ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : กองเรือราชนาวีต่อสู้ลาดตระเวนซิลเวีย
Blue Romance
By Blue Planet
Hole 2 กองเรือราชนาวีต่อสู้ลาดตระเวนซิลเวีย
ละอองเวทมนตร์ลอยตัวเอื่อยๆไปพร้อมกับสายลมหนาว ลอดช่องหน้าต่างของสถาปัตยกรรมทรงคล้ายปราสาท แต่ภายในคือโรงเรียนสำหรับฝึกสอนเวทมนตร์ ที่มั่นสุดท้ายบนเกาะนี้ที่ยังไม่โดนกลืนกินพลังชีวิตไป
“รู้สึกที่นี่หนาวขึ้นหรือเปล่าคะ” แม่มดสาวคาร์ดี้เอ่ยถามพลางลูบต้นแขนที่กำลังสั่นน้อยๆ
เธอกับมินตี้บินมาถึงเขตมากะ วัลเล่ย์ ซึ่งเป็นเขตโรงเรียนเวทมนตร์ประจำเกาะปังย่าแล้ว และพบว่าอากาศที่เคยเย็นสบายกำลังดี กลับมีลมหนาวพัดผ่านจนร่างสั่นสะท้านกันไปหมด
“ใช่ ลมหนาวนี้พัดมาจากทางไอซ์แคนนอนน่ะ คณะสำรวจเดินเรือไปถึงแถวนั้นได้ไม่ทันไรก็ขาดการติดต่อไป มาได้ข่าวอีกทีตอนนี้ที่นั่นกลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้วแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า แล้วยังมีพายุหิมะเป็นระยะอีก ทางนี้เลยพลอยโดนผลกระทบไปด้วย ไอ้พวกปีศาจมันต้องทำลายเกาะของเราไปอีกซักแค่ไหนกันถึงจะพอใจนะ”
อาจารย์จอมเวทย์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ช่วยประดิษฐ์บอลแอซเทคขึ้นมาเอ่ยอย่างโกรธแค้น เธอเดินนำทั้งสองไปยังห้องรับรองของโรงเรียน
“...ว่าแต่ทำไมมันยังมาป่วนเราได้อีกนะ ทั้งที่ก็ส่งบอลแอซเทคออกไปแล้วแท้ๆ” อาจารย์มีสีหน้าครุ่นคิด ทำเอาคาร์ดี้กับมินตี้สะดุ้งโหยง รีบหาข้ออ้างกันพัลวัน
“แบบว่า ของแบบนี้มันต้องใช้เวลานิดนึงน่ะค่ะ ดิฉันเชื่อว่าอีกไม่นานบอลก็คงจะเริ่มสำแดงฤทธิ์แล้วล่ะค่ะ” คาร์ดี้แถถูๆไถๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรก็โล่งอก
ทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องรับรองของทางโรงเรียน ถ้วยน้ำชาอุ่นๆถูกเสกขึ้นตรงหน้า ช่วยบรรเทาความหนาวของอากาศ คาร์ดี้กระแอมเล็กน้อยก่อนจะรีบวกเข้าประเด็น
“ที่ดิฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากพบคนๆหนึ่งน่ะค่ะ อาจารย์จะช่วยดิฉันหน่อยได้มั้ยคะ”
“หืม? ใครล่ะ” ผู้เป็นอาจารย์ลดถ้วยชาลง เอ่ยถาม
“ดิฉันอยากจะพบกับนักศึกษาที่ได้ทอปของที่นี่ค่ะ”
นก(หรือไก่?)สีชมพูท้องขาวตัวอ้วนกลมถูกเสกให้แปลงร่างเป็นสิ่งของหลายๆ อย่างโดยหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของ เพื่อนๆร่วมชั้นเรียนของเธอที่รายล้อมอยู่ต่างพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“เสกฮาโตะเป็นแซนวิชไก่เลยอาริน”
“เอาเลยๆ”
อาริน เจ้าของนกที่ชื่อฮาโตะยิ้มแหะๆ ให้กับเหล่าเสียงเชียร์
“ถึงเจ้าฮาโตะมันจะอ้วนน่าหม่ำ แต่ฉันก็ไม่ได้อยากกินมันน้า” เธอกอดสัตว์เลี้ยงแสนรักเอาไว้แนบอกอย่างหวงๆ
“เอ้าๆ อย่ากอดแน่นมากสิอาริน จากไม่ตายเดี๋ยวก็ได้ตายจริงหรอก” เพื่อนเธอคนหนึ่งรีบบอกเมื่อเห็นฮาโตะดิ้นๆอยู่ตรงหน้าอกที่ไซส์เกินหน้า เกินตา ก่อนจะแน่นิ่งไป
“ว้าย ฮาโตะ เป็นไรรึเปล่า ฟื้นสิๆ” อารินวางฮาโตะผู้น่าสงสารลงบนโต๊ะแล้วรีบปั้มหัวใจ มีพวกผู้ชายส่งสายตาริษยามาให้เจ้าฮาโตะเป็นพักๆ
ได้ใกล้ชิดแนบแน่นขาดนั้น ถึงตายคาอกก็คงตายตาหลับกันแล้วล่ะ
“อารินๆ อยู่มั้ย?” เสียงตะโกนเรียกชื่อเธอดังมาจากหน้าห้อง อารินเงยหน้าขึ้นเห็นอาจารย์ผู้สอนอยู่ตรงนั้น เธอลุกขึ้นยืนแสดงตัว
“มากับอาจารย์หน่อย มีคนอยากพบเธอน่ะ”
ฮาโตะที่ฟื้นแล้วบินขึ้นเกาะไหล่อารินอย่างรู้หน้าที่ เธอเดินตามอาจารย์ออกไปท่ามกลางความสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกัน
ทันทีที่อาจารย์แนะนำอารินกับคาร์ดี้ให้รู้จักกัน คาร์ดี้ก็ลากตัวเธอออกไปข้างนอกทันที บอกกับอาจารย์เพียงว่าเธอจะได้รับการฝึกฝนจากคาร์ดี้แทน ถ้ากลับมาเรียนต่อก็ให้เข้าสอบได้ตามปกติเลย
“เอ่อ...คือ... คุณคาร์ดี้คะ” อารินตัดสินใจเรียกชื่อคนที่บินนำหน้าเธออยู่ ดูเหมือนทั้งสองจะรีบร้อนลากเธอออกมาให้พ้นเขตโรงเรียนมาก
“อืม แถวนี้น่าจะพ้นแล้ว... ขอโทษนะที่ลากเธอออกมา แต่ตอนนี้เกาะปังย่าเจอวิกฤตแล้วล่ะ แล้วฉันก็ไม่อยากให้พวกจอมเวทย์แตกตื่นกันด้วย ก็เลย...” คาร์ดี้มองซ้ายมองขวาไปด้วยขณะที่พูด คล้ายระแวงว่าจะมีใครมาแอบฟัง อารินได้ยินเพียงว่าเป็นเรื่องใหญ่ขั้นร้ายแรงระดับทั้งเกาะ ก็พยักหน้ารับทันที
“ไปคุยกันต่อที่บ้านพักฉันดีกว่าค่ะ แถวนี้อาจจะมีพวกอาจารย์ผ่านมาได้” อารินกลายเป็นฝ่ายเดินนำแทน นั่นสร้างความพอใจให้คาร์ดี้อย่างมาก
...หัวไวใช้ได้ ท่าทางเธอจะช่วยพวกเราได้มากทีเดียว...
