ตอนที่ 1 : Prologue
Prologue
When a girl is in love, you can see it in her smile.
When a guy is in love, you can see it in his eyes.
เวลาผู้หญิงมีความรัก คุณสามารถเห็นได้จากรอยยิ้มของเธอ
เวลาผู้ชายมีความรัก คุณจะเห็นมันได้จากสายตาของเขา
01:30 PM.
@ Library, IC University
ปึก...
เสียงขอบสันของหนังสือกระทบกับพื้นโต๊ะดังขึ้นเบาๆ ฉันโผล่เสี้ยวหน้าด้านบนจนถึงแค่ใต้ตาพ้นขอบบนของหนังสือขึ้นไปแล้วก็แอบยิ้มอยู่เบื้องหลังกระดาษ ภาพที่เห็นนั้นคือผู้ชายร่างสูงท่าทางเนิร์ดๆ สวมแว่นทรงกลมคล้ายพ่อมดแฮร์รี่กำลังนั่งหาข้อมูลในหนังสือเพื่อทำใบงาน สีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังตั้งใจของเขาช่างเป็นเอกลักษณ์เสียจริงๆ แว่นสายตาโง่ๆ นั่นไม่สามารถบดบังความฉลาด และความหล่อของเขาได้จริงๆ ปากกระจับสีเรื่อๆ จมูกโด่งเป็นสันได้รูป คิ้วคมเข้มพาดเหนือดวงตาสุกใส กรอบหน้าขาวๆ อยู่ภายใต้ทรงผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้น มีหน้าม้าปลายเกือบเสมอคิ้วแหวกข้างปรกหน้าผากอยู่ด้วย
ให้ตายสิ! น่ารักเป็นบ้า
อ้อ ฉันขอแนะนำตัวสักหน่อยก่อนที่พวกคุณจะงง
ฉันชื่อ ‘โชแปง’ เป็นชื่อที่ได้มาจาก เฟรเดริก ฟร็องซัว โชแปง นักดนตรีฉายา กวีแห่งเปียโน ที่พ่อชื่นชอบ แต่ฉันไม่ได้ปลื้มอะไรกับพ่อหรอกนะ รู้แค่ฉันชื่อนี้แหละ นิสัยฉันก็ค่อนข้างจะดีแหละมั้ง... ฉันเป็นคนมีเพื่อนไม่เยอะ เพื่อนที่คบมาตั้งแต่เด็กส่วนมากก็เป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็พอมีบ้างแต่ไม่ค่อยสนิท ฉันว่าพวกนั้นมันน่ารำคาญน่ะ เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะที่บ้านฉันก็มีผู้ชายยกเว้นฉันล่ะมั้ง ฉันอยู่กับพ่อแล้วก็พี่ชายอีกหนึ่งคนชื่อ ‘ชาร์ล’ ที่ชื่อก็คงมาจากใครสักคนที่พ่อชื่นชอบนั่นแหละ โชคดีที่หน้าตาเราสองพี่น้องยังมีเสี้ยวของย่าที่เป็นคนอังกฤษอยู่บ้าง มันเลยไม่ค่อยขัดกับชื่อเท่าไรนัก
เอาล่ะ! หยุดเรื่องของฉันก่อนที่จะยาวไปถึงต้นตระกูลไว้เท่านี้ก่อน
มาสนใจ ‘หนุ่มแว่นคนนั้น’ ดีกว่า...
ฉันไม่รู้จักเขาหรอก แต่บังเอิญเดินชนกับเขาที่หลังมอเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนั้นเขาดูรีบๆ พอขอโทษเสร็จก็เดินไปเลยไม่ทันสังเกตฉันหรอกมั้ง แต่ฉันรู้สึกเหมือนตกหลุมรักเขาตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยแอบตามไปจนรู้ว่าเขาพักที่ไหน มีเช้าวันหนึ่งที่ฉันไปรอแล้วแอบตามอีกถึงได้รู้ว่า หมอนั่นเรียนคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ที่ตึกอยู่ไม่ไกลจากคณะวิศวะของฉันเท่าไรนัก
มันแปลกสำหรับฉันมาก แปลกจริงๆ ที่ฉัน...ชอบผู้ชาย
อืม...ความจริงก็ไม่เชิงว่าแบบนั้นเสียทีเดียวหรอก ปกติแล้วฉันไม่ค่อยสนใจใครสักเท่าไรน่ะ ที่ชอบมองก็มีแค่ผู้หญิง แต่ก็ไม่เคยคบกับผู้หญิงหรอกนะ ที่ผ่านมาก็มีแฟนเป็นผู้ชายนั่นแหละ ทว่าฉันไม่เคยรู้สึกชอบใครเลยสักคน เหมือนลองคบไปแก้เหงา สุดท้ายมางี่เง่าใส่ ฉันก็บายไปเสียทุกราย
“นี่ อีโช มึงชอบคนนี้จริงเหรอ” คนข้างๆ ฉันสะกิดถาม
นางคือตุ๊ดสายชิลล์ชื่อ วิช หรือ ‘วิชชี่’ หรือนายวิชญะ โดยพ่อแม่ตั้งให้ ทว่าโตมาเป็น วิชญานี โดยสถาปนาตัวเองเฉยเลย ดีที่พ่อแม่มันค่อนข้างหัวใหม่และไม่ซีเรียส ลูกเป็นอะไรก็ช่างขอให้เป็นคนดีแค่นั้น บุญกะลาหัวมันแล้วจริงๆ แหละ มันเป็นเพื่อนสนิทฉันเอง ชีวิตนักศึกษาของฉัน นอกจากวิชชี่แล้วฉันก็ไม่สนิทกับใครมากนัก นี่ก็รู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วก็เป็นดูโอ้กันมาจนถึงปีสามแล้ว
“ไม่รู้ว่ะ” ฉันตอบทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากการซุ่มมองผู้ชายคนนั้น เขาสนใจแต่หนังสือตรงหน้าจนไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนแอบมองอยู่
“อ้าว”
“มันเหมือน...เป็นใครบางคนที่กูมีชีวิตอยู่มาเพื่อเจออะ แบบนั้นแหละมั้ง” ฉันหันไปคุยกับเพื่อน
“หูยยย ชักจะแรดเก่งแล้วนะ เป็นผู้หญิงขึ้นมาแล้วหรือไง” คนข้างๆ จิกตาแซวใส่ พูดก็พูดเถอะ วิชชี่ยังมีความเป็นผู้หญิงมากกว่าฉันเสียอีก
“บ้า กูก็ผู้หญิงนะ”
“อะเหรอออ”
“แต่พูดจริงๆ นะ กูอยากรู้จักเขาว่ะมึง”
“อยากรู้จักก็ต้องทำความรู้จักไง แต่ว่านะ...” วิชชี่เหลือบมองไปทางผู้ชายคนนั้นนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับมากระซิบพูดกับฉันด้วยเสียงที่เบากว่าตอนแรกราวกับกลัวอีกฝ่ายที่นั่งห่างไปสามโต๊ะจะได้ยิน “คนที่สนใจแต่หนังสือกับเรื่องเรียนแบบนั้น เขาจะสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหรอวะ”
นั่นสิ ที่นางพูดก็มีเหตุผล
“แล้วจะให้ทำไงอะ”
“กูก็พูดให้ฉุกคิดเฉยๆ ไง แต่ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ ไปเลย” มันบอกแล้วพเยิดหน้าไปทางผู้ชายที่ตกเป็นประเด็นสนทนาของพวกเรา
“ไปไหน”
“เป็นชะนีแล้วยังโง่อีก สวยแล้วก็ช่วยฉลาดด้วย ไปทำความรู้จักเขาไง ไสหัวออกจากหนังสือไป”
“วันนี้เลยเหรอ” ฉันเบิกตากว้างขึ้นนิดหน่อย ไม่ได้เตรียมใจมาเลยนะเอาจริงๆ ฉันเป็นพวกทำความรู้จักกับคนอื่นก่อนไม่ค่อยเป็นสักเท่าไรเสียด้วยสิ งานหนักของโชละจ้า
“วันนี้สิ ถ้าไม่วันนี้ ชาตินี้ จะรอชาติหน้าหรือไง อีบ้า”
“แหม มึงก็รู้ว่ากูไม่เคยแบบนี้นี่หว่า”
“อ๋อ กูลืมไป ปกติมึงทำเป็นแต่ขู่จะต่อยผู้ชายที่เข้ามาจีบ”
“...!” ฉันแยกเขี้ยวใส่คนพูดก่อนจะกัดปากตัวเองแล้วนิ่งคิด แต่มันก็จริงอย่างวิชชี่ว่านั่นแหละ ฉันคงไม่รอถึงชาติหน้าหรอก อีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้ว่างตลอดเวลาที่จะมาคอยแอบตามเขาแบบนี้
มัวชักช้าเดี๋ยวก็ ‘ไม่ทันกิน’ พอดี!
“เอาไงชะนี เฮ้ยๆ นางเก็บหนังสือแล้ว” วิชชี่ตีแขนฉันแปะๆ ฉันหันขวับมองตามไปทันที ผู้ชายคนนั้นพับหนังสือปิดแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแว็บหนึ่งคล้ายกับดูเวลา นาทีนั้นฉันรีบดีดตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทันทีพร้อมวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะด้วย
ปึง!
เอ่อ...ดูเหมือนจะวางแรงไปนิด
โต๊ะรอบข้างมองมาที่ฉันเป็นตาเดียว รวมทั้งผู้ชายคนนั้นด้วย แต่เขาก็ละสายตาไปไม่ได้สนใจฉัน วิชชี่รีบก้มหน้าประหนึ่งว่าไม่รู้จักฉัน แต่โชแปงก็หาแคร์ไม่ ฉันไม่สนใจสายตาพวกนั้น สองเท้าของฉันก้าวฉับๆ พาตัวเองมาหยุดอยู่ต่อหน้าเป้าหมายทันที
เขาเงยหน้ามองฉันนิดหน่อยแล้วก้มลงไปเก็บเอกสารตรงหน้าเข้ากระเป๋า
ช่วยสนใจกันมากกว่านี้ก็ได้มั้ง บ้าเอ๊ย...
“นี่นาย” ฉันเรียกอีกฝ่าย
“...” เขาเงยหน้าขึ้นมา คราวนี้นัยน์คมหลังเลนส์คู่นั้นมองฉันอย่างพิจารณา มองนานกว่าเมื่อกี้ประมาณสามวินาทีได้ก่อนจะ...ก้มไปทำธุระของตัวเองต่อ
ให้ตายสิ ยิ่งใกล้เขาแบบนี้ หัวใจฉันก็ยิ่งหวิวๆ แปลกๆ ขึ้นมา
“นาย” ฉันเรียกอีก
“...” รอบนี้เขาไม่ได้มองฉันแต่หันมองรอบข้างตัวเองแทนเหมือนคิดว่าฉันคงคุยกับคนอื่นข้ามหัวเขา หน็อยแน่! เห็นฉันไร้มารยาทขนาดนั้นเลยหรือไง เหอะ
“นายนั่นแหละ” ฉันเอื้อมมือไปจิ้มนิ้วชี้เข้าที่หัวไหล่เขาเบาๆ แล้วรีบดึงมือตัวเองกลับมา เป็นนาทีเดียวกับที่วิชชี่เพิ่งจะลุกตามมาสมทบกับฉัน
“ผมเหรอครับ” เขาเงยหน้ามาสบตากับฉันแบบจริงจังก่อนปรายตามองวิชชี่ที่เดินเข้ามาใหม่นิดหน่อย “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
คะ...ครับงั้นเหรอ ให้ตายสิ เสียงทุ้มนุ่มกับคำว่า ‘ครับ’ ของเขานี่มัน...โอ๊ย! ชอบ
“นายนั่นแหละ ชื่อไรเหรอ” ฉันถามขณะโฟกัสสายตาไปที่ใบหน้าขาวๆ นั่น ผิวเขาดีกว่าผู้หญิงบางคนอีกจะบอกให้ นี่ต้องเติบโตมาดีขนาดไหนเนี่ย
“เจษฎากร”
“...!” เกิดเดดแอร์ขึ้นทันทีที่ ‘เจษฎากร’ พูดจบ ฉันหันไปสบตากับวิชญานีที่ยืนอยู่ข้างๆ ราวกับนัดหมายกันเอาไว้ ส่งสายตาให้กันเป็นเชิงสงสัยว่า เขาหลุดมาจากรุ่นไหนกัน
ฉันบอกก่อนเลยว่าถึงเขาจะเนิร์ดๆ แต่ก็ดูไม่ได้เชยหรือล้าสมัยอะไรเบอร์นั้นนะ เท่าที่เคยเห็นเขาออกจากหอพักตอนวันหยุด ก็แต่งตัวดูดีระดับหนึ่งเลย ดูมีรสนิยมด้วย แต่ก็นั่นแหละ เขาดูดีแบบผู้ชายเรียบร้อย
“ไม่มีชื่อเล่นเหรอ” ฉันหันไปถามเขาอีกรอบ ตอนนี้เจษฎากรเก็บของเข้ากระเป๋าหมดแล้ว และเขาพร้อมจะอินดี้ลุกหนีฉันได้ทุกเมื่อถ้าฉันไม่รีบเข้าประเด็น
“อ๋อ จิ้งครับ”
“จิ้งจก?” ฉันโพล่งออกไปอย่างลืมตัว ไม่วายเลิกคิ้วสูงใส่คนตรงหน้าที่นั่งอยู่ด้วย บางที ‘จิ้ง’ อาจจะมีชื่อเล่นเต็มๆ ว่าจิ้งจกก็ได้ถูกไหม
“...” เงียบว่ะ ทว่าสีหน้าดูอึดอัดพิลึก
“จะบ้าเหรออีโช ใครมันจะไปชื่อจิ้งจก” วิชชี่ค้านขึ้นแทนเจ้าตัว
“อ้าว จะไปรู้เหรอ” ฉันเหลือบไปมองเพื่อนตัวเองแล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนหันไปหานายเจษฎากรอีกรอบ “สรุปว่าชื่อจิ้งจกใช่ไหม”
เขาส่ายหน้าแล้วบอกด้วยท่าทีสุภาพว่า “จิ้งเฉยๆ ครับ”
“อ๋อ ก็ไม่บอกแต่ทีแรก”
“มึงนั่นแหละโมเม”
“เอ่อ เธอ...”
“โชแปง ฉันชื่อโชแปง เรียกโชเฉยๆ ก็ได้” ฉันบอกแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ทำสีหน้าอะไรเลยนอกจากงงๆ เด๋อๆ แล้วยกมือขึ้นไปขยับแว่นกลมๆ นั่นเหมือนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะวางมือไม้ยังไง
“ครับ”
“...”
“...”
จิ้งเงียบเมื่อเห็นว่าฉันเงียบแล้วยืนเม้มริมฝีปากมองหน้าเขาอยู่แบบนั้น คือยังไงดีล่ะ ฉันก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน ควรเข้าประเด็นเลยใช่ไหมนะ
“นายน่ารักดี มีแฟนยัง” อะ...ตรงๆ
“ฮะ?” โอ๊ยไอ้เด๋อ! เดี๋ยวเจอแม่ต่อยแว่นแตก หูหนวกหรือไงวะ ฉันว่าตัวเองก็พูดดังอยู่นะ
“ถามว่ามีแฟนหรือยัง”
“ผมเหรอครับ”
“ก็นายนั่นแหละไอ้แว่น ฉันคุยกับนายอยู่จะให้ถามใคร”
“เอ่อ...” เจ้าตัวขยับแว่นไปอีกหนึ่งที
“ฮัลโหล นี่ไม่ใช่โจทย์คณิต ไม่ต้องคิดนานก็ได้มั้ง” ฉันเอามือเท้ากับโต๊ะอย่างหมดความอดทน โน้มตัวลงไปจ้องหน้าเขาจริงจังอย่างรอคอยคำตอบ
“ใจเย็นชะนี มึงจะแดกหัวเขาอยู่แล้วรู้ตัวหรือเปล่า” วิชชี่ดึงแขนเสื้อฉันยิกๆ แต่ฉันไม่สน
“สรุปว่าไง มีแฟนยัง”
เขาส่ายหน้า “ไม่มีครับ”
“งั้น...”
“ยังไม่อยากมีครับ ขอตัวก่อนนะ พอดีผมต้องรีบไปเรียน” เขาค้อมหัวให้ฉันนิดหน่อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินผ่านหน้าฉันไปแบบดื้อๆ อย่างที่ฉันคิดเอาไว้ตอนแรกเลย
“นี่! เดี๋ยวสิจะ...”
“ที่นี่ห้องสมุดนะคะนักศึกษา ลดการใช้เสียงด้วยค่ะ”
“จะ...จิ้ง” ฉันพูดเบาๆ กับตัวเองต่อจนจบ เมื่อเจ้าหน้าที่ห้องสมุดคนหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะพูดของฉัน
พอรู้ตัวว่าเสียงดังเกินเหตุก็หันไปยิ้มแหยให้คนบอกแล้วยกมือไหว้ขอโทษไปทีหนึ่ง ก่อนเดินกลับมาหยิบกระเป๋าเป้ที่โต๊ะตัวเอง พร้อมส่งกระเป๋าวิชชี่ให้เจ้าตัวแล้วลากมันออกมาจากตรงนั้น
“เดี๋ยวๆ มึงยังไม่ได้เก็บหนังสือเลย”
“เออ เอาไว้นั่นแหละ วันหลังค่อยมาเก็บ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ทนไม่ไหวก็เก็บเอง” ฉันบอกทั้งที่ยังไม่ยอมชลอจังหวะการเดิน ฉันไม่ได้รีบไปตามผู้ชายคนนั้นหรอกนะ ยังไงเสียเราก็ต้องเจอกันอีกแน่ ฉันรับรองได้เลย ทว่าตอนนี้น่ะ ฉันเคืองหมอนั่นมากแล้วก็หงุดหงิดจนต้องไปหาอะไรกินสักหน่อย
ไอ้แว่นกล้าดียังไงมาเดินหนีฉันเนี่ย
ระวังตัวไว้เลย นายได้เจอดีแน่
เจษฎากร!

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฮาดี555
แแนวตรงๆนะ
นี่ถ้าเจอพี่จินตัวจริงแบบเวอร์ชั่นบ้าๆ นี่คงบอกไม่ได้ว่าใครบ้ากว่ากัน 555555555
พี่
พี่มายยยยย โห ไม่ได้อ่านงานนาน ดูเปลี่ยนไปนิดๆ แต่สำนวนเป็นผู้ใหญ่เหมือนเดิมเลย ตลกตรงที่พระเอกแนะนำด้วยชื่อเล่นตัวเองด้วย แบ๊วววว นางเอกก็คาดคั้นพระเอกอย่างกับไป ปล้นเค้า ตลกกกก 5555555 นี่สายตรงๆ ใช่มั้ย
โชแปงก็จะรุกมากหน่อย XD