ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาสงครามทลายฟ้า

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 - ฟื้นตื่น

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 50


    ในที่สุดก็มาถึงจนได้

     

    เสียงเล็กแต่กระฉับกระเฉงดังลอดออกจากปากเล็กๆของหญิงสาวผมแดงสั้นที่ปลายชี้ฟูขึ้น รูปร่างบางวัยมหาลัยเดินมาหยุดอยู่ใต้เงาของต้นไม้ใหญ่

     

    ดวงตาสีดำอันเต็มไปด้วยประกายซุกซนและสงสัยใคร่รู้ในสิ่งต่างๆจ้องมองไปยังซากโบราณสถานที่ตั้งอยู่บนพื้นทรายเบื้องหน้า

     

    มือเล็กๆสีขาวนวลล้วงเข้าไปที่กระเป๋าเป้เล็กอันสะพายอยู่เบื้องหลังหยิบเอา ผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่เกาะอยู่ตามใบหน้าออกจนหมดสิ้นและย่างก้าวเตรียมเข้าสู่โบราณสถานที่ได้พบอย่างมุงมั่น

     

    ซากโบราณสถานของอารยะธรรมโบราณ ที่แม้แต่บรรดานักวิชาการมีชื่อทั้งหลายยังตีความไม่ได้และเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ แต่ทำไมเราถึงฝันถึงมันและรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกนะเสียงรำพึงรำพันดังลอดออกมาจากสีชมพูของเธออย่างสงสัยใครรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น 

     

    วิลเลี่ยมเธอเอื้อมมือไปหยิบล็อกเก็ตที่ห้อยอยู่ที่คอและเปิด มันออกดู

     

    ภาพของเธอทิ่ยิ้มอย่างร่าเริงยืนเกาะคอชายหนุ่มหน้าตาใจดีและที่มุมปากประดับรอยยิ้มน้อยๆอยู่ภายในล็อกเก็ตอันเล็กๆนี้

     

    เธอรูปมันอย่างเบาก่อนจะปิดฝาและปล่อยให้มันกลับเข้าที่ของมัน พร้อมเงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดหมายที่ตัวเองหยุดยืน

     

    อาคารทรงสูง ศิลปกรรมแบบยุโรปโบราณ ที่ถูกขุดค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ อันเกิดจากการหยุบตัวของพื้นดินเลยทำให้ตัวอาคารที่ ถูกซุกซ่อนไว้ข้างใต้โผล่มาให้โลกได้ยลโฉมแต่ก็ทำให้เหล่านักโบราณคดีหรือแม้กระทั่งเหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องปวดหัวตามกันเป็นแถว เพราะเนื่องจากตรวจสอบออกมามันขัดแย้งกับความน่าเป็นจริงเหลือเกิน

     

    เราจะไม่เสียใจภายหลังเป็นอันขาดแววตาสีดำวาวโลดบ่งบอกความมุ่งมันของเจ้าของได้เป็นยังดี

     

    แต่ก่อนอื่นถ่ายรูปก่อนดีกว่า หึหึว่าแล้วเธอก็จัดแจงหยิบกล้องออกจากเป้สะพายหลังของเธอและโพสท่าถ่ายรูปอย่างสบายอารมณ์

     

    หลังจากถ่ายรูปเสร็จเธอเก็บกล้องและบรรดาอุปกรณ์ขึ้น แล้วก้าวเขาไปในปราสาททันที

     

    ศิลปกรรม การตกแต่งภายใน ต่างเป็นสไตล์ยุโรปช่วงยุคเรอเนอซองแต่ทำไม เหล่านักวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเมื่อสมัย 10000 ปีที่แล้ว มันช่างขัดกันเสียเหลือเกิน

     

    เธอมองไปรอบๆและคิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อยของเธอไป

     

    บนทวีปที่ใหญ่โตของต่างแดนที่ห่างจากลอนดอน ถึงพันกว่ากิโลเมตร ไม่มีใครรู้จักเราแม่แต่คนเดียวแต่ทำไมมันรู้สึกคุ้นเคยเสียจริง

     

    เธอคิดและหัวเราะเบากับความคิดเล็กๆของเธอแต่ทันใดนั้นเอง

     

    แสงแปลบที่สว่างวูบขึ้นเพียงไม่นานแต่มันสร้างความรู้สึกบางอย่างที่มันวิ่งเข้ามาในหัวเธออย่างฉับพลัน ความรู้สึกสงสัยก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ขาของเธอก้าวเขาไปทิศทางที่แสงแวบขึ้น

