ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic PangYa] Blue Romance

    ลำดับตอนที่ #2 : ผู้แข็งแกร่ง

    • อัปเดตล่าสุด 11 ม.ค. 52


    Blue Romance

    By Blue Planet



    Hole 1 ผู้แข็งแกร่ง

    น้ำนิ่งใสแจ๋วราวกับพื้นกระจกไหวกระเพื่อมน้อยๆตามแรงลมเอื่อยๆที่พัดมา อย่างนุ่มนวลแผ่วเบา เพนกวินตัวน้อยต่างกระโดดลงน้ำกันดังจ๋อมแจ๋มอย่างมีความสุขรอคอยวันคืนที่ ทั่วทั้งดินแดนแห่งนี้จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

    แต่การรอคอยก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดยามเงาทะมึนพาดผ่านผืนฟ้า นำพาลมพายุพัดโหมกระหน่ำจนเกิดคลื่นระลอกสูง เหล่าสัตว์เล็กต่างวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นให้ไกลที่สุดเท่าที่ขาจะพาไปได้

    มังกรจากดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่าขุมนรกร่อนลงบนหน้าผาด้วยความนุ่มนวล ผิดกับขนาดของมัน ดวงตามังกรสีฟ้าเหลือบมองผู้ที่กระโดดลงมาจากหลังของมันด้วยแววตาที่แสดง ความเคารพจากใจ

    ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ยืนอย่างสง่างามบนหน้าผาสูง จากตรงนี้ดวงตาสีอำพันแลดูเย็นชาสามารถมองเห็นอาณาบริเวณได้โดยรอบ เขาผายมือออกไปยังดินแดนตรงหน้า บนฝ่ามือปรากฏออร่าสีม่วงดำพวยพุ่งราวกับเปลวเพลิง

    ออร่าทมิฬถูกปลดปล่อยออกไปดูดกลืนพลังชีวิตแห่งธรรมชาติ เปลี่ยนสายลมอ่อนๆให้กลายเป็นหิมะที่โปรยปราย เปลี่ยนทุ่งหญ้าให้กลายเป็นทุ่งหิมะขาวโพลน เปลี่ยนผืนน้ำให้กลายเป็นพื้นน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ และเปลี่ยนต้นไม้ใบหญ้าให้กลายเป็นผลึกน้ำแข็ง ราวกับเวลาแห่งชีวิตได้ถูกหยุดลง

    ปีศาจหนุ่มรูปงามลดมือลง มองผลงานตรงหน้าด้วยแววตาชื่นชม แม้ว่าสีหน้าจะยังคงไว้ซึ่งความเย็นชาราวกับหิมะที่โรยตัวลงรอบตัว เขาสะบัดตัวเดินกลับไปยังมังกรที่ย่อตัวลงหมอบอย่างสงบ แขนแกร่งยกขึ้นโอบเอวของหญิงสาวในชุดดำที่นั่งเรียบร้อยรอคอยอยู่บนหลังของ มังกรคู่ใจ เธอเองก็เป็นปีศาจเช่นเดียวกัน

    “มาสิ คาเรน” หญิงสาวแย้มยิ้มพลางโอบแขนรอบคอคนชวน เขายกตัวเธอขึ้นอย่างสบายๆ พลางพยุงให้เธอลงยืนบนพื้น แลดูอ่อนโยนผิดกับรูปกายภายนอก

    “หนาวรึเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นปาดหิมะบนแก้มสีแดงระเรื่อ ที่ไม่รู้ว่าเพราะอากาศเย็น หรือเพราะได้อยู่กับคนตรงหน้า

    “ก...ก็นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ท่านแคซ” คาเรนรีบบอกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวล ลมหายใจกลายเป็นไอสีขาวทุกครั้งที่ขยับปากเอื้อนเอ่ย

    แคซมองชุดยาวกรุยกราย ประกอบด้วยผ้าเนื้อบางเบาซ้อนทับกัน เห็นแล้วก็นึกรู้ว่าหล่อนต้องโกหกเขาเป็นแน่ ชุดแบบนี้จะช่วยกันความหนาวอะไรได้ คิดได้แล้วก็ฉุดร่างบอบบางลงนั่งข้างกาย ยกแขนขึ้นโอบกอดตัวเธอไว้แนบอก หวังจะช่วยบรรเทาความหนาวเย็น

    “ท่านแคซคะ ชิเอนมองเราอยู่นะ” คาเรนดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น แม้จะสุขใจยามอยู่ชิดใกล้ แต่ก็เขินอายเมื่อเห็นว่าไม่ได้อยู่กันแค่ 2 คน

    “แล้วยังไงล่ะ” มุมปากได้รูปขยับยิ้มน้อยๆ เพียงเหลือบตามองชิเอน มังกรคู่ใจก็ขยับหันไปอีกทางอย่างรู้หน้าที่ คาเรนสะบัดตัวเบาๆอย่านึกหมั่นไส้ในความเอาแต่ใจของชายหนุ่ม แต่ก็ยอมให้ถูกโอบกอดแต่โดยดี