เนื่องจากต้องเดินทางมาเรียนทุกวัน ครอบครัวอารินจึงตัดสินใจซื้อบ้านพักเล็กๆชั้นเดียวให้ลูกสาว เพื่อที่จะไปมาอย่างสะดวก และเป็นการฝึกให้ดูแลตัวเองด้วย
คาร์ดี้กับมินตี้มองไปรอบๆบ้านพัก แม้จะไม่ใหญ่โตมาก แต่ก็มีอุปกรณ์เวทมนตร์อยู่ครบพร้อมทีเดียว นับว่าคาร์ดี้เลือกคนไม่ผิดจริงๆ
“ที่ว่าเกาะปังย่าวิกฤตหมายความว่ายังไงเหรอคะ” อารินโยนฮาโตะออกไปให้ช่วยดูรอบๆบ้าน แล้วกลับมาถามเข้าประเด็น
“ตอนที่ส่งบอลแอซเทคออกไปลบล้างพลังปีศาจ มีการผิดพลาดเกิดขึ้น ตอนนี้เท่าที่ดูแล้ว ไม่มีบอลลูกไหนอยู่ในม่านพลังเลย ที่มีการส่งข่าวกันว่าต้องใช้เวลาในการสำแดงฤทธิ์เป็นข่าวลวงที่พวกดิฉัน สร้างขึ้นมาเองล่ะ” คาร์ดี้พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อารินยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ถ้าที่ฉันได้ยินมาไม่ผิด คริสตัลเวทมนตร์จะถูกสัมผัสไม่ได้สินะคะ แล้วถ้าให้จอมเวทย์ระดับอาจารย์ช่วยกันส่งมันเข้าไปในม่านพลังล่ะคะ” อารินเสนอความคิด แต่มินตี้ส่ายศีรษะช้าๆ
“จอมเวทย์ระดับสูงต่างกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูพลังกันค่ะ เพราะการทำบอลแอซเทคต้องใช้พลังเวทย์กันแทบหมดตัว ตอนนี้จอมเวทย์ที่พอจะช่วยได้ก็มีแต่ระดับรองลงมาอย่างหนูกับพี่อารินล่ะค่ะ แต่ก็คงจะส่งพลังให้บอลทั้งหมดไม่ไหวเหมือนกัน” มินตี้พูดอย่างเศร้าๆที่ตนไม่มีพลังมากพอ เธอรีบกล่าวเสริม“...แต่ถ้าแค่ทำไม้กายสิทธิ์ แล้วให้คนอื่นใช้แทนก็ไหวนะคะ”
อารินได้ยินดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะเข้าไปคุ้ยหนังสือและเอกสารต่างๆ เสียกระจุยกระจาย เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมคู่มือการทำไม้กายสิทธิ์ตั้งใหญ่ และอุปกรณ์เวทมนตร์อีกมากมาย
เนื่องจากเกาะปังย่าได้รับการดูแลจากชาวปังย่าเป็นอย่างดีจนกระทั่งพลังแห่ง ธรรมชาติเพิ่มพูนถึงขีดสุด เหล่าจอมเวทย์จึงสามารถใช้เวทมนตร์แขนงต่างๆได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านสื่อกลาง และสืบทอดวิชาเหล่านั้นมายังคนรุ่นต่อๆไป จนทำให้การสร้างไอเท็มเวทมนตร์อย่างไม้กายสิทธิ์ค่อยๆถูกลืมเลือน เหลือแต่เพียงบันทึกกล่าวขานถึงเวทมนตร์สมัยเก่าๆเท่านั้น นับว่าโชคดีอยู่ที่แหล่งเก็บข้อมูลอย่างมากะ วัลเล่ย์ยังไม่โดนทำลายไป
“ใช้ข้าวของในบ้านฉันได้ตามสบายเลยค่ะ ถ้าขาดเหลืออะไรบอกได้นะคะ จะไปซื้อในเมืองให้” อารินให้ความร่วมมือเต็มที่ เธอเองก็รอวันรอคืนที่เกาะปังย่าอันเป็นที่รักจะกลับมางดงามดังเดิมอยู่ เหมือนกัน
ทั้งสามช่วยกันหาข้อมูลจนพระอาทิตย์เกือบลับขอบฟ้า (ขณะนั้นพวกพิพพินก็กำลังตามหา “ผู้แข็งแกร่ง” กันอย่างเอาเป็นเอาตาย) จดบันทึกอุปกรณ์ต่างๆจนได้ข้อสรุปที่ครบถ้วน ต่างนั่งพักกันอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็ค่อนข้างพึงพอใจกับความคืบหน้าของงาน
“เหลือแค่ลงมือทำแล้วล่ะ กับหาของเพิ่มอีกนิดหน่อย” คาร์ดี้มองข้อมูลในมือพร้อมกับทำเครื่องหมายหน้าอุปกรณ์ต่างๆไปด้วย
“งั้นคุณคาร์ดี้กับมินตี้ทำเท่าที่ทำได้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปหาของที่เหลือมาให้ เอ...รู้สึกพวกนี้จะหาได้จากเกาะเล็กๆทางใต้หมู่บ้านลิเบอร์รานะคะ” อารินอาสาจะไปเอง แต่คาร์ดี้กลับลุกตามมาด้วย
“เวทมนตร์ดิฉันแทบไม่เหลือพอแล้วล่ะ ช่วยทำไม่ได้หรอก” เธอบอก
“งั้นฉันอยู่...” อารินทำท่าจะก้าวกลับไปแต่คาร์ดี้ก็ดึงแขนเธอไว้ก่อน
“อาริน เธอน่ะต้องเป็นคนที่จะใช้มัน และเดินทางไปด้วยต่างหากล่ะ ถ้าไม่เหลือคนใช้เวทมนตร์ได้เรื่องในคณะเลย เกิดไปจ้ะเอ๋พวกปีศาจทีได้มีเฮแน่ๆ ไปด้วยกันนี่แหละ ฉันนัดเพื่อนเก่าไว้แถวนั้นด้วย” อารินหันมองมินตี้ที่นั่งอยู่คนเดียวอย่างเป็นกังวล แต่เด็กสาวก็โบกมือให้
“มินตี้ซะอย่าง สบายมากค่ะ เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะพี่ๆ” เธอทำท่าแข็งขัน ทำให้เหล่าพี่ๆคลายกังวลลง ก่อนจะออกบินกันไปยังหมู่บ้านลิเบอร์ร่า
กองเรือรบ ป้อมปืน เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์จำนวนมากค่อยๆเคลื่อนเข้ามาจอดยังช่องแคบด้านทิศตะวันตกเฉียง ใต้ของเกาะตามคำเชื้อเชิญของเทพธิดาโครโรส โครโรโนส
หญิงสาวผมสีทองในวัยที่กำลังทรงเสน่ห์ที่สุด ก้าวออกมายืนยังดาดฟ้าเรือ เครื่องแบบทหารที่เปิดร่องอกเล็กน้อย กับกระโปรงผ่าเผยเรียวขา ช่างเป็นที่ปลาบปลื้มของเหล่าทหารใต้บังคับบัญชายิ่งนัก
“ไม่ได้มาซะนาน เปลี่ยนไปเยอะเลยนะเนี่ย” เธอมองไปรอบๆ ทิวทัศน์ที่เคยงดงามราวกับสรวงสวรรค์ ซึ่งตอนมีแต่เพียงความแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา
“อีกซักพักคุณคาร์ดี้คงจะมา เชิญคุณเซซิเลียพักตามสบายก่อนนะคะ” เทพธิดาตัวน้อยที่พาเธอมากล่าวจบก็หายตัวไป ปล่อยให้เธอจัดระเบียบกองเรือราชนาวีต่อสู้ลาดตระเวนซิลเวียไปคนเดียวพลางๆ
แว้บ!!
“มีอะไรเหรอ?” เซซิเลียได้ยินเสียงวาร์ปเลยนึกว่าเทพธิดากลับมาหาเธออีกครั้ง แต่สิ่งที่ปรากฏตรงดาดฟ้าเรือตรงหน้าเธอกลับเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ล้มกันระเน ระนาด ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันก่อนจะร้องอย่างตกใจ ทำเอาคนอื่นๆร้องตามกันไปด้วย
“ร...เรือบรรทุกเครื่องบินรบอะไรเนี่ย” ลูเซียมองไปรอบๆ รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางกองถ่ายหนังสงครามซักเรื่อง
“ทำไมดินแดนเวทมนตร์มีของพวกนี้ด้วยได้ล่ะ นี่มันเกาะแฟนตาซีนะคะ ไม่ใช่ไซไฟ” ฮานะผู้หมายมั่นเต็มที่ว่าจะมาเจอกับดินแดนในฝันแบบเทพนิยาย ถึงกับช็อคไปเลยทีเดียว
ส่วนอาเธอร์ก็จ้องมองผู้บังคับบัญชาสาวสวยตาค้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หรือว่า... เธอคนนั้นจะเป็นบอสใหญ่ โอ้ย!” นูริหมายถึงเซซิเลีย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้รับมะเหงกจากบอสที่ว่าไปรับประทาน 1 ลูก
“บอสใหญ่อะไรกัน ดูยังไงเห็นฉันเป็นปีศาจได้ยะ แหม คนอุตส่าห์ยกกองเรือมาช่วย มันน่าจับตีก้นจริงๆเลย” เซซิเลียทำท่าจะเอาจริง นูริเลยรีบขอโทษขอโพยถอยกรูด
“คุณเซซิเลียก็มาด้วยเหรอคะ ดีจังเลย” พิพพินที่จำเธอได้วิ่งเข้าไปหาทันที ก่อนหน้านี้เซซิเลียเคยเป็นผู้โชคดีได้รับคำเชิญจากเทพธิดาโครโรส โครโรโนสมายังเกาะปังย่า และเธอก็เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเทพธิดาและจอมเวทย์มากเลยทีเดียว เมื่อเกาะปังย่าถูกคุกคาม เธอจึงได้รับการเชื้อเชิญให้มายังเกาะนี้อีกครั้ง ซึ่งเซซิเลียก็เต็มใจให้ความร่วมมือเต็มที่
“ไม่ได้มามือเปล่าหรอกนะพิพพิน ฉันอ่านจดหมายลับที่คาร์ดี้ฝากเทพธิดาไปด้วยแล้ว เลยเอาเทคโนโลยีล่าสุดของพวกเราชาวมาชิว่ามาอวดด้วย” เธอผายมือไปยังเรือรบอีกลำที่มีป้อมปืนใหญ่ตั้งตระหง่าน
“ขอแนะนำให้รู้จัก ซิลเวีย แคนนอน ปืนใหญ่ที่จะสร้างพลังงานบริสุทธิ์ให้แก่เกาะปังย่า”
ตูมมมม!!!
เสียงยิงปืนใหญ่ดังสนั่นรับกับคำพูดของเธอ ดูยิ่งใหญ่สมกับที่ภูมิใจนำเสนอจริงๆ เหล่าผู้ชมต่างปรบมือกันเปาะแปะ แต่เซซิเลียกลับคิ้วขมวดลงแทนที่จะยิ้มหน้าบาน เธอหันขวับไปมองป้อมปืนใหญ่ที่ว่าอย่างงงๆ
“ไม่ใช่อันนั้น!!!!”
ตูมมมม!!!
เสียงดังสนั่นดังมาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่มาจากป้อมปืน ควันสีเทาและดำลอยขโมงบ่งบอกว่าแถวนั้นต้องมีเพลิงไหม้อยู่เป็นแน่ ทั้งหมดมองหน้ากันก่อนจะรีบลงจากเรือวิ่งไปดู
ซากเครื่องบินลำหนึ่งกำลังลุกไหม้ บริเวณปีกขวากลายเป็นเศษเหล็ก สภาพไม่เหลือชิ้นดี คาดว่าโดนปืนใหญ่เมื่อครู่สอยร่วงมา เซซิเลียมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่เครื่องบินรบ น่าจะเป็นเพียงเครื่องบินเล็กส่วนตัวที่บังเอิญบินผ่านมาโดนลูกหลงเท่านั้น
“ตายแล้ว...” เธออุทานออกมาเมื่อเริ่มเดาเรื่องได้ คนอื่นๆเริ่มพึมพำบทสวด
“ย...ยัง”
เสียงตอบรับเซซิเลียดังขึ้นมาทำเอาเหล่าสาวๆกรีดร้องกระโดดเกาะกันกลม มีเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มอยู่ไม่ห่างจากตัวเครื่องบินนัก เลยค่อยๆกลั้นใจกันชะโงกออกไปดู เห็นชายหนุ่มสภาพร่อแร่ที่พยุงตัวเองเกาะขอบเรืออยู่ น้ำสีน้ำเงินใสมีริ้วของเหลวสีแดงลอยตัวเอื่อยๆอยู่รอบๆตัว
คนที่ว่ายน้ำแข็งพากันลงไปช่วยลากเอาชายหนุ่มขึ้นมาบนฝั่ง เซซิเลียเรียกให้เหล่าทหารเรือมาช่วยกันหามชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายไปยังห้อง พัก แล้วช่วยกันปฐมพยาบาลเท่าที่เครื่องมือจะอำนวยไปก่อน
“ถ้ามีแม่มดซักคนก็ดีสิ” เซซิเลียเดินไปเดินมาหน้าห้องคนป่วย ดูเธอจะร้อนใจที่สุด เพราะถ้าคนที่นอนสลบไปเพราะพิษบาดแผลเป็นอะไรขึ้นมา มันก็จะมีสาเหตุมาจากความสะเพร่าของเธอและลูกน้องเอง
ทิกิทำตาแป๋วพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง บอกให้รู้ว่ามีแม่มดอยู่คนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนี้แต่เซซิเซียก็เดินผ่านเมินเธอ ไปอย่างง่ายดาย แถมยังโดนโลโล่ตีมือให้เอาลงอีกต่างหาก
แม่มดแบบนี้ จะช่วยให้ดีขึ้น หรือจะช่วยส่งวิญญาณศพกันแน่...
ลูเซียมองภาพตรงหน้าอย่างเบื่อๆ แรกๆเธอก็ตกใจอยู่ แต่ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะทำอะไรได้ ก็เลยรู้สึกว่างๆ เธอเริ่มมองซ้ายมองขวาสำรวจสิ่งที่อยู่รอบๆตัว
เมื่อซักครู่เธอได้ยินว่ากองเรือราชนาวีต่อสู้ลาดตระเวนซิลเวีย (ชื่อยาวชะมัด) มาจากมาชิว่า เมืองที่ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งวิศวกรรม ว่ากันว่าเด็กที่เมืองนั้นเกิดมาก็จับประแจกับไขควงเป็นกันแล้ว เธอมีคิวต้องไปแสดงคอนเสิร์ตต่อที่เมืองนี้พอดีก็เลยศึกษาข้อมูลมาบ้าง
ดวงตาสีกุหลาบเหลือบมองมุมทางเดินภายในเรือที่มีหัวคนผลุบๆโผล่ๆอยู่ เธอเอามือตบแก้มตัวเองเบาๆ สลายสีหน้าแสนเซ็งทิ้งไปในพริบตา ก่อนจะหันไปโปรยยิ้มดาราเรียกเรตติ้งให้เหล่าลูกเรือ
พอเห็นสาวเจ้ายิ้มให้ ก็พากันกรูเข้ามารุมล้อมพร้อมกระดาษกับปากกาทันที ซึ่งลูเซียก็ยินดีแจกลายเซ็นต์ให้ มีแถมจูจุ๊บลงบนกระดาษให้บางคนไปด้วย ดูเธอราวกับดอกไม้งามท่ามกลางกลิ่นเหม็นเหงื่อของเหล่าชายชาตรียิ่งนัก
“อ่ะแฮ่ม” ดอกไม้งามตัวจริง (ที่ใกล้โรยรา?) กระแอมขึ้นพลางจ้องลูกน้องเขม็ง ทำเอาหนุ่มๆรีบพากันถอยทัพอย่างไวว่อง เซซิเลียหันมาทางลูเซียที่เพิ่งจะเคยมองชัดๆ เลยเพิ่งรู้ว่ามีไอดอลชื่อดังอยู่บนเรือตัวเอง
“ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้มั้งคะคุณป้า ยังไม่ได้ไปรบซักหน่อย” ลูเซียเอ่ยอย่างไม่มีเจตนาร้าย แต่สรรพนามที่ใช้กลับสร้างความเสียหายได้มากกว่าโดนปาระเบิดใส่เสียอีก
....ป....ป้า....ป้า....ป้า...ป้า...
คำเดิมๆวิ่งวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวเซซิเลีย ราวกับคำนั้นมันจะดึงเธอดิ่งลงสู่นรกทั้งเป็นก็ไม่ปาน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พ่นไฟใส่ลูเซีย ก็มีเสียงอันแสนคุ้นเคยเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเซซิเลีย อื้อหือ อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ก็ดีเลย”
คาร์ดี้ที่เดินทางมาถึงพอดีเอ่ยทักทาย มีอารินยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหลัง ไม่รู้เพราะหน้าตา หรือหน้าใจ เลยเรียกให้เหล่าลูกเรือมาผลุบๆโผล่ๆแอบมองอยู่ตามมุมทางเดินอีกครั้ง นั่นทำให้เซซิเลียหมดความมั่นใจในตัวเองลงไปอีกโข
...ทำไมมีแต่คนมาแย่งความนิยมช้านนนน!!!...ฝ่ายออกแบบคาแรคเตอร์มันไม่ยุติธรรม!! กระซิกๆ...
