ตอนที่ 2 : คนที่รัก
บทที่ 2
คนที่รัก
ฉึบ ๆ ตึก ๆ
เสียงหั่นผักดังเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ภายในห้องครัวของบ้านหลังใหญ่ มีคนสามสี่คนกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมมื้อค่ำที่จะมีแขกคนสำคัญมาร่วม ซึ่งเป็นปกติธรรมดาของเจ้าของบ้านที่จะมีเพื่อน ๆในวงสังคม เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ หรือเพื่อนทางธุรกิจของเจ้าของบ้านมาเยี่ยมเยียนในวันสุดสัปดาห์เสมอ ๆ
“เฮ้ออ คุณท่านนี่ช่างเป็นคนที่มีเพื่อนมากจริง ๆ เลยนะป้า มากันแต่ละคนแต่ละท่าน ต้อนรับไม่หวาดไม่ไหว” สาวใช้นามเข็มหอมบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังนัก ในขณะที่ต้นสนกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการแกะเปลือกกุ้ง
“ทำไปเถอะเข็มเอ้ย! คุณท่านนะ มีทั้งพระเดชพระคุณ คนนับถือท่านก็มาก เพื่อนท่านก็ต้องมากเป็นธรรมดา อีกอย่าง...คุณท่านน่ะอยู่คนเดียว เฮ้อออ...ว่าแล้วก็คิดถึง”
“คิดถึงใครอ่ะ ป้าแหวน” เข็มหอมถามออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เออ...นั่นสินะ เอ็งพึ่งมาอยู่ที่นี่ได้แค่ปีเดียว” คนสูงวัยทำท่าพูดต่อ ชำเลืองมองคนที่ยืนแกะกุ้งอยู่ที่ซิงก์ล้างจาน พลางค่อย ๆ เบาเสียงเล่าลง
“ก็ลูกท่านนะซี้...ในรูปที่อยู่บนชั้นสองนั่นไง ลูกชายสองคน ตอนนี้เหลือคนเดียว...คนเล็กนะ แล้วก็หลานท่าน...จากลูกชายคนโต”
เข็มหอมทำตาลุกวาวทันที “ลูกชายคุณท่านเหรอ หนูขึ้นไปทำความสะอาดห้องคุณท่านบ่อย ๆ ได้ดูรูปอยู่เหมือนกัน แต่เพิ่งมีโอกาสถามว่าใครเป็นใคร”
“อย่าทำทะลึ่งเชียว นังดอกเข็ม! ลูกท่าน ท่านหวงมาก คนอย่างเอ็งไม่คู่ควรหรอกเว้ย!” คนแก่กว่าว่าอย่างรู้ทัน
“เข็มหอมจ้ะป้า! โธ่ ๆ ฉันยังไม่ทันคิดอะไรซักกะหน่อย เห็นอย่างงี้...ฉันก็มีผั...เอ่อ...แฟนแล้วนะป้า แต่ไม่ค่อยเล่าให้ใครฟังเฉย ๆ แต่คนหล่อ มันก็ต้องมีมอง ๆ กันบ้างแหละ ว่าแต่ลูกท่านหลานเธอทั้งหลายเนี่ยชื่ออะไรบ้างนะ ไปอยู่ไหนกัน มีครอบครัวกันหมดแล้วเหรอ เลยแยกย้ายกันไปที่อื่นกันหมด ?”
“ลูกท่าน คนโต...เอ่อ...ท่านเสียแล้ว อย่าไปพูดถึงเลย” ว่าพลางเหลือบมองไปยังคนที่ทำท่าแกะกุ้งอยู่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จ “คนเล็กนะ ไปอยู่ที่...เอ่อ อะ อะไรซักอย่าง ข้าก็จำไม่ได้ ก็เมืองนอกนั่นล่ะ...ชื่อคุณติ ติยศ ไปอยู่กับหลานที่เกิดจากพี่ชายคนโต ชื่อคุณไว ชื่อเต็มว่าไววิทย์น่ะ”
“คุณท่านนะ ไม่ค่อยให้พวกคุณ ๆ กลับมา ท่านจะบินไปหาถึงที่แทน พวกเราเลยไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเลย”
“อ๋ออ...งั้นคุณท่านก็คงเหงาแย่เลยนะซิ แต่คุณท่านคงไม่ย้ายตามลูกหลานไปอยู่เมืองนอกหรอกนะ...มีหวังชั้นกับป้าตกงานกันพอดี”
“เฮ้อ นังนี่หนิ ปากเสีย ไป! เอาจักรยานไปซื้อซอสพริกให้ข้าหน่อย มันหมด ข้าเพิ่งนึกได้”
“จ้า ๆ สน ไปกับพี่เปล่า ไอ้หมู วินหน้าปากซอยมันถามหาสนแน่ะ!”
