ตอนที่ 14 : คนในความลับ
บทที่ 14
คนในความลับ
“เสกข์”
“....”
“เสกข์...?”
“...” ‘เป็นใครกันนะ ?’
“ไอ้เสกข์!!!”
“...!!!...อะไร! ไอ้ห่- ตกใจหมด!”
“เออ!...ไอ้คนขวัญอ่อน กูเรียกอยู่ตั้งนาน แล้วมึงมานั่งทำอะไรที่ตึกสี่นี่วะ ? เราไม่มีเรียนที่นี่นะ...หรือมานั่งเล่น ?” มาร์คถามเพื่อนสนิทที่เดี๋ยวนี้ชอบหายหน้าหายตาเป็นประจำ...อย่างว่าแหละ คนมันมีความรัก ก็ติดว่าที่แฟนเป็นธรรมดา..
“กูมีเรื่องที่ต้องคิด...” ว่าพลางทำหน้าเคร่งเครียดครุ่นคิดอย่างหนัก
“คิดอะไรของมึง ?” ถามเพื่อนอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ...อย่างมันจะคิดเรื่องอะไรได้ ถ้าไม่ใส่เรื่องน้องสนของมัน...
“มึงเชื่อเรื่องผีไหม ?” จู่ ๆ เสกข์ก็ถามเพื่อนออกมา พาให้อีกฝ่ายทำสีหน้างง ๆ
“ห๊ะ!...อะไรวะ ผีอะไร ?” ทั้งกลุ่มที่คบกันมาหลายปีไม่เคยพูดถึงเรื่องแบบนี้กันสักครั้งจึงทำให้มาร์คอดสงสัยเพื่อนไม่ได้...พักนี้ดูแปลก ๆ “เอ่อ...ก็ไม่รู้วะ ถามทำไมวะ ?”
“กูว่ากูเจอ...ที่นี่แหละ...ตึกสี่”
“ห๊ะ...ที่คนเขาเล่า ๆ กันนี่ปะ ? เรื่องที่มีคนตาย..” ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกันหรอกเหรอ ?
“เออ...วันนั้น...” ตัดสินใจเล่าให้เพื่อนฟังถึงเรื่องที่ประสบมากับคนในดวงใจ...โคตรน่ากลัวเลยวันนั้น
“จริงดิ !? เออ แต่ถ้าเป็นแบบที่มึงว่า...มันน่าแปลกจริง ๆ ถ้ามีเอ่อ...อย่างที่มึงเล่า มันก็ต้องมีคนตายจริง ๆ แต่ทำไม ข่าวคราวอะไรไม่มีเลย...แล้วใครเสือกรู้เอามาเล่าต่อ ๆ กันให้คนในคณะฟังวะ ?” มาร์คพูดไปขนลุกไป เชื่อเรื่องที่เพื่อนเล่าอย่างสนิทใจเพราะรู้ว่าเสกข์ไม่ใช่คนพูดเล่น แล้วมันก็ไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้มาก่อน...
“งี้น้องก็มีสัมผัส...ไอ้พวก อะไรแบบนี้อะดิ..”
“ไม่รู้...กูไม่ได้ถามละเอียด ฟังแค่ที่น้องเล่า วันนั้น วันที่เราเจอน้องที่ข้างตึกอะ...”
“เชี่- ไมมึงเล่าเรื่องได้น่าขนลุกขนาดนี้วะ...กูฟังคนอื่นมาจนจะเรียนจบ ยังไม่เท่ามึงเล่าให้ฟังเลย น่ากลัวสั-!”
“เออ...กูอาจมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ก็ได้ ฮ่า ๆ” เสกข์พูดออกมาอย่างผ่อนคลายเมื่อเห็นความขี้กลัวของเพื่อนสนิท “เออ มึงรู้เรื่องแล้วก็ดี...มาช่วยกูสืบ..”