“ว่าแต่มีอะไรเหรอคะ ทำไมมานั่งกันแถวนี้” คาร์ดี้ไล่มองทั้งคนคุ้นหน้าและไม่คุ้น ซึ่งนั่งออกันอยู่ตรงทางเดิน ทั้งที่ประตูห้องก็อยู่ตรงหน้า
“เมื่อกี้มีแอคซิเดนท์นิดหน่อยน่ะ ไม่รู้ไปสอยเครื่องบินใครตกเข้า ตอนนี้นอนสลบอยู่ในห้องน่ะ แย่จริงเลย ได้ข่าวว่าพวกแม่มดก็ไม่มีพลังเวทย์เหลือกันเท่าไรแล้วนี่” เซซิเลียอธิบายสั้นๆ
“เอ่อ...ขอฉันดูหน่อยได้มั้ยคะ ถึงจะยังไม่ใช่แม่มดเต็มตัว แต่ก็เรียนวิธีรักษามาบ้างแล้วค่ะ” อารินได้ยินดังนั้นจึงเสนอตัวทันที เซซิเลียมองทิกิแล้วหันมาทางอารินคล้ายกำลังเปรียบเทียบ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเปิดประตูให้ ทิ้งทิกิให้งงต่อไปว่าหน้าเธอมีอะไรรึ ทำไมพูดถึงแม่มดทีไรแล้วชอบมองเธอกันจัง
“อืม.... เพื่อไม่ให้เสียเวลา เข้าไปคุยกันข้างในเลยละกัน คนป่วยสลบอยู่ คงไม่กวนเท่าไรหรอก” คาร์ดี้เดินตามอารินเข้าไป เซซิเลียเรียกให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาออกมาก่อน พอเห็นว่าเข้ามาในห้องกันหมดแล้วก็ล๊อกประตู
คาร์ดี้เริ่มจากให้แนะนำตัวกันก่อน ซึ่งหลังจากสอบถามแล้วเธอก็แทบจะวิ่งออกไปผูกคอตายใต้ใบหญ้า ไม่รู้ว่าพวกนี้มันไปตีความผู้แข็งแกร่งของเธอกันอีท่าไหน ไหงไปได้คนพวกนี้มาได้เนี่ย
“นักเรียนธรรมดาที่คลั่งไคล้กีฬาที่ชื่อว่ากอล์ฟ” คาร์ดี้ชี้ไปที่นูริซึ่งยกมือลูบท้าทอยอายๆพลางส่งยิ้มแหะๆกลับมา
“นักเรียนธรรมดาอีกคนที่ชื่นชอบเรื่องเหนือธรรมชาติของมนุษย์” เธอชี้ไปทางฮานะที่จ้องอารินที่กำลังใช้เวทมนตร์ของแท้ตาไม่กระพริบ
“ตำรวจที่อยากมาพักร้อนกับสาวๆ” นิ้วเลื่อนไปยังอาเธอร์ที่มองด้านหลังของเซซิเลียน้ำลายยืด
“แล้วก็เยี่ยมมากเลยทิกิ... นักร้องที่อยากตามหาขุมทรัพย์ในตำนาน” คาร์ดี้ปิดท้ายที่ลูเซียซึ่งยืนสะบัดผม ท่าทางไม่สนใจใครเลย ส่วนทิกิก็ได้แต่พยายามยิ้มหวานให้พี่สาวซึ่งก็ดูจะไม่ได้ผลนัก รังแต่จะยิ่งปวดหัวเสียเปล่าๆ ไม่รู้ว่าเห็นนักร้องเป็นเจ้าลัทธิมนตร์ดำไปได้ยังไง
“ว่าแต่นั่นใครรึ” คาร์ดี้หันไปมองชายหนุ่มที่มีสภาพดีขึ้นกว่าเดิมจากการรักษาของอาริน หวังว่าเขาอาจจะดูพึ่งพาได้บ้าง
“แม็กซ์ นักเทนนิสมือโปรจากประเทศอังกฤษ... กีฬาที่เอาไม้ตีลูกโต้กับคู่ต่อสู้น่ะ ฉันจำทรงผมไร้รสนิยมแบบนั้นได้แม่นเชียวล่ะ เคยได้ยินข่าวว่าอยากซื้อเครื่องบินส่วนตัว คงเป็นลำนั้นแหงๆ” ลูเซียเป็นคนตอบให้ พร้อมเสริมให้เล็กน้อยเมื่อเห็นชาวปังย่าทำหน้างง คาร์ดี้หันไปถอนหายใจยาวอีกทาง จากที่เคยมีความหวังริบรี่ ตอนนี้ก็ดับสูญไปแล้วเรียบร้อย เห็นขับเครื่องบินมาก็นึกว่าจะเป็นพวกทหารหรือคนที่รู้จักการรบบ้างเสียอีก แถมยังบาดเจ็บอยู่จะเป็นตัวถ่วงซะเปล่าๆ ที่พอจะพึ่งได้บ้างก็มีแค่อารินกับเซซิเลียและกองเรือของเธอเท่านั้นเอง
แต่ไหนๆก็เสียเวลามาตั้งขนาดนี้แล้ว จะไปหาคนมาเพิ่มอีกก็คงไม่ทันการณ์ คงได้แค่ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน กว่าจะถึงตอนนั้นพลังเวทย์ของเธอก็คงฟื้นตัวกลับมาได้พอดี น่าจะมาตามเก็บกวาดที่เหลือไหว
“เฮ้อ... ถึงจะพลาดจากที่คิดไว้ไปหน่อย...ไม่หน่อยล่ะ... แต่ก็คงต้องเริ่มทำตามแผนแล้วล่ะนะ เริ่มจากเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนแล้วกัน...”
สมัยก่อนนั้น ดินแดนในฝันแห่งนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งเดมอน และฝั่งปังย่า ทั้งสองฝั่งต่างไม่มายุ่งเกี่ยวข้องแวะกัน จนกระทั่งฝั่งเดมอนค่อยๆเสื่อมโทรมลง จอมมารผู้ปกครองดินแดนฝั่งนั้นจึงออกคำสั่งให้เหล่าปีศาจเข้ามาดูดกลืนพลัง ชีวิตจากเกาะปังย่าไปฟื้นฟูดินแดนของตน โดยทิ้งเกาะปังย่าให้กลายเป็นดินแดนรกร้างอย่างโหดร้าย
เทพธิดาโครโรส โครโรโนสผู้ดูแลเกาะปังย่าจึงได้เร่งทำการสำรวจม่านพลังแห่งธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดพลังชีวิตของเกาะ และให้เหล่าจอมเวทย์ช่วยกันสร้างคริสตัลเวทมนตร์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังแห่ง ธรรมชาติ เรียกว่าบอลแอซเทคขึ้นมา เพื่อนำไปใส่ในม่านพลังเหล่านั้น หากสำเร็จ พลังปีศาจจะถูกลบล้างออกไป
“แล้วก็น่าจะเดากันได้นะคะ ว่าดิฉันซึ่งเป็นผู้ส่งบอลแอซเทคไปยังม่านพลังเหล่านั้นได้ทำภารกิจไม่ สำเร็จ” ถึงตรงนี้เหล่าผู้ที่รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้วก็อดจะหันไปเหล่ทิกิไม่ได้ “แต่ชาวปังย่าก็ได้เห็นกันทั่วแล้วว่าบอลได้ถูกส่งออกไปแล้ว แม้ความจริงจะไม่ตรงเป้าหมาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดิฉันอยากไหว้วานผู้มาจากโลกต่างทุกคนก็คือ การใช้ไม้กายสิทธิ์ นำบอลแอซเทคกลับสู่ที่ๆมันควรจะอยู่ให้ได้ โดยต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
หลังคาร์ดี้กล่าวจบ ทุกคนก็มีสีหน้าเครียดลงเล็กน้อย ต่างครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น นั่นทำให้คาร์ดี้ค่อนข้างพอใจ ว่าทุกคนคงจะเริ่มรู้สึกจริงจังบ้าง
“อืม ต้องตระเวนไปทั่วเกาะ เปลืองแรงกว่าที่คิด ขนกลับไปซักหีบสองหีบจะคุ้มมั้ยเนี่ย... เอาเถอะยังไงก็ไม่เสียเวลางานที่โลกของฉันล่ะนะ” ลูเซียยักไหล่ นั่นทำเอาคาร์ดี้แทบวิ่งไปโขกเต้าหู้ตาย
...ดิฉันก็นึกว่าหล่อนจริงจังเรื่องช่วยเกาะซะอีก!!!...
“ม...เหมือนจริงๆ เหมือนพวกเทพนิยายที่เคยอ่านเลย แบบนี้ต้องมีเจ้าชายขี่ม้าขาวปรากฏตัวออกมาด้วยแน่ๆ แถมยังได้ใช้ไม้กายสิทธิ์ของจริงอีก สู้ตายเลยค่ะแบบนี้” ฮานะพูดด้วยดวงตาเป็นประกายระบิบระยับจนคาร์ดี้ไม่กล้าท้วงว่าหล่อนเพ้อฝัน เกินจริงไปแล้ว
“เรื่องแบบเนี้ย ไว้ใจตำรวจอย่างฉันได้เลย” อาเธอร์พูดยืดๆ แต่จากสายตาที่มองเซซิเลียอยู่ ทำให้คาร์ดี้นึกรู้ได้ทันทีว่าตาลุงนี่กำลังหาเรื่องสานสัมพันธ์กับเพื่อน เก่าเธออยู่แหงๆ
“อ่า ผมก็ไม่รู้จะช่วยได้มั้ย แต่จะพยายามละกันครับ” นูริบอก คำพูดดูน่าจะพึ่งได้ แต่ท่าทางเหลาะแหละดูไม่น่าเชื่อถืออย่างรุนแรง
...ลาก่อน เกาะปังย่าอันเป็นที่รักของดิฉัน...
