คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 - ฟื้นตื่น
“ในที่สุดก็มาถึงจนได้”
เสียงเล็กแต่กระฉับกระเฉงดังลอดออกจากปากเล็กๆของหญิงสาวผมแดงสั้นที่ปลายชี้ฟูขึ้น รูปร่างบางวัยมหาลัยเดินมาหยุดอยู่ใต้เงาของต้นไม้ใหญ่
ดวงตาสีดำอันเต็มไปด้วยประกายซุกซนและสงสัยใคร่รู้ในสิ่งต่างๆจ้องมองไปยังซากโบราณสถานที่ตั้งอยู่บนพื้นทรายเบื้องหน้า
มือเล็กๆสีขาวนวลล้วงเข้าไปที่กระเป๋าเป้เล็กอันสะพายอยู่เบื้องหลังหยิบเอา ผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่เกาะอยู่ตามใบหน้าออกจนหมดสิ้นและย่างก้าวเตรียมเข้าสู่โบราณสถานที่ได้พบอย่างมุงมั่น
“ซากโบราณสถานของอารยะธรรมโบราณ ที่แม้แต่บรรดานักวิชาการมีชื่อทั้งหลายยังตีความไม่ได้และเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ แต่ทำไมเราถึงฝันถึงมันและรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกนะ”เสียงรำพึงรำพันดังลอดออกมาจากสีชมพูของเธออย่างสงสัยใครรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น
“วิลเลี่ยม”เธอเอื้อมมือไปหยิบล็อกเก็ตที่ห้อยอยู่ที่คอและเปิด มันออกดู
ภาพของเธอทิ่ยิ้มอย่างร่าเริงยืนเกาะคอชายหนุ่มหน้าตาใจดีและที่มุมปากประดับรอยยิ้มน้อยๆอยู่ภายในล็อกเก็ตอันเล็กๆนี้
เธอรูปมันอย่างเบาก่อนจะปิดฝาและปล่อยให้มันกลับเข้าที่ของมัน พร้อมเงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดหมายที่ตัวเองหยุดยืน
อาคารทรงสูง ศิลปกรรมแบบยุโรปโบราณ ที่ถูกขุดค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ อันเกิดจากการหยุบตัวของพื้นดินเลยทำให้ตัวอาคารที่ ถูกซุกซ่อนไว้ข้างใต้โผล่มาให้โลกได้ยลโฉมแต่ก็ทำให้เหล่านักโบราณคดีหรือแม้กระทั่งเหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องปวดหัวตามกันเป็นแถว เพราะเนื่องจากตรวจสอบออกมามันขัดแย้งกับความน่าเป็นจริงเหลือเกิน
“เราจะไม่เสียใจภายหลังเป็นอันขาด”แววตาสีดำวาวโลดบ่งบอกความมุ่งมันของเจ้าของได้เป็นยังดี
“แต่ก่อนอื่นถ่ายรูปก่อนดีกว่า หึหึ”ว่าแล้วเธอก็จัดแจงหยิบกล้องออกจากเป้สะพายหลังของเธอและโพสท่าถ่ายรูปอย่างสบายอารมณ์
หลังจากถ่ายรูปเสร็จเธอเก็บกล้องและบรรดาอุปกรณ์ขึ้น แล้วก้าวเขาไปในปราสาททันที
ศิลปกรรม การตกแต่งภายใน ต่างเป็นสไตล์ยุโรปช่วงยุคเรอเนอซองแต่ทำไม เหล่านักวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเมื่อสมัย 10000 ปีที่แล้ว มันช่างขัดกันเสียเหลือเกิน
เธอมองไปรอบๆและคิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อยของเธอไป
‘บนทวีปที่ใหญ่โตของต่างแดนที่ห่างจากลอนดอน ถึงพันกว่ากิโลเมตร ไม่มีใครรู้จักเราแม่แต่คนเดียวแต่ทำไมมันรู้สึกคุ้นเคยเสียจริง’
เธอคิดและหัวเราะเบากับความคิดเล็กๆของเธอแต่ทันใดนั้นเอง
แสงแปลบที่สว่างวูบขึ้นเพียงไม่นานแต่มันสร้างความรู้สึกบางอย่างที่มันวิ่งเข้ามาในหัวเธออย่างฉับพลัน ความรู้สึกสงสัยก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ขาของเธอก้าวเขาไปทิศทางที่แสงแวบขึ้น
