วันนี้เป็นสิ้นเดือนพฤษภาคม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เถ้าแก่โจวซือจะจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน รวมทั้งหยางหลิวด้วย
ในวันนี้ทุกคนต่างมีความสุขมากเนื่องจากเดือนนี้ทุกคนได้รับเงินเดือนเพิ่มเกือบ ๆ 2เท่าเลยทีเดียว ส่วนหยางหลิวนั้นถือว่ารับทรัพย์มากที่สุดในร้าน เขาได้รับเงินไปทั้งหมดหนึ่งแสนหยวน ความจริงแล้วลุงโจวซือจะให้หยางหลิวถึง หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน แต่หยางหลิวเป็นคนปฏิเสธไป เพราะว่าลุงโจวจำเป็นต้องนำกำไรไปปรับปรุงในอีกหลายเรื่องเลย แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นลุงโจวก็ได้กำไรไปทั้งหมดเกือบครึ่งล้านหยวนเลยทีเดียว
หยางหลิวได้เงินมาแล้ว เขาจึงขอตัวไปทำธุระ เขากลับไปที่ห้องของตนเอง
ตอนนี้เงินจำนวนหนึ่งแสนหยวนถ้วนกองอยู่ตรงหน้าหยางหลิว
“ อืม… ไม่เลวแฮะ ถ้าหักค่าเทอมกับค่าหอพักก็ยังเหลืออีกกว่าห้าหมื่น ” หยางหลิวพูดคนเดียวในห้อง
“ จะว่าไป ลองเช็กในร้านค้าดูดีกว่า ” หยางหลิวในตอนนี้มีเงินพอสมควร ดังนั้นเขาจึงคิดจะลองใช้บริการจากร้านค้า
เพียงแค่หยางหลิวคิด ในทันที เรือไม้ขนาดเล็กก็ปรากฏต่อสายตาเขา เหมือนกับว่าเรือนี้อยู่ ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า หน้าต่างร้านค้าก็พุ่งออกมามีทั้งหมวดสกิลและไอเทม
เนื่องจากในตอนนี้หยางหลิวยังไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้สกิล เขาจึงลองไปดูไอเทมที่น่าสนใจก่อน หยางหลิวไม่มีเงินมากนักทำให้เขาเลือกที่จะเข้าไปดูไอเทมราคาไม่เกินห้าหมื่นหยวนซึ่งเป็นราคาที่เขาพอจะซื้อได้
“ ยารักษาบาดแผล 10,000หยวน ”
“ ยาฟื้นฟูกำลัง 10,000หยวน ”
“ เหรียญทำนายโชค 20,000หยวน ”
“ แว่นตรวจสอบสถานะ 30,000หยวน ”
“ ลักกี้ไอเทม 30,000หยวน ”
“ กระเป๋าพกพาระดับ 0 50,000หยวน ”
หยางหลิวเข้าไปดูไอเทมต่าง ๆ ที่น่าสนใจในร้านค้า ซึ่งมีจำนวนมากมายกว่าหลายพันชื่อ ในแต่ละไอเทมไม่ได้บอกถึงความสามารถของมันแม้แต่น้อย มันบอกแค่เพียงชื่อ ทำให้หยางหลิวต้องคาดเดาและเสี่ยงดวงเองเท่านั้น
“ อืม เอาลักกี้ไอเทมละกัน ” หยางหลิวคิดว่าลักกี้ไอเทมน่าจะมีประโยชน์ต่อเขามากที่สุดเพราะคำว่าลักกี้ (Lucky) ในภาษาอังกฤษแปลว่าโชคดี ซึ่งเขาคาดหวังว่ามันจะให้โชคดีกับเขาบ้าง และสิ่งที่เขาอ่านดูคร่าว ๆ แล้วของที่ราคาต่ำกว่าห้าหมื่นส่วนใหญ่เขายังไม่มีความจำเป็นต้องซื้อเกี่ยวกับมัน
“ ว่าแต่จะซื้อยังไง ? ” พอหยางหลิวคิดที่จะซื้อไอเทม เขาก็พบเข้ากับปัญหา เพราะเขาไม่รู้วิธีในการซื้อขายเกี่ยวกับมัน เขาพยายามอยู่หลายนาทีเลยทีเดียว จนในที่สุดเขาเพิ่งจะสังเกตว่ามันสามารถเติมเงินเข้าไปในหน้าร้านค้าได้ ดังนั้นหยางหลิวจึงวางเงินสามหมื่นหยวนไว้และก็กดปุ่มเติมเงินที่ปรากฏต่อสายตาเขา
ทันทีที่เขากดปุ่มเติมเงิน เงินจำนวนสามหมื่นหยวนถ้วนก็เริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว มันคล้ายกับว่าธนบัตรเหล่านี้ละลายจางหายไปในอากาศยังไงยังงั้นเลยทีเดียว และจำนวนเงินที่แสดงในร้านค้าก็มีเขียนเอาไว้ว่า