“...”
“สน...”
“สนโว้ย!”
“ฮะ! พี่เข็ม...วะ...ว่าอะไรนะ สนไม่ทันฟัง” ‘คิดถึงจัง’
“พี่บอกว่าไปซื้อของกับพี่มั้ย ? จะได้แวะไปหาไอ้หมูมัน มันต้องคิดถึงสนแน่เลย คนสวยอย่างเรา ๆ ไปให้ท่าพวกผู้ชายนิด ๆ หน่อย ๆ ไปพอให้เห็นหน้า นาน ๆ เห็นซักที ไม่ใช่เก็บตัวไม่ให้เจอเลย...ขี้คร้านนน จะทุรนทุราย เช้าถึงเย็นถึ...ง อะ โอ้ย! ป้าแหวน ทำไรเนี่ย!” เข็มร้องโอดโอยเมื่อคะน้าเต็มกำลอยมากระทบกลางหัว
“ก็มึงนี่นะ อีเข็ม แนะนำอะไรน้องนุ่ง เงียบปากแล้วไปคนเดียวมึงนั่นแหละ สน ไม่ต้องไปนะ ช่วยป้าทางนี้”
“ครับ” ‘คิดถึงใจจะขาด...เมื่อไหร่...’ “พี่เข็มไปเถอะครับ สนยังทำตรงนี้ไม่เสร็จ...ขี่จักรยานระวัง ๆ นะครับ”
“จ้า ๆ บอกอะไรถึงไอ้หมูมันมั้ย ว่าไง...อะ...ป้า!” ร้องตกใจพลางวิ่งเผ่นไปข้างนอกอย่างไว เมื่อคนสูงวัยทำท่ายกเท้าขึ้นมาเตรียมยันโครมเข้าให้
“อีนี่! สน อย่าไปเล่นกับมันเชียวนะลูก...ไอ้หมูน่ะ มันเล่นยารึเปล่าก็ไม่รู้ ชิชะ! อีเข็มนี่ก็อีกคน ทำเป็นแม่สื่อแม่ชัก ต้นสนของป้าต้องหาได้ดีกว่านี้เยอะ อย่าเพิ่งรีบเลยนะลูก เรายังเด็ก” ป้าแหวนนั้นแสนจะเวทนาสงสารต้นสนเป็นที่สุด เด็กคนนี้เป็นเด็กดี สักวัน...คงจะได้ดีมีสุข
“ครับป้า พี่เข็มเค้าคงแค่ล้อเล่น” ‘เมื่อไหร่...จะได้เจอ...จะได้เจอมั้ย’
“สน...เป็นอะไรรึเปล่าลูก ตั้งแต่กลับมาจากมหาลัย สนดู...เงียบ ๆ ไปนะ” ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย ปกติ เด็กคนนี้แม้จะพูดน้อยแต่ก็ออกลักษณะคนเรียบร้อยมากกว่า ไม่ใช่คนเงียบขรึมแบบนี้ “หรือกลัวคุณท่าน ?...อย่าถือสาท่านเลยนะลูก อะไรทนได้ก็ทนไปนะลูก ถ้าเสียใจมาก ป้าพร้อมจะรับฟังนะ”
“เปล่าครับป้า...คือสน...เครียด ๆ เรื่องเรียนนิดหน่อยนะครับ จะเปิดแล้ว” ‘ขอโทษนะครับที่สนโกหก ป้าแหวน’
“ถ้างั้น...ก็แล้วไป ไอ้ป้าเองก็ไม่เคยเรียนถึงมหาลัย แต่ยังไงก็อย่าเครียดมาก สนยังต้องเรียนอีกหลายปีนี่ ใช่มั้ย ?”
