ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แม่มดคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้นรบกวนพวกคุณกลับไปเถอะค่ะ (ชื่อชั่วคราว)

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7: พิธีหวนคืนสู่ละอองดาว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 469
      54
      7 มิ.ย. 64

     

    เมื่อข้ากลับมาถึงบ้านข้าใช้พลังจำลองพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมารักษาแขนตัวเอง ทว่าไม่ทันจะทิ้งตัวลงนั่ง โอฟี่ก็บุกเข้ามาพร้อมลากข้าไปแต่งตัวเตรียมงานหวนคืนหรือชื่อเต็มก็คือ พิธีหวนคืนสู่ละอองดาว เป็นพิธีที่เราจะร่วมกันปล่อยโคมเพื่อเป็นแสงส่องนำทางให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ อวยพรให้พวกเขาเดินทางกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของดวงดาราบนแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ ถือเป็นพิธีที่สำคัญมากสำหรับพวกเราเลยทีเดียว แต่บอกตามตรงว่าวันนี้ข้ามีแต่เรื่องวุ่นๆ ทั้งวัน จนข้าลืมเกี่ยวกับพิธีนี้ไปเลย

     

    ค่ำคืนนี้ข้าต้องแต่งชุดพิธีการเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ กระจกตรงหน้าสะท้อนภาพของข้าที่อยู่ในชุดเดรสแขนยาวเกาะอกสีดำตกแต่งด้วยอัญมณีขนาดเล็กมากมายที่ส่องประกายแวววาวราวกับหมู่ดาวบนฟากฟ้าในขณะนี้ เส้นผมสีเงินประกายหม่นเหลือบฟ้าปล่อยยาวสยายสวมทับด้วยหมวกทรงแหลมสีดำสนิทกลืนไปกับท้องฟ้ายามราตรี

     

    “ท่านแม่มดไม่ว่าจะใส่ชุดอะไรก็ดูเลิศไปหมดเลย!” ชายหนุ่มหน้าสวยผมยาวสีม่วงเข้มที่วันนี้แปลกตาไปเสียหน่อยเพราะเจ้าตัวใส่สูทสีดำกับมัดผมหางม้าทรงสูงเรียบร้อย เขายืนปรบมือเกรียวกราวอย่างพึงพอใจในผลงานของตน

     

    “ไปกันเถอะ” ข้าพูดด้วยความอ่อนเพลีย

     

    "ท่านไหวแน่นะ?" โอฟี่เห็นท่าทางเหนื่อยล้าของข้าก็ถามอย่างกังวล

     

    "ไม่เป็นไร" ข้ายังยืนยันคำเดิมก่อนจะเดินออกไปหน้าบ้าน โดยที่ตอนนี้ภานในลานสนามหญ้ามีซิลฟ์ในร่างกริฟฟอนนอนหมอบอยู่ ซึ่งเมื่อข้าเปิดประตูออกมา เขาก็ผงกหัวขึ้นมาพร้อมส่ายหางไปมาจนแยกไม่ออกว่าเป็นนกหรือหมา?

     

    "ว่าไงจ๊ะ เฝ้าบ้านได้ดีนี่เจ้าหมาน้อย~" โอฟี่เอ่ยทักอย่างล้อเลียน ซิลฟ์ถอนหายใจพรืดใหญ่ เกิดเป็นลมขนาดย่อมเป่าเสื้อผ้าหน้าผมที่เซ็ตมาอย่าดีของโอฟี่ให้ยุ่งเหยิงเป็นการเอาคืน

     

    ข้ามองไม่สนใจการทะเลาะกันเล็กๆ ของทั้งสองคน ลอยตัวขึ้นไปนั่งบนหลังซิลฟ์ทันที

     

    "เจ้านกบ้า! เจ้าทำอย่างนี้ได้เยี่ยงไร!" โอฟี่โวยวาย

     

    "ข้าเป็นกริฟฟอน" ซิลฟ์ตอบหน้าตาย

     

    "ต่างกันตรงไหนล่ะยะ!"

     

    "นกมีปีกอย่างเดียว แต่กริฟฟอนอย่างข้ามีหัว ขาหน้า และปีกเป็นนกอินทรี ส่วนขาหลังและหางข้าเป็นสิงโต" ซิลฟ์เลคