ตอนที่ 1 : บทนำ + บทที่ 1 คนไม่มี
บทนำ
“...แม่จ๋าหนูกลัว...”
“กลัวอะไรครับ คนเก่ง หรือห้องมืดไป ถ้างั้น...คืนนี้เราเปิดไฟนอนกันดีมั้ย ?”
“ไม่เอา...ไม่เด็ด ๆ ขาด ๆ เลยนะแม่จ๋า”
“ฮ่า ๆ ๆ อะไรกันเด็กคนนี้ ต้องพูดว่า ‘ไม่เด็ดขาด’ ต่างหากละลูก”
“ทำไมละครับ เปิดไฟไม่ดีเหรอ ไฟสว่าง ๆ เห็นน้องต่ายของลูกชัด ๆ เลยนะ เด็กดี” คนแม่พูดถึงตุ๊กตากระต่ายขนสีขาวแสนอ่อนนุ่ม ตุ๊กตาแสนรักของลูกชายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยสำหรับนั่งเขียนหนังสือ
“ไม่เอาอะ มัน...จะชัดไป หนูเห็นหมดแน่ ๆ”
“เห็นอะไร หืม ? บอกแม่มาสิ แม่ง่วงจะแย่แล้วนะ...เราต้องรีบนอนนะลูก”
“หนูเห็นคน...ปลายเตียงนู่นแน่ะ” ลูกชายพูดด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา พลางบุ้ยปากน้อย ๆ ไปยังปลายตียงที่มีเพียงความมืดมิด
“...???...”
“แม่จ๋า...ไม่ต้องเปิดไฟนะ กอดหนูแน่น ๆ นะ”
“จ้ะ นอนนะลูก แม่จะกอดหนูแน่น ๆ เลย”
‘อย่าเปิดไฟนะ’ เสียงเตือนเล็ก ๆ ดังขึ้นในใจของเด็กชาย
เด็กชายเชื่อเสียงที่ดังเตือนในใจอย่างยิ่งยวด มันร้องเตือนระวังพาให้หัวใจสั่นอย่างน่าหวาดกลัว จนกระทั่งภายหลังเมื่อเด็กชายโตขึ้นจะได้รู้ว่าเสียงที่ดังเตือนอยู่ในหัวใจมันเรียกว่า ‘สัญชาติญาณ’...เป็นสัญชาติญาณ ที่ทำให้เด็กชายรอดตายมาได้จนถึงทุกวัน จากบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจสัมผัสหรือสังเกตเห็นได้โดยง่าย...แต่ถ้าได้สัมผัส ได้เห็นแล้ว ก็ไม่ง่ายอีกเหมือนกันที่จะเลิกสัมผัสถึงหรือสังเกตเห็น...อาจจะต้องรู้สึกถึงมัน...ไปจนกระทั่ง...ชั่วชีวิต...
บทที่ 1
คนไม่มี
“เดี๋ยวเอาของไปเก็บที่โต๊ะในครัวนะ” เสียงสั่งไม่ดังไม่เบาจากแม่บ้านวัยไม้ใกล้ฝั่ง สั่งคนที่เดินตามอยู่เบื้องหลังตน
“ครับ” สุ้มเสียงอ่อนโยนดังตอบกลับมา
“เอ่อ...ป้าแหวนครับ เย็นนี้สนขออนุญาตไปมหาวิทยาลัยนะครับ พอดีมันมีกิจกรรมที่ต้องไปช่วยเพื่อนทำ” “เป็นกิจกรรมรับน้องนะครับ...ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ต้องรีบเตรียมหน่อย”
“เออ ๆ เอาสิ ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้...แต่อย่ากลับค่ำมืดดึกดื่นนักละ...คุณท่านจะดุเอา”
“เอ่อ...ผมจะพยายามไม่กลับดึกมากนะครับ” คนพูดพูดตอบด้วยสีหน้าแววตาลำบากใจ ‘จะกลับไม่ดึกได้ยังไง กว่าจะถึงมหาลัย กว่าจะได้เริ่มงานกันจริง ๆ จัง ๆ ไม่แคล้ว ไม่ต่ำกว่าเที่ยงคืนแน่ ๆ’
ดูเหมือนผู้สูงวัยจะสัมผัสได้ถึงความลำบากใจของเด็กหนุ่ม “เฮ้อออ...งั้นสนต้องแอบ ๆ หน่อยนะ ป้าจะรอเปิดประตูเล็กให้”
“ขอบคุณนะครับป้าแหวน...อีกหน่อยสนเรียนจบ คงไม่ลำบากป้าแบบนี้” กล่าวด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ‘เพราะตนแท้ ๆ ทำคนแก่ลำบากอยู่เรื่อย’
“เอาเถอะ ๆ ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกลูกเอ้ย” “คุณท่านน่ะ...เคร่งครัด เคร่งระเบียบ แต่ท่านก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอะไร อย่าคิดเป็นอื่นไปเลยนะลูก ทำตามที่ท่านต้องการ สักวัน...ท่านคงจะเอ็นดูสนบ้าง”
“...” ‘นั่นสินะ...สักวัน’
******************************************************************************
‘รีบหน่อย เร็ว ๆๆๆ!!!’ ต้นสนบอกตัวเองในใจ ความรู้สึกว่ามีสีดำกลืนกินพื้นที่เบื้องหลังทำให้คนตัวเล็กรีบเดินจนจะกลายเป็นวิ่ง ‘หน้าต่างบานที่สิบ ชั้นสิบเอ็ด...ของตึกคณะวิศวกรรม...ยังมองมาอยู่เลย’
“สน”
“ต้นสะ...สน” เสียงเรียกเริ่มสั่น
หมับ!!! แรงคว้าที่ไหล่ทำให้เจ้าของไหล่สะดุ้งสุดตัว
“...!!!...”
“ไอ้บ้า ไอ้สน...ฉันเรียกแก วิ่งตามมาตั้งแต่หน้ามอ จนจะถึงคณะอยู่ละ...แฮ่ก ๆๆๆ” คนตัวเล็กผอมบางพูดพลางยืนหอบไปพลาง
“...เอ่อ...บุ้งเองเหรอ โทษทีนะ...ฉัน...มะ ไม่ได้ยินน่ะ”
“เดินเร็วอย่างกะวิ่ง หนีอะไรวะ เจอผีหรือไง...หน้าตาก็ซีดเป็นน้ำซาวข้าวเชียว”
‘ก็หนีผีนะสิ’ “เปล่าเว้ย ก็มันมืด...ใครจะบ้ามาเดินชมวิวอยู่ได้...ไปเหอะ แล้วแกมาไงอะบุ้ง”
“นั่งแท็กซี่มาดิ คิดแพงชิบ! คนที่บ้านก็ไม่มีใครมาส่ง ไม่ห่งไม่ห่วงมันแล้วลูกสาวทั้งคนนะเนี่ย!”
“เออ ๆ ที่บ้านเค้าคงไว้ใจแกนะ ว่าแกนะเก่ง เอาตัวรอดได้” พูดพลางขำให้กับท่าทางของเพื่อนเล็ก ๆ
“แน่นอนยะ ใครอย่ามาแหยมแม่นะ กูเองอีบุ้ง เอาตายค่า ฮ่า ๆๆๆ” โม้จบทั้งสองก็พากันเดินไปคณะด้วยความรู้สึกเบิกบาน
ภายใต้โถงคณะมนุษยศาสตร์ คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาจากสาขาวิชาภาษาอังกฤษกำลังนั่งทำอุปกรณ์สำหรับใช้ในการจัดกิจกรรมรับน้องกันอย่างไม่จริงจังนัก เล่น ๆ ทำ ๆ เดี๋ยวคนนี้หิว เดี๋ยวของไม่ครบ เดี๋ยวนั่นเดี๋ยวนี่ เฮ้ออออ...
‘ให้มันได้อย่างงี้สิ’ “ไอ้บุ้ง ไอ้สร รีบทำส่วนของเราให้เสร็จเหอะ มัวเม้าท์อยู่ได้ ฉันต้องรีบกลับนะเว้ย”
“จ้ะแม่ จ้ะ ๆๆ เดี๋ยวรีบทำนะคะ” แสงสร หรือสรเพื่อนที่คณะของต้นสนรับคำแบบประชดประชันเง้างอน
“สน คนที่แกไปอาศัยอยู่ด้วยเนี่ย เค้าเข้มงวดมากเลยเหรอวะ ฉันเห็นแกกี่ที ไม่เคยได้ไปเที่ยวที่ไหน เลิกเรียนเป็นกลับบ้าน ๆ” บุ้ง หรือสุนิสาถามเพื่อนชายตัวเล็กด้วยความสงสัย
“เอ่อ...ก็ประมาณนั้น” “เอาน่า...ฉันไม่เป็นไรหรอก เราไปอาศัยเค้าอยู่ ทำตามที่เจ้าของบ้านเค้าสั่งให้ทำ มันก็สมควรแล้วนี่ ฉันตัวคนเดียวจะเอาแต่ใจได้ไง”
ท่านกลางความจอแจของโถงตึกคณะมนุษยศาสตร์ ท่ามกลางเพื่อน ๆ ที่นั่งแยกกันเป็นกลุ่ม ‘ตาฝาด...ไม่สิ อย่างเราเคยตาฝาดด้วยเหรอ...’ รีบเสหน้าออกจากกลุ่มเพื่อนที่นั่งเรียงรายกันอยู่อย่างรวดเร็ว
‘หน้าต่างบานที่สิบ ชั้นสิบเอ็ด...ที่ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์...ตามมาเหรอ ?’