หยางหลิวเมื่อเห็นดังนั้น เขาก็เปิดหน้าต่างร้านค้ากลับไปยังหน้าไอเทม จากนั้นเขาก็กดซื้อลักกี้ไอเทม
หลังจากที่เขากดซื้อยอดเงินที่อยู่ในร้านค้าก็กลายเป็นศูนย์ อีกทั้งในอากาศก็ปรากฏอะไรบางอย่าง ในตอนแรก ๆ ลักษณะของมันใสเป็นอย่างมาก ผ่านไปไม่กี่เสี้ยววินาทีมันก็เริ่มมีสีจากนั้นมันก็เริ่มตกลงมาบนหน้าตักของหยางหลิว
หยางหลิวพบว่าไอเทมที่ตกลงมานั้นมีลักษณะคล้ายแท่งทรงกระบอก มีสีทองจาง ๆ และมีปุ่มกดที่ด้านบน หลังจากหยางหลิวซื้อไอเทมสำเร็จ จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น
“ ขอบคุณสำหรับการซื้อสินค้าลักกี้ไอเทม ความสามารถของมันคือ ช่วยเพิ่มโชคให้แก่ผู้ใช้เป็นระยะเวลา 30นาที ” หลังจากนั้นก็ไม่เสียงอะไรดังขึ้นมาอีก
“ แค่นี้ !? ” หยางหลิวถึงกับหัวเสียเลยทีเดียว ไอเทมที่เขาซื้อมาบอกเพียงรายละเอียดย่อย ๆ ว่าช่วยเพิ่มโชคให้กับผู้ใช้ เงินจำนวนสามหมื่นหยวนของเขาหายไปเพราะเจ้าสิ่งนี้ ไม่รู้ว่าไอ้ลักกี้ไอเทมเนี่ยจะคุ้มค่าหรือเปล่า มันคงน่าเสียดายมากถ้าไอเทมนี้เป็นไอเทมไร้ค่า
หยางหลิวลังเลอยู่นานว่าจะใช้ไอเทมนี้ดีหรือไม่
ทว่าวันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างดึกไปหน่อย หยางหลิวจึงตัดสินใจที่จะเก็บไอเทมเพื่อใช้ในวันพรุ่งนี้แทน
ในเช้าวันถัดมาหยางหลิวก็ตื่นขึ้นมาทำอาหารตามปกติ ช่วงนี้ลูกค้าไม่เยอะเท่าช่วงสัปดาห์แรกที่หยางหลิวมาทำงาน แต่ก็ยังเยอะกว่าตอนที่หยางหลิวไม่ได้มาทำงานที่นี่อยู่มากโข
จู่ ๆ ผู้จัดการหยานไห่ก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องครัว
“ แย่แล้ว ! ทุกคน ” ผู้จัดหยานไห่ตะโกนเสียงดัง จนทำให้พนักงานในร้านตกใจกับท่าทีของผู้จัดการ
“ ก็ไอ้ภัตตาคารเซี่ยวเฮงซวยนั่นน่ะสิ ” ผู้จัดการหยานไห่ทำท่าทีขึงขัง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เขาหยุดพูดสักพัก แล้วจึงพูดต่อ
“ วันนี้จะมีนักชิมอาหารชื่อดังมาที่นี่ ! ” ผู้จัดการหยานไห่พูดออกไปในที่สุด
“ หืม… ก็แค่นักชิมอาหารเอง ไม่เห็นจะมีอะไร ” เชฟเจียงหนานพูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ ก็แค่นักชิมอาหารมาทานอาหารที่ร้านพวกเขามันจะมีปัญหาได้ยังไง
“ ถ้าเป็นนักชิมอาหารปกติล่ะก็คงไม่มีปัญหา แต่… ” ผู้จัดการหยานไห่พูดแบบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“ แต่อะไร ” เชฟลิ่วอูรู้สึกสงสัยกับท่าทีของผู้จัดการหยานไห่ เขาจึงเร่งให้ผู้จัดการพูดให้เร็วขึ้น
“ เฮ้อ ! ก็นักชิมอาหารที่มาที่นี่เขาคือ ฟ่งยู่ ” ผู้จัดการหยานไห่ตอบพวกเขาด้วยอารมณ์เศร้า ๆ
“ ว่ายังไงนะ !!? ” ทุกคนในร้านต่างร้องตะโกนถามเป็นเสียงเดียวกัน มีเพียงหยางหลิวเท่านั้นที่ไม่รู้จัก ฟ่งยู่
“ ฟ่งยู่คือใคร ? ” หยางหลิวถามไปยังชิงฉือซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ เขาด้วยท่าทีงุนงง
