ ร้องท่อนฮุคเพลงบัลลาดร็อคที่แสนโด่งดังของลุงจอห์นสุดเสียง นึกถึงความหมายของเพลงที่ช่างตรงความรู้สึกผมที่มีต่อคนๆ นั้น
เจย์ที่ผมไม่มีวันได้ครอบครอง
ต่อให้คว้าเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณมาได้...ร่างกายเจย์ก็ยังเป็นของจอห์นนี่
ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากเจอเขา
เพราะความรู้สึก ‘รัก’ ที่เจย์ฝังไว้ในตัวผมตลอดสิบหกปีที่ผ่านมา
มันคือของจริง...
คือของจริง...
ของจริง..
จริง.
(“มาร์ค นายจำที่นี่ได้ไหม”)
(“อ่า...ผมกลิ้งลงมาจากบนนั้นใช่ไหมล่ะ”)
วันนั้นผมกับเจย์นั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันโดยมีปราสาทแฟรมลิงแฮมตั้งตระหง่านอยู่เป็นส่วนประกอบฉาก แสงสีส้มที่ทอดยาวลงมาสะท้อนกับผืนหญ้าเปล่งประกายระยิบระยับ เช่นเดียวกับเส้นผมสีทองตัดกับผิวขาวเผือกของเจย์ที่สว่างไสวราวกับมิคาเอล*บนสรวงสวรรค์
(“เรื่องตอนนั้นทำเอาฉันเกลียดจอห์นนี่ไปพักใหญ่เลยล่ะ คนอะไรขี้แกล้งชะมัด”)
แต่สีหน้าเจย์ตอนพูดถึงจอห์นนี่กลับทำให้ผมรู้สึกหมองหม่น เจย์ดูมีความสุข สายตาเคลิบเคลิ้มนั่นบ่งบอกถึงความรู้สึกลึกๆ ที่เจย์มีให้กับจอห์นนี่พี่ชายของผม...เพื่อนสมัยเด็กของเจย์ที่ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มฮ็อตดีกรีตัวแทนนักกีฬาเทนนิสประจำ Suffolk Academy ที่เด็กแถวบ้านผมทุกคนขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียน
(“...จอห์นนี่เพิ่งขอฉันเดท”)
ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองตกลงกับพื้นดังตุบ ความพะอืดพะอมชวนคลื่นไส้ไล่ขึ้นมาที่คอจนอึดอัดไปหมด ผมกำมือตัวเองแน่นเพื่อบังคับให้รอยยิ้มอ่อนของผมค้างอยู่บนหน้าต่อไป
(“แล้วเจย์คิดยังไงกับจอห์นนี่ล่ะ”)
(“ว่าไงดี นายก็รู้ว่าพวกเรารู้จักกันมานาน ต่อยกันก็เคย
จะให้เปลี่ยนเป็นแฟนเลยก็คง...”)
แล้วเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจย์กับจอห์นนี่ไปด้วยกันได้ดีแค่ไหน สองคนนั้นเริ่มคบกันตั้งแต่เจย์ขึ้นฟอร์มห้า*ส่วนจอห์นนี่ที่อายุมากกว่าแค่ปีเดียวก็เริ่มเรียน A Level* เพื่อเตรียมสอบเข้าเบอร์มิงแฮม
ส่วนผมที่เพิ่งอายุ 12 ก็ได้แต่มองพวกเขายิ้มให้กันอยู่วงนอก
โตขึ้นอย่างช้าๆ
โบกมือลาเจย์ที่ตามจอห์นนี่ไปเรียนถึงลอนดอน ก่อนจะเป็นฝ่ายทิ้งให้สองคนนั่นสืบทอดกิจการของครอบครัวในเมืองเล็กๆ ของเราด้วยการไปเรียนที่ไบรตันบ้าง
ผมที่ไม่ค่อยกลับบ้านมักจะได้รับข่าวคราวของทั้งคู่ผ่านคนรู้จักที่เคยสนิทกันสมัยเด็กอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นชาร์ลีเพื่อนสนิทเจย์ที่ตอนนี้โด่งดังในฐานะดีไซเนอร์แบรนด์อินดี้ในย่านโซโห*
