ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chronicle of Magician : โรงเรียนมหามนตราThe Eldurus

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ - ระฆังแห่งหายนะ

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 49


              สงครามระหว่างความดีกับความชั่ว ได้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง อย่างไม่มีวันจบสิ้นอย่างกับว่าไม่มีทางที่จะมีจุดจบลงได้ การต่อสู้ของทั้งสองมีมาอย่างช้านาน อาจะจะตั้งแต่ พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลกขึ้นมา สงครามก็อุบัติตามมาเฉกเช่นกัน การต่อสู้ที่มีมาหลายต่อหลายครั้ง         ไม่มีผู้ชนะแท้จริงหรือแพ้ถาวร และในครั้งนี้การต่อสู้จะเรื่มต้นขึ้นอีกครั้ง

    เช่นดัง ในอดีตการ ……………………….

    .คืนหนึ่งในคืนวันChristmas Eve ก่อนคืนวันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าอันเป็นวันประสูติของพระบุตรที่ได้มาจุติยังโลกมนุษย์

    เสียงเพลงสรรเสริญต่างๆ ดังก้องกันทั่วในโบสถ์สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในคืนอันศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นการสรรเสริญพระองค์ที่ได้ลงมาไถ่บาปให้กับเหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลาย

    ผู้คนต่างสวดให้กับพระองค์อย่างพร้อมเพียง เสียงดังก้องกังวานไพเราะจับใจแก่เหล่าผู้คนที่เดินผ่านโบสถ์ไปมา เหล่าผู้คนภายนอกต่างเดินฟังกันอย่างสุขสงบ บ้างหยุดยืนประสานมือสวดสรรเสริญพระองค์ร่วมด้วย บ้างก็ยืนฟังบทสวดอันไพเราะอย่างตั้งอกตั้งใจ ในคืนอันสงบสุขนี้

    แต่……………………………..ใครจะรู้เล่าว่าในวันนี้หายนะของเหล่ามนุษยชาติจะอุบัติขึ้น ฟันเฟืองแห่งความหายนะได้เริ่มหมุนไปอย่างช้า ๆ

    ตึง!! ตึง!!ตึง!!ตึง!!ตึง!! ตึง!! ตึง!!ตึง!!ตึง!!ตึง!!ตึง!!ตึง!!

              เสียงระฆังสีทองใบใหญ่บ่งบอกเวลาให้กับผู้รับฟังทั้งหลายได้รับรู้กันว่า เวลาได้ผ่านพ้นเขาสู่วันใหม่อันเป็นวันศักดิ์ของพระผู้เป็นเจ้า

                    ทันใดนั้นเองได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ทำให้คนทั้งโลกตกตะลึงกันไปทั่ว

                    เหล่ารูปปั้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้พร้อมใจกันมีของเหลวบางอย่างหลั่งไหลออกมาจากพระเนตร ทั้งสองดวง ของเหลวชนิดนั้นทั้งข้นเหนียวมีสีแดงฉานและกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว ใช่แล้วมันคือ"เลือด"

                    เหล่าผู้คนต่างตื่นตระหนก  กันไปทั่ว ต่างคิดว่านี่เป็นสารเตือนภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นบนมวลมนุษย์ที่ส่งมาจากพระองค์  

    เหล่าพวกผู้นำทั่วโลกได้มีการหารืออย่างเร่งด่วนในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เวลาผ่านไปหลายชม.หลังจากจากที่รูปปั้นพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกรรณแสง แต่ล่ะเวลาที่ผ่านไป เหล่าผู้คนต่างหวาดกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทุกชั่วโมงทุกนาที ทุกวินาที ผ่านไปอย่างช้าๆ แต่จนกระทั่งจะเริ่ม เข้าสู่ความมืดของรัตตีกาลอีกครั้ง

    และแล้วสิ่งที่เหล่าผู้คนหวาดกลัวก็ได้บังเกิดขึ้น

    บรึม!! เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวดังก้องไปทั่วโลก เกิดระเบิดขึ้น ที่เกาะแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์กได้หายไปในพริบตา มหานครที่เต็มไปด้วยผู้คนมหาศาลและเทคโนโลยีที่ทันสมัย มหานครที่ไม่เคยหลับใหล บัดนี้ได้ถูกทำให้หลับลงตลอดกาล อย่างไม่มีวันได้หวนกลับ

    สิ้นแสงที่เกิดจากการระเบิด ใต้เปลวเพลิงที่เกิดขึ้น บางสิ่งบางอย่างขนาดมหึมาใหญ่พอกับเกาะแมนฮัตตัน ได้โผล่ขึ้นมาจากกองเพลิงที่ลุกท่วมมหานครอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ดุจดังผุดขึ้นมาจากขุมนรกโลกันต์ ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหนแล้วมาทำไม แต่ หลังจากโผล่ขึ้นสู่ท้องฟ้า มันก็เริ่มทำลายล้างที่ต่างๆอย่างไม่หยุดยั้งอย่างกับว่าจะทำลายล้างสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้

    "โซลนิส, เทพแห่งการทำลายล้าง (Solnis,The God of Destruction)" 

                    คือนามของมันที่เหล่าผู้คนเรียกขานให้กับสิ่งที่ผุดขึ้นมาจากเกาะแมนฮัตตันนั่น

    ด้วยช่วงเวลา แค่ 5 วันโซลนิส ได้ทำลายล้างโลกไปแล้วกว่า 70% ไม่มีใครสามารถต่อต้อนเทพแห่งการทำลายล้างตนนี้ได้ ไม่ว่าจะระดมสรรพอาวุธเทคโนโลยีทั้งหลายเข้าต่อกรแต่ก็ไร้ผลต่อเทพองค์นี้ทั้งสิ้น สูญสิ้นทั้งกำลังทหารและอาวุธเทคโนโลยีที่เหล่ามวลมนุษยชาติต่างภูมิใจหนักหนาว่าทรงอณุภาพ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้า เทพองค์นี้เหมือนกับเศษขยะที่ไม่มีค่าอะไรทั้งสิ้น

    เมื่อ อาวุธที่เคยภูมิใจ ต่างไม่มีความหมาย ความสิ้นหวังเกาะกินเข้าสู่หัวใจของเหล่ามวลมนุษย์ชาติทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นเหล่ามนุษย์ที่พากันสิ้นหวังในอนาคต ต่างทิ้งอาวุธแล้วหันไปทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อยามปกติจะไม่เคยคิดหรือไม่คิดจะทำสิ่งนั้น"สวดอ้อนวอน"ขอต่อพระองค์ผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์ ให้พระองค์ทรงประทานให้ปาฎิหารบังเกิดขึ้น

    แต่……….. ก็ได้แต่หวังลมๆแล้ง ว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น !!

    "มนุษย์เราเมื่อสิ้นหวังถึงขีดสุดต่อให้ฟางเส้นเดียวก็จะคว้าไว้" คำนี้ไม่ผิดจากความเป็นจริงเท่าไรนักเหล่ามวลมนุษย์ที่เหลือต่างพร้อมใจกันสวดอ้อนวอนกันต่อไป แต่ก็ได้แต่หวังว่าคำอ้อนวอนนี้จะถึงพระกรรณของพระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทันก่อนที่มนุษย์ชาติจะถูกล้างสิ้นไปจากพิภพนี้

    เวลาผ่านไปอย่างช้า นาฬิกาของเหล่ามวลมนุษย์ใกล้จะหยุดเดินลงแล้ว เปลวเทียนแห่งชีวิตจะดับหมดสิ้น

     ปาฏิหาริย์!! ก็บังเกิดขึ้น

    ในวันที่  9 หลังจากที่เทพแห่งการทำลายล้างโผล่ขึ้นมาจากขุมนรกโลกันต์ บางสิ่งบางอย่างก็ทะลวงเมฆลอยลงจากทรวงสวรรค์มาประจันหน้ากับเทพแห่งการทำลายล้าง เช่นกัน