“โห่...ไอ้เหี้- บิ้วอารมณ์กูซะขนาดนี้ ยังมีหน้ามาให้กูสืบ...เห็นถึกแบบนี้ก็กลัวผีเป็นเหมือนกันนะโว้ย...” คนร่างใหญ่ใช้มือไม้ลูบแขนแล้วมองไปรอบบริเวณ เพิ่งจะสังเกตว่าตึกนี้ จริง ๆ แล้วก็น่ากลัวอย่างที่เพื่อนบอกจริง ๆ ยิ่งใกล้เวลาโพล้เพล้...ก็ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่...
“เถอะน่า...ช่วยกู..”
“เออ ๆ...”
******************************************************************************
ช่วงนี้มันถี่ขึ้น...
ต้นสนรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่าง...ที่เคยหายไปนานแล้ว มันกลับมาอีกครั้ง...กลับเข้ามาในชีวิตที่เงียบสงบมานาน...
มันเริ่มจากเช้าวันหนึ่ง เวลาตีห้ากว่า...ภายในครัวที่มืดมิด มีเพียงแสงไฟสลัวจากบริเวณทางเดินส่องลอดเข้ามาภายในห้องครัวที่ยังไม่มีใครเข้ามาใช้งาน...
“ป้าแหวนครับ ? ทำไมไม่เปิดไฟ...” ต้นสนกล่าวทักคนที่ยืนหันหลังอยู่ที่ซิงก์ล้างจานเงียบแล้วหันหลังไปเปิดไฟ...
“...!!!???...” ไม่มี...พอเปิดไฟจนห้องครัวสว่างถ้วนทั่วแล้ว ไม่มีใคร...ยืนอยู่ตรงนั้น..
และหลาย ๆ ครั้ง ต้นสนมักเห็นสิ่งที่...คล้ายว่าเป็นคน พอเผลอเอ่ยทักออกไป...ก็เหมือนจะไม่มีใครอยู่จริง ๆ...
“ไปเรียนเหรอ...” เสียงเรียบเย็นเอ่ยทักจากคนที่อยู่บนรถหรูหรา...
“เอ่อ...ครับ สวัสดีครับ” ยกมือไหว้คนสูงวัยแล้วเตรียมจะเรียกรถเพื่อนั่งไปเรียน...
“ขึ้นมาซิ...เดี๋ยวฉันจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ คุณติไปทำงานเถอะ...” นี่ก็อีกคน...ทำไมมาจุ้นจ้านกับเราแปลก ๆ นะ แถมยังดุอย่างกับพ่อ...คอยจู้จี้อยู่เสมอ ๆ
“ขึ้นมา...โตมาได้อย่างไร ทำไมดื้อนัก...” ลงท้ายด้วยเสียงแผ่วเบาแต่คนถูกว่าก็ได้ยินอยู่ดี...
“ครับ...ขอบคุณครับ” ไม่กล้าปฏิเสธอะไรอีกด้วยกลัวโดนตำหนิ
“ลุงบอกแล้วว่าจะไปส่ง...อย่างนี้ละครับคุณติ ชอบดื้อจะไปเองอยู่เรื่อย..” ประโยคแรกลุงสันต์พูดกับต้นสนแล้วก็หันไปรายงานเจ้านายว่ามีเด็กดื้อชอบทำอะไร ๆ เกินตัวเสมอ
“ก็อย่างนี้แหละครับ...พวกเด็กวัยรุ่น ชอบทำอะไรลับหลัง...กลัวผู้ใหญ่จะรู้...”
โดนตำหนิเรื่องนั้นจนได้...แต่ต้นสนไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่โดนว่าเช่นนี้ กลับรู้สึกละอายที่เผลอทำอะไรแบบนั้น...แล้วมีผู้ใหญ่มาเห็น
เมื่อถึงมหาวิทยาลัย ต้นสนไม่คิดว่าคุณติจะให้ลุงสันต์ขับเข้ามาจอดส่งถึงหน้าคณะ ความไม่คุ้นชินทำให้รู้สึกเก้อกระดาก
และเมื่อเห็นว่าใครมายืนรออยู่ข้างหน้า ความรู้สึกเหมือนเด็กที่โดนจับได้ว่าทำความผิดก็ทำให้ต้นสนไม่อาจยิ้มรับคนที่มายืนคอยแต่เช้าตรู่...