     

    เมื้อกี้แสงอะไรนะ

     

    เธอชะโงกหน้าเข้าไปดูความมืดที่แสงบางอย่างแวบออกมา ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ขากล้องเหล็กที่เธอหอบหิ้วมาไกลบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นอาวุธป้องกันตัวไปเรียบร้อยแล้ว

     

    กลับลอนดอนดีกว่าไหมเนี่ย ก่อนที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยงอยู่ที่นี่น่ะ

     

    เธอเดินฟ่าเข้าไปเรื่อยๆอย่างกล้าๆกลัวๆ

     

    วังเวงชอบกลแหะ

     

    เธอหันซ้ายหันขวาแต่สิ่งที่อยู่รอบตัวเธอตอนนี้นอกจากความมืดแล้วก็ไม่มีสิ่งใดให้เห็นบรรยากาศอันเงียบเฉียบสร้างความกดดันผสานด้วยความกลัวจนต้องถอยหลังกลับ

     

    อ๊ะ เมื่อเธอหันกลับไป เธอพบบางสิ่งบางอย่างที่ถูกตั้งไว้อยู่ที่มุมห้องอยู่อย่างเงียบเฉียบ ด้วยความอยากรู้ส่งผลให้เธอเดินเข้าไปหาอย่างไร้ความเกรงกลัวใดๆ

     

    รูปปั้นดิน แกะสลักเป็นรูปร่างคน แต่ทว่าดูเหมือนมันเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์เพราะยงเหลือเศษดินที่ยังแกะไม่เสร็จอยู่ตรงฐานของรูปปั้น

     

    แข็งแกร่งและสูงส่งกว่านี้ เสียงอันเบาบางดังแว่วเข้าหัวเธออย่างไม่มีวี่แวว

     

    มากกว่านี้เสียงเดิมดังก้องกังวานในหัวเธออีกครั้ง แต่แปลกเธอไม่ได้มีความกลัวในเสียงที่ดังอย่างไม่รู้ที่มากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดด้วยซ้ำ

     

    เธอขยับไฟฉายส่องไปตรงใบหน้าของรูปปั้นมนุษย์โดยหวังว่ารูปปั้นที่แกะสลักนั้นทำเป็นรูปใคร

     

    ภาพที่ไฟฉายส่องให้เห็นคือใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาทำสีหน้ามุ่งมั่นตั้งตะงานอยู่

     

    หล่อดีแหะหน้าตาแบบนี้ อาจจะเป็นแบบที่เราชอบก็ได้เธอยกมอขาวเนียนของเธอขึ้นสัมผัสรูปปั้นหิน เท่านั้นแหละ

     

    ครึกๆ รูปปั้นหินเกิดการสั่นไหวอย่างแรงหินเริ่มหลุดร่วงลงเรื่อย สร้างความตกใจให้เธอต้องกระโดดถอยออกมาดูเหตุการณ์

     

    หินที่ร่วงลงมาเรื่อยจากท่อนบนทำให้สิ่งที่อยู่ข้างในเริ่มแสดงออกมาให้เห็น

     

    สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ค่อยๆโผล่อให้เห็นเมื่อเหล่าก้อนหินเริ่มหลุดร่วงลงมาจนในที่สุด ตัวเขาหลุดออกมานั่งคุกเขาอยู่ที่พื้นเบื้องหน้าของหญิงสาว

     

    อ๊ากเสียงร้องก้อง ดังออกจากปากของชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าลงอย่างเจ็บปวด 

     

    พรึบตามมาด้วยเสียงลุกของเปลวไฟที่มาเผาไหม้คลุมตัวเขาและลุกโชนพุงขึ้นสู่เพดานกลายเป็นเสาไฟสูงเสียดฟ้าก่อนที่จะดับไปอย่างรวดเร็ว

     

    เหล่าเศษดินหินทั้งหลายที่เคยเกาะอยู่ตามร่างกายและเสื้อผ้าของชายหนุ่มผู้นี้ได้ถูกเปลวไฟเผาทำลายหมดสิ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยทรงตัวขึ้นอย่างช้าๆเผยให้เห็นใบหน้าของตนที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายในศิลา

     

     แฮ่ก แฮ่กบุรุษผมสั้นชี้ฟูสีแดงหน้าตาหล่อเหลาตาโตดั่งกระดิ่งหอบอย่างเหนื่อยอ่อน

     

