ตอนที่ 18 : คนเตือนความจำ
บทที่ 18
คนเตือนความจำ
ภายในรถหรูที่ขับไปอย่างเรียบเรื่อย ทั้งคนขับและคนที่นั่งมาด้วย...ไม่มีใครปริปากพูดอะไรกันเลยตลอดทาง
แต่คนขับเหมือนจะทนไม่ไหว เอ่ยปากพูดกับคนที่นั่งข้าง ๆ ออกมาก่อน
“สน...สนครับ ไหวหรือเปล่า พี่บอกให้นอนพักก็ไม่ยอม” ปากถามมือไม้ก็เอื้อมมาลูบมาโลมตั้งแต่ใบหน้าจนทั่วแขนขาเพื่อสำรวจอุณหภูมิ...การจับเนื้อต้องตัวเป็นไปอย่างถือสิทธิ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยว่าล่วงล้ำมาแล้วทั้งตัว...
ต้นสนไม่ตอบอะไรกลับไป ใบหน้าพิงซบอยู่กับเบาะอย่างหมดเรี่ยวแรง ฤทธิ์ยาหมดไปตั้งแต่สองชั่วโมงแรก...แต่ตอนมีสติขึ้นเต็มร้อย ก็ยังถูกพี่ชายข้าง ๆ รุกรานไม่ยอมหยุด...
อย่างที่เคยบอกในตอนแรก ต้นสนไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันใครกันแน่ที่ผิด นอกจากผีที่ตามมาอาฆาตตน...แล้วคนพวกนั้นอีก...ทำไมนะ ทำไมถึงทำร้ายกันได้กลางวันแสก ๆ ไม่กลัวบาปกลัวกรรม..
“เหนื่อยเหรอครับ...งั้นนอนหลับไปก่อนนะ ถึงแล้วพี่จะปลุก..” เมื่อเห็นว่าคนข้าง ๆ ไม่ยอมตอบคล้ายกับว่าไม่อยากให้ยุ่งกับโลกส่วนตัวเท่าใดนักจึงยอมล่าถอยออกมาก่อน แล้วเอ่ยตัดบทอย่างเอาอกเอาใจ หันมาตั้งใจขับรถมุ่งสู่มหาวิทยาลัยอย่างช้า ๆ...
ผู้ชายคนนี้ละ...พี่เสกข์ คนคนนี้ถือว่าทำร้ายเราด้วยหรือเปล่า ? คำถามดังขึ้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ข้างในใจของคนที่นั่งนิ่งเฉย...เราต้องทำยังไง ต้องโกรธไหม ? ต้องเกลียด...
ต้นสนชะงักในใจ เกลียดเหรอ...ที่มั่นใจอยู่สิ่งหนึ่งคือ ไม่ได้เกลียด...แต่มันมีความรู้สึกที่ว่าเข้าหน้าไม่ติด ไม่อยากพบหน้า...ไม่อยากพูดด้วย มันชา...มันชาไปหมด...
เสกข์เหลือบมองคนที่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ ที่ตอนนี้นอนพิงกระจกไปแล้ว จึงค่อย ๆ ชะลอรถจอดข้างทาง ควานหาผ้าจากหลังรถมาพับให้หนาแล้วรองศีรษะกันกระแทก
“พี่ไม่ใช่คนดี...” กระซิบกับคนนอนหมดแรงเบา ๆ ดูเหมือนตอนนี้ ต้นสนจะมีไข้ขึ้นมาแล้ว...
ทุกอย่างอาจเป็นเพราะคนชั่วนั่นมันเริ่มก่อ...แต่คนที่ได้สานต่อก็คือเสกข์ เรื่องหลังจากนั้นเสกข์รู้ตัวดี ตั้งใจทำทุกอย่าง...มีอย่างหนึ่งที่ต้นสนต้องรู้ไว้คือ เสกข์ไม่ใช่คนดี เป็นคนฉวยโอกาส...และหลังจากนี้มันจะไม่มีคำว่าต้องห่างกันอีก
ตอนนี้ต้นสนไม่อาจไม่ยอมรับสถานะที่เปลี่ยนไปนี้...เสกข์ถือว่ามีสิทธิ์เต็มที่ ทางร่างกายเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ทางหัวใจก็เป็นอีกเรื่อง...
หลังจากที่ผ่านบทรักด้วยกันมาครั้งแล้วครั้งเล่า...คนตัวเล็กที่หมดแรงมานานได้แต่นอนตาปรือฉ่ำน้ำ สติแทบขาดดับได้ทุกเมื่อ ในขณะที่คนตัวใหญ่ยังคงเฝ้าตักตวงอยู่เรื่อย ๆ
ขณะที่นอนแนบแอบอิงกันอยู่นั้น คนที่นอนหมดแรงอยู่ในอ้อมกอดที่อุ่นจนร้อนก็สะดุ้งสุดตัว ผลักคนที่กกกอดออกอย่างสุดแรง แล้วฝืนลุกขึ้นโดยไม่บอกกล่าวอะไร เสกข์ต้องทั้งปลอบทั้งขู่อยู่นานกว่าคนตัวเล็กจะปริปากพูดด้วย...
“ผมต้องรีบกลับ...คนที่บ้านจะรอ..”
เสกข์เกลี้ยกล่อมอยู่นานคนตัวเล็กก็ไม่ยอมอ่อนข้อ บอกว่าจะกลับท่าเดียว สุดท้ายก็ยอมใจอ่อนพามาส่งทั้ง ๆ ที่ก็เกือบจะห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว...
คนอ่อนแรงค่อยสงบลงยอมให้คนที่รังแกตัวเองช้อนอุ้มไปอาบน้ำอาบท่า...ทุกซอกทุกมุมถูกผู้ชายอีกคนขัดถูอย่างจาบจ้วงแต่ไม่มีแรงห้ามปรามอะไร...
กว่าทั้งสองจะมาถึงมหาวิทยาลัยก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ผู้คนก็มีบางตาลงมาก...
เสกข์จอดรถลงที่ข้างหน้าคณะมนุษยศาสตร์ มองคนที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทรา...เอื้อมมือไปแตะตัวก็พบว่าร้อนมาก ๆ จึงเผยสีหน้ากังวลออกมา
“สน...สนครับ ได้ยินพี่ไหม..”
คนที่ถูกพิษไข้ห้อมล้อมสติ ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ คอฝืดเฝื่อนและเจ็บปวดเป็นที่สุด แต่ก็ค่อย ๆ ฝืนเปิดประตูรถออกไปเมื่อเหลือบเห็นแล้วว่าลุงสันต์จอดรถรออยู่...
“เดี๋ยว...จะไม่พูดกับพี่หน่อยเหรอ โกรธพี่...เกลียดพี่ไปแล้วเหรอ..”
“ผมจะกลับ...ปล่อย..”
ต้นสนไม่อยากคิดอะไรแล้วตอนนี้...เพียงแค่อยากล้มตัวลงนอนนิ่ง ๆ ไม่อยากทำอะไรแล้วจริง ๆ แม้แต่เรื่องของคนตรงหน้า...
ลุงสันต์เดินตรงมาเมื่อเห็นต้นสนเปิดประตูทำท่าจะลงจากรถ...แต่ดูเหมือนผู้ชายอีกคนจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง...จึงเดินตรงไปอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เสียงเคาะกระจกสองสามทีดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ทั้งสองหยุดยื้อยุดกัน ต้นสนฉวยโอกาสนั้นรีบลงจากรถลงมายืนข้างลุงสันต์...ส่วนคนบนรถเพียงแค่ยกมือไหว้คนสูงอายุที่มองมาอย่างไม่ไว้ใจ เสกข์เห็นว่ามีคนนอกมายุ่งเกี่ยวเสียแล้วเลยตัดสินใจยอมเลิกราแต่เพียงเท่านี้ แล้วค่อย ๆ ขับรถจากไป...
“สน เขาทำอะไรสนหรือเปล่า...สนดูท่าทางไม่ดีเลยลูก...” ลุงสันต์สังเกตเห็นท่าทางของคนที่นับเป็นลูกหลานดูหมดเรี่ยวหมดแรง หน้าตาก็ดูซีดเซียวไม่สบายอย่างชัดเจน..
