นับตั้งแต่วันที่หยางหลิวเข้ามาทำงานที่ร้านภัตตาคารโจวซือ อาหารก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าโดยไม่มีท่าทีที่จะหยุดแม้แต่น้อย
วันแรกขายได้เกือบหมื่นห้าหยวน
วันที่สองขายได้สองหมื่นสองพันหยวน
วันที่สามขายได้สามหมื่นหยวน
รายได้ที่เข้ามาเพิ่มสูงขึ้นทุก ๆ วัน และก็มีคนจำนวนมากเข้าแถวมารอซื้ออาหารจากร้านมากขึ้นทำให้ผู้จัดการหยานไห่ได้ปรึกษากับเถ้าแก่โจวซือ พวกเขาทั้งสองคนเห็นพ้องกันว่าควรจ้างพนักงานเข้ามาทำงานในร้านเพิ่ม เนื่องจากพนักงานมีมากขึ้นทำให้เกิดความสะดวกในการค้าขาย
นอกจากนี้หยางหลิว เชฟเจียงหนาน และเชฟลิ่วอูต่างช่วยกันเตรียมอาหารได้อย่างพอดิบพอดีกับคนที่ต้องการซื้อ โดยพวกเขาจะเตรียมอาหาร 4-5อย่าง และยกให้เชฟเจียงหนาน และเชฟลิ่วอูเป็นผู้ดูแลอาหารเหล่านี้ ส่วนหยางหลิวจะเป็นคนจัดการกับอาหารที่ลูกค้านั่งโต๊ะต้องการ
ตอนนี้ผ่านมา 10วันแล้ว รายได้ที่เข้ามาเฉลี่ยเกือบสี่หมื่นหยวนต่อวัน หรือถ้าคิดเฉพาะกำไรก็ไม่ต่ำกว่าสองหมื่นหยวนต่อวัน !
พนักงานในร้านต่างมีความสุข แม้ว่าในหลายวันมานี้พวกเขาต้องเหนื่อยกว่าเดิมนับสิบเท่าก็ตาม
ทว่าลุงโจวก็ออกมาบอกกับทุกคนว่าจะให้เงินกับทุกคนเพิ่มเป็นพิเศษหลังสิ้นเดือนนี้ นี่ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นอย่างดีสำหรับพนักงานเหล่านี้ เมื่อมีของรางวัล ใครบ้างจะไม่ต้องการ ?
แต่จู่ ๆ วันที่ 11 รายได้ของร้านก็ลดฮวบไปเกือบครึ่ง ยอดขายเหลือเพียงสองหมื่นหยวนต่อวันเท่านั้น
ผู้จัดการหยานไห่ก็ไม่คิดอะไรมากเกี่ยวกับมัน ทว่าผ่านไปหลายวันยอดขายก็ตกลงเรื่อย ๆ
ผู้จัดการหยานไห่จึงสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น ! แม้แต่หยางหลิวก็ยังสังเกตเห็นได้ เพราะจำนวนอาหารเหลือค่อนข้างเยอะ
ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าที่ยอดขายตกไม่ใช่เพราะว่าลูกค้าเบื่ออาหารของร้านโจวซือ แต่เป็นเพราะที่บริเวณภัตตาคารเซี่ยว มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นทำให้มีคนจำนวนมากแห่เข้าไปยังภัตตาคารเซี่ยว โดยมีป้ายข้อความขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า
“ เชิญชิม ! สุดยอดปรมาจารย์อาหารแห่งแดนปฐพีทั้ง 3ท่าน ได้มาถึงแล้ว ”
“ ปรมาจารย์โฉ่วต้าผู้ อันดับ 3 ของรุ่น 58 ”
“ ปรมาจารย์จ่งลั่ว อันดับ 5 ของรุ่น 60 ”
“ ปรมาจารย์โฉ่วฉือ อันดับสี่ ของรุ่น 63 ”
“ โธ่เอ๊ย ! ที่แท้ก็เป็นพวกมันเอง ” ชิงฉือเป็นคนบ่นออกมา
“ แบบนี้มันแกล้งกันชัด ๆ ” ฉิงเยว่พูดพลางถอนส่ายหน้า
“ เถ้าแก่โจว แบบนี้เราควรทำยังไงดี ” ผู้จัดการหยานไห่รับไม่ได้ที่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาโดนกลั่นแกล้ง เถ้าแก่เซี่ยวต้องการที่จะซื้อภัตตาคารโจวซือ เขาได้แสดงออกถึงความต้องการมาหลายครั้งแล้ว แต่เถ้าแก่โจวซือก็ไม่ใช่คนที่ขายอุดมการณ์ของตัวเองกิน เขาสร้างร้านแห่งนี้มากับมือ จะให้เขาทอดทิ้งร้านแห่งนี้ไปเพราะเงินได้อย่างไร ?