    ในที่สุดก็ทำสำเร็จยาวนานเหลือเกินใบหน้าสีเหลี่ยมหยาบกร้านแต่ดูสมชายชาตรีของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไหลเกาะอยู่

     

    เรานับวันเวลามานานเพื่อที่จะรอวันนี้ คราวนี้แหละจะได้สะสางให้รู้เรื่องซักทีบุรุษผมแดงเริ่มทดลองขยับร่างกายส่วยต่างเพื่อที่จะเช็คสภาพของมันว่ามีความพร้อมแค่ไหน

     

    หญิงสาวสาวผมแดง งงงวยกับเหตุการณ์โผล่ออกมาให้เธอได้เห็นสร้างความกลัวขึ้นภายในเจอจนชักเท้ากลับเตรียมเผ่นหนี

     

    เอ่อ ฉันไปก่อนนะเสียงเล็กลอดออกจากปากเรียวสวยได้รูป

     

    เดี๋ยวเสียงแหบแห้งตวาดขึ้นมาเสียงดัง

     

    เป็นเหตุให้สาวน้อยคนนั้นต้องหยุดกึกด้วยความตกใจแล้วหันไปมองต้นเสียงที่เรียกให้เธอหยุดลง

     

    ฉันอุตสาห์เรียกเธอมาทั้งทีอยู่ด้วยกันอีกหน่อยเขาใช้มือปัดฝุ่นตามร่างกายออกไปแต่ทางฝ่ายหญิงสาว หน้าขาวนวลเริ่มซีดจนไร้สีเลือดพร้อมทั้งคิดในใจว่า

     

    ไม่น่ามาเลยเรา ฮือๆก่อนจะหันก่อนที่จะรวบรวมความกล้าแล้วตอบกลับไปช้าๆ

     

    หมายความว่าไง ฉันมาจากอีกซีกโลกเชียวนะน้ำเสียงสั่นเอ่ยคำถามออกมาแบบกล้าๆกลัวๆ

     

    แต่ดูเหมือนคนข้างหน้าจะไม่สนใจอะไร เพราะตอนนี้เอาแต่จ้องมองผนังหินที่อยู่ด้านตรงข้ามอย่างเดียว

     

    เอ๋เสียงที่ฟังดูเหมือนแปลกใจดังลอดออกจากปากของเขาก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย แล้วเดินเข้าหาเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าและคว้าตัวเธอเข้าไปกอด

     

    นายจะทำอะไรนะเสียงตวาดดังลั่นของสาวผู้โชคร้ายที่ตอนนี้โดนเขาลากไปกอดโวยวายขึ้นมา

     

    แต่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับจากคนที่ทำอุกอาจใส่เธอแต่อย่างใดเพราะเขาเอาแต่มองผนังอันเดิมอยู่อย่างนั้น

     

    เฮ้ นายเองก็ น่าจะตื่นได้แล้วสิ้นเสียงตะโกนก้องของบุรุษผมแดง แสงสีแดงเข้มก็ได้พุ่งออกมาจากร่างของเขามุ่งตรงไปยังกำแพงที่เขาเอาแต่จ้องตั้งแต่แรก

     

    โห ไฟเสียอุทานออกจากปากสาวน้อยอย่างลืมตัวกับสิ่งที่เห็นนั้น

     

    ลำแสงสีแดงได้พุ่งเข้าหากำแพงและปะทะอย่างจัง

     

    ตูม! เสียงระเบิดดังกึกก้อง แล้วตามด้วยไฟที่ลุกไหม้ขึ้นอย่างๆช้า เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกฝังอยู่กลับผนังไว้

     

    รูปปั้นมนุษย์อีกอันที่ถูกฝังไว้กลับผนังลอดโผล่ออกมาให้เห็นเพราะแรงระเบิด

     

    ไฟได้ลุกไหม้รูปปั้นอย่างช้าจนในที่สุดมันก็ได้ตกลงไปยังพื้นดินและแตกกระจายออก

     

    บางสิ่งบางอย่างผุดลุกขึ้นอย่างช้า แล้วเริ่มปัดตามลำตัว

     

    หนุ่มหล่อผมลองทรงสั้นสีทอง ที่กลางหน้าอกมีสัญลักษณ์รูปสิงโตใส่มงกุฎยืนผงาดอยู่กลางอก  มือซ้ายถือดาบยาวใส่ฝักสีทองที่กลางดาบประดับอัญมณีสีเหลืองส่องประกายวาววับออกมา ก้าวออกมาจากเงามืดออกมาเผชิญหน้ากลับบุรุษผมแดงที่มีสาวน้อยอยู่ในอ้อมอก

     

    ไง ตาสว่างยัง พ่อเอเลเมนเทเลอร์แห่งดินเสียงยั่วเย้าดังออกจากปากของชายหนุ่มผมแดง ทักทายผู้มาใหม่อย่างยียวน

     

    เอเลเมนเทเลอร์?แต่คำพูดนี้กลับสร้างความฉงนให้กับสาวที่อยู่ในอ้อมอกแทน ทำให้เธอขมวดคิ้วแล้วมองมายังชายหนุ่มผมแดงที่กอดเธออยู่

     

    พลังขนาดนี้ทั้งที่ยังไม่มีอาวุธธาตุ ผู้หญิงคนนี้เป็นดีพางั้นรึ?”

     

    เสียงอ่อนโยนนุ่มนวลดังขึ้นหลังจากที่เขาจ้องมองสำรวจไปมายังหญิงสาวผมแดงที่ตอนนี้ตกอยู่ในอ้อมอกของบุรุษคู่อริของตนเอง

     

    ถูกต้อง ฉลาดนี่หนุ่มผมแดงยิ้มกริ่มก่อนจะพูดต่อว่า

     

    ฉันเรียกมาเองแหละจากอีกซีกโลกเชียวล่ะ ด้วยการใช้ประโยชน์จากของที่นายใช้กักขังฉันเอาไว้

     

    คิดจะก่อให้เกิดความวุ่นวายบนโลกอีกรึไง

     

    เฮ้อๆ เดียวก่อนที่เราตื่นขึ้นมาไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้หรอกนะเขาพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริงก่อนจะพูดต่อว่า

     

    นี่มันตั้งสี่ล้านคืนแล้ว ถึงเวลาเหล่าธาตุจะเคลื่อนไหวอีกครั้งก่อนที่จะเดินลากผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมอกเดินเข้ามาหาบุรุษหนุ่มผมเหลืองแล้วหยุดยืนไม่ไกลจากเขา

     

    มันสายไปแล้วล่ะ เหล่าธาตุทั้งหลายกำลังสับสนเพราะพวกเราตื่นขึ้นมา มันกำลังจะตื่นใครก็หยุดมันไม่ได้ก่อนจะฉีกยิ้มเยาะไปให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างสะใจ

     

    ชายหนุ่มผมเหลืองเอามือลูบค้างแล้วทำท่าเหมือนใช้ความคิดแล้วพูดว่า

     

    แล้วเหล่าเอเลเมนเทเลอร์ ก็จะเรียกร้องอำนาจงั้นสิ?”พร้อมทั้งยิ้มให้เล็กๆให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างอารมณ์ดี

     

    นายเชื่อหรือไง ว่าตำนานที่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่เนี่ย

     

    ชายหนุ่มผมแดงตีหน้าขำออกมาแล้วพูดว่า

     

    หลังจากความวุ่นวายนะ ใช่แล้วก่อนจะยิ้มเหมือนเด็กที่ดีใจได้ของเล่นใหม่ที่ถูกใจ

     

    ชายในชุดเกราะสีขาวไหวไหลเล็กก่อนจะพูดว่า

     

    งั้นก็ช่วยไม่ได้

     

    เขากำดาบสีเงินขึ้นมาก่อนจะถอดออกจากปลอกอย่างช้าๆ

     

    งั้นฉันคงต้องทำตามหน้าที่ของธาตุแห่งดิน ล่ะนะ…..”

     

    ดาบที่อยู่ในมือถูกปักลงพื้นทันทีที่พูดจบ

     

    ในนามของธาตุดิน ข้าขอบัญชาวงแหวนไสยเวทย์สีทองปรากฏขึ้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของชายหนุ่มผมสีทองส่องแสงจ้าขึ้นมาในบัดดล

     

    เฮ้ๆ เล่นแรงแหะชายหนุ่มผมแดงกระฉับหญิงสาวในอ้อมอกให้แน่ขึ้นทันทีที่เห็นดังนั้น

     

    เหล่าผู้อาดูรแห่งทิศบูรพาเอ๋ย ขอจงตอบรับเสียงเรียกแห่งจิตวิญญาณแห่งปฐพี มารวมตัวเพื่อกู่ก้องทำลายทุกสรรพสิ่งให้วินาศสิ้นชายหนุ่มผมทองชักดาบออกจากพื้นดินแล้วกู่ร้องออกมา

     

    อิโอเรซัส

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×