“ครับ อีกประมาณสองปีกว่า สนเพิ่งขึ้นปีสอง”
‘จะได้อยู่ด้วยกันอีกไหม...ต้นหม่อน’
******************************************************************************
“25 บาท จ้า”
“นี่ค่ะพี่แก้ว” เสียงการแลกเปลี่ยนซื้อขายชานมเย็นระหว่างแม่ค้าหน้าสวยอายุสามสิบต้น ๆ กับลูกค้านักศึกษาสาวน้อยที่เป็นลูกค้าประจำดังขึ้นขัดความละเมอใจลอยของต้นสนได้ชะงัดนัก
“สน ไม่เอาหน่อยเหรอ ?” บุ้งถามพลางยื่นแก้วชานมเย็นมาทางสนหวังให้ลองชิม เผื่อติดใจอยากสั่งตามอีกสักแก้ว
“ไม่เอาอะ อิ่ม ๆ อยู่ แกกินเถอะ...ไว้คราวหน้านะครับพี่แก้ว” บอกปฏิเสธเพื่อนพลางหันไปสนทนากับแม่ค้าคนสวยด้วยมิตรไมตรี
“จ้า ๆ ไม่เป็นไร ๆ วันนี้มาทำไรกันเหรอ ? มหาลัยยังไม่เปิดนี่...เฮ้ออออ ว่าแล้วก็เซ็ง ปิดเทอมทีไร ขายไม่ดีเลย ไม่มีลูกค้า”
“มาเตรียมกิจกรรมรับน้องนะครับ อีกประมาณสามสี่วันก็จะจัดกันแล้ว”
“อ๋อ มิน่าละ มีเสียงเพลงเสียงกลองดังเชียว คงสนุกน่าดู” แม่ค้าคนงามว่าพลางทำท่าชะเง้อคอมองไปทางในมหาวิทยาลัย
“ไปนะครับพี่แก้ว เย็น ๆ ถ้าพี่ยังไม่กลับ สนจะมาสั่งชาเขียวมัดใส่ถุงกลับไปกินที่บ้านนะครับ...ปะ ไอ้บุ้ง”
“ไปนะจ๊ะพี่แก้วคนสวย”
“จ้า ไปเถอะ ๆ”
ต้นสนกับบุ้งเดินไปเรื่อย ๆ ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยไปจนถึงจุดรอรถประจำทางของมหาวิทยาลัยที่มีไว้บริการนักศึกษาฟรี
“เดินหรือรอรถ ?” บุ้งถามเพื่อนพลางซู้ดน้ำหวานในมือเสียงดัง
“รอเหอะ ไม่รีบอะไรหนิ” ‘ไม่อยากผ่านคณะวิศวะเลย...ทำไงดี จะยังอยู่รึเปล่านะ ?’
“เออดี ฉัน ขอกอ มาก ๆ ร้อนด้วย...เออสน วันนั้นแกกลับกี่โมงเหรอ ?”
“...เอ่อ ก็หลังแกกลับก่อนแปบเดียวแหละ ไม่น่าเกินเที่ยงคืนนะ” ‘จะบอกความจริงได้ไง...เรื่องคืนนั้น กว่าจะถึงบ้านก็ปาไปตีสอง แล้วก็...ฉิบหา-!!!แล้ว บอร์ด!!!’
“เป็นไร ทำหน้าตกใจอย่างกะปวดขี้กะทันหันงั้นแหละ” บุ้งว่าขึ้นอย่างหยอกล้อ
“..เอ่อ...ฉัน...เปล่า ไม่มีอะไร เฮ้ย! ไปเหอะ รถมาแล้ว ๆ” ‘แย่ แย่แน่ ๆ จีจี้คงหาเรื่องเราอีกแน่ ๆ ไม่อยากยุ่งกับคนแบบนั้นเลย ไม่รู้เกลียดอะไรเรานักหนา ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว...แต่ถ้าให้เลือกระหว่างไปเอาบอร์ดให้จีจี้กับโดน...โดนแบบคืนนั้นกับเจอ...เลือกทางจีจี้ดีกว่า...ก็นะ คงดีกว่าแหละ...’