“สวัสดีครับคุณติ...ลุงสันต์”
“เดี๋ยว..” ขณะที่กำลังก้าวขาออกจากรถ ผู้ใหญ่ที่นั่งหน้าดุอยู่ในรถก็เอ่ยรั้งไว้เสียก่อน
“ตอนเย็นให้ลุงสันต์มารับ...”
“เอ่อ...ไม่ดี...” กำลังจะปฏิเสธ คนสั่งก็หันไปหาลุงสันต์ ไม่หันมาสนใจต้นสนอีก
“ลุงสันต์...ทำตามที่ผมสั่งด้วยนะครับ กลับไปผมต้องเห็นเด็กคนนี้มาพร้อมกับลุง..”
“ได้ครับคุณติ”
แล้วคนอย่างผมจะเถียงอะไรได้ละ นอกจากก้มหน้าทำตาม...รู้สึกอึดอัดชอบกล
พอลงจากรถได้ ต้นสนก็ต้องเดินไปหาคนที่มายืนรออยู่แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...คุณติต้องเห็นแล้วแน่เลย...
โดยไม่ทันสังเกต ต้นสนไม่ได้เห็นว่าคนในรถเปิดกระจกลงมา...สายตาจ้องมองมาทางไอ้หนุ่มนักศึกษาที่มายืนรอต้นสน สายตามีแววมองประเมินอย่างชัดเจน..
ตอนแรกเสกข์ทำท่าจะยกมือไหว้เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ใหญ่กว่า...แต่เมื่อเห็นสายตาที่มีแววข่มขู่รู้ทันบางอย่าง มือก็แข็งชะงักไป
รถหรูแล่นออกไปไกลแล้ว ต้นสนจึงหันมาหาคนที่มายืนรออยู่ถึงหน้าคณะ
“พี่...มาหาผมเหรอครับ”
“ครับ...ต้นสน ใครมาส่งเหรอครับ ? วันนี้” กลัวจะเป็นอย่างที่คิดไปไกล ผู้ชายคนนั้นดูเหนือกว่าตนทุกอย่าง...ที่สำคัญคงเป็นพวกทำงานแล้ว มั่นคงกว่ากันเป็นไหน ๆ
“เจ้านายนะครับ...เป็นทางผ่าน เลยให้ติดรถมาด้วย” ต้นสนตอบไปตามความจริง ไม่รู้สักนิดว่ามีคนกำลังหึงหวงตัวเองอยู่...
“อ๋อ...ครับ พี่มาชวนไปทานข้าว ไปนะครับ..” แม้จะคิดมากเรื่องผู้ชายบนรถหรู แต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้มากความเป็นผู้หญิงขี้หึง เสกข์เลือกปัดเรื่องนั้นทิ้งไปก่อนแล้วบอกเจตนาของตนที่มาดักรอแต่เช้าตรู่
“แต่ผมมีเรียนนะครับ...ต้องขึ้นไปเตรียมนำเสนองานด้วย..” คนตัวเล็กทำหน้ารู้สึกผิดสุดหัวใจที่ต้องให้ผู้ชายคนนี้คอยเก้อ
“เอ่อ...เหรอครับ งั้นตั้งใจเรียนนะ..” ว่าออกมาด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ
ต้นสนกลัวว่าผู้ชายคนนี้จะคิดว่าตนไม่อยากใช้เวลาอยู่ด้วย เมื่อนึกได้ว่ามีเวลาว่างกลางวัน...
“พี่เสกข์...ตอนกลางวัน...” คนพูดก้มหน้าก้มตา...แก้มแดงจัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ครับ...” คนรับคำหัวใจพองโตเมื่อเห็นท่าทางเขินอายนั้น...เต็มสองตา
“ตอนกลางวัน...พี่ว่างไหมครับ ?”
หัวใจของคนตัวใหญ่ดังถูกขโมยออกจากทรวง...เมื่อดวงตากลมใสช้อนมองขึ้นสบ พร้อมเอ่ยคำที่ส่อเค้าให้ความหวัง...
“ว่าง...ว่างครับ พี่ว่างทั้งวัน...” ว่างเสียที่ไหน...มีเรียนจนถึงห้าโมงเย็นนู่น...แต่ขอหน่อยเถอะ นาน ๆ ถึงจะมีโอกาสสักที..
“งั้น...เดี๋ยวผมโทรหานะครับ ขอเบอร์พี่หน่อย...”
วันนี้มันเหนือความคาดหมายของรุ่นพี่หนุ่มไปไกลมาก...เช้านี้หลังจากส่งคนที่ตนเองคอยเทียวไล้เทียวขื่อมาตลอดเป็นเวลานาน เสกข์ไม่รู้เลยว่าใบหน้าของตนเองเปื้อนยิ้มแทบตลอดเวลา...
ฉับพลันก็มีเสียงโทรศัพท์ดังมาแทรกห้วงเวลาแห่งความสุข...เสกข์หยิบโทรศัพท์เครื่องแพงขึ้นมาดูหน้าจอ...ไอ้ห่ามาร์ค..
“ไอ้เสกข์...โหล ๆ”
“เออ กูรับแล้ว แต่กูไม่อยากพูดกับมึงเฉย ๆ” ตอบกวน ๆ เพื่อนไปอย่างไม่จริงจังนัก
“ไอ้นี่!...เออ กูมีเรื่องจะบอก...เรื่องนั้นแหละ..”
“มึงรู้แล้วเหรอ ?”
“เออ...น่ากลัวฉิบหา- ไว้เจอกันแล้วกูจะเล่าให้ฟัง”
“เออ ๆ”
******************************************************************************
“จี้!...อ้าว..” คนเรียกต้องทำสีหน้างงงวยเมื่อเพื่อนสาวคนสวยเดินผ่านกลุ่มของพวกเธอไปโดยไม่ทักทาย
“นั่นนางจะไปไหนของนางนะ ? ช่างเถอะ...ทำเป็นหยิ่ง นึกว่าสวยมากละมั้ง คิก ๆ” คนถูกนินทาเดินไปยังไม่ทันถึงไหน กลุ่มเพื่อนที่แสนจริงใจก็เริ่มจับกลุ่มนินทาทันที...มันเป็นแบบนี้มานาน แม้กระทั่งคนที่อยู่ในกลุ่มด้วยกัน หากใครเผลอหันหลังให้แม้เพียงเสี้ยว...รายต่อไปที่จะถูกป้ายสีลับหลังก็คือคนนั้นเอง...
สาวสวยผู้โดดเด่นแห่งคณะมนุษยศาสตร์รีบเดินด้วยความรวดเร็ว...ลืมแม้กระทั่งว่าตนต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีงาม...ยิ้มแย้ม เป็นมิตรกับทุกคน สวยสง่า...
พอเข้ามาในห้องน้ำหญิงซึ่งร้างไร้ผู้คน...จีจี้เดินอย่างรวดเร็ว ไปที่ห้องน้ำห้องในสุด นั่งลง...ซบหน้ากับกระเป๋า แล้วกรีดร้องเสียงดัง...
“อื้อ!!!....”
มือเรียวสวยทุบลงไปอย่างแรงที่ต้นขาของตนเอง
ตุบ! ๆๆ
“กรี๊ด...อีสารเลว ฮือ ๆ มึงกล้าแย่ง...”
“มึงกล้าแย่งคนของกู!!! กรี๊ด!!!...”
เรียนผู้ที่ติดตามอ่านนะคะ
ช่วงนี้ผู้แต่งอาจหายไปหลายวันบ้าง...เนื่องจากมีเรื่องงานและการสอบตลอดช่วงเดือนกันยา – ตุลา และอาจลากยาวไปมากกว่านั้น การลงนิยายจึงอาจล่าช้าหรือหายไปหลายวัน แต่จะพยายามมาลงเรื่อย ๆ เมื่อมีเวลา จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกันนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