“ผม...แค่ไม่สบายนะครับ เขาไม่ได้ทำอะไร” ต้นสนไม่กล้าบอก ให้ตายอย่างไรก็ไม่กล้าบอก
“แต่สนดู...”
“เรารีบกลับกันเถอะครับ...ลุงรอนานหรือยัง ขอโทษที่ผมมาช้า..” รีบกล่าวตัดบทเพราะไม่อยากอธิบายอะไร ยิ่งพูดอะไรออกไปตอนนี้ก็มีแต่เรื่องที่โกหก ต้นสนรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองมีแต่เรื่องยุ่ง ๆ แถมยังโกหกอยู่บ่อย ๆ จนกลายเป็นคนเลว ๆ คนหนึ่งชอบกล..
“ไม่นานหรอกลูก เรากลับกันเถอะ” เหมือนคนสูงวัยจะสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจบางอย่างจากเด็กหนุ่มจึงยอมตามใจไม่คาดคั้นอะไรอีก...
พอขึ้นมาบนรถ...ต้นสนโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยเพราะว่าไม่มีเจ้านายอีกคน...คุณติ มาคอยจ้องจับผิดอะไร ไม่งั้นวันนี้ ต้นสนต้องแย่แน่ ๆ
พอขึ้นมาบนรถ ต้นสนก็วูบหลับไปทันทีด้วยความเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบางอย่างที่ผ่านพ้นไปไม่นานและฤทธิ์ไข้ที่เริ่มรุมเร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ทันได้ฟังว่าผู้เป็นลุงชวนพูดคุยว่าอะไรอีกต่อไป..
******************************************************************************
พอกลับถึงบ้าน ต้นสนยืนยันกับลุงสันต์และป้าแหวนอย่างแข็งขันว่าไม่ไปโรงพยาบาล ลุงกับป้ารบเร้าอยู่นานจนต้องยอมแพ้ หาน้ำหายาให้เสร็จสรรพ เช็ดเนื้อเช็ดตัวจึงได้ปล่อยให้เด็กหนุ่มพักผ่อน...
ต้นสนนอนฝันร้าย...ฝันเห็นตึกวิศวกรรมศาสตร์ ที่มีผู้หญิงน่ากลัวคนนั้นอยู่
ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่เดิม...ในฝันนั้นเธอสวยมาก แต่ต้นสนก็รู้โดยทันทีว่าเธอเป็นคนคนเดียวกับที่ตามรังควาญต้นสนมาโดยตลอด ผีตนนั้น...ที่มีใบหน้าที่หน้ากลัว เมื่อตอนมีชีวิต...เป็นคนที่สวยมาก ๆ
ผู้หญิงคนนั้นยืนหันหน้าออกมามองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ยืนยิ้มอย่างมีความสุข ทันใดนั้น...ก็มีแขนของใครบางคน เป็นแขนของผู้ชาย...ต้นสนเห็นไม่ชัด เห็นแต่เพียงแขนที่ดูก็รู้ว่าเป็นแขนของผู้ชายคนหนึ่ง...เอื้อมมาโอบกอดหญิงสาวคนนั้นจากทางด้านหลัง เธอคนนั้นทำท่าเอียงอายแต่ก็ยอมยืนนิ่ง ๆ ให้อีกฝ่ายกกกอด
แต่แล้ว การกกกอดกันอย่างโรแมนติกอบอุ่นก็กลายเป็น...ฉากร่วมเพศที่น่าไม่อาย มือของฝ่ายชายที่เกาะเกี่ยวที่เอวค่อย ๆ เลื่อนขึ้นสูง...เคล้นคลึงอกเต่งตึงภายใต้เสื้อนักศึกษา ฝ่ายหญิงสาวสะดุ้งตกใจเพียงเล็กน้อย จากนั้น...ก็มีสีหน้ายินยอม และยินดี
การกระทำหน้าอายไม่หยุดเพียงเท่านั้น...ผู้ชายที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังค่อย ๆ แกะกระดุมเสื้อของหญิงสาวออก ปลดเปลื้องทั้งเสื้อข้างนอกและข้างใน เพื่อสัมผัสกับสัญลักษณ์ความเป็นหญิงโดยตรง...เสียงคราง เสียงบดจูบช่างดังเสียดหู ยังไม่หยุดแค่นั้น...ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังค่อย ๆ ถกกระโปรงนักศึกษาของฝ่ายหญิงขึ้น แล้วสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปในทันที..