    หิมะที่แสนเย็นเยียบกลับดูสวยงาม อบอุ่น และนิ่มนวลผิดกับอุณหภูมิ นิ้วเรียวเล็กยื่นออกไปสัมผัสปุยหิมะนุ่มๆ พลางยิ้มร่าอย่างนึกชอบใจ แคซมองดอกไม้ที่กลายเป็นผลึกน้ำแข็งแวววาวก่อนจะเด็ดมันทัดหูให้หญิงสาวใน อ้อมกอดตน นึกเปรียบว่าอะไรก็คงไม่สวยงามไปยิ่งกว่ารอยยิ้มของเธออีกแล้ว จมูกโด่งซุกไซร้ลงบนผมสีนิลที่นุ่มลื่นราวกับแพรไหมอย่างรักใคร่

    “อีกไม่นานแล้วล่ะคาเรน” ชายหนุ่มเปรยขึ้น เรียกให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตา

    “เมื่อเกาะนี้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของท่านพ่อแล้ว เราก็จะได้แต่งงานกัน ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสุขสงบเสียที ไม่ต้องทำสงครามกันอีกแล้ว” แคซกระชับแขนแน่นขึ้นราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกให้ร่างในอ้อมแขนได้รับรู้ ว่าเขารักเธอมากเพียงใด

    คาเรนหลับตาลงคล้ายจะดื่มด่ำกับความสุขที่ได้รับจนมากล้น ถึงคนที่กอดเธออยู่จะดูเย็นชาน่ากลัว แต่เธอก็รู้ดีกว่าใครว่าเขาช่างอบอุ่น อ่อนโยน และรักเธอมากเหลือเกิน มากเสียจนเธอกลัวว่าความรักที่เธอมีให้ตอบแทนอย่างสุดหัวใจจะไม่เพียงพอ

    อยากให้เวลาแห่งความสุขนี้ดำเนินต่อไปอีกนานแสนนาน

    แม้อาจต้องแลกมากับความสุขของผู้คนบนเกาะอีกนับร้อยก็ตามที


    “ไปเดทกับพี่มั้ยจ้ะน้องสาว”

    “ยึ้ย!!!”

    เสียงหื่นๆ กับใบหน้าเหียกๆ ทำเอาโลโล่ผงะถอยหลังไปหลายก้าว
    ตอนนี้เธออยู่ในชุดสากลตามสมัยนิยมของเหล่าผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ สวมหมวกเก๋ๆปกปิดปีกสีทองบนศีรษะ ถึงจะมองดูกลมกลืนกับบรรยากาศรอบๆ แต่ความน่ารักของเธอก็ยังไม่วายโดดเด่นจนเป็นที่ต้องตาของเหล่าจิ๊กโก๋ริม ทาง

    ...ขะ...แข็งแกร่งจริงๆคนๆนี้ ...ถึงกับทำเราต้องถอยเลย...

    โลโล่นึกในใจ ท่านคาร์ดี้บอกให้พาผู้แข็งแกร่งจากโลกภายนอกกลับไปช่วยกอบกู้เกาะปังย่า แต่แข็งแกร่งแบบนี้ขอไม่พากลับไปได้มั้ยเนี่ย!!!!

    “ม...ไม่ล่ะ เค้าไปหาคนอื่นดีกว่า” โลโล่เบี่ยงตัวเดินเลี่ยงไป แต่ก็ถูกคว้าแขนฉุดกลับมาอีกครั้ง

    “แหมๆ จะรีบไปไหนล่ะจ้ะ” เธอหันกลับไปมองหน้าคนถามที่กำลังเลียริมฝีปากแผล่บๆ ก่อนจะเหลือบตาลงมองมือหยาบกร้านที่บีบแขนเธออยู่ด้วยสายตาหยามเหยียด

    เธอเป็นถึงบุตรีของผู้นำหมู่บ้านลิเบอร์ร่าแห่งเกาะปังย่า แม้ปลายเล็บของเหล่าชายหนุ่มในหมู่บ้านก็ไม่อาจแตะต้อง แล้วไอ้หมอนี่มันเป็นใครมาจากไหนมิทราบถึงได้กล้ามาจาบจ้วงเธอแบบนี้ มันน่าขัดคำขอร้องของพิพพินที่ให้ทำตัวให้เหมือนมนุษย์ปกติเสียจริงๆ......