คาร์ดี้พูดในใจน้ำตาคลอเบ้า เกิดมาเพิ่งจะเข้าใจคำว่าปลงชีวิตก็วันนี้นี่แหละ
เนื่องจากมืดแล้วเซซิเลียจึงชวนให้อยู่รับประทานอาหาร และค้างแรมที่เรือของเธอก่อน ซึ่งคาร์ดี้ก็เห็นด้วย โลโล่กับคุม่าขอแยกตัวกลับหมู่บ้านลิเบอร์ร่าไปก่อนแล้ว พร้อมรายการของที่มินตี้ต้องการใช้ ส่วนพิพพินก็หายตัวไปส่งข่าวให้มินตี้รู้
ภาพการรับประทานอาหารเย็นที่ดำเนินไปอย่างครึกครื้น ถูกจับตามองผ่านกล้องส่องทางไกลแบบโบราณอย่างไม่วางตา
“คุณพ่อ หนูจะต้องล้างแค้นให้คุณพ่อให้ได้”
คืนนั้นทุกคนต่างนอนหลับฝันหวานโดยไม่รู้เลยว่ามหันตภัยจากโพ้นทะเลกำลังจะมาเยือน
End of Hole 2
By Blue Planet
Hole 2 กองเรือราชนาวีต่อสู้ลาดตระเวนซิลเวีย
ละอองเวทมนตร์ลอยตัวเอื่อยๆไปพร้อมกับสายลมหนาว ลอดช่องหน้าต่างของสถาปัตยกรรมทรงคล้ายปราสาท แต่ภายในคือโรงเรียนสำหรับฝึกสอนเวทมนตร์ ที่มั่นสุดท้ายบนเกาะนี้ที่ยังไม่โดนกลืนกินพลังชีวิตไป
“รู้สึกที่นี่หนาวขึ้นหรือเปล่าคะ” แม่มดสาวคาร์ดี้เอ่ยถามพลางลูบต้นแขนที่กำลังสั่นน้อยๆ
เธอกับมินตี้บินมาถึงเขตมากะ วัลเล่ย์ ซึ่งเป็นเขตโรงเรียนเวทมนตร์ประจำเกาะปังย่าแล้ว และพบว่าอากาศที่เคยเย็นสบายกำลังดี กลับมีลมหนาวพัดผ่านจนร่างสั่นสะท้านกันไปหมด
“ใช่ ลมหนาวนี้พัดมาจากทางไอซ์แคนนอนน่ะ คณะสำรวจเดินเรือไปถึงแถวนั้นได้ไม่ทันไรก็ขาดการติดต่อไป มาได้ข่าวอีกทีตอนนี้ที่นั่นกลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้วแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า แล้วยังมีพายุหิมะเป็นระยะอีก ทางนี้เลยพลอยโดนผลกระทบไปด้วย ไอ้พวกปีศาจมันต้องทำลายเกาะของเราไปอีกซักแค่ไหนกันถึงจะพอใจนะ”
อาจารย์จอมเวทย์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ช่วยประดิษฐ์บอลแอซเทคขึ้นมาเอ่ยอย่างโกรธแค้น เธอเดินนำทั้งสองไปยังห้องรับรองของโรงเรียน
“...ว่าแต่ทำไมมันยังมาป่วนเราได้อีกนะ ทั้งที่ก็ส่งบอลแอซเทคออกไปแล้วแท้ๆ” อาจารย์มีสีหน้าครุ่นคิด ทำเอาคาร์ดี้กับมินตี้สะดุ้งโหยง รีบหาข้ออ้างกันพัลวัน
“แบบว่า ของแบบนี้มันต้องใช้เวลานิดนึงน่ะค่ะ ดิฉันเชื่อว่าอีกไม่นานบอลก็คงจะเริ่มสำแดงฤทธิ์แล้วล่ะค่ะ” คาร์ดี้แถถูๆไถๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรก็โล่งอก
ทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องรับรองของทางโรงเรียน ถ้วยน้ำชาอุ่นๆถูกเสกขึ้นตรงหน้า ช่วยบรรเทาความหนาวของอากาศ คาร์ดี้กระแอมเล็กน้อยก่อนจะรีบวกเข้าประเด็น
“ที่ดิฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากพบคนๆหนึ่งน่ะค่ะ อาจารย์จะช่วยดิฉันหน่อยได้มั้ยคะ”
“หืม? ใครล่ะ” ผู้เป็นอาจารย์ลดถ้วยชาลง เอ่ยถาม
“ดิฉันอยากจะพบกับนักศึกษาที่ได้ทอปของที่นี่ค่ะ”
นก(หรือไก่?)สีชมพูท้องขาวตัวอ้วนกลมถูกเสกให้แปลงร่างเป็นสิ่งของหลายๆ อย่างโดยหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของ เพื่อนๆร่วมชั้นเรียนของเธอที่รายล้อมอยู่ต่างพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“เสกฮาโตะเป็นแซนวิชไก่เลยอาริน”
“เอาเลยๆ”
อาริน เจ้าของนกที่ชื่อฮาโตะยิ้มแหะๆ ให้กับเหล่าเสียงเชียร์
“ถึงเจ้าฮาโตะมันจะอ้วนน่าหม่ำ แต่ฉันก็ไม่ได้อยากกินมันน้า” เธอกอดสัตว์เลี้ยงแสนรักเอาไว้แนบอกอย่างหวงๆ
“เอ้าๆ อย่ากอดแน่นมากสิอาริน จากไม่ตายเดี๋ยวก็ได้ตายจริงหรอก” เพื่อนเธอคนหนึ่งรีบบอกเมื่อเห็นฮาโตะดิ้นๆอยู่ตรงหน้าอกที่ไซส์เกินหน้า เกินตา ก่อนจะแน่นิ่งไป
“ว้าย ฮาโตะ เป็นไรรึเปล่า ฟื้นสิๆ” อารินวางฮาโตะผู้น่าสงสารลงบนโต๊ะแล้วรีบปั้มหัวใจ มีพวกผู้ชายส่งสายตาริษยามาให้เจ้าฮาโตะเป็นพักๆ
ได้ใกล้ชิดแนบแน่นขาดนั้น ถึงตายคาอกก็คงตายตาหลับกันแล้วล่ะ
“อารินๆ อยู่มั้ย?” เสียงตะโกนเรียกชื่อเธอดังมาจากหน้าห้อง อารินเงยหน้าขึ้นเห็นอาจารย์ผู้สอนอยู่ตรงนั้น เธอลุกขึ้นยืนแสดงตัว
“มากับอาจารย์หน่อย มีคนอยากพบเธอน่ะ”
ฮาโตะที่ฟื้นแล้วบินขึ้นเกาะไหล่อารินอย่างรู้หน้าที่ เธอเดินตามอาจารย์ออกไปท่ามกลางความสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกัน
ทันทีที่อาจารย์แนะนำอารินกับคาร์ดี้ให้รู้จักกัน คาร์ดี้ก็ลากตัวเธอออกไปข้างนอกทันที บอกกับอาจารย์เพียงว่าเธอจะได้รับการฝึกฝนจากคาร์ดี้แทน ถ้ากลับมาเรียนต่อก็ให้เข้าสอบได้ตามปกติเลย
“เอ่อ...คือ... คุณคาร์ดี้คะ” อารินตัดสินใจเรียกชื่อคนที่บินนำหน้าเธออยู่ ดูเหมือนทั้งสองจะรีบร้อนลากเธอออกมาให้พ้นเขตโรงเรียนมาก
“อืม แถวนี้น่าจะพ้นแล้ว... ขอโทษนะที่ลากเธอออกมา แต่ตอนนี้เกาะปังย่าเจอวิกฤตแล้วล่ะ แล้วฉันก็ไม่อยากให้พวกจอมเวทย์แตกตื่นกันด้วย ก็เลย...” คาร์ดี้มองซ้ายมองขวาไปด้วยขณะที่พูด คล้ายระแวงว่าจะมีใครมาแอบฟัง อารินได้ยินเพียงว่าเป็นเรื่องใหญ่ขั้นร้ายแรงระดับทั้งเกาะ ก็พยักหน้ารับทันที
“ไปคุยกันต่อที่บ้านพักฉันดีกว่าค่ะ แถวนี้อาจจะมีพวกอาจารย์ผ่านมาได้” อารินกลายเป็นฝ่ายเดินนำแทน นั่นสร้างความพอใจให้คาร์ดี้อย่างมาก
...หัวไวใช้ได้ ท่าทางเธอจะช่วยพวกเราได้มากทีเดียว...