    "ครอสมอส, เทพมังกรแห่งแสง (Crossmos, The Dragon God of Light)"ทูตสวรรค์ที่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงประทานมาปราบเทพแห่งการทำลาย

    มหาสงครามระหว่างแสงสว่างกับความมืดก็ได้บังเกิดอีกครา

    การต่อสู้ที่รุนแรงและยิ่งใหญ่ของเทพทั้งสององค์ ที่ห่ำหั่นกันด้วยอิทธิฤทธิ์ผลานุภาพมหาศาลอันที่เกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการได้  ก็ได้บังเกิดขึ้น

    การต่อสู้ดำเนินมาถึงวันที่ 7 ก็สิ้นสุดลงเมื่อเทพมังกรแห่งแสงได้รวบรวมพลังสุดท้าย จู่โจมใส่เทพแห่งการทำลายล้าง เพื่อหวังทำลายล้างให้สิ้นซาก

    แต่………..เทพมังกรแห่งแสงก็ไม่สามารถกระทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้ได้ เพียงทำได้แค่สะกดไม่ให้ เทพแห่งการทำลายล้างออกอาละวาดต่อไป

    ผนึกทั้ง 9 อันที่แบ่งพลังอำนาจ กับ ลูกแก้ว1 ลูกที่เก็บร่างของเทพแห่งการทำลายล้างไว้ คือสิ่งที่เทพมังกรแห่งแสงได้ทำการผนึกเทพแห่งการทำลายล้าง และบินกลับขึ้นฟ้าไปอย่างไร้ร่องลอยใดๆทั้งสิ้น เพียงเหลือทิ้งไว้ผนึกทั้ง 9 กับ 1 ลูกแก้วพร้อมศิลาอันจารึกคำประกาศให้กับเหล่ามวลหมู่ชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกได้รับรู้ภารกิจที่ท่านได้มอบหมายไว้ว่าให้พิทักษ์รักษาสิ่งที่ท่านเหลือไว้ให้ดีอย่าให้เทพแห่งการทำลายล้าง ได้หวนกลับมาเป็นฝันร้ายของเหล่ามวลมนุษย์อีกครั้ง!!

    เวลาได้ผ่านพ้นไป 2000 ปี กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย โลกหลังการทำลายล้างได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมากมาย สิ่งมีชีวิตใหม่ได้เกิดขึ้น ไม่ใช่มีเพียงมวลมนุษย์เป็นผู้ครองพิภพเพียงผู้เดียวอีกต่อไป!!

     ......................................................................................

     ......................................................................................

     ......................................................................................

     ......................................................................................

     ......................................................................................

     ......................................................................................

     ......................................................................................


                   ในคืนที่จันทร์ไร้แสงท่ามกลางดวงดาวเต็มท้องฟ้ากลางป่าอันสงบ เสียงของเหล่าแมลงทั้งหลายต่างกู่ร้องเป็นทวงทำนองราตรีอันแสนไพเราะดั่งท่วงทำนองราตรีขับขานในเงามืด เหล่าสัตว์ป่านอนหลับผักผ่อนอย่างสบายอารมณ์ ความจริงคืนนี้น่าจะเป็นคืนที่สงบดั่งที่มันเคยเป็นมาโดยตลอด แต่แล้ว สรรพสิ่งต่างถูกปลุกขึ้นด้วย เสียงอันกึกก้องกังวานของฝีเท้าม้า2 ตัวอันเร่งรีบวิ่งจากไปตามมาด้วย ขบวนม้าฝูงใหญ่ที่ควบตามมาโดยกระชันชิด พร้อมด้วยเสียงด่าทอให้ผู้ที่อยู่นำหน้าหยุดลง