พักหลัง ๆ เถ้าแก่เซี่ยวเห็นชัดว่าเถ้าแก่โจวซือไม่ต้องการขายร้านแห่งนี้ เขาจึงได้บีบบังคับเถ้าแก่โจวซืออยู่หลายครั้ง และที่หนักที่สุดคือเชฟหลักที่ลาออกไป สาเหตุก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือเขา เถ้าแก่เซี่ยวนั่นเอง โชคดีที่พวกเขาได้หยางหลิวมาช่วยไว้ไม่งั้นอีกไม่นานร้านแห่งนี้ก็คงต้องถูกขายให้กับเถ้าแก่เซี่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย
“ หลานหยางหลิว เอาอย่างไรดี ? ” ลุงโจวก็คิดไม่ออกเช่นเดียวกับผู้จัดการหยานไห่ เขากังวลไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องของเถ้าแก่เซี่ยว
หยางหลิวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นานในที่สุดเขาก็พูดออกมา
“ อืม… ผมว่าเราปล่อยพวกเขาไปดีกว่า ”
“ หืม ! ทำไมเชฟหยางหลิวถึงคิดเช่นนั้น ” ผู้จัดการหยานไห่ถามออกไปอย่างร้อนรน
“ นั่นสิ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ไม่แน่… ” แม้แต่ลุงโจวซือก็ยังอดไม่ได้ที่พูดออกมา
“ นั่นไม่มีปัญหาแน่นอนครับ ถึงแม้ว่ากำไรเราจะลดลงไปเยอะ แต่ที่สำคัญเราควรพัฒนาเรื่องคุณภาพของร้านเราก่อน ” หยางหลิวพูดตัดบทลุงโจว ในตอนนี้หยางหลิวคิดว่ากำไรเพียงวันละหมื่นหยวนก็ยังคงเพียงพอสำหรับเขา
“ คุณภาพ ? คุณภาพอะไร ? ” เชฟเจียงหนานเป็นฝ่ายถามบ้าง
“ แน่นอนว่าที่เป็นแบบนี้มันมีอยู่หลายสาเหตุ ” หยางหลิวตอบคำถามเชฟเจียงหนานอย่างสบาย ๆ
“ ในช่วงแรกที่ผมมา ร้านของเรานั้นมีพนักงานน้อยเกินไปทำให้บริการไม่ทั่วถึง แต่ตอนนี้พนักงานของเราถือว่าเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ”
“ อย่างที่สองเวลาที่พวกเราทำอาหารนั้น ส่วนใหญ่เป็นอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กันในทุกวัน ถึงแม้อาหารจะอร่อยจริงก็ต้องมีหลายคนที่เริ่มจะเบื่อ ”
“ ต่อมา สำหรับลูกค้านั่งโต๊ะ อันนี้สำคัญที่สุด ลูกค้าของเรากว่าครึ่งเป็นลูกค้านั่งโต๊ะและพวกเขามากินอาหารด้วยกันกับครอบครัว จะเห็นว่ากว่าแต่ละโต๊ะจะได้กินก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ”
“ อืม… แล้วเราจะแก้ปัญหายังไง ? ” เชฟลิ่วอูพูดขึ้นมาบ้าง
“ ง่ายนิดเดียว ผมคิดว่าจะสอนสูตรการทำอาหารบางอย่างให้กับเชฟลิ่วอู และเชฟเจียงหนาน นอกจากนี้ผมคิดว่าจะสอนเทคนิคการทำอาหารให้ด้วย ” หยางหลิวตอบไปพร้อมกับยิ้ม
“ จริงเหรอ !!? ” เชฟเจียงหนาน กับเชฟลิ่วอูถึงกับหูผึ่งไปเลย ความจริงแล้วพวกเขาก็อยากจะเรียนรู้ทักษะกับหยางหลิวเช่นกันแต่ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป ด้วยอายุอานามก็ปาไปสี่สิบแล้ว จะไปลดตัวขอให้เด็กที่แก่กว่าเกือบครึ่งชีวิตมาสอนมันก็กระไรอยู่
“ จริงแท้แน่นอนครับ ความจริงผมก็คิดจะพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว อีกประมาณ 3เดือนผมก็จะไม่ได้ทำงานที่นี่อีกและก็คงจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับการทำอาหารไปสักพัก ” หยางหลิวพูดกับเชฟทั้งสอง
“ ว่ายังไงนะ !? ” พนักงานในร้านทุกคนต่างตกใจ เป็นที่ทราบกันว่าหยางหลิวคือเชฟหลักของที่นี่แม้จะไม่ได้ป่าวประกาศออกมา แต่พวกเขาก็เข้าใจเป็นอย่างดี
ในตอนนี้สิ่งที่หยางหลิวพูดมาทำให้พวกเขาแทบพวกไม่ออก
หยางหลิวกำลังจะลาออก ? นี่มันเรื่องจริงใช่ไหม ?