    ยังไม่ทันที่โลโล่จะได้ลงมือทำอะไร ก็มีมือหนามาสะกิดไหล่ของคนมารยาททรามเสียก่อน

    “เฮ้ย! ใครมาขัดลาภข้าวะ เดี๋ยวพ่อเชือด แว้กกกกก!!!!!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเต็มตาว่าคนที่มาสะกิดเป็นใคร

    ชายวัยกลางคนร่างท้วมหนวดเคราครึ้มดกดำ สวมแว่นกันแดด ดูแล้วช่างมีราศีอาเสี่ยมหาโจรยิ่งนัก ถ้าไม่ติดที่ว่าเครื่องแบบที่ลุงแกใส่อยู่เป็นเครื่องแบบของผู้พิทักษ์สันติ ราษฏร์ ชาวบ้านคงนึกว่าเขาเป็นบอสใหญ่ของแก๊งยากูซ่าแน่ๆ

    “ไปเที่ยวโรงพักกันหน่อยมั้ยไอ้หนู” ลุงตำรวจมาดเข้มที่หน้าโฉดยิ่งกว่าอันธพาลเอ่ยแกมขู่ ทำเอาชายหนุ่มวิ่งหนีร้องหาพ่อแก้วแม่ขวดไปไกลลิบโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

    ...เจอผู้แข็งแกร่ง...แต่น่ากลัวอีกแล้ว...

    โลโล่ลูบแขนตัวเองที่เป็นรอยแดง ยิ้มแหยงๆให้ผู้มีพระคุณที่ไม่รู้จะทำอะไรเธออีกหรือเปล่า หน้าตาลุงแกดูไม่น่าไว้ใจอย่างแรงเลย

    “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยหนู เดินแถวนี้คนเดียวก็ระวังหน่อยล่ะ ไอ้พวกเจ้าถิ่นมันเยอะ บางทีก็รอดหูรอดตาตำรวจไปเหมือนกัน” เขาพูดพลางถอดแว่นกันแดดออก แววตาหลังแว่นนั้นดูใจดีผิดคาด

    “ตำรวจ? คุณเป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลความสงบเหรอคะ?” โลโล่ถามคำถามที่ฟังดูแปลกๆ เนื่องจากเธอไม่ค่อยได้ออกมายังโลกภายนอกนัก จึงรู้เรื่องต่างๆมาจากเหล่าเทพธิดาโครโรส โครโรโนสเท่านั้น

    “แม่หนูนี่พูดจาแปลกๆดีนะ เป็นคนต่างเมืองเหรอ ...แต่ก็ใช่แล้วล่ะ ฉันเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ปกป้องคนดี ปราบปรามคนชั่วยังไงล่ะ” ลุงตำรวจพูดพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าพุงที่กระเพื่อมอยู่นั่นจะทำให้ความน่าศรัทธาลดลงไปไม่หน่อยก็ตาม

    “อ้อ อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะคะ คุณ...?” โลโล่ผงกศีรษะให้ ดวงตาสีทับทิมเป็นประกายแปลกๆ เขาไม่ทันได้สังเกตสีหน้านั้น ยกมือขึ้นลูบศีรษะผู้อ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อย

    “ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก ...ฉันชื่ออาเธอร์ ...ว่าแต่นั่นมัน...” อาเธอร์มองมือตัวเองสลับกับหมวกของโลโล่ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่า แต่รู้สึกเหมือนมีอะไรขยับเบาๆอยู่ใต้มือ ทั้งที่บนหัวคนมันไม่น่าจะมีอะไรขยับได้

    โลโล่ขยับแย้มยิ้มที่แฝงความนัยไว้เต็มเปี่ยม เธอดึงหมวกออกเผยให้เห็นปีกเล็กๆสีเดียวกับเส้นผม ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้พลางกระซิบเบาราวกับอยากให้ได้ยินกันเพียง 2 คน

    “สนใจไปช่วยคนดีบนเกาะปังย่าของเค้าบ้างมั้ยคะ คุณตำรวจ”



    เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของเหล่านักเรียนที่เพิ่งเลิกเรียนดังระงมราวกับผึ้งแตก รัง ทั้งเด็กหญิงเด็กชายต่างพากันวิ่งวุ่นเต็มหน้าประตูจนผู้มาเยือนจากโลกแห่ง ความฝันทั้งสองเวียนหัว

    “คิดดีแล้วเรอะ พิพพิน” ชายหนุ่มผิวเข้มเอ่ยห้วนๆ เขาแต่งตัวเรียบๆธรรมดา แต่ก็ยังทำคนรอบข้างซุบซิบ แถมมามุงดูได้ ด้วยนึกว่าเป็นชาวต่างชาติ นั่นทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก

    “เด็กๆที่ยังมีจิตใจมุ่งมั่นอันบริสุทธิ์นี่แหละ คุม่า ที่จะช่วยพวกเราได้ ที่เหลือก็แค่หาคนที่ดูเข้าท่าหน่อยเท่านั้นเอง” พิพพินเอ่ยพลางมองซ้ายมองขวาอย่างกระตือรือร้น เด็กๆบนเกาะปังย่าน่ารัก บริสุทธิ์ และไร้เดียงสา เป็นวัยที่สื่อกับพลังแห่งธรรมชาติได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นเด็กๆที่นี่ก็น่าจะเหมือนกัน