                    "หยุด!! ข้า สั่งให้หยุดได้ยินไหม" เสียงตะโกนจากชายผู้นำขบวนม้าตะโกนออกมาสั่งให้ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าหยุดลง

    แต่………………….ดูท่าทางแล้ว ม้าทั้ง 2 ตัวด้านหน้าจะไม่ยอมหยุดลงเสียตามเสียงตะโกนที่ดังจากด้านหลัง

                    บุรุษผู้สวมใส่ผ้าคลุมสีดำสนิทด้านหลังผ้าคลุมกลมกลืนกับบรรยากาศโดยรอบ ความมืดรอบข้างทำให้ไม่สามารถเห็นหน้าเขาได้ ในมือด้านขวาได้ถือสิ่งหนึ่งคล้ายห่อผ้าสีน้าตาลอย่างทะนุถนอมราวกับว่าของภายในจะสามารถแตกสลายไปได้เพียงแค่โดนกระทบอย่างรุนแรง ส่วนมือซ้ายจับบังเหียนม้าไว้แน่รีบห้อม้าอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหนีการตามจากขบวนม้าด้านหลัง ได้หันไปมองเบื้องหลัง แล้วหันกลับมาเลี้ยวไปด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว

                    "พี่ ข้าว่าเราหนีกันไม่รอดแล้วทำไงดี พวกมันไล่ล่ามากระชั้นชิดเหลือเกิน" บุรุษในชุดคลุมสีดำหันไปกล่าวบุรุษอีกคนด้านซ้ายมืออย่างวิตกกังวลอย่างมาก

                    "ไม่ต้องกังวลข้าจะสกัดมันไว้ก่อน ส่วนเจ้ารีบหนีไปหมู่บ้านร้อยตะวันที่ราดิกัสโดยด่วนไปหาพ่อเฒ่าลูคัส เร็วไปเร็ว"

    เสียงจาก บุรุษอีกคนที่สวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้ม ก่อนชักมือไปด้านหลังข้างในผ้าคลุมเพื่อเอื้อมหยิบบางอย่างออกมา เมื่อเขาเอามืออกมาพร้อมคทาเวทย์มนต์ในมือ แล้วชักม้าหันกลับไปด้านหลังพร้อมทั้งเปล่งสียงกล่าววาจาอย่างมุ่งมั่น

    "ในนามของข้า เบดิอุส เหล่าวิญญาณแห่งวารีทั้งหลายจงฟัง จงกลายเป็นกำแพงน้ำแข็งอันแข็งแกร่งให้ข้าด้วยเถิด Ice Wall"

    สิ้นเสียงกล่าว ด้านหน้าของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาจับตัวกันเป็นกำแพงสูงใหญ่กว่า 3 เมตร กั้นขวางเส้นทาง

                   

    "รีบไป ข้าจะถ่วงเวลาให้นานที่สุดอย่ารอช้า ทำตามที่ข้าบอกไปเร็ว คุ้มครององค์ชายยิ่งกว่าชีวิต ไปเร็ว ไป!!" บุรุษในชุดผ้าคลุมสีน้ำเงินกล่าวก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า เตรียมพร้อมรับการไล่ล่าที่จะมาถึง เขาหันไปมองด้านหลัง

    "ไป!! ข้าบอกให้รีบไปไงล่ะ เร็วก่อนที่พวกมันจะเข้ามากันแล้วข้าถ่วงไม่ได้นานนักหรอกไปสิ ไป !!"  เขากล่าวเสียงเคร่งเครียด

                   

    "แต่ว่า พี่……."บุรุษผ้าคลุมสีดำกล่าวอย่างลังเลสำเนียงปนไปด้วยความโศกเศร้า เพราะรู้ว่าอาจจะไม่ได้พบบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าอีกตลอดกาล

                   

    "ไม่มีแต่ข้าบอกให้รีบไปไงเล่า ไป!!" บุรุษผ้าคลุมน้ำเงินตะโกนใส่บุรุษผ้าคลุมดำ

                   