“เมื้อกี้แสงอะไรนะ”
เธอชะโงกหน้าเข้าไปดูความมืดที่แสงบางอย่างแวบออกมา ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ขากล้องเหล็กที่เธอหอบหิ้วมาไกลบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นอาวุธป้องกันตัวไปเรียบร้อยแล้ว
“กลับลอนดอนดีกว่าไหมเนี่ย ก่อนที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยงอยู่ที่นี่น่ะ”
เธอเดินฟ่าเข้าไปเรื่อยๆอย่างกล้าๆกลัวๆ
“วังเวงชอบกลแหะ”
เธอหันซ้ายหันขวาแต่สิ่งที่อยู่รอบตัวเธอตอนนี้นอกจากความมืดแล้วก็ไม่มีสิ่งใดให้เห็นบรรยากาศอันเงียบเฉียบสร้างความกดดันผสานด้วยความกลัวจนต้องถอยหลังกลับ
“อ๊ะ “เมื่อเธอหันกลับไป เธอพบบางสิ่งบางอย่างที่ถูกตั้งไว้อยู่ที่มุมห้องอยู่อย่างเงียบเฉียบ ด้วยความอยากรู้ส่งผลให้เธอเดินเข้าไปหาอย่างไร้ความเกรงกลัวใดๆ
รูปปั้นดิน แกะสลักเป็นรูปร่างคน แต่ทว่าดูเหมือนมันเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์เพราะยงเหลือเศษดินที่ยังแกะไม่เสร็จอยู่ตรงฐานของรูปปั้น
‘แข็งแกร่งและสูงส่งกว่านี้’ เสียงอันเบาบางดังแว่วเข้าหัวเธออย่างไม่มีวี่แวว
‘มากกว่านี้’เสียงเดิมดังก้องกังวานในหัวเธออีกครั้ง แต่แปลกเธอไม่ได้มีความกลัวในเสียงที่ดังอย่างไม่รู้ที่มากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดด้วยซ้ำ
เธอขยับไฟฉายส่องไปตรงใบหน้าของรูปปั้นมนุษย์โดยหวังว่ารูปปั้นที่แกะสลักนั้นทำเป็นรูปใคร
ภาพที่ไฟฉายส่องให้เห็นคือใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาทำสีหน้ามุ่งมั่นตั้งตะงานอยู่
“หล่อดีแหะหน้าตาแบบนี้ อาจจะเป็นแบบที่เราชอบก็ได้”เธอยกมอขาวเนียนของเธอขึ้นสัมผัสรูปปั้นหิน เท่านั้นแหละ
ครึกๆ รูปปั้นหินเกิดการสั่นไหวอย่างแรงหินเริ่มหลุดร่วงลงเรื่อย สร้างความตกใจให้เธอต้องกระโดดถอยออกมาดูเหตุการณ์
หินที่ร่วงลงมาเรื่อยจากท่อนบนทำให้สิ่งที่อยู่ข้างในเริ่มแสดงออกมาให้เห็น
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ค่อยๆโผล่อให้เห็นเมื่อเหล่าก้อนหินเริ่มหลุดร่วงลงมาจนในที่สุด ตัวเขาหลุดออกมานั่งคุกเขาอยู่ที่พื้นเบื้องหน้าของหญิงสาว
“อ๊าก”เสียงร้องก้อง ดังออกจากปากของชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าลงอย่างเจ็บปวด
“พรึบ”ตามมาด้วยเสียงลุกของเปลวไฟที่มาเผาไหม้คลุมตัวเขาและลุกโชนพุงขึ้นสู่เพดานกลายเป็นเสาไฟสูงเสียดฟ้าก่อนที่จะดับไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าเศษดินหินทั้งหลายที่เคยเกาะอยู่ตามร่างกายและเสื้อผ้าของชายหนุ่มผู้นี้ได้ถูกเปลวไฟเผาทำลายหมดสิ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยทรงตัวขึ้นอย่างช้าๆเผยให้เห็นใบหน้าของตนที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายในศิลา
“แฮ่ก แฮ่ก”บุรุษผมสั้นชี้ฟูสีแดงหน้าตาหล่อเหลาตาโตดั่งกระดิ่งหอบอย่างเหนื่อยอ่อน