    “อืม” คุม่าตอบรับสั้นๆก่อนจะเดินหายไปในกลุ่มนักเรียนโดยไม่รอพิพพิน

    “อ้า เดี๋ยวสิ” เธอพยายามจะเดินตามไป แต่ร่างสูงก็หายตัวไปแล้ว เธอถอนหายใจเบา ปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายก็น่าจะรู้แล้วว่านัดเจอกันที่ไหน แม้ว่าตอนบอกเขาจะไม่ตอบรับอะไรเลยก็ตามที

    “...เนี่ย หวดทีเดียวก็ลงหลุมเลยล่ะ” เสียงเด็กผู้ชายดังมาจากข้างหลังพิพพินในระยะใกล้ เป็นธรรมดาที่เลิกเรียนแล้วพวกนักเรียนจะคุยกันโหวกเหวกโดยไม่ต้องกลัวครูบา อาจารย์จะปาชอล์กใส่ แต่ประโยคที่ผ่านหูไปนั้นทำเอาเธอหันขวับ

    “โหย กะอีแค่เอาลูกกลมๆยัดลงรู มันน่าสนุกตรงไหนกัน นูริ” เพื่อนของเด็กชายที่คุยอย่างออกรสเมื่อครู่บอกปัดแบบไม่ใส่ใจนัก

    “นายไม่เข้าใจหรอก ว่ากว่าจะเอาลูกกลมๆที่นายว่าลงหลุมได้น่ะ มันต้องใช้ทักษะการคำนวณ ความแม่นยำ พละกำลังขนาดไหน ไม่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้หรอกนะ!! เฮ้ ฟังกันก่อนซี่...” นูริวิ่งตามเพื่อนๆไปโดยมีสายตาของพิพพินมองแผ่นหลังนั้นไม่วางตา

    ...เด็กคนนั้น รู้เรื่องเกาะของเราด้วยงั้นหรือ...ดีเลย...

    เธอเดินหลบเข้าไปในมุมลับสายตาก่อนจะหายตัวไปจากที่ตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย



    “มองหน้าหาพ่องเหรอ เมพนักเรอะ มาต่อยกันเลยมั้ยแสรดดดด!!!!”

    “แมร่งอย่าดีแต่ปากละกัน ไอ้เกรียนนู้บเอ้ย กาก อ่อนว่ะ เชี่ยส์สลัด”

    “แอร๊ย นิยายอะรัยกานเนี่ย พาสาวิบัดเตมปัยโหมะรุย อาวมะขายดั้ยงัยเนี่ย ชิมิส์ๆ”

    “ช่ายๆ (- -)(_ _) อีโมก้อเย้อ >o<!! อ่านยากมั่กมายรุยคร๊ะ ; A ; TTATT งุงิ”

    ...(เด็กๆที่ยังมีจิตใจมุ่งมั่นอันบริสุทธิ์นี่แหละ คุม่า ที่จะช่วยพวกเราได้)...

    ชายหนุ่มนึกถึงประโยคที่พิพพินพูดไว้ก่อนจะจากกันพลางมองดูเด็กๆรอบๆตัว

    ...น่ารัก บริสุทธิ์ และไร้เดียงสา...

    ...ตรงไหนมิทราบ!!!...

    ล้มโต๊ะ!!!(/=[]=)/ @@@ _ll_ll_

    คุม่ารีบสะบัดหัวไล่ความคิดทีชักจะติดเชื้อโรคเสมือนปัญญานิ่มมา เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับผู้คนในโลกภายนอกอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายเกินเยียวยาได้ปานนี้ ไม่รู้จะชมว่ามีความคิดสร้างสรรค์ดีมั้ยนี่ ช่างสรรหาศัพท์ใหม่มาคุยกันจริงๆ

    เขาตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายไปหาแหล่งชุมชนที่ชาวบ้านดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่า นี้หน่อย ขืนอยู่แถวนี้ต่อไปเขาอาจได้สำรอกออกมาเป็นอีโมจังกับวิบัติคุงแน่ๆ

    เส้นผมสีแดงอ่อนปลิวตามแรงเดินลอยผ่านหางตาเขาไปในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลัง หันหลังกลับสู่ทางออก เขาสัมผัสได้ถึงพลังอะไรบางอย่างที่แม้จะไม่มาก แต่ก็ถือว่ามากกว่าคนอื่นๆรอบตัวที่ดูจะเบาบางมาก

    พลังแห่งความฝัน และความเชื่อ...