เนื่องจากต้องเดินทางมาเรียนทุกวัน ครอบครัวอารินจึงตัดสินใจซื้อบ้านพักเล็กๆชั้นเดียวให้ลูกสาว เพื่อที่จะไปมาอย่างสะดวก และเป็นการฝึกให้ดูแลตัวเองด้วย
คาร์ดี้กับมินตี้มองไปรอบๆบ้านพัก แม้จะไม่ใหญ่โตมาก แต่ก็มีอุปกรณ์เวทมนตร์อยู่ครบพร้อมทีเดียว นับว่าคาร์ดี้เลือกคนไม่ผิดจริงๆ
“ที่ว่าเกาะปังย่าวิกฤตหมายความว่ายังไงเหรอคะ” อารินโยนฮาโตะออกไปให้ช่วยดูรอบๆบ้าน แล้วกลับมาถามเข้าประเด็น
“ตอนที่ส่งบอลแอซเทคออกไปลบล้างพลังปีศาจ มีการผิดพลาดเกิดขึ้น ตอนนี้เท่าที่ดูแล้ว ไม่มีบอลลูกไหนอยู่ในม่านพลังเลย ที่มีการส่งข่าวกันว่าต้องใช้เวลาในการสำแดงฤทธิ์เป็นข่าวลวงที่พวกดิฉัน สร้างขึ้นมาเองล่ะ” คาร์ดี้พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อารินยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ถ้าที่ฉันได้ยินมาไม่ผิด คริสตัลเวทมนตร์จะถูกสัมผัสไม่ได้สินะคะ แล้วถ้าให้จอมเวทย์ระดับอาจารย์ช่วยกันส่งมันเข้าไปในม่านพลังล่ะคะ” อารินเสนอความคิด แต่มินตี้ส่ายศีรษะช้าๆ
“จอมเวทย์ระดับสูงต่างกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูพลังกันค่ะ เพราะการทำบอลแอซเทคต้องใช้พลังเวทย์กันแทบหมดตัว ตอนนี้จอมเวทย์ที่พอจะช่วยได้ก็มีแต่ระดับรองลงมาอย่างหนูกับพี่อารินล่ะค่ะ แต่ก็คงจะส่งพลังให้บอลทั้งหมดไม่ไหวเหมือนกัน” มินตี้พูดอย่างเศร้าๆที่ตนไม่มีพลังมากพอ เธอรีบกล่าวเสริม“...แต่ถ้าแค่ทำไม้กายสิทธิ์ แล้วให้คนอื่นใช้แทนก็ไหวนะคะ”
อารินได้ยินดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะเข้าไปคุ้ยหนังสือและเอกสารต่างๆ เสียกระจุยกระจาย เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมคู่มือการทำไม้กายสิทธิ์ตั้งใหญ่ และอุปกรณ์เวทมนตร์อีกมากมาย
เนื่องจากเกาะปังย่าได้รับการดูแลจากชาวปังย่าเป็นอย่างดีจนกระทั่งพลังแห่ง ธรรมชาติเพิ่มพูนถึงขีดสุด เหล่าจอมเวทย์จึงสามารถใช้เวทมนตร์แขนงต่างๆได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านสื่อกลาง และสืบทอดวิชาเหล่านั้นมายังคนรุ่นต่อๆไป จนทำให้การสร้างไอเท็มเวทมนตร์อย่างไม้กายสิทธิ์ค่อยๆถูกลืมเลือน เหลือแต่เพียงบันทึกกล่าวขานถึงเวทมนตร์สมัยเก่าๆเท่านั้น นับว่าโชคดีอยู่ที่แหล่งเก็บข้อมูลอย่างมากะ วัลเล่ย์ยังไม่โดนทำลายไป
“ใช้ข้าวของในบ้านฉันได้ตามสบายเลยค่ะ ถ้าขาดเหลืออะไรบอกได้นะคะ จะไปซื้อในเมืองให้” อารินให้ความร่วมมือเต็มที่ เธอเองก็รอวันรอคืนที่เกาะปังย่าอันเป็นที่รักจะกลับมางดงามดังเดิมอยู่ เหมือนกัน
ทั้งสามช่วยกันหาข้อมูลจนพระอาทิตย์เกือบลับขอบฟ้า (ขณะนั้นพวกพิพพินก็กำลังตามหา “ผู้แข็งแกร่ง” กันอย่างเอาเป็นเอาตาย) จดบันทึกอุปกรณ์ต่างๆจนได้ข้อสรุปที่ครบถ้วน ต่างนั่งพักกันอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็ค่อนข้างพึงพอใจกับความคืบหน้าของงาน
“เหลือแค่ลงมือทำแล้วล่ะ กับหาของเพิ่มอีกนิดหน่อย” คาร์ดี้มองข้อมูลในมือพร้อมกับทำเครื่องหมายหน้าอุปกรณ์ต่างๆไปด้วย
“งั้นคุณคาร์ดี้กับมินตี้ทำเท่าที่ทำได้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปหาของที่เหลือมาให้ เอ...รู้สึกพวกนี้จะหาได้จากเกาะเล็กๆทางใต้หมู่บ้านลิเบอร์รานะคะ” อารินอาสาจะไปเอง แต่คาร์ดี้กลับลุกตามมาด้วย
“เวทมนตร์ดิฉันแทบไม่เหลือพอแล้วล่ะ ช่วยทำไม่ได้หรอก” เธอบอก
“งั้นฉันอยู่...” อารินทำท่าจะก้าวกลับไปแต่คาร์ดี้ก็ดึงแขนเธอไว้ก่อน
“อาริน เธอน่ะต้องเป็นคนที่จะใช้มัน และเดินทางไปด้วยต่างหากล่ะ ถ้าไม่เหลือคนใช้เวทมนตร์ได้เรื่องในคณะเลย เกิดไปจ้ะเอ๋พวกปีศาจทีได้มีเฮแน่ๆ ไปด้วยกันนี่แหละ ฉันนัดเพื่อนเก่าไว้แถวนั้นด้วย” อารินหันมองมินตี้ที่นั่งอยู่คนเดียวอย่างเป็นกังวล แต่เด็กสาวก็โบกมือให้
“มินตี้ซะอย่าง สบายมากค่ะ เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะพี่ๆ” เธอทำท่าแข็งขัน ทำให้เหล่าพี่ๆคลายกังวลลง ก่อนจะออกบินกันไปยังหมู่บ้านลิเบอร์ร่า
กองเรือรบ ป้อมปืน เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์จำนวนมากค่อยๆเคลื่อนเข้ามาจอดยังช่องแคบด้านทิศตะวันตกเฉียง ใต้ของเกาะตามคำเชื้อเชิญของเทพธิดาโครโรส โครโรโนส
หญิงสาวผมสีทองในวัยที่กำลังทรงเสน่ห์ที่สุด ก้าวออกมายืนยังดาดฟ้าเรือ เครื่องแบบทหารที่เปิดร่องอกเล็กน้อย กับกระโปรงผ่าเผยเรียวขา ช่างเป็นที่ปลาบปลื้มของเหล่าทหารใต้บังคับบัญชายิ่งนัก
“ไม่ได้มาซะนาน เปลี่ยนไปเยอะเลยนะเนี่ย” เธอมองไปรอบๆ ทิวทัศน์ที่เคยงดงามราวกับสรวงสวรรค์ ซึ่งตอนมีแต่เพียงความแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา
“อีกซักพักคุณคาร์ดี้คงจะมา เชิญคุณเซซิเลียพักตามสบายก่อนนะคะ” เทพธิดาตัวน้อยที่พาเธอมากล่าวจบก็หายตัวไป ปล่อยให้เธอจัดระเบียบกองเรือราชนาวีต่อสู้ลาดตระเวนซิลเวียไปคนเดียวพลางๆ
แว้บ!!
“มีอะไรเหรอ?” เซซิเลียได้ยินเสียงวาร์ปเลยนึกว่าเทพธิดากลับมาหาเธออีกครั้ง แต่สิ่งที่ปรากฏตรงดาดฟ้าเรือตรงหน้าเธอกลับเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ล้มกันระเน ระนาด ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันก่อนจะร้องอย่างตกใจ ทำเอาคนอื่นๆร้องตามกันไปด้วย
“ร...เรือบรรทุกเครื่องบินรบอะไรเนี่ย” ลูเซียมองไปรอบๆ รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางกองถ่ายหนังสงครามซักเรื่อง
“ทำไมดินแดนเวทมนตร์มีของพวกนี้ด้วยได้ล่ะ นี่มันเกาะแฟนตาซีนะคะ ไม่ใช่ไซไฟ” ฮานะผู้หมายมั่นเต็มที่ว่าจะมาเจอกับดินแดนในฝันแบบเทพนิยาย ถึงกับช็อคไปเลยทีเดียว
ส่วนอาเธอร์ก็จ้องมองผู้บังคับบัญชาสาวสวยตาค้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หรือว่า... เธอคนนั้นจะเป็นบอสใหญ่ โอ้ย!” นูริหมายถึงเซซิเลีย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้รับมะเหงกจากบอสที่ว่าไปรับประทาน 1 ลูก
“บอสใหญ่อะไรกัน ดูยังไงเห็นฉันเป็นปีศาจได้ยะ แหม คนอุตส่าห์ยกกองเรือมาช่วย มันน่าจับตีก้นจริงๆเลย” เซซิเลียทำท่าจะเอาจริง นูริเลยรีบขอโทษขอโพยถอยกรูด
“คุณเซซิเลียก็มาด้วยเหรอคะ ดีจังเลย” พิพพินที่จำเธอได้วิ่งเข้าไปหาทันที ก่อนหน้านี้เซซิเลียเคยเป็นผู้โชคดีได้รับคำเชิญจากเทพธิดาโครโรส โครโรโนสมายังเกาะปังย่า และเธอก็เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเทพธิดาและจอมเวทย์มากเลยทีเดียว เมื่อเกาะปังย่าถูกคุกคาม เธอจึงได้รับการเชื้อเชิญให้มายังเกาะนี้อีกครั้ง ซึ่งเซซิเลียก็เต็มใจให้ความร่วมมือเต็มที่
“ไม่ได้มามือเปล่าหรอกนะพิพพิน ฉันอ่านจดหมายลับที่คาร์ดี้ฝากเทพธิดาไปด้วยแล้ว เลยเอาเทคโนโลยีล่าสุดของพวกเราชาวมาชิว่ามาอวดด้วย” เธอผายมือไปยังเรือรบอีกลำที่มีป้อมปืนใหญ่ตั้งตระหง่าน
“ขอแนะนำให้รู้จัก ซิลเวีย แคนนอน ปืนใหญ่ที่จะสร้างพลังงานบริสุทธิ์ให้แก่เกาะปังย่า”
ตูมมมม!!!