“ น้องหยางหลิวไม่รู้จัก นักชิมฟ่งยู่ !? ” ชิงฉือมองไปทางหยางหลิว จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้จึงพูดกับหยางหลิว
“ อ๋อ ! พี่ลืมไปว่าน้องหยางหลิวเพิ่งมาที่นี่เมื่อเดือนก่อน เป็นธรรมดาที่น้องหยางหลิวจะไม่รู้จักเขา ”
หยางหลิวฟังคำตอบของชิงฉือแล้วรู้สึกว่าพนักงานในร้านต่างมองตนเองแปลก ๆ เขาจึงหันไปถามเชฟเจียงหนาน
“ เอ่อ สรุปแล้วฟ่งยู่คือ ? ”
“ น้องหยางหลิวคงจำได้สินะว่า เมื่อหลายเดือนก่อนเชฟหลักได้ลาออกไป น้องหยางหลิวรู้ไหมว่าทำไม ? ” เชฟเจียงหนานพูดถึงเชฟหลักซึ่งหยางหลิวไม่รู้จักเชฟหลัก แต่หยางหลิวก็เคยได้ยินมาบ้าง
“ หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับนักชิมฟ่งยู่ ? ” หยางหลิวสังเกตได้ว่าเรื่องนี้มันอาจจะเกี่ยวข้องกับเชฟหลักที่ลาออกไป เพราะว่าเชฟเจียงหนานจู่ ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุใดนอกจากการมาของนักชิมฟ่งยู่ ดังนั้นเขาจึงคาดเดาว่านักชิมคนนี้ต้องเป็นหนึ่งในสาเหตุอย่างแน่นอน
“ ถูกต้อง น้องหยางหลิวเข้าใจถูกแล้ว ” สิ่งที่เชฟเจียงหนานพูดทำให้เขามองย้อนกลับไปถึงเรื่องราวเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
“ พี่จะพูดให้ฟังเองก็แล้วกัน เมื่อตอนนั้น มีคนอยู่คนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านของเรา เขาป่าวประกาศว่าตัวเขานั้นเป็นนักชิมชื่อ ฟ่งยู่ โดยในวันนั้นเขาต้องการจะทดสอบฝีมือของเชฟภัตตาคารโจวซือ ” เชฟลิ่วอูพูดพร้อมกำหมัดแน่น
“ ทางร้านของเราเองก็เคยได้ยินอยู่บ้างว่าชื่อเสียงของนักชิมฟ่งยู่นั้นไม่ค่อยดีนัก เพราะว่าเขาชอบวิจารณ์อย่างเสีย ๆ หาย ๆ รวมถึงอาหารที่มีระดับต่ำกว่าระดับอาหารแห่งแดนปฐพี เขาจะถือเป็นขยะ แต่ถ้าอาหารไหนสุดยอดหรืออยู่ในระดับอาหารแห่งแดนปฐพี เขาก็จะยกย่องและช่วยทำการกระจายชื่อเสียงให้ ”
“ ผู้จัดการหยานไห่ กับเถ้าแก่โจวซือได้ปรึกษากันว่าพวกเขาคงไม่สามารถทำได้ แต่จู่ ๆ เชฟหลักของเรานั้นก็ตอบตกลงออกไป เชฟหลักของเราเป็นคนที่มั่นใจในฝีมือของตัวเองเป็นอย่างมาก นี่เป็นข้อเสียที่ทุกคนต่างรู้ เขาจึงโดนหลอกให้รับคำท้าจากนักชิมฟ่งยู่ ”
“ สุดท้ายนักชิมฟ่งยู่เพียงชิมไม่กี่คำ เขาก็คายอาหารที่เชฟหลักของเราทำ และพูดวิจารณ์ในด้านลบอย่างมาก ความมั่นใจในตัวเองของเชฟหลักก็พังพลายลงไป เขารับไม่ได้กับการที่มีคนวิจารณ์อาหารของเขาว่ามันแย่มาก ถึงขนาดที่ว่าต้องคายอาหารออกมา นอกจากจะมีนักชิมฟ่งยู่แล้ว ก็มีนักข่าวและบล็อกเกอร์ชื่อดังหลายคนนำเรื่องของร้านเราไปเผยแพร่ ”
“ ความอับอายที่เกิดขึ้นจากเรื่องนั้นทำให้เชฟหลักของเรารับผิดชอบโดยการลาออกจากร้านไป แม้ว่าผู้จัดการหยานไห่ กับเถ้าแก่โจวซือจะขอร้องให้เขาอยู่ต่อก็ไม่สามารถทำได้ ตั้งแต่เขาจากไปพวกเราพยายามติดต่อหาเขาตั้งแต่ตอนนั้น ทว่าไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่คนเดียว ”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ขอบคุณครับ
มาจนได้สิน่าาาาาาา