    “ถ้าโลกนี้สวยงามเหมือนในเทพนิยายก็คงจะดีนะ”

    คุม่ามองตามเด็กสาวร่างเล็กที่เปรยประโยคเพ้อฝันขึ้นมา ผมสีแดงอ่อนของเธอถูกรวบขึ้นเป็นทรงโพนี่เทล ดูน่ารักสมวัย เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามเธอไปเงียบๆ

    “ฝันเฟื่องมากไปแล้วมั้งฮานะ ฮ่ะๆ” เพื่อนของเธอหัวเราะขึ้นราวกับสิ่งที่ฮานะพูดเป็นมุกตลก

    “แหม แล้วฉันจะขอมีความหวังเล็กๆน้อยๆแบบนั้นมั่งไม่ได้หรือไงยะ ถ้าเกิดฉันมีเวทมนตร์นะ ฉันจะเสกให้โลกนี้เป็นแบบในนิทานให้ดูเลย” ฮานะพูด พลางโพสท่าแบบสาวน้อยเวทมนตร์ ก่อนจะหัวเราะไปกับเพื่อนๆ

    เมื่อเดินกันมาถึงหน้าประตูโรงเรียนต่างก็โบกมือลาแยกย้ายกันไป ฮานะเดินต่อไปยังทางกลับบ้านก่อนจะวกเข้าในซอย ซักพักเธอก็หยุดเดิน

    “มีอะไรรึเปล่าคะ” เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ชายหนุ่มที่ตามเธอมาตั้งแต่ที่โรงเรียนปรากฏตัว มือก็ควานหาอาวุธป้องกันตัวในกระเป๋าไปด้วย

    คุม่าก้าวออกมาพลางยืนกอดอกพิงกำแพง เว้นระยะห่างจากตัวเธอพอประมาณให้รู้ว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย

    “เธอน่ะ ...เชื่อในเทพนิยายมั้ย?”



    “มากันครบแล้วสินะคะ”

    พิพพินมองไปรอบๆ ไล่จากนูริ คุม่า ฮานะ โลโล่ อาเธอร์ เหล่าคนที่ถูกมาพายังมีสีหน้ามึนงงอยู่ แต่จากเงื่อนไขที่บอกว่าการเดินทางไปเกาะปังย่า และตอนเดินทางกลับ จะทำการหยุดเวลาของพวกเขาบนโลกนี้ให้ ซึ่งก็หมายถึงพวกเขาไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเป็นห่วงตามหา เพราะเทียบเวลาแล้วจะเหมือนพวกเขาไม่ได้ไปไหนกันมาเลย ทำให้ทุกคนยอมตกลงตามมาด้วย

    “เคยได้ยินข่าวลือเมื่อนานมาแล้วเหมือนกัน ว่าจะมีเทพธิดามาเชื้อเชิญผู้คนจากโลกต่างไปสู่ดินแดนแห่งเวทมนตร์ แต่ก็เงียบหายไป เลยนึกว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่นกันเสียอีก มีจริงๆเหรอเนี่ย” ฮานะพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย ตรงข้ามกับเทพธิดาตัวจริงที่มีสีหน้าหม่นหมองลง

    “ที่ก่อนหน้านี้พวกเราเทพธิดาโครโรส โครโรโนสไม่อาจมาเชื้อเชิญพวกคุณไปร่วมเฉลิมฉลองกับเราได้ เพราะเกาะปังย่าของเราถูกพวกปีศาจบุกทำลาย จนไม่เหลือความงดงามเช่นแต่ก่อนแล้วค่ะ” พิพพินเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย

    “อย่าทำหน้าแบบนั้นกันสิตะเอง เค้าไม่พาไปทำสงครามกับพวกปีศาจหรอกน่า แค่อยากจะให้ช่วยอะไรนิดหน่อยเอง” โลโล่รีบพูดต่อเมื่อเห็นเหล่าเพื่อนใหม่เริ่มทำหน้าว่าไม่อยากไปแล้วขึ้นมา

    “ไปคุยกันต่อที่เกาะสิ... ทิกิล่ะ”คุม่าพูดแทรกขึ้นมา บังเกิดความเงียบลงปกคลุมอย่างไม่มีใครคิดจะช่วยแก้ไข



    แม่มดน้อยที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาชวนเครียดจนเงียบกริบ บัดนี้กำลังอยู่ท่ามกลางแสงสีละลานตา และเสียงกรีดร้องสะเทือนแก้วหู เธอได้ยินว่ามีคนที่เป็นที่ชื่นชมของผู้คนมากๆอยู่ที่นี่ ก็เลยแอบใช้เวทมนตร์กับยามหน้าประตูทำให้เธอเข้าไปได้ แล้วเดินสะเปะสะปะมาเรื่อย รู้ตัวอีกทีก็อยู่กลางดงคนแปลกหน้าที่กำลังโห่ร้องนับร้อยไปแล้ว

    “อ๋อย ที่นี่มันอะไรกันเนี่ย” ทิกิหัวหมุนติ้ว โดนฝูงชนเบียดไปเบียดมา บ้างก็กรีดร้องสุดเสียงปานจะขาดใจตาย บ้างก็ชักดิ้นชักงอเหมือนไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก

    ...ที่นี่ต้องเป็นที่ชุมนุมของเจ้าลัทธิมนตร์ดำแน่ๆเลย...ใช่แน่ๆ!!!...

    เธอมองผู้คนรอบๆที่มีท่าทางแปลกๆไม่พอ ยังแต่งหน้าแต่งตาชวนขวัญผวาอีกด้วย ร่างเล็กถูกดันไปซ้ายทีขวาที จนมาถึงพื้นยกระดับสูง

    ...นี่คงเป็นแท่นบูชาล่ะมั้ง ใหญ่จังเลย...