ทั้งสองกระแทกกระทั้นกันอยู่ที่ริมหน้าต่างประหนึ่งว่านี่เป็นที่ส่วนตัว จะทำเรื่องอะไร ๆ ก็ไม่เกรงกลัวไม่เกรงใจ...ต้นสนเหมือนถูกบังคับจากสิ่งที่มองไม่เห็นให้หยุดมองกิจกรรมวาบหวามตรงหน้า ใจไม่เกิดอารมณ์ต้องการจากภาพที่เห็น แต่กลับรู้สึกหวาดกลัวและรังเกียจจนแทบอยากอาเจียน...
แต่แล้วภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...ผู้หญิงแสนสวยที่ทำสีหน้าท่าทางสุขสมเสียเต็มประดา...ทำไม ทำไมกลายเป็นต้นสนไปได้!
ต้นสนมองตัวเองถูกชำเราอย่างตกตะลึง...ไม่ คนคนนั้นไม่ใช่เรา! ไม่!
ต้นสนในภาพฝันนั้นยืนเกาะเกี่ยวขอบหน้าต่าง แอ่นร่างกายส่วนล่างให้คนด้านหลังรุกรานอย่างเต็มใจ! เสียงร้องที่แหลมเล็กกลับกลายเป็นเสียงร้องที่คุ้นหู...เพราะมันเป็นเสียงของต้นสนเอง..
“ส...สน...”
“...!!!...”
“แฮ่ก...แฮ่ก...” ต้นสนสะดุ้งตื่นคล้ายว่ามีเสียงคนเรียกชื่อ ความทรมานจากฝันร้ายพาให้หอบหายใจอย่างรุนแรง เหงื่อไหลโทรมกายท่วมไปหมดทั้ง ๆ ที่รู้สึกหนาวสั่น...ความปวดหัวจนแทบตั้งศีรษะไม่ตรงทำให้เจ้าตัวรู้สึกแย่ไปอีก
ซ้ำร้าย...ความรู้สึกอยากอาเจียนก็พุ่งจู่โจมโดยฉับพลัน ต้นสนใช้มือหนึ่งอุดปากไว้เพื่อกลั้นอาเจียน ในขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ กระเสือกกระสนลงจากเตียงเพื่อตรงไปที่ห้องน้ำ
“...!!!?...”
“สน...ต้น...ส...สน..”
“..อ้วก!!! แหวะ...แค่ก...อึก..ฮือ..!”
ต้นสนไม่ทันได้ก้าวขาลงจากเตียง...ความรู้สึกหนาวยะเยือกพุ่งเข้าโจมตีโดยฉับพลัน พร้อมกับการปรากฏขึ้นของเงาคนพร้อมเสียงเรียกชื่อ...ที่ปลายเตียง...
อาเจียนที่พยายามกลั้นไว้อย่างเต็มที่พุ่งออกมาเลอะเต็มเตียง...ต้นสนอาเจียนทุกอย่างออกมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้ ความทุกข์ทรมานทั้งหมดถาโถมเข้ามาจนจิตใจยากรับไหว..
สติของเด็กหนุ่มพลันดับวูบลงไปพร้อมกับอดีตบางอย่าง...ที่ถูกปลุกขึ้นมา..
“กลัวอะไรครับ คนเก่ง หรือห้องมืดไป ถ้างั้น...คืนนี้เราเปิดไฟนอนกันดีมั้ย ?”
“...”
“..................................”
“ทำไมละครับ เปิดไฟไม่ดีเหรอ ไฟสว่าง ๆ...........................”
“ไม่เอาอะ มัน...จะชัดไป หนูเห็นหมดแน่ ๆ”
“เห็นอะไร หืม ? บอกแม่มาสิ ....................................”
“หนูเห็นคน...ปลายเตียงนู่นแน่ะ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สนุกนะคะ ติดตาม เป็นกำลังใจให้ค่ะ ????