ณ ตอนนี้สายตาหลายคู่ที่จับจ้องไปยังนักชิมฟ่งยู่ เขานั่งนิ่งอยู่นาน ทุกคนไม่ทราบว่าตอนนี้เขากำลังนึกถึงสิ่งใดอยู่กันแน่
จู่ ๆ ทุกคนก็ได้ตื่นตระหนกกับเรื่องราวตรงหน้า มีของเหลวใสไม่สีไหลลงมาอาบแก้มสองข้างของนักชิมฟ่งยู่ เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและจ้องไปยังหยางหลิวด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ทุกคนต่างตระหนักได้ถึงความสุขที่เอ่อล้นออกมาจากก้นบึ้งในจิตใจของเขา น้ำตาที่ไหลออกมาจากนักชิมฟ่งยู่ ผู้ซึ่งมีใบหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา ในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเคยได้ยินว่าเขาหลั่งน้ำตาออกมาเพราะได้ลิ้มลองอาหารมาก่อน นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่าอาหารที่เชฟหลักของภัตตาคารโจวซือ หรือหยางหลิวทำนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด
ในตอนนี้เองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหว พวกเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นกลุ่มนักข่าวที่คอยติดตามนักชิมฟ่งยู่มานาน พวกเขารู้ดีว่าการได้ทำข่าวของนักชิมฟ่งยู่นั้นดีขนาดไหน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็มีคนสนใจเขาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นข่าวอะไรก็ยังสามารถขายได้ !
แต่ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งอื่น การหลั่งน้ำตาในครั้งนี้มีค่ากับพวกเขามากกว่าครั้งไหน ๆ มันมีค่ายิ่งกว่าทองคำ หรือเพชรพลอยใด ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่นักชิมฟ่งยู่แสดงออกแบบนี้ พวกนักข่าวต่างไม่ชักช้าแม้แต่น้อย ต่างคนต่างกดถ่ายภาพของนักชิมฟ่งยู่ที่กำลังเช็ดน้ำตาพร้อมกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“ ฝีมือทำอาหารของเธอช่างเหลือเชื่อนัก ผมแน่ใจได้เลยว่าอาหารจานนี้ของเธอคืออาหารที่ดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยชิมมา ” ในที่สุดนักชิมฟ่งยู่ก็พูดขึ้นมา
“ รสชาติและกลิ่นของมันในตอนแรกผมนึกว่ามันคือที่สุดแล้ว และมันก็อยู่ในระดับเดียวกันกับปรมาจารย์อาหารแห่งแดนสวรรค์ ”
“ ปรมาจารย์อาหารแห่งแดนสวรรค์ ! ” นักข่าวรอบข้างต่างร้องถามด้วยความสงสัยและท่าทีเหลือเชื่อ
ฟ่งยู่ไม่รอให้พวกนักข่าวพูดต่อ เขาเริ่มพูดต่อในทันที
“ ทว่าน้ำจิ้มนั่นยังสามารถดึงรสชาติและกลิ่นของเนื้อออกมาได้อีกอย่างน่าตกใจ หลายปีมาแล้วที่ผมไม่เคยได้ลิ้มลองอาหารแบบนี้ ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกนี่คือครั้งแรกที่ผมเคยได้ลิ้มลองความอัศจรรย์ ความสุดยอดของอาหาร มันทำให้ผมได้รู้ว่า ‘ดินแดนสวรรค์’ มีอยู่จริง และปรมาจารย์อาหารแห่งแดนสวรรค์ที่แท้จริงก็อยู่ตรงหน้าของผมนี่เอง ”
แต่ละคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของนักชิมฟ่งยู่ทำให้ใบหน้าของหยางหลิวกระตุกอยู่หลายครั้ง เขาก็เข้าใจดีว่าอาหารที่เขาทำนั้นสุดยอดขนาดไหน แต่ทว่าในใจเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย เพราะจริง ๆ ระดับฝีมือของเขานั้นไม่ได้ดีเลิศขนาดนี้ ถึงขนาดที่ว่าจะไปเป็นปรมาจารย์อาหารแห่งแดนปฐพียังไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับการทำอาหารที่เหนือกว่าปรมาจารย์อาหารแห่งแดนสวรรค์ !