    เสียงอึกทึกครึกโครมค่อยๆเบาลง จนเหลือแต่เพียงเสียงกระซิบกระซาบกัน แม่มดน้อยมองไปรอบๆอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พลันก็ได้ยินเสียงหวานใสดังขึ้นเหนือศีรษะตัวเอง

    “ขอบคุณทุกคนที่มาในคอนเสิร์ตของลูเซียนะคะ เอาล่ะ ต่อจากเพลงมันส์ๆ งั้นเรามาพักเหนื่อยกับเพลงสบายๆส่งท้ายก็แล้วกันนะคะ”

    ทิกิเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่อยู่บนแท่นบูชา หรือก็คือเวทีนั่นเอง หญิงสาวหน้าตาสะสวย โครงหน้าได้รูป ปากนิดจมูกหน่อยพอน่ารัก สะบัดผมสีชมพูหวานยาวสลวยถึงน่องไปข้างหลัง ให้เธอได้เห็นชุดปักเลื่อมเป็นประกาย แม้จะดูฟูฟ่องด้วยจีบระบาย แต่ก็เผยผิวเนียนขาวเป็นบางช่วง ขับเน้นเสน่ห์ของร่างนั้นให้ยิ่งเพิ่มพูน

    ลูเซียจับไม้คทา (ทิกิเข้าใจว่าไมค์เป็นแบบนั้น) ที่ทีมงานนำมาตั้งให้ ก่อนจะส่งสัญญาณให้วงดนตรีที่อยู่ด้านหลัง จังหวะเพลงเบาๆ ดังขึ้นคลอไปกับเสียงชวนฝันของหญิงสาว ท่วงทำนองขับขานราวกับกำลังร่ายมนตร์ สะกดทุกโสตให้สดับฟังอย่างเคลิบเคลิ้มไปกับเมโลดี้แสนไพเราะ สมกับเป็นเพลงสุดท้ายของคอนเสิร์ต

    ทิกิใช้ความตัวเล็กอย่างเป็นประโยชน์ด้วยการแทรกผ่านแฟนเพลงที่ปรบมือ กันดังกระหึ่มไปยังหลังเวที เธอเห็นผมยาวสีชมพูเหมือนขนมอยู่ไวๆ ก็รีบวิ่งตามไปทันที

    “ตรงนี้เข้าไม่ได้นะหนูน้อย” ชายร่างสูงบึกบึนในชุดสูทดำยืนขวางเด็กสาวกับประตูห้องแต่งตัวของลูเซีย เธอว่าจะลองร่ายมนตร์ใส่บอดี้การ์ดดู แต่เห็นมีพวกทีมงานมองเธออยู่เยอะแยะก็ต้องล้มเลิกความคิด จะร่ายเวทย์ใส่ทุกคนพร้อมๆกันเลยก็ได้ แต่ถ้าพลาดล่ะจบไม่สวยแน่ แล้วเธอก็ชอบทำพลาดอยู่เรื่อยซะด้วยสิ

    “หนูจำเป็นจริงๆนะคะ ให้หนูเข้าไปเถอะนะ น้าาา~~” ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็ต้องเอามารยาเข้าแถล่ะงานนี้ ดวงตากลมโตมีน้ำตาคลอ ทำเอาผู้คุมกันอึกอัก จะไล่ก็ไล่ได้ไม่เต็มปาก เหมือนรังแกเด็ก แต่ด้วยหน้าที่จะปล่อยไปก็ไม่ได้

    “ต...แต่”

    อาจจะเป็นเพราะเสียงเจื้อยแจ้วของทิกิเลยทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องต้องแง้ม ประตูออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กสาวอาศัยจังหวะที่บอดี้การ์หันไปดู วิ่งลอดแขนกำยำไปโผล่ตรงหน้าลูเซียอย่างรวดเร็ว

    “คุณลูเซียคะ หนูมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือ...”

    “เข้ามาก่อนสิ” หญิงสาวเปิดประตูกว้างขึ้น ทิกิยิ้มกว้างอย่างดีใจรีบเข้าไปในห้องก่อนเจ้าตัวจะเปลี่ยนใจ

    “เอ่อ คุณลูเซีย” บอดี้การ์ดร่างยักษ์พูดอย่างลำบากใจ

    “แค่เด็กน่า เดี๋ยวได้ของแล้วก็ไปเองแหละ” เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันไปยิ้มการค้าให้คนในห้องแล้วปิดประตู

    “อยากได้ลายเซ็นเหรอจ้ะ มีกระดาษมามั้ย หรือจะให้พี่เซ็นต์บนเสื้อ?” ลูเซียหยิบมาร์กเกอร์สีชมพูหวานแหววขึ้นมา แล้วย่อตัวลงระดับสายตาของทิกิ เธอส่ายหัวเร็วๆ