เสียงยิงปืนใหญ่ดังสนั่นรับกับคำพูดของเธอ ดูยิ่งใหญ่สมกับที่ภูมิใจนำเสนอจริงๆ เหล่าผู้ชมต่างปรบมือกันเปาะแปะ แต่เซซิเลียกลับคิ้วขมวดลงแทนที่จะยิ้มหน้าบาน เธอหันขวับไปมองป้อมปืนใหญ่ที่ว่าอย่างงงๆ
“ไม่ใช่อันนั้น!!!!”
ตูมมมม!!!
เสียงดังสนั่นดังมาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่มาจากป้อมปืน ควันสีเทาและดำลอยขโมงบ่งบอกว่าแถวนั้นต้องมีเพลิงไหม้อยู่เป็นแน่ ทั้งหมดมองหน้ากันก่อนจะรีบลงจากเรือวิ่งไปดู
ซากเครื่องบินลำหนึ่งกำลังลุกไหม้ บริเวณปีกขวากลายเป็นเศษเหล็ก สภาพไม่เหลือชิ้นดี คาดว่าโดนปืนใหญ่เมื่อครู่สอยร่วงมา เซซิเลียมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่เครื่องบินรบ น่าจะเป็นเพียงเครื่องบินเล็กส่วนตัวที่บังเอิญบินผ่านมาโดนลูกหลงเท่านั้น
“ตายแล้ว...” เธออุทานออกมาเมื่อเริ่มเดาเรื่องได้ คนอื่นๆเริ่มพึมพำบทสวด
“ย...ยัง”
เสียงตอบรับเซซิเลียดังขึ้นมาทำเอาเหล่าสาวๆกรีดร้องกระโดดเกาะกันกลม มีเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มอยู่ไม่ห่างจากตัวเครื่องบินนัก เลยค่อยๆกลั้นใจกันชะโงกออกไปดู เห็นชายหนุ่มสภาพร่อแร่ที่พยุงตัวเองเกาะขอบเรืออยู่ น้ำสีน้ำเงินใสมีริ้วของเหลวสีแดงลอยตัวเอื่อยๆอยู่รอบๆตัว
คนที่ว่ายน้ำแข็งพากันลงไปช่วยลากเอาชายหนุ่มขึ้นมาบนฝั่ง เซซิเลียเรียกให้เหล่าทหารเรือมาช่วยกันหามชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายไปยังห้อง พัก แล้วช่วยกันปฐมพยาบาลเท่าที่เครื่องมือจะอำนวยไปก่อน
“ถ้ามีแม่มดซักคนก็ดีสิ” เซซิเลียเดินไปเดินมาหน้าห้องคนป่วย ดูเธอจะร้อนใจที่สุด เพราะถ้าคนที่นอนสลบไปเพราะพิษบาดแผลเป็นอะไรขึ้นมา มันก็จะมีสาเหตุมาจากความสะเพร่าของเธอและลูกน้องเอง
ทิกิทำตาแป๋วพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง บอกให้รู้ว่ามีแม่มดอยู่คนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนี้แต่เซซิเซียก็เดินผ่านเมินเธอ ไปอย่างง่ายดาย แถมยังโดนโลโล่ตีมือให้เอาลงอีกต่างหาก
แม่มดแบบนี้ จะช่วยให้ดีขึ้น หรือจะช่วยส่งวิญญาณศพกันแน่...
ลูเซียมองภาพตรงหน้าอย่างเบื่อๆ แรกๆเธอก็ตกใจอยู่ แต่ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะทำอะไรได้ ก็เลยรู้สึกว่างๆ เธอเริ่มมองซ้ายมองขวาสำรวจสิ่งที่อยู่รอบๆตัว
เมื่อซักครู่เธอได้ยินว่ากองเรือราชนาวีต่อสู้ลาดตระเวนซิลเวีย (ชื่อยาวชะมัด) มาจากมาชิว่า เมืองที่ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งวิศวกรรม ว่ากันว่าเด็กที่เมืองนั้นเกิดมาก็จับประแจกับไขควงเป็นกันแล้ว เธอมีคิวต้องไปแสดงคอนเสิร์ตต่อที่เมืองนี้พอดีก็เลยศึกษาข้อมูลมาบ้าง
ดวงตาสีกุหลาบเหลือบมองมุมทางเดินภายในเรือที่มีหัวคนผลุบๆโผล่ๆอยู่ เธอเอามือตบแก้มตัวเองเบาๆ สลายสีหน้าแสนเซ็งทิ้งไปในพริบตา ก่อนจะหันไปโปรยยิ้มดาราเรียกเรตติ้งให้เหล่าลูกเรือ
พอเห็นสาวเจ้ายิ้มให้ ก็พากันกรูเข้ามารุมล้อมพร้อมกระดาษกับปากกาทันที ซึ่งลูเซียก็ยินดีแจกลายเซ็นต์ให้ มีแถมจูจุ๊บลงบนกระดาษให้บางคนไปด้วย ดูเธอราวกับดอกไม้งามท่ามกลางกลิ่นเหม็นเหงื่อของเหล่าชายชาตรียิ่งนัก
“อ่ะแฮ่ม” ดอกไม้งามตัวจริง (ที่ใกล้โรยรา?) กระแอมขึ้นพลางจ้องลูกน้องเขม็ง ทำเอาหนุ่มๆรีบพากันถอยทัพอย่างไวว่อง เซซิเลียหันมาทางลูเซียที่เพิ่งจะเคยมองชัดๆ เลยเพิ่งรู้ว่ามีไอดอลชื่อดังอยู่บนเรือตัวเอง
“ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้มั้งคะคุณป้า ยังไม่ได้ไปรบซักหน่อย” ลูเซียเอ่ยอย่างไม่มีเจตนาร้าย แต่สรรพนามที่ใช้กลับสร้างความเสียหายได้มากกว่าโดนปาระเบิดใส่เสียอีก
....ป....ป้า....ป้า....ป้า...ป้า...
คำเดิมๆวิ่งวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวเซซิเลีย ราวกับคำนั้นมันจะดึงเธอดิ่งลงสู่นรกทั้งเป็นก็ไม่ปาน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พ่นไฟใส่ลูเซีย ก็มีเสียงอันแสนคุ้นเคยเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเซซิเลีย อื้อหือ อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ก็ดีเลย”
คาร์ดี้ที่เดินทางมาถึงพอดีเอ่ยทักทาย มีอารินยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหลัง ไม่รู้เพราะหน้าตา หรือหน้าใจ เลยเรียกให้เหล่าลูกเรือมาผลุบๆโผล่ๆแอบมองอยู่ตามมุมทางเดินอีกครั้ง นั่นทำให้เซซิเลียหมดความมั่นใจในตัวเองลงไปอีกโข
...ทำไมมีแต่คนมาแย่งความนิยมช้านนนน!!!...ฝ่ายออกแบบคาแรคเตอร์มันไม่ยุติธรรม!! กระซิกๆ...