“ในที่สุดก็ทำสำเร็จยาวนานเหลือเกิน”ใบหน้าสีเหลี่ยมหยาบกร้านแต่ดูสมชายชาตรีของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไหลเกาะอยู่
“เรานับวันเวลามานานเพื่อที่จะรอวันนี้ คราวนี้แหละจะได้สะสางให้รู้เรื่องซักที”บุรุษผมแดงเริ่มทดลองขยับร่างกายส่วยต่างเพื่อที่จะเช็คสภาพของมันว่ามีความพร้อมแค่ไหน
หญิงสาวสาวผมแดง งงงวยกับเหตุการณ์โผล่ออกมาให้เธอได้เห็นสร้างความกลัวขึ้นภายในเจอจนชักเท้ากลับเตรียมเผ่นหนี
“เอ่อ ฉันไปก่อนนะ”เสียงเล็กลอดออกจากปากเรียวสวยได้รูป
“เดี๋ยว”เสียงแหบแห้งตวาดขึ้นมาเสียงดัง
เป็นเหตุให้สาวน้อยคนนั้นต้องหยุดกึกด้วยความตกใจแล้วหันไปมองต้นเสียงที่เรียกให้เธอหยุดลง
“ฉันอุตสาห์เรียกเธอมาทั้งทีอยู่ด้วยกันอีกหน่อย”เขาใช้มือปัดฝุ่นตามร่างกายออกไปแต่ทางฝ่ายหญิงสาว หน้าขาวนวลเริ่มซีดจนไร้สีเลือดพร้อมทั้งคิดในใจว่า
‘ไม่น่ามาเลยเรา ฮือๆ’ก่อนจะหันก่อนที่จะรวบรวมความกล้าแล้วตอบกลับไปช้าๆ
“หมายความว่าไง ฉันมาจากอีกซีกโลกเชียวนะ”น้ำเสียงสั่นเอ่ยคำถามออกมาแบบกล้าๆกลัวๆ
แต่ดูเหมือนคนข้างหน้าจะไม่สนใจอะไร เพราะตอนนี้เอาแต่จ้องมองผนังหินที่อยู่ด้านตรงข้ามอย่างเดียว
“เอ๋”เสียงที่ฟังดูเหมือนแปลกใจดังลอดออกจากปากของเขาก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย แล้วเดินเข้าหาเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าและคว้าตัวเธอเข้าไปกอด
“นายจะทำอะไรนะ”เสียงตวาดดังลั่นของสาวผู้โชคร้ายที่ตอนนี้โดนเขาลากไปกอดโวยวายขึ้นมา
แต่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับจากคนที่ทำอุกอาจใส่เธอแต่อย่างใดเพราะเขาเอาแต่มองผนังอันเดิมอยู่อย่างนั้น
“เฮ้ นายเองก็ น่าจะตื่นได้แล้ว”สิ้นเสียงตะโกนก้องของบุรุษผมแดง แสงสีแดงเข้มก็ได้พุ่งออกมาจากร่างของเขามุ่งตรงไปยังกำแพงที่เขาเอาแต่จ้องตั้งแต่แรก
“โห ไฟ”เสียอุทานออกจากปากสาวน้อยอย่างลืมตัวกับสิ่งที่เห็นนั้น
ลำแสงสีแดงได้พุ่งเข้าหากำแพงและปะทะอย่างจัง
ตูม! เสียงระเบิดดังกึกก้อง แล้วตามด้วยไฟที่ลุกไหม้ขึ้นอย่างๆช้า เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกฝังอยู่กลับผนังไว้
รูปปั้นมนุษย์อีกอันที่ถูกฝังไว้กลับผนังลอดโผล่ออกมาให้เห็นเพราะแรงระเบิด
ไฟได้ลุกไหม้รูปปั้นอย่างช้าจนในที่สุดมันก็ได้ตกลงไปยังพื้นดินและแตกกระจายออก
บางสิ่งบางอย่างผุดลุกขึ้นอย่างช้า แล้วเริ่มปัดตามลำตัว
หนุ่มหล่อผมลองทรงสั้นสีทอง ที่กลางหน้าอกมีสัญลักษณ์รูปสิงโตใส่มงกุฎยืนผงาดอยู่กลางอก มือซ้ายถือดาบยาวใส่ฝักสีทองที่กลางดาบประดับอัญมณีสีเหลืองส่องประกายวาววับออกมา ก้าวออกมาจากเงามืดออกมาเผชิญหน้ากลับบุรุษผมแดงที่มีสาวน้อยอยู่ในอ้อมอก
“ไง ตาสว่างยัง พ่อเอเลเมนเทเลอร์แห่งดิน”เสียงยั่วเย้าดังออกจากปากของชายหนุ่มผมแดง ทักทายผู้มาใหม่อย่างยียวน
“เอเลเมนเทเลอร์?”แต่คำพูดนี้กลับสร้างความฉงนให้กับสาวที่อยู่ในอ้อมอกแทน ทำให้เธอขมวดคิ้วแล้วมองมายังชายหนุ่มผมแดงที่กอดเธออยู่
“พลังขนาดนี้ทั้งที่ยังไม่มีอาวุธธาตุ ผู้หญิงคนนี้เป็นดีพางั้นรึ?”