บางคนก็เผลอคิดไปว่าหยางหลิวนั้นเห็นแก่เงินจึงได้ไปทำงานในภัตตาคารที่ให้รายได้มากกว่านี้
แต่ในที่นี้มีเพียงสองคนที่เข้าใจเรื่องราวเท่าหมด
นั่นคือหยางหลิว และลุงโจวซือ
“ เอาล่ะ ๆ ไม่จำเป็นต้องตกใจ ” ลุงโจวซือพูดมาด้วยท่าทีสบาย ๆ ทุกคนจึงทราบว่าลุงโจวซือคงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าหยางหลิวจะไม่ทำงานที่นี่ต่อ
ผู้จัดการหยานไห่ไม่กล้าที่จะปริปาก เขาเพียงใช้สายตาถามเถ้าแก่โจวซือ นอกจากนี้หลาย ๆ คนก็ยังจ้องไปยังเถ้าแก่โจวซือด้วยเช่นกัน พวกเขาอยากได้คำอธิบายของเรื่องราวนี้
“ ความจริงแล้ว หลานฉันแค่มาทำงานหาเงินไปเรียนต่อที่ ม.ปักกิ่ง เท่านั้นแหละ ” ลุงโจวพูดด้วยรอยยิ้ม
“ ม.ปักกิ่ง !? ” พนักงานวัยรุ่นในร้านถึงกับตกใจ พวกเขาล้วนรู้ดีว่า คนที่จะเข้าไปเรียนที่ ม.ปักกิ่ง ได้นั้นต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน พวกเขาอิจฉาความสามารถของหยางหลิวเป็นอย่างมาก ด้วยวัยแค่นี้ อายแค่ 18-19ปี ก็ประสบความสำเร็จมากมาย พวกเขาทำได้แค่อิจฉาและยอมรับความเป็นจริง
“ ถูกต้อง ! อีก 3-4เดือน ก็จะครบกำหนดเปิดภาคเรียนแล้ว ดังนั้นหยางหลิวจึงจำเป็นที่จะต้องออกจากงาน และไปเรียนต่อที่ ม.ปักกิ่งแทน ” ลุงโจวพูดขึ้นมาอีกครั้ง ในทุก ๆ ครั้งที่เขาพูดขึ้นมาเขาก็ไม่มีความรู้สึกเสียใจแม้แต่ครั้งเดียว หลานของเขาเพียงผ่านมาช่วยเหลือก็ดีมากเท่าไหร่แล้ว และหยางหลิวก็ยังพูดอีกว่าจะสอนสูตรการทำอาหารให้กับเชฟเจียงหนาน และเชฟลิ่วอูอีกด้วย ขอแค่เชฟทั้งสองคนทำอาหารให้ใกล้เคียงสัก 50% ของที่หยางหลิวทำนั่นก็เพียงพอที่จะเป็นอาหารจานหลักของภัตตาคารโจวซือแล้ว
“ เป็นอย่างที่ลุงโจวพูด ผมมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน ดังนั้นผมจึงมาทำงานกับลุงโจว ส่วนที่ผมบอกว่าจะสอนสูตรให้นั้นเป็นเรื่องจริง เพราะผมกังวลว่าถ้าผมจากไปร้านโจวซือแห่งนี้อาจจะมีปัญหาได้ ” หยางหลิวบอกความจริงกับทุกคน
สิ่งที่หยางหลิวกับเถ้าแก่โจวซือบอกมานั้นทำให้เชฟเจียงหนาน และเชฟลิ่วอูดีใจเป็นอย่างมาก
พวกเขายอมรับเลยว่าหยางหลิวมีความสามารถเหนือพวกเขากว่าร้อยพันเท่า และการที่หยางหลิวอายุเด็กกว่าพวกเขาแต่มาทำงานเป็นเหมือนเชฟหลัก ถึงพวกเขาจะรู้สึกดีกับหยางหลิว แต่ใช่ว่าจะไม่อิจฉา ในส่วนลึกของจิตใจนั้นพวกเขาก็ต่างคิดถึงเรื่องนี้ถึงจะไม่มาก ทว่าในหลายวันก่อนมันก็กัดกร่อนจิตใจพวกเขาไปพอสมควร
แต่ตอนนี้พวกเขาเหมือนได้ตัดขาดจากความคิดอิจฉาหยางหลิวออกไปเรียบร้อย หยางหลิวเป็นบุคคลที่น่านับถืออย่างมาก ถึงอายุจะยังน้อยแต่หยางหลิวก็คิดถึงบุคคลอื่นอยู่เสมอ และที่พวกเขาดีใจมากที่สุดก็คือว่า การได้เรียนรู้กับยอดอัจฉริยะนั้นคือสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันถึง เพื่อสักวันพวกเขาจะต้อง เป็นเชฟที่สุดยอด โอกาสแบบนี้แหละจะเป็นสะพานที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ !
ขอบคุณครับ
ชำละล้างงงงงงงง