“ว่าแต่มีอะไรเหรอคะ ทำไมมานั่งกันแถวนี้” คาร์ดี้ไล่มองทั้งคนคุ้นหน้าและไม่คุ้น ซึ่งนั่งออกันอยู่ตรงทางเดิน ทั้งที่ประตูห้องก็อยู่ตรงหน้า
“เมื่อกี้มีแอคซิเดนท์นิดหน่อยน่ะ ไม่รู้ไปสอยเครื่องบินใครตกเข้า ตอนนี้นอนสลบอยู่ในห้องน่ะ แย่จริงเลย ได้ข่าวว่าพวกแม่มดก็ไม่มีพลังเวทย์เหลือกันเท่าไรแล้วนี่” เซซิเลียอธิบายสั้นๆ
“เอ่อ...ขอฉันดูหน่อยได้มั้ยคะ ถึงจะยังไม่ใช่แม่มดเต็มตัว แต่ก็เรียนวิธีรักษามาบ้างแล้วค่ะ” อารินได้ยินดังนั้นจึงเสนอตัวทันที เซซิเลียมองทิกิแล้วหันมาทางอารินคล้ายกำลังเปรียบเทียบ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเปิดประตูให้ ทิ้งทิกิให้งงต่อไปว่าหน้าเธอมีอะไรรึ ทำไมพูดถึงแม่มดทีไรแล้วชอบมองเธอกันจัง
“อืม.... เพื่อไม่ให้เสียเวลา เข้าไปคุยกันข้างในเลยละกัน คนป่วยสลบอยู่ คงไม่กวนเท่าไรหรอก” คาร์ดี้เดินตามอารินเข้าไป เซซิเลียเรียกให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาออกมาก่อน พอเห็นว่าเข้ามาในห้องกันหมดแล้วก็ล๊อกประตู
คาร์ดี้เริ่มจากให้แนะนำตัวกันก่อน ซึ่งหลังจากสอบถามแล้วเธอก็แทบจะวิ่งออกไปผูกคอตายใต้ใบหญ้า ไม่รู้ว่าพวกนี้มันไปตีความผู้แข็งแกร่งของเธอกันอีท่าไหน ไหงไปได้คนพวกนี้มาได้เนี่ย
“นักเรียนธรรมดาที่คลั่งไคล้กีฬาที่ชื่อว่ากอล์ฟ” คาร์ดี้ชี้ไปที่นูริซึ่งยกมือลูบท้าทอยอายๆพลางส่งยิ้มแหะๆกลับมา
“นักเรียนธรรมดาอีกคนที่ชื่นชอบเรื่องเหนือธรรมชาติของมนุษย์” เธอชี้ไปทางฮานะที่จ้องอารินที่กำลังใช้เวทมนตร์ของแท้ตาไม่กระพริบ
“ตำรวจที่อยากมาพักร้อนกับสาวๆ” นิ้วเลื่อนไปยังอาเธอร์ที่มองด้านหลังของเซซิเลียน้ำลายยืด
“แล้วก็เยี่ยมมากเลยทิกิ... นักร้องที่อยากตามหาขุมทรัพย์ในตำนาน” คาร์ดี้ปิดท้ายที่ลูเซียซึ่งยืนสะบัดผม ท่าทางไม่สนใจใครเลย ส่วนทิกิก็ได้แต่พยายามยิ้มหวานให้พี่สาวซึ่งก็ดูจะไม่ได้ผลนัก รังแต่จะยิ่งปวดหัวเสียเปล่าๆ ไม่รู้ว่าเห็นนักร้องเป็นเจ้าลัทธิมนตร์ดำไปได้ยังไง
“ว่าแต่นั่นใครรึ” คาร์ดี้หันไปมองชายหนุ่มที่มีสภาพดีขึ้นกว่าเดิมจากการรักษาของอาริน หวังว่าเขาอาจจะดูพึ่งพาได้บ้าง
“แม็กซ์ นักเทนนิสมือโปรจากประเทศอังกฤษ... กีฬาที่เอาไม้ตีลูกโต้กับคู่ต่อสู้น่ะ ฉันจำทรงผมไร้รสนิยมแบบนั้นได้แม่นเชียวล่ะ เคยได้ยินข่าวว่าอยากซื้อเครื่องบินส่วนตัว คงเป็นลำนั้นแหงๆ” ลูเซียเป็นคนตอบให้ พร้อมเสริมให้เล็กน้อยเมื่อเห็นชาวปังย่าทำหน้างง คาร์ดี้หันไปถอนหายใจยาวอีกทาง จากที่เคยมีความหวังริบรี่ ตอนนี้ก็ดับสูญไปแล้วเรียบร้อย เห็นขับเครื่องบินมาก็นึกว่าจะเป็นพวกทหารหรือคนที่รู้จักการรบบ้างเสียอีก แถมยังบาดเจ็บอยู่จะเป็นตัวถ่วงซะเปล่าๆ ที่พอจะพึ่งได้บ้างก็มีแค่อารินกับเซซิเลียและกองเรือของเธอเท่านั้นเอง
แต่ไหนๆก็เสียเวลามาตั้งขนาดนี้แล้ว จะไปหาคนมาเพิ่มอีกก็คงไม่ทันการณ์ คงได้แค่ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน กว่าจะถึงตอนนั้นพลังเวทย์ของเธอก็คงฟื้นตัวกลับมาได้พอดี น่าจะมาตามเก็บกวาดที่เหลือไหว
“เฮ้อ... ถึงจะพลาดจากที่คิดไว้ไปหน่อย...ไม่หน่อยล่ะ... แต่ก็คงต้องเริ่มทำตามแผนแล้วล่ะนะ เริ่มจากเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนแล้วกัน...”
สมัยก่อนนั้น ดินแดนในฝันแห่งนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งเดมอน และฝั่งปังย่า ทั้งสองฝั่งต่างไม่มายุ่งเกี่ยวข้องแวะกัน จนกระทั่งฝั่งเดมอนค่อยๆเสื่อมโทรมลง จอมมารผู้ปกครองดินแดนฝั่งนั้นจึงออกคำสั่งให้เหล่าปีศาจเข้ามาดูดกลืนพลัง ชีวิตจากเกาะปังย่าไปฟื้นฟูดินแดนของตน โดยทิ้งเกาะปังย่าให้กลายเป็นดินแดนรกร้างอย่างโหดร้าย
เทพธิดาโครโรส โครโรโนสผู้ดูแลเกาะปังย่าจึงได้เร่งทำการสำรวจม่านพลังแห่งธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดพลังชีวิตของเกาะ และให้เหล่าจอมเวทย์ช่วยกันสร้างคริสตัลเวทมนตร์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังแห่ง ธรรมชาติ เรียกว่าบอลแอซเทคขึ้นมา เพื่อนำไปใส่ในม่านพลังเหล่านั้น หากสำเร็จ พลังปีศาจจะถูกลบล้างออกไป
“แล้วก็น่าจะเดากันได้นะคะ ว่าดิฉันซึ่งเป็นผู้ส่งบอลแอซเทคไปยังม่านพลังเหล่านั้นได้ทำภารกิจไม่ สำเร็จ” ถึงตรงนี้เหล่าผู้ที่รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้วก็อดจะหันไปเหล่ทิกิไม่ได้ “แต่ชาวปังย่าก็ได้เห็นกันทั่วแล้วว่าบอลได้ถูกส่งออกไปแล้ว แม้ความจริงจะไม่ตรงเป้าหมาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดิฉันอยากไหว้วานผู้มาจากโลกต่างทุกคนก็คือ การใช้ไม้กายสิทธิ์ นำบอลแอซเทคกลับสู่ที่ๆมันควรจะอยู่ให้ได้ โดยต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
หลังคาร์ดี้กล่าวจบ ทุกคนก็มีสีหน้าเครียดลงเล็กน้อย ต่างครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น นั่นทำให้คาร์ดี้ค่อนข้างพอใจ ว่าทุกคนคงจะเริ่มรู้สึกจริงจังบ้าง
“อืม ต้องตระเวนไปทั่วเกาะ เปลืองแรงกว่าที่คิด ขนกลับไปซักหีบสองหีบจะคุ้มมั้ยเนี่ย... เอาเถอะยังไงก็ไม่เสียเวลางานที่โลกของฉันล่ะนะ” ลูเซียยักไหล่ นั่นทำเอาคาร์ดี้แทบวิ่งไปโขกเต้าหู้ตาย
...ดิฉันก็นึกว่าหล่อนจริงจังเรื่องช่วยเกาะซะอีก!!!...
“ม...เหมือนจริงๆ เหมือนพวกเทพนิยายที่เคยอ่านเลย แบบนี้ต้องมีเจ้าชายขี่ม้าขาวปรากฏตัวออกมาด้วยแน่ๆ แถมยังได้ใช้ไม้กายสิทธิ์ของจริงอีก สู้ตายเลยค่ะแบบนี้” ฮานะพูดด้วยดวงตาเป็นประกายระบิบระยับจนคาร์ดี้ไม่กล้าท้วงว่าหล่อนเพ้อฝัน เกินจริงไปแล้ว
“เรื่องแบบเนี้ย ไว้ใจตำรวจอย่างฉันได้เลย” อาเธอร์พูดยืดๆ แต่จากสายตาที่มองเซซิเลียอยู่ ทำให้คาร์ดี้นึกรู้ได้ทันทีว่าตาลุงนี่กำลังหาเรื่องสานสัมพันธ์กับเพื่อน เก่าเธออยู่แหงๆ
“อ่า ผมก็ไม่รู้จะช่วยได้มั้ย แต่จะพยายามละกันครับ” นูริบอก คำพูดดูน่าจะพึ่งได้ แต่ท่าทางเหลาะแหละดูไม่น่าเชื่อถืออย่างรุนแรง
...ลาก่อน เกาะปังย่าอันเป็นที่รักของดิฉัน...
คาร์ดี้พูดในใจน้ำตาคลอเบ้า เกิดมาเพิ่งจะเข้าใจคำว่าปลงชีวิตก็วันนี้นี่แหละ
เนื่องจากมืดแล้วเซซิเลียจึงชวนให้อยู่รับประทานอาหาร และค้างแรมที่เรือของเธอก่อน ซึ่งคาร์ดี้ก็เห็นด้วย โลโล่กับคุม่าขอแยกตัวกลับหมู่บ้านลิเบอร์ร่าไปก่อนแล้ว พร้อมรายการของที่มินตี้ต้องการใช้ ส่วนพิพพินก็หายตัวไปส่งข่าวให้มินตี้รู้
ภาพการรับประทานอาหารเย็นที่ดำเนินไปอย่างครึกครื้น ถูกจับตามองผ่านกล้องส่องทางไกลแบบโบราณอย่างไม่วางตา
“คุณพ่อ หนูจะต้องล้างแค้นให้คุณพ่อให้ได้”
คืนนั้นทุกคนต่างนอนหลับฝันหวานโดยไม่รู้เลยว่ามหันตภัยจากโพ้นทะเลกำลังจะมาเยือน
End of Hole 2
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น