    ในที่สุดบุรุษหนุ่มผ้าคลุมดำตัดสินใจบังคับม้ามุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับมาแล้วพูดอย่างแผ่วเบา

    "ลาก่อนพี่………." เขาหันหน้ากลับไปก่อนที่หยาดใสไหลออกมาจากในผ้าคลุมศีรษะ

    "ลาก่อนเบดิอา โชคดีน่ะ"บุรุษในชุดผ้าคลุมน้ำเงินพึมพำก่อนจะตะโกนก้อง

    "
    เข้ามาเลยเฟลัสวันนี้ข้ากับเจ้าต้องตายกันไปข้างนึงล่ะ"

                   

    ชายผู้นำขบวนม้าเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาก่อนจะตะโกนกลับไปว่า "เจ้าตายแน่เบดิอุส ไม่ต้องห่วงเดียวน้องชายของเจ้าก็จะตามไป" ชายผู้นำขบวนหันกลับไปสั่งพวกที่อยู่เบื้องหลังว่า "ไป รีบตามไอ้เบดิอา ฆ่ามันแล้วเอาเด็กกลับมา เข้าใจไหม ไป!!" สิ้นเสียงคำสั่ง เหล่าผู้ติดตามด้านหลังรับคำพร้อมเพียงจากนั้นเตรียมไสม้าจะไล่ตามหลังบุรุษผ้าคลุมดำต่อ

                    "ไม่มีทาง Water Blas"บุรุษผ้าคลุมน้ำเงินปล่อยลูกบอลน้าหลายลูกเตรียมสกัดขบวนม้าที่จะตามไปแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงร่ายเวทย์จบบท เขาเหลือบไปมองเห็น ลูกไฟขนาดใหญ่เตรียมพุ่งใส่หน้าเขาอย่างจังทำให้เขาได้ต้องตัดสินใจ ก้มหลบลงไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ลูกไฟพุ่งผ่านหัวเขาไป จนเกิดระเบิดเพลิงขนาดใหญ่ด้านหลัง

                    "อย่างเจ้าต้องมาเจอกะข้านี่ เบดิอุส" ชายผู้นำขบวนกระโดดลงจากหลังม้าเตรียมพร้อมตั้งท่าเตรียมต่อสู้

                   

    "มาเลยเฟลัสเจ้าคนทรยศ วันนี้ไม่เจ้ากับข้าใครสักคนต้องตายไป" เขาดึงผ้าคลุมส่วนศีรษะลง ทำให้แสงจากเปลวไฟที่โหมลุกไหม้อยู่ด้านหลังสามารถส่องมายังร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทำให้มองเห็นรูปร่างของเขา

     ชายฉกรรณ์ผมสีดำยาวประบ่ามีสีขาวเป็นดอกเลา ใบหน้าเคร่งเครียดเย็นชา ในดวงตาสีฟ้าข้างเดียวที่หลงเหลืออยู่มีประกายแห่งความแค้นพวยพุ่งขึ้นมา

                   

    "ข้าว่าเป็นเจ้ามากกว่าที่จะตายไม่ใช่ข้า" ชายผู้นำขบวนม้ากล่าวแล้วยิ้มเยอะเย้ย คนตรงหน้าทันที เขามีผมสีแดง ตาสีดำ คิ้วบาง แววตาเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ใบหน้าดูโหดเหี้ยมอำมหิต มีลอยแผลเป็นยาวที่แก้ม

             

    "คอยดูล่ะกันว่าใครจะตายกันแน่ เฟลัส"เบดิอัส กล่าวพร้อมยกคทาต่อสู้

             

    ในคืนนั้นในป่ามีแสงโพยพุ่งมากมากอีกทั้ง เสียงอึกทึกครึกโครมดังสนั่นหวั่นไหวหลายครั้งแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาสงบดังเดิม

    และแล้ว……ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมก็ได้หมุนอีกครั้งนึง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×