เสียงอ่อนโยนนุ่มนวลดังขึ้นหลังจากที่เขาจ้องมองสำรวจไปมายังหญิงสาวผมแดงที่ตอนนี้ตกอยู่ในอ้อมอกของบุรุษคู่อริของตนเอง
“ถูกต้อง ฉลาดนี่”หนุ่มผมแดงยิ้มกริ่มก่อนจะพูดต่อว่า
“ฉันเรียกมาเองแหละจากอีกซีกโลกเชียวล่ะ ด้วยการใช้ประโยชน์จากของที่นายใช้กักขังฉันเอาไว้”
“คิดจะก่อให้เกิดความวุ่นวายบนโลกอีกรึไง”
“เฮ้อๆ เดียวก่อนที่เราตื่นขึ้นมาไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้หรอกนะ”เขาพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริงก่อนจะพูดต่อว่า
“นี่มันตั้งสี่ล้านคืนแล้ว ถึงเวลาเหล่าธาตุจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง”ก่อนที่จะเดินลากผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมอกเดินเข้ามาหาบุรุษหนุ่มผมเหลืองแล้วหยุดยืนไม่ไกลจากเขา
“มันสายไปแล้วล่ะ เหล่าธาตุทั้งหลายกำลังสับสนเพราะพวกเราตื่นขึ้นมา มันกำลังจะตื่นใครก็หยุดมันไม่ได้”ก่อนจะฉีกยิ้มเยาะไปให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างสะใจ
ชายหนุ่มผมเหลืองเอามือลูบค้างแล้วทำท่าเหมือนใช้ความคิดแล้วพูดว่า
“แล้วเหล่าเอเลเมนเทเลอร์ ก็จะเรียกร้องอำนาจงั้นสิ?”พร้อมทั้งยิ้มให้เล็กๆให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างอารมณ์ดี
“นายเชื่อหรือไง ว่าตำนานที่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่เนี่ย”
ชายหนุ่มผมแดงตีหน้าขำออกมาแล้วพูดว่า
“หลังจากความวุ่นวายนะ ใช่แล้ว”ก่อนจะยิ้มเหมือนเด็กที่ดีใจได้ของเล่นใหม่ที่ถูกใจ
ชายในชุดเกราะสีขาวไหวไหลเล็กก่อนจะพูดว่า
“งั้นก็ช่วยไม่ได้”
เขากำดาบสีเงินขึ้นมาก่อนจะถอดออกจากปลอกอย่างช้าๆ
“งั้นฉันคงต้องทำตามหน้าที่ของธาตุแห่งดิน ล่ะนะ
..”
ดาบที่อยู่ในมือถูกปักลงพื้นทันทีที่พูดจบ
“ในนามของธาตุดิน ข้าขอบัญชา”วงแหวนไสยเวทย์สีทองปรากฏขึ้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของชายหนุ่มผมสีทองส่องแสงจ้าขึ้นมาในบัดดล
“เฮ้ๆ เล่นแรงแหะ”ชายหนุ่มผมแดงกระฉับหญิงสาวในอ้อมอกให้แน่ขึ้นทันทีที่เห็นดังนั้น
“เหล่าผู้อาดูรแห่งทิศบูรพาเอ๋ย ขอจงตอบรับเสียงเรียกแห่งจิตวิญญาณแห่งปฐพี มารวมตัวเพื่อกู่ก้องทำลายทุกสรรพสิ่งให้วินาศสิ้น”ชายหนุ่มผมทองชักดาบออกจากพื้นดินแล้วกู่ร้องออกมา
“อิโอเรซัส”
ความคิดเห็น