“...?!...” ‘อะไร!!!’
“กรี้ดดด ๆ! หนุ่มวิศวะ หล่ออะแก” อยู่ ๆ บุ้งก็ร้องกรี้ดกร้าดออกมาจนทำให้คนนั่งข้าง ๆ ตกใจ
“ไอ้บ้านี่...คนเค้าตกใจหมด ร้องมาได้ไม่มีปี่มีขลุ่ย”
“ก็แกดูดิ คนนั้น ๆ โห่...เลยไปแล้ว ลุงขับช้าหน่อยก็ไม่ได้ อีสน แกก็ตาช้า...อดเลย อดเล็งผู้กับฉันเลยเห็นมะ”
“เออ ช่างเหอะน่า ที่คณะก็มีนะหล่อ ๆ ค่อยไปส่องที่นั่นก็ไม่เสียหาย” ‘ใครจะไปกล้าดูให้เต็มตะ...!!!...’
“ก็มันเห็นเบื่อแล้วไงวะ ต้องวิศวะซิถึงจะคู่ควรกับสาวงามแห่งคณะมนุษย์อย่างฉัน...อ้าว...เงียบไปเลย...สน...ไอ้สน มองไรอ่ะ ?”
“ไม่มีอะไร ๆ แค่...” เพียงชั่วขณะที่ปรายตาไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า ความรู้สึกขนลุกบางอย่างที่ต้นสนคุ้นเคยดีก็พุ่งเข้ามาจู่โจมทันควัน ‘แค่ผู้หญิงที่นั่งหน้าพวกเรา...เค้า...’
‘คราวนี้ตามมา...ใกล้เกินไปแล้ว’
******************************************************************************
“...แปลก ?...”
“...?...”
‘ทำไมไม่เห็นพูดอะไรเลย...แถมยัง...หันมายิ้มให้ด้วย ?’
“อะไร ไอ้สน อะไรแคบ ๆ นะ” บุ้งหันมาถามเพื่อนชายตัวเล็กที่วันนี้ทำตัวหลุดบ่อย ๆ พอถามก็บอกไม่มีอะไร ๆ อยู่นั่นแหละ...
‘บุ้ง...หูแกนี่มัน’ ทำหน้าเอือมระอาใส่เพื่อนสาวที่อยากรู้อยากเห็น ช่างจับสังเกตเหลือเกินแต่หูค่อนข้างจะฟังอะไรไม่ค่อยได้ศัพท์
“แกดูดิ จีจี้เหมือนจะยิ้มให้ฉัน...เฮ้ยเดินมาทางนี้แล้ว!?” ประโยคหลังพูดเสียงค่อยลง เมื่อคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาเดินใกล้เข้ามาทางที่ตนยืนอยู่
‘ยิ้มให้จริงด้วย’
“สน วันนั้นกลับก่อนเหรอ ? สนอ่ะ กลับไม่บอกจี้ ทุกคนเป็นห่วงรู้มั้ย”
‘จะมาไม้ไหน’ “เอ่อ...ก็...คือ เราขอโทษนะที่...”
“ขอท่งขอโทษอะไรกันเล่า! จี้แค่เป็นห่วง...ที่จริงเป็นความผิดจี้มากกว่า ไม่น่าให้สนไปเอาบอร์ดในที่มืด ๆ คนเดียวเลย...จี้ขอโทษนะ” ว่าพลางทำหน้าตาที่ก็ ‘น่ารักละมั้ง’ ส่งมาให้
“ใช่ ๆ จี้ละก้อออ ไม่น่าใช้ต้นสนเลย...แค่จี้บอกกับ...คิก ๆๆ” ‘นี่แสดงละครอะไรกันอยู่เหรอ ?’ ต้นสนคิดในใจพลางมองท่าทางของจีจี้และเพื่อนลูกคู่ ที่ความจริงก็รู้จักชื่อ แต่ท่าทางของเจ้าหล่อนคงมีค่าแค่เป็นลูกคู่ของแม่นางเอกคนสวยจีจี้เท่านั้น เจ้าหล่อนทำท่าทำทางกระบิดกระบวน มองไปทางจีจี้อย่างล้อ ๆ พลางหัวเราะคิกคักอย่างมีเลศนัย
“บ้า!...แพรไหมละก้ออ คิก ๆ...เอ่อ สน วันนั้นสนโชคดีจังเลย...พี่เสกข์...กับเพื่อน ๆ ของเค้า คงอาสาช่วยถือบอร์ดมาให้ที่คณะใช่มั้ยจ๊ะ ?” ถามแล้วก็ก้มหน้าลงอย่างน่ารักซ่อนรอยยิ้มเขินอาย
“ห๊ะ!?” ‘คนพวกนั้น...มาที่นี่เหรอ...มาได้ไง ?’
“นี่ ๆ สนรู้ปะ สนน่ะเป็นกามเทพเลยนะ...พี่เสกข์คนหล่อ เรียนอยู่วิศวะฯ ไฟฟ้า เค้ามาที่คณะเรา แถมเอาบอร์ดมาให้ด้วย แล้วก็ถาม...ใครเป็นผู้นำจัดกิจกรรม พอยัยจี้เดินมาหาเท่านั้นแหละ...อ้ายยยย! พี่เค้าชะงักไปเลย ท่าทางจะตกหลุมรักยัยจี้ คิก ๆ” ‘เล่าจบหรือยัง ? ต้องการอะไรจากเรา’
“บ้าน่า! พี่เค้าก็แค่ช่วย...ตามประสารุ่นพี่เท่านั้นแหละ...” ปากพูดอย่างนั้นแต่ท่าทางมั่นใจไปแล้วเกินร้อยว่าชายหนุ่มนี่ถูกกล่าวถึงมีใจให้ตนแน่นอน
“ตัวโสดไม่ได้นานหรอก...ยัยจี้ พี่เค้าให้เบอร์มาด้วยนี่ แถมยังบอกอีกว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยก็โทรมาได้ น่าอิจฉาอะ!...ต้นสนว่าป่ะ ?” ว่าพลางปรายตามาทางต้นสน ดวงตาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกคู่ตัวสำคัญมีแววเยาะเย้ยอวดเบ่งแทนเพื่อน
‘แล้วเกี่ยวอะไรกับเรา...ที่พล่ามมาทั้งหมดนี่ ?’ “อะ...อืม ยินดีด้วยนะจีจี้” ‘แค่นี้ใช่มั้ย...ที่ต้องการจากเรา’
“ยินดีอะไรเล่า! สนละก็ ยังไม่มีอะไรสักกะหน่อย อีกอย่าง...เราไม่อยากเป็นพวกคิดไปเองคนเดียว...แบบ คิดว่าเค้าสนใจ จนหลงระเริงคิดว่าตัวสำคัญ...อย่างใครบางคนแถวนี้ จี้คิดว่ามัน...น่าสมเพชชะมัดเลย คิก ๆๆ” แววตาสาสมใจปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด
‘ใครบางคนแถวนี้...ผมเหรอ ทำไมไม่พูดมาตรง ๆ ที่พูดมาทั้งหมด...ที่พล่ามมาทั้งหมด จะด่ากันนี่เอง ?’
“เหรอ...นั่นสิ ดีแล้วล่ะที่จี้คิดแบบนั้น เอ่อ...บุ้งไปนู่นแล้ว งั้นเราไปหาบุ้งก่อนนะ จี้มีอะไรจะให้ทำอีกบอกได้เลยนะ”
“ตอนนี้ยังหรอก สนไปเถอะจ๊ะ” รอยยิ้มสวยหวานส่งมาตบท้ายบทสนทนาอย่างแสดงให้เห็นถึงความมีมิตรไมตรี
‘คนพวกนั้น...รู้...’
‘รู้ได้ยังไงว่าเราอยู่คณะนี้’
‘น่ากลัว...คนพวกนี้น่ากลัว...’
‘จะมาตามเรารึเปล่า ? สงสัยต้องระวังตัวแล้ว’
‘แต่คณะนั้น...อยู่ใกล้แค่นี้เอง...มันคงไม่บังเอิญ...ไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกนะ’
‘ไม่หรอก...ไม่บังเอิญเลย’
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