    “เปล่าค่ะ หนูเป็นแม่มด มาจากเกาะปังย่า ตอนนี้ที่เกาะกำลังจะถูกทำลาย หนูมาตามหาผู้แข็งแกร่งที่จะไปช่วยเกาะของหนูค่ะ” ทิกิพูดรัวเร็วด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมฟัง แต่กลับกลายเป็นว่าหญิงสาวผู้ที่ถูกเข้าใจว่าเป็นหัวหน้าลัทธิอะไรซักอย่าง นิ่งอึ้งไปแทน เธอค่อยๆประมวลข้อมูลที่ฟังดูอย่างกับนิทานหลอกเด็ก แล้วจึงเลิ่กคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    “เหรอจ้ะ?” แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่สีหน้าก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อเลยแม้แต่คำเดียว “ป่านนี้คุณแม่ของน้องคงรอแย่แล้วมั้งคะ อย่าให้ท่านคอยนานเลย”

    ลูเซียตัดบทจบง่ายๆ พลางดันหลังทิกิออกไป ขณะที่เธอกำลังหมุนลูกบิดประตู ทิกิก็เสกไม้กวาดคู่ใจออกมา เดิมทีมันเป็นของคาร์ดี้ แต่เธอสามารถบินได้โดยไม่ต้องพึ่งไม้กวาดแล้วจึงยกมันให้น้องสาว

    “เห็นแบบนี้แล้ว จะยอมเชื่อหนูมั้ย” ทิกิมองลูเซียที่มองตอบกลับมาตาค้างด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ผ่านไปอึดใจหนึ่ง นักร้องสาวก็ตัดสินใจปล่อยมือออกจากลูกบิด แล้วเดินไปยังเก้าอี้

    “...เท่าไร?”

    “คะ?”

    “ค่าตอบแทนเท่าไรล่ะ?” ลูเซียสะบัดชายผ้าลงนั่งไขว้ห้างบนเก้าอี้ถามซ้ำ “ฉันเป็นไอดอลนะ มีคนยอมจ่ายค่าตัวแพงๆเพื่อแค่ให้ฉันไปแจกลายเซ็นต์ตั้งมากมาย ยิ่งถ้าไปแสดงคอนเสิร์ตนอกสถานที่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง โลกของฉันน่ะเงินมา งานถึงไปย่ะ แล้วโลกของเธอจะจ่ายให้ฉันเท่าไรล่ะ”

    ทิกิกลับกลายเป็นฝ่ายอึ้งแทน เมื่อคนตรงหน้ากลายร่างจากหน้ามือเป็นหลังเท้าฉับพลัน รู้สึกว่าเธอจะดูเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม จนเด็กสาวราวกับทาสรับใช้ผู้ต้อยต่ำขึ้นมาเลยทีเดียว

    “อ่า ไม่ต้องห่วงเรื่องเวลาค่ะ ขากลับเทพธิดาโคโรส โครโรโนสจะพามาส่งเวลาเดิมเอ...” ทิกิยังพูดไม่ทันจบก็ถูกขัดขึ้นกลางคัน

    “ฉันกำลังพูดถึงเรื่องค่าตอบแทน เรื่องเวลาฉันไม่สนใจหรอก” ลูเซียหมุนเก้าอี้ไปทางกระจกก่อนจะค่อยๆบรรจงแกะที่ติดผมออก

    ...ตะ...ต้องมีเครื่องสังเวยด้วยสินะ...หรือจะเรียกว่าเครื่องเซ่นดีล่ะเนี่ย...

    “เรื่องนั้น หนูไม่แน่ใจว่าเงินปังที่เกาะของหนูจะมีค่าเท่าเงินคุ๊กกี้ที่นี่มั้ย แต่ว่า... ตอนนี้ที่เกาะอยู่ในสภาพที่กำลังแย่...คือ...” ทิกิจิ้มนิ้วเข้าหากันอย่างไม่รู้จะพูดยังไงดี พลางมองลูเซียด้วยสายตาอ้อนวอน แต่เหมือนเธอจะไม่ได้สนใจเลย

    “กำลังแกลบสินะ เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้น...” ลูเซียหยิบแหวนประดับพลอยบนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นส่องกับแสงไฟ ก่อนจะพูดต่อ “...ที่เกาะเธอมีพวกขุมสมบัติมั้ยล่ะ”

    ทิกิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แผนที่เกาะรูปจันทร์เสี้ยววิ่งผ่านสมองไปทีล่ะแห่งๆ เธอตบมือเข้าหากัน ก่อนจะรีบตอบ

    “มีค่ะ!!! ได้ข่าวว่าที่ลอส ซีเวย์มีเรือโจรสลัดอับปางอยู่ ชาวบ้านแถวนั้นเจอกล่องสมบัติเยอะแยะเลยค่ะ อาจจะมีที่ยังไม่ถูกค้นพบอีกเยอะเลยด้วย”