ฉับพลันหยางหลิวยิ้มให้กับนักชิมฟ่งยู่และก็พูดขอบคุณเขา
“ ขอบคุณมากครับ เป็นเกียรติของผมที่ได้รับคำชมเชยจากท่าน ” หยางหลิวพูดจบก็โค้งตัวคำนับนักชิมฟ่งยู่
นักชิมฟ่งยู่เห็นดังนั้น เขารู้สึกถูกชะตากับหยางหลิวเป็นอย่างมาก ฝีมือสูงส่ง แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความนอบน้อม เขาโบกมือเรียกคน คนหนึ่งให้มาหาเขา
คนผู้นี้มองจากภายนอกก็พอดูออกว่าเป็นเหมือนพ่อบ้านของนักชิมฟ่งยู่ ด้วยลักษณะการแต่งกายของเขา ฟ่งยู่กระซิบข้าง ๆ หูของเขาอยู่นานสองนาน ในที่สุดพ่อบ้านคนนี้ก็ถอยกลับไปด้านหลังพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ พ่อหนุ่ม เธอชื่ออะไร ? ” นักชิมฟ่งยู่เมื่อกระซิบกับพ่อบ้านแล้วจึงหันมาถามหยางหลิว
“ ผมชื่อ ‘ เว่ย หยางหลิว ’ ครับ ” หยางหลิวตอบไปด้วยท่าทีสุภาพ
“ ฉันจะจำชื่อนี้เอาไว้ ! ” หลังจากฟ่งยู่พูดจบ เขาก็เริ่มที่กินอาหารอีกครั้ง ต้องย้ำอีกครั้งว่าเขากำลังกินอาหาร ไม่ใช่ชิม แต่ถึงจะพูดว่าชิมก็ตาม ลักษณะท่าทางของเขาควรจะเรียกว่ากำลังสวาปามอาหารอยู่มากกว่า
ผ่านไปไม่นานเขาก็กินอาหารจนเกลี้ยงจาน ถ้าไม่บอกว่าเขาคือใคร คนที่เห็นเขากับจานว่างเปล่าหนึ่งใบแทบจะคิดว่าฟ่งยู่ผู้นี้ต้องอดอาหารมาแล้วหลายวันมาแน่นอน ซึ่งในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าฟ่งยู่ยังไม่หนำใจกับอาหารที่กินลงไป เขาได้ส่งแววตาอ้อนวอนมาทางหยางหลิว ซึ่งหยางหลิวก็พอที่จะคาดเดาความต้องการของอีกฝ่ายได้
เขาเดินไปกระซิบฉิงเยว่ให้นำอาหารมาเพิ่มอีก รวมทั้งให้นำมาเผื่อคนอื่น ๆ ด้วย
ผ่านไปไม่นานก็มีคนสามคนเดินออกมาจากห้องครัว ฉิงเยว่ ชิงฉือ ชิวหาน ทั้งสามคนเดินออกมาพร้อมกับกลิ่นที่คุ้นเคย กลิ่นนี้คือกลิ่นของอาหารที่นักชิมฟ่งยู่ได้เอ่ยชมเอาไว้นั่นเอง
พวกเขาทั้งสามเดินถือจานอาหารไปแจกจ่ายแก่นักชิมฟ่งยู่ รวมถึงนักข่าว และบล็อกเกอร์ด้วย
ในทันที เสียงโห่ร้องดีใจก็ดังออกมา ความจริงแล้วพวกเขาอยากจะขอลิ้มรสอาหารที่นักชิมฟ่งยู่วิจารณ์อยู่แล้ว เพียงแค่ฟังคำวิจารณ์ของนักชิมฟ่งยู่ น้ำลายของพวกเขาก็แทบจะไหลทะลักออกมา ทว่าเรื่องงานนั้นสำคัญกว่า ไหนเลยจะกล้าปล่อยโอกาสทองที่จะมีสักครั้งในชีวิตให้หลุดลอยไป
‘ นี่มันนักชิมฟ่งยู่เชียวนะ ’ พวกเขาต่างสะกดกลั้นความอยากด้วยประโยคนี้ในจิตใจ จำต้องยอม อดทนอดกลั้นเพื่อที่จะทำงานของพวกเขาอย่างดีที่สุด
ในขณะนี้พวกเขาต่างก็ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม และเปรียบเสมือนเป็นเวลาอันสมควรที่จะได้รับรางวัล