‘คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น...ตามเรามาเหรอ ??’
พรึบ!!!
“เฮ้ย!!! ไฟดับเฉยเลยวะ” เสียงใครสักคนตะโกนออกมาท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนของมหาวิทยาลัย
แปร๊บ ๆๆ หลอดไฟทำท่าติด ๆ ดับ ๆ สักพักไฟฟ้าก็กลับมาใช้งานได้เป็นปกติ ทุกอย่างจึงกลับสู่ความสงบเรียบร้อย
“เฮ้อออ นึกว่าจะต้องยกโขยงมากันเสียเที่ยวซะละ ดีนะแค่ไฟตก” เสียงบ่นเบา ๆ ดังมาจากเพื่อนกลุ่มอื่น
‘กลับได้แล้วมั้งเรา จะห้าทุ่มแล้ว’ ต้นสนใคร่ครวญ คิดว่าเหมาะแก่เวลาแล้ว และงานในความรับผิดชอบของตนก็สำเร็จไปได้พอประมาณ เหลือแต่ต้องไปซื้ออุปกรณ์เพิ่มเพื่อทำส่วนอื่น ๆ ต่อไป
“สร บุ้ง กลับเลยปะ”
“เอาดิ แท็กซี่เปล่า ดึกขนาดนี้ หารกันครึ่ง ๆ” บุ้งว่า
“ฉันยังนะ รอกลับพร้อมอีเมย์มัน ติดรถมันมา” สรกล่าวพลางบอกให้เพื่อน ๆ เดินทางกลับดี ๆ “เดินดี ๆ นะเว้ย ทางมันมืด เดี๋ยวฉันเดินไปหาเมย์มันก่อน”
“เออ ๆ ไปนะ เจอกันมะรืน”
ต้นสนกับสรเก็บของพร้อมเตรียมจะกลับบ้าน พลันรู้สึกถึงสายตาอาฆาตไม่เป็นมิตร สายตาจาก...คนสินะ...
“ดูสิ น่าไม่อายเนอะ จี้ว่าปะ” เสียงเล็กหวานแว่วมากระทบหูคนกำลังเตรียมตัวกลับ ทั้งเพื่อนที่กำลังทำงานอยู่บางส่วนก็ชะงัก บางส่วนก็ก้มหน้าทำงานของตนต่อ ‘เอาอีกละ’ ‘เริ่มละไง...กลุ่มยัยจีจี้หาเรื่องสนอีกละซิ’
“นั่นดิ เราเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ยังต้องมาทำงานกลับดึกดื่น นี่อาไร้ ไอ้ที่เป็นผู้ชายกลับทิ้งงาน กลับบ้านสบายไปเลย” อีกเสียงแว่วมาเป็นลูกคู่
“ใช่ จี้ก็ว่างั้นแหละ...จริงมั้ยอะสน นายรีบเหรอ ?” คราวนี้กลุ่มจุดประเด็นเงยหน้ามาสบตาผู้ที่ถูกกล่าวถึงโดยตรง
“เอ่อ...ก็ไม่เชิงหรอก แต่เราเกรงใจที่บ้านน่ะ”
“สนมันต้องรีบกลับ อีกอย่างงานพวกเราก็เสร็จแล้ว ไม่ได้หนี ไม่ได้ทิ้งงานจ้ะ!”
บุ้งกล่าวออกมาฟังดูสุภาพแต่แฝงไว้ด้วยความประชดประชันนิด ๆ ‘นังพวกขี้อิจฉาเอ้ย!!!’
“แหม จี้ก็ไม่ได้มีอะไรสักหน่อยหนิ...บุ้งก็รู้ คณะเรามันผู้ชายน้อยจะตาย ที่มีอยู่...ก็พึ่งอะไรไม่ค่อยจะได้ด้วยซิ” ว่าพลางปรายตามองมาทางต้นสน
“สนต้องรีบกลับนะจี้ ที่บ้านจะว่าเอา แต่ถ้ามีอะไรให้ทำเพิ่ม จี้บอกได้นะ เดี๋ยวเราจะมาทำต่อวันมะรืนที่นัดกัน” ว่าอย่างต้องการประนีประนอมและยอมความ
“ที่บ้านสนเหรอ ? พูดอย่างกะเป็นบ้านตัวเองอย่างนั้นแหละ สนอาศัยเค้าอยู่ไม่ใช่หรอ เอ...ใจดีจังเลยนะ ที่นั่นเค้าคงห่วง ‘คนใช้’ มากเลยละซิ สนนี่น่าอิจฉาจัง เป็นกำพร้าทั้งที ยังมีคนใจดีเลี้ยงดู”
‘จะว่าอะไรก็ว่าไปเถอะ’ “ก็ประมาณนั้นแหละ ถ้าจี้ไม่มีอะไร...สนกลับนะ”
“เดี๋ยวดิสน คงไม่โกรธนะที่จี้พูดนะ ก็ความจริงนี่หน่า”
“นี่! เธอ!” บุ้งว่าคล้ายจะทนไม่ได้
ต้นสนรีบปรามเพื่อนแสนใจร้อนโดยการกระตุกแขนเบา ๆ “ไม่โกรธ ๆ เรากลับนะ เข้าใจเราด้วย ขอโทษที”
“เดี๋ยวสน ก็อย่างที่จี้บอกอะ ว่าคณะเรามีผู้ชายน้อย แล้วผู้ชายคนอื่นก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด”
“แล้วจี้จะให้เราทำอะไรเหรอ” ‘มีเรื่องแน่ ๆ วันนี้จะได้กลับบ้านมั้ยนะ ?’
“สนช่วยไปเอาบอร์ดที่วางไว้หลังตึกสี่ ของวิศวะหน่อยสิ ไม่หนักหรอก เนี่ย...จี้คิดว่าถ้าเราเอาของที่ไม่ใช้แล้วมาใช้อีก ก็จะได้ไม่เปลืองงบไง” ว่าออกมาด้วยท่าทางเหมือนใสซื่อ “อีกอย่าง...ตรงนั้นมันมืด ถ้ามีผู้ชายอาสาไปมันจะดีกว่า สนว่ามั้ยล่ะ ?”
“เราไปเอามาได้เหรอจี้ ? นั่นมันของคณะอื่นนะ” เพื่อนคนหนึ่งถามออกมาอย่างสงสัย
“ได้สิ จี้เป็นประธานสาขานะ จะพลาดได้ไง จี้ไปถามรุ่นพี่มา เค้าบอกปีก่อน ๆ ก็ทำงี้แหละ...สนจ๊ะ ไปหน่อยนะ” จีจี้ว่าพลางทำใบหน้าเว้าวอนอย่างน่าสงสาร
“เอ่อ...ดะ..ได้” ‘ตึกวิศวะเหรอ...’
******************************************************************************
‘เออ ไปเอาก็ไปเอา สน เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน...อะ...อ้าว พี่โทรมา’ บุ้งคงจะโมโหมาก ขึ้นมึงกูเลยทีเดียว
‘โหล พี่มารับเค้าเหรอ ? อะไร มาถึงก็สั่งให้รีบ’
‘เออ รอแปบดิ เค้าต้องไปเอาของก่อน’
‘ไม่นาน ๆ น่า ๆ รอสักครู่ ๆ’
หลังจากวางสายโทรศัพท์จากพี่ชายบุ้งก็หันมาหาต้นสน “รีบเหอะไอ้สน เดี๋ยวอีตอแหล...แค่ก ๆ พูดผิด เดี๋ยวคุณจีจี้เขาจะรอนาน...อีกอย่างพี่ฉันมารอรับอะ กลับด้วยกันนะ”
“ไม่เอาอะ บุ้งไปก่อนเลย ฉันจะไปคนเดียว”
“แกอย่าดื้อน่า ไป ๆ ไปพร้อมกัน”
“ไม่เอา แกไปเหอะ จีจี้ต้องการหาเรื่องชั้น ทำ ๆ ไปเหอะถ้ามันไม่รุนแรงมาก ยิ่งแกมาเอี่ยวด้วยฝ่ายนั้นเค้ายิ่งหมั่นไส้” “อีกอย่างฉันก็เป็นผู้ชาย ไม่มีไรหรอกน่า”
“เออ ๆ กลับก็ได้วะ อุตส่าห์ห่วงใย” ว่าพลางทำท่าสะบัดสะบิ้งแสนงอน
“เจอกันนะบุ้ง”
“จ้า ๆ”
******************************************************************************
“มืดจัง”
“เงียบด้วย” ‘ไม่ใช่ตึกนั้นสินะ ตึกที่เราเห็น...’
ต้นสนก้าวไปอย่างระมัดระวัง แม้บริเวณหน้าตึกจะมีกลุ่มคนประปราย ‘คงจะมาทำกิจกรรมคล้าย ๆ กันซินะ’ การมาเยือนต่างคณะและต้องไปในที่ที่ค่อนข้างถือว่าเป็นส่วนตัวของคณะอื่นทำให้ต้นสนระมัดระวังและไม่ทำตัวเหมือนมีพิรุธมากนัก ‘เอามาได้แน่นะ ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลยจีจี้เนี่ย...ทำไมไม่ให้เอาบอร์ดวันอื่นละ ให้มาเอาตอนกลางคืน...อย่างกับขโมย...’
“ถึงแล้ว ๆ” รำพึงเบา ๆ กับตนเอง ตลอดทางตั้งแต่ข้างตึกมาจนถึงหลังตึกสี่เกือบจะมืดสนิท
“อยู่ไหนละเนี่ย” ค้น ๆ คุ้ย ๆ “มีแต่เก่า ๆ ผุ ๆ ทั้งนั้นเลย จีจี้เค้าจะใช้ทำอะไรนะ ไอ้เราก็ลืมถาม”
เนื่องจากมันมีบอร์ดกองอยู่เป็นจำนวนมากแถมวางซ้อนกันเป็นตั้ง ต้นสนจึงขึ้นไปเหยียบกองบอร์ดที่ตั้งอยู่หวังจะเข้าไปค้นหาด้านใน ‘เผื่อเจออันใหม่ ๆ’
กึก แกรก เปาะ!!!
“เหวอออ!!!” ‘ไอ้สน ตาย ๆๆ’ ทันทีที่ต้นสนขึ้นไปเหยียบกองบอร์ดเต็มน้ำหนักตัว ด้วยความเก่า ความผุหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ บอร์ดที่กองซ้อนกันอยู่พากันหักกลางลงมาทันที!
ตุบ! “โอ๊ะ!” ‘ไม่เจ็บอย่างที่คิดแหะ ฮ่า ๆ’ ต้นสนนั่งขำในความโก๊ะของตัวเอง
ตึก ๆ...
‘เสียง...อะไร...’ ยังไม่ทันที่ต้นสนจะพยุงตัวลุกขึ้น เสียงฝีเท้าไม่หนักไม่เบาดังขึ้นจากทางด้านหลัง ‘เสียงคนหรือ...สะ...เสียง...’
“เฮือก!!!” สัมผัสแผ่วเบาแตะมาที่ไหล่ คนถูกแตะถึงกับสะดุ้งตกใจ
“...”
‘คนเหรอ ???’ ค่อย ๆ หันมาช้า ๆ
“...เอ่อ...” คนหรอกเหรอ มองเห็นหน้าไม่ชัดเพราะความมืด รู้แต่ว่าเป็นผู้ชาย ตัวสูงใหญ่ และมีกลิ่น ?...กลิ่นเหล้าเหรอ ?
“...หืม นี่ใครครับ มาทำอะไรที่นี่” คนตัวสูงใหญ่ถามออกมา ถ้าเดาไม่ผิดอีกฝ่ายน่าจะเป็นนักศึกษาเหมือนกัน “เดี๋ยวนะ เดี๋ยวส่องไฟจากโทรศัพท์ก่อน”
พออีกฝ่ายพูดจบ แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือพลันสาดเข้าที่ใบหน้าของต้นสนจนคนตัวเล็กต้องหยีตา
“...”
“...” พอสายตาชินกับแสงที่ส่องเข้ามาตรงหน้า ต้นสนก็พบกับผู้ชายที่หน้าตาจัดได้ว่าหล่อมากเลยทีเดียว ทั้งสองจ้องตากันเงียบ ๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไร
“ตัวเล็ก มาทำอะไรตรงนี้เอ่ย ?” ‘ตัวเล็ก ? เรียกผมเหรอ’
“...เอ่อ...เพื่อน...เพื่อนเค้าให้มาเอาของนะครับ”
“...” ‘จะจ้องหน้าเราทำไมนักนะ ไม่รู้เหรอว่านะ...น่ากลัว แถมน่าจะเมาด้วย’
“มาเอาบอร์ดที่ไม่ได้ใช้นะครับ...เอ่อ...พะ...พี่...เรียนที่คณะนี้เหรอครับ” ท่าทางน่าจะอายุมากกว่าเรานะ
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรพลางช่วยพยุงต้นสนลุกขึ้นมายืนบนพื้นดี ๆ
“...”
“อ้าว เฮ้ย! ไอ้เสกข์” เสียงดังขึ้นจากทางด้านหลัง พร้อมกับกลุ่มคนสามสี่คนก้าวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
“เออ...กูเองแหละ” พูดตอบคำโดยไม่ละสายตาไปจากคนตรงหน้า
“มาทำไรมืด ๆ อะ...อ้าว” เสียงพูดหยุดลงเมื่อมองเห็นว่าเพื่อนไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
‘ผู้ชาย...สี่คน น่ากลัวจัง ทำไมมองเราอย่างนั้นละ เพื่อนพี่คนนี้เหรอ’
วี้ดวิ้ว! เสียงผิวปากอย่างถูกใจดังขึ้นจากกลุ่มคนที่เพิ่งเข้ามา “น้องคนนี้...เอาไงไอ้เสกข์” ถามเพื่อนพลางส่งสายตาไม่น่าไว้ใจมาทางต้นสน
‘ไม่ปลอดภัย!’ ขณะกำลังเตรียมผละหนี
หมับ!
คนที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ คว้ามือมาจับข้อมือเล็กบางของต้นสนอย่างทันท่วงที
“...พวกมึง...มาช่วยกู”
“โว้วว! น้องเค้ากลัวมึงแล้วไอ้เสกข์ ฮ่า ๆ” กลุ่มคนที่รายล้อม คราวนี้มากระจายอยู่รอบตัว ปิดทางหนีคนตัวเล็กจนหมดสิ้น
“...จะทำอะ...ไรผม”
“จับไว้” คนที่น่าจะ...ชื่อเสกข์ สั่งเพื่อนในกลุ่ม
“จับแน่น ๆ เลย...กู...ทนไม่ไหวแล้ว”
‘ฮะ! อะไร จะทำอะไรกัน...ทนไม่ไหว...อะไร’
“อย่า!”
‘คืนนี้มันเงียบ มืดมากด้วย...แต่มีแสงจันทร์...ที่ ก็สวยละมั้ง ไม่มีเวลามาชื่นชมหรอก ใครละจะมาอยากชมจันทร์ท่ามกลาง...คนพวกนี้...กับ...ตาฝาดเหรอ ไม่ บอกแล้วว่าไม่เคยตาฝาด ยืนอยู่ตรงนั้น...’
‘ตามมาจริงด้วย’
******************************************************************************
“...”
“ว่าไงไอ้ตัวดี” น้ำเสียงดุดันของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ที่สุดในที่แห่งนี้ ที่ที่...คุ้มกะลาหัวของเด็กกำพร้าคนหนึ่งเอาไว้
“ครับ” รับคำอย่างสงบเสงี่ยมที่สุด
“ครับ? แกมันก็ได้แค่นี้...อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่รู้ว่าแกทำอะไร”
“ผม...ขอโทษครับที่กลับมาช้า พอดีว่า...”
“หุบปาก! ใครให้แกอธิบาย!”
‘ต้องทำยังไง...ผม...ต้องทำยังไง’
“แกเป็นใคร เป็นแค่คนอาศัยใช่มั้ย ? มีสิทธิ์อะไรมาเข้านอกออกในได้ตามใจชอบ...ไหนบอกมาซิว่าแก...กล้าดียังไง!”
“ขอโทษครับ...ผม...จะไม่ทำอีก”
“แกน่าจะไปซะ ไปให้พ้น ๆ จากบ้านนี้ ถ้าลูกฉันไม่ขอไว้...”
“...”
“ข้างถนน...คือที่ของแก!”
‘แย่จัง แย่ตั้งแต่เมื่อคืนเลย แม่ครับ...ผมจะทำยังไงดี...ผมจะบอกใครดี’
‘บอกว่าผม...ไม่ไหว’
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