    “งั้นเหรอ” ลูเซียตอบรับเอื่อยๆ เธอหยิบวิกผมสั้นสีดำขึ้นมาสวม ต่อด้วยแว่นกันแดดยี่ห้อหรู แล้วตบท้ายด้วยเสื้อที่มีตราค่ายเพลงปักอยู่ของผู้จัดการที่วางทิ้งไว้ มองเผินๆเหมือนทีมงานคนหนึ่ง ริมฝีปากเคลือบลิปกรอสกระตุกยิ้มมุมปาก

    “เดินทางเมื่อไรล่ะแม่มดน้อย”



    ระหว่างที่ทุกคนกำลังร้อนใจว่าแม่มดจอมซุ่มซ่ามของพวกเขาหายไปไหน จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าเธอจะมา ยังจุดนัดพบ เสียงมอเตอร์ไซค์ก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน

    หญิงสาวร่างผอมเพรียวก้าวลงจากที่นั่งซ้อนท้าย แล้วจ่ายเงินให้มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เมื่อเสียงมอเตอร์ไซค์พุ่งทะยานเงียบลง เธอก็ก้าวเข้ามาร่วมวง

    “เนี่ยเหรอ?” ลูเซียที่ปิดบังตัวจริงเสียจนไม่มีใครจำได้เงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า มีวัตถุปริศนาบางอย่างกำลังลอยลงมาก่อนจะทิ้งตัวลงกลางวงราวกับลูกระเบิด

    หลังจากที่ผู้มาก่อนโดนทับแบนกลายเป็นเบาะรองรับชั้นดี (โดยเฉพาะพุงของอาเธอร์) ก็เริ่มจะรับรู้แล้วว่าคนที่เพิ่งตกไม้กวาดมาเป็นยัยแม่มดน้อยจอมซุ่มซ่าม ที่กำลังรอคอยกันอยู่

    “เอาอีกแล้วนะตะเอง ว่าแต่ไปหลงแถวไหนมาล่ะ ถึงได้มาซะเย็นเลย” โลโล่ยกมือปัดฝุ่นบนกระโปรง

    “หนูได้ยินว่ามีขวัญใจประชาชนมาแถวนู้นก็เลยไปมาน่ะค่ะ แต่คนเยอะมาก หนูก็เลยช้าอ่ะ” ทิกิอธิบายหลังขอโทษขอโพยเบาะกันกระแทกทั้งหลาย

    “ขวัญใจประชาชน?” ทั้งนูริ ฮานะ อาเธอร์ต่างหูผึ่งไปตามๆกันเมื่อได้ยินคำนั้น เท่าที่พวกเขานึกออก แถวนี้ก็มีแต่เพียง...

    “ลูเซียค่ะ” หญิงสาวผู้มาใหม่ถอดแว่นกันแดดกับวิกผมออก ก่อนจะโปรยยิ้มการค้าอีกครั้ง ทำเอาทั้งสามแทบจะละลายลงไปกองกับพื้น

    “ดาราเหรอตะเอง ทำไมดูตอแหลจัง” โลโล่พูดเบาๆกับทิกิ แต่เพราะอยู่กันแค่ไม่กี่คนเลยลอยไปกระทบหูลูเซียเข้าจนได้ เธอพยายามปั้นหน้ายิ้มฝืดๆต่อไปก่อนจะกระซิบถามบ้าง

    “ยัยตัวที่มีปีกไก่บนหัวนั่นใครเหรอคะ” เธอบุ้ยหน้าไปทางโลโล่

    “ชื่อโลโล่น่ะ รู้สึกจะเป็นคล้ายๆเจ้าหญิงล่ะมั้งครับ” นูริตอบให้ ลูเซียพยักหน้าน้อยๆว่ารับรู้ก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นอีกหน่อยพอให้อีกฝ่ายได้ ยินแว่วๆ

    “จริง? เจ้าหญิงบนเกาะนั้นก็แปลกนะคะ พูดจาแอ๊บแบ้วอย่างกับคนไม่เคยเรียนภาษา”

    ดวงตาคมกริบแฝงแววเชือดเฉือนถูกส่งให้กันและกันอย่างทัดเทียม ทำเอาผู้ที่กำลังสนทนาด้วยหน้าซีดเหงื่อตกไปตามๆกัน แล้วคนที่ต้องรับบทหนักสุดก็ไม่พ้นพิพพิน เทพธิดาผู้น่าสงสาร

    “ทุกท่านคะ คือนี่ก็เย็นมากแล้ว รีบเดินทางกันดีกว่านะคะ ขอความกรุณาด้วยค่ะ” เธอมองแต่ละคนด้วยแววตาขอร้อง คลายบรรยากาศกดดันลงไปได้นิดนึง

    ทุกคนเข้ามาล้อมกันเป็นวงกลมแล้วจับมือกันตามคำบอกของพิพพิน กระแสเวทมนตร์ไหลวนไปโดยรอบก่อนจะพาคนทั้งหมดหายตัวไปด้วยพลังของเทพธิดาโค รโรส โครโรโนส

    กลับไปสู่ดินแดนแห่งความฝันที่กำลังจะพังทลาย

    End of Hole 1
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×