เบนอดีตมือขวาของจอห์นนี่ที่สืบทอดเรือประมงของพ่อเขามาสามลำ
ลินดาแฟนเก่าที่ท้องสองครั้งกับผู้ชายคนเดิมตั้งแต่ไฮสคูลก่อนที่ลูกๆ จะถูกส่งไปอยู่กับพ่อแม่คนใหม่ที่สามารถเลี้ยงดูพวกเขาได้ดีกว่าหล่อน
แฮร์รี่เพื่อนผมที่ชอบบ่นอิจฉาว่าตรงข้ามกับผมที่มีพี่ชายเท่ๆ พี่ชายหมอนั่นเสพยาเกิดขนาดจนตายไปเมื่อสองปีก่อนทำให้มันต้องติดแหงกอยู่ในแฟรมลิงแฮมทำขนมปังขายต่อไป
ส่วนคนอื่นในทีมฟุตบอลนอกจากผม บ็อบบี้ กับอีกสองสามคนที่เลือกเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยต่างก็มีปัญหาต่างๆ กันไปตามประสาเด็กบ้านนอกของประเทศอังกฤษที่โตมากับเซ็กส์และเครื่องดื่มผิดกฏหมายเยาวชน บ้างก็แต่งเมียใหม่คนที่สอง บ้างก็แทบทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหายใจไปวันๆ
แต่ผมก็คิดถึงคนพวกนั้น
เพราะพวกเขาทุกคนสร้างผมที่เป็นผมขึ้นมา
เหมือนกับที่ผมคิดถึงเจย์
“And I'm on my way
I still remember these old country lanes
When we did not know the answers
(ผมอยู่ระหว่างขับรถ
ยังคงจดจำถนนสายเก่าที่ไม่ได้ลาดยางพวกนี้ได้
ตั้งแต่สมัยที่พวกผมยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร)”
ผมลดความเร็วของเครื่องยนต์ลงเพื่อซึมซับบรรยากาศเก่าๆ ของทุ่งนาทั้งสองข้างทาง มองหาบ้านของคนนู้นคนนี้ที่ไม่เคยทักทายกันเป็นเรื่องเป็นราวแต่กลับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวผมเหมือนกับที่ผมสามารถพูดเป็นคุ้งเป็นแควเกี่ยวกับพวกเขา
“And I miss the way
You make me feel
It's real
(ผมคิดถึงทุกอย่างที่คุณทำให้ผมรู้ว่าความรักแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร)”
ภาพแผ่นหลังที่แสนยิ่งใหญ่ของเจย์ค่อยๆ หดเล็กลงกลายเป็นแผ่นหลังขาวบอบบางที่มีเพียงจอห์นนี่ได้สัมผัส ดวงตาซื่อตรงและเต็มไปด้วยความสุขุมโค้งรับกับรอยยิ้มแสนน่ารักที่ผมหลงใหล อ้อมกอดที่เจย์เคยให้อบอุ่นเสียจนเจ็บปวด จูบแรกที่เร่าร้อนเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งเมื่อเราต่างรู้ดีว่าเจย์เคยตัดสินใจไว้อย่างไร
(“ฉันจะลองคบกับจอห์นนี่ดู”)
ผมแสดงความยินดีให้กับพี่ชายที่กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีเหตุผล ห่วงใยน้องชาย และรักแฟนเขายิ่งกว่าอะไร ส่วนผมก็รู้ตัวดีว่าอย่างไรผมก็เป็นแค่เด็กน้อยข้างบ้านในสายตาเจย์เสมอตั้งแต่เมื่อครั้งที่...
“We watched the sunset over the castle on the hill.
(...เรามองดูพระอาทิตย์ตกเหนือปราสาทบนเนินเขาลูกนั้น)”
Writer’s Talk:
เป็นครั้งแรกที่เขียนชัดเจนถึงรักที่ไม่สมหวังเลยค่ะ หวังว่าจะไม่น่าเบื่อเกินไปนะคะ
OSนี้แต่งให้พี่สาวผู้แสนดีอีกคน เป็นคนที่ไรท์ฯชื่นชมมากๆในฐานะนักเขียนและชอบอะไรคล้ายๆกันหลายอย่าง อิอิ
เนื้อหาในเรื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลง Castle On The Hill ของ Ed Sheeran ทั้งตัว lyrics และ MV รวมถึงประวัติและบ้านเกิดของเจ้าของเพลงด้วยค่ะ (เราเป็นคนชอบตีความวิเคราะห์เพลงต่างชาติตั้งแต่เด็กแล้ว55555)
อยากให้ติชมกันจะได้รู้ว่างานเขียนชิ้นหน้าควรพัฒนายังไงเนอะ ได้ทั้งกล่องคอมเม้นท์ด้านล่าง หรือ #alljae_bar เลยค่ะ
*ระบบการเรียนที่อังกฤษชั้นฟอร์ม 1-6 มีค่าเท่ากับชั้นม.1-6ของไทย แต่ที่อังกฤษเค้าจะต้องเรียน A Level กันต่อเพื่อเตรียมเข้ามหาลัยค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล. อยากอ่านคู่อื่นบ้างอะครับไรท์ จอห์นแจปาไปครึ่งแล้ว TT มาร์คแจ แจยง เตนล์แจ โดแจ อยากอ่านหมดเลย เราเป็นหนึ่งคนหรือเปล่าที่ไม่ชิปจอห์นนี่กับใครเลย คนชอบกันทั่วบ้านทั่วด้อม 55 เศร้าใจตัวเอง
#ปลอินมาก #ปลสองหน่วงมากเช่นกัน
#ปลสาม ของคุณสำหรับฟิคดีๆอีกครั้งค่ะ
จุดนั้นคือรู้สึกโหวงไปหมดทั้งใจเลยค่ะ อยากร้องแต่ร้องไม่ออก ทั้งอินทั้งสงสาร เป็นประโยคบอกเล่าธรรมดาที่ทำเอาเหงาจนหน่วงใจไปหมด
มาซ้ำให้จุกอีกจึ้กตอนมาร์คบอกรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็เป็นได้แค่เด็กน้อยข้างบ้านของเจย์อยู่ดี อ่านถึงตอนนั้นถึงกับคือหวีดใส่มือถือแรงๆไปหนึ่งที ระบายความอึดอัด
ฮืออออออออ
ถึงระหว่างทางก่อนจะมาถึงบรรทัดสุดท้ายมันจะทั้งเหงาทั้งไปกับมาร์ค แต่พออ่านจบแล้วรู้สึกอิ่มกับความทรงจำของรักแรกมากเลยค่ะ แม้ว่าสุดท้ายพระเอกของเราจะไม่สมหวังก็เถอะ แต่เราก็ยังมองเหมือนมาร์คว่าถึงมันจะไม่สมหวัง แต่ทุกประสบการณ์ ทุกความทรงจำในอดีตก็สร้างให้เราเป็นเราในปัจจุบัน อาจจะผิดหวังบ้าง เสียใจบ้าง แต่เรื่องราวๆดีที่ปะปนมาจนแยกไม่ได้มันก็ยังทำให้ทั้งหมดเป็นความทรงจำที่มีค่าแล้วก็โหยหาอยากกลับไปสัมผัสช่วงเวลานั้นอยู่ดี อ่านแล้วคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนสมัยมัธยมเลยค่ะ
อีกอย่างที่ชอบตอนจบแบบนี้เพราะ หนึ่งมันดูเรียล สองคือมันให้ความรู้สึกต่างกับบทสรุปแบบแฮปปี้เอนดิ้งตรงที่พออ่านจบแล้วเหมือนมีตะกอนค้างอยู่ในใจ ความรู้สึกเหงาๆนี่คงติดตัวไปอีกสักพักเลยล่ะค่ะ *อินจัด*
ขอบคุณที่แต่งฟิคดีๆแบบนี้ให้อ่านเสมอเลยนะคะ มัคเจย์เรื่องหน้าก็จะตามไปเชียร์อีก สู้ๆ ไฟท์ติ้งงงงงงงง *ปาหัวใจรัวๆ*