บรรยากาศในร้านพลันครึกครื้นมากยิ่งขึ้น ทุกคนต่างได้ลิ้มลองอาหารที่นักชิมฟ่งยู่วิจารณ์ไว้ โดยก่อนหน้านี้ หลายคนยังคิดว่านักชิมฟ่งยู่นั้นพูดเกินจริงมากไปหน่อย
‘ ปรมาจารย์อาหารแห่งแดนสวรรค์ที่แท้จริงอะไรกัน ’ มีคนที่คิดเช่นนี้ อยู่ไม่น้อย แต่เมื่อพวกเขาลองชิมดูกลับค้นพบว่าที่นักชิมฟ่งยู่วิจารณ์นั้นถูกต้องทั้งหมด เผลอ ๆ อาหารจานนี้ยังดีกว่าด้วยซ้ำไป
ด้วยฝีมือและความสามารถของหยางหลิว ทำให้คนเหล่านั้นเปลี่ยนจากความคิดที่เต็มไปด้วยอคติต่าง ๆ กลายเป็นชื่นชมและนับถือในด้านการทำอาหารของหยางหลิว
หลังจากนั้นนักข่าวหลายคนก็เดินเข้าไปคุยกับหยางหลิว ทั้งสัมภาษณ์ ทั้งขอถ่ายรูป ด้วยความสามารถระดับนี้ ด้วยอายุเพียงแค่นี้หยางหลิวต้องกลายเป็นเชฟที่ดังที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะเดียวกันกับที่หยางหลิวและนักข่าวกำลังเดินไปบริเวณหน้าร้านเพื่อทำการโฆษณาภัตตาคารโจวซือ ก็ได้มีรถยนต์ขับมาจอดบริเวณหน้าร้าน
นักข่าวบางคนกำลังจะไปตักเตือนให้เลื่อนรถออกไปก่อน ทว่ายังไม่ทันได้แม้แต่เปล่งวาจาใด ๆ ปากที่กำลังอ้าอยู่ ก็อ้าออกมากว้างมากขึ้น !
“ นั่นมันประธานหย่ง ! ” นักข่าวในกลุ่มคนหนึ่งตั้งสติได้ แต่ก็ยังร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
“ ดูนั่น ! นั่นมันรถของประธานเจี๋ยนไม่ใช่เหรอ ! ” นักข่าวอีกคนก็ชี้นิ้วไปยังรถที่กำลังแล่นเข้ามาใกล้อย่างตกตะลึงเช่นกัน
“ โอ้ ! นั่นมันนักชิมหนุ่มเหวินฮุย ”
จู่ ๆ หน้าภัตตาคารโจวซือก็เนืองแน่นไปด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่แม้แต่ในวงการอาหารเท่านั้น บุคคลเหล่านี้มาจากทุกวงการ ทั้งวงการบันเทิง อุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งนักการเมืองชื่อดังก็ยังมาที่นี่
หยางหลิวเองก็กลายเป็นตื่นตระหนก เขาก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน
เกิดมาก็มีครั้งนี้แหละในชีวิตที่ได้เจอคนดังมากมายขนาดนี้
ทว่าความกังวลของหยางหลิวนั้นก็หายไป เพราะว่ามีคนหนึ่งเดินออกไปต้อนรับบุคคลสำคัญเหล่านี้ เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนักชิมฟ่งยู่นั่นเอง
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต้องเป็นเพราะนักชิมฟ่งยู่อย่างแน่นอน
‘ เดี๋ยวก่อน ! ’ ฉับพลันหยางหลิวก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
แน่นอนว่าที่มีคนดังต่าง ๆ มาที่นี่เป็นเพราะนักชิมฟ่งยู่
แต่ว่าเรื่องในครั้งนี้เขาโชคดีเกินไปหรือเปล่า ?
‘ หรือว่า…? มันเป็นเพราะลักกี้ไอเทม ? ’ จากที่เขากำลังสับสน ก็กลายเป็นตื่นเต้นยินดี นี่มันหมายความว่าลักกี้ไอเทมใช้ได้ผล และได้ผลดีอย่างมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลยว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ชื่อเสียงของร้านแห่งนี้จะดีขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเท่านี้บุคคลสำคัญ ๆ ก็จะมาที่ภัตตาคารโจวซือมากขึ้น และนั่นหมายความว่าเขาจะสามารถเพิ่มรายได้ของเขาให้สูงยิ่งขึ้น !
หยางหลิวได้สติ เขารีบเดินเข้าไปหานักชิมฟ่งยู่ และกล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่
นักชิมฟ่งยู่เองก็รู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง ลักษณะนิสัยของหยางหลิว นักชิมฟ่งยู่รู้สึกชอบเป็นพิเศษ นอกจากนี้การทำอาหารของหยางหลิวถือว่าเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง แววตาที่นักชิมฟ่งยู่มองมายังหยางหลิวเหมือนพ่อกำลังมองดูลูกของตนเองอย่างมีความสุข
แม้ว่าในตอนนี้จำนวนคนในร้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย แต่ว่าเถ้าแก่โจวซือและผู้จัดการหยานไห่ก็ไม่ได้สนใจ แต่กลับมองไปมุมหนึ่งของห้องพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พร้อมกับรอยยิ้มเหยียดหยันของผู้ชนะ
เถ้าแก่เซี่ยวและพรรคพวกโกรธมาก แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องในคราวนี้เหนือเกินไปจากการควบคุมของพวกเขาแล้ว สุดท้ายผู้จัดการหลิงเทียนที่อยู่ข้าง ๆ เถ้าแก่เซี่ยวก็โบกมือบอกให้คนของเขากลับไปที่ภัตตาคารเซี่ยว และประคองเถ้าแก่เซี่ยวจากไป
ในช่วงกลางดึก หยางหลิวหวนไปคิดทบทวนเรื่องราวในวันนี้ ในตอนนั้นภัตตาคารโจวซือก็กลายเป็นวุ่นวายอย่างยิ่ง มีลูกค้าสำคัญ ๆ มาอย่างไม่ขาดสาย จนเกือบจะมีที่นั่งไม่พอ โชคดีว่านักชิมฟ่งยู่เป็นคนออกปากให้พวกเขาเหล่านั้นมานั่งด้วยกันกับเขา โดยนำโต๊ะแต่ละที่มาต่อจนกลายเป็นโต๊ะยาวรองรับคนได้หลายร้อยคน ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเรื่องในคราวนี้จะมีอิทธิพลมาจากลักกี้ไอเทม แต่หยางหลิวก็ต้องแสดงความขอบคุณ ความเคารพต่อนักชิมฟ่งยู่ ถ้าไม่มีเขา หยางหลิวคงไม่มีโอกาสที่จะได้สร้างชื่อเสียงขนาดนี้ โดยเฉพาะสามารถสร้างความประทับใจให้กับคนใหญ่คนโต รวมไปถึงการโฆษณาจากนักข่าวที่มาในวันนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเขา นักชิมฟ่งยู่ !
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ขอบคุณครับ
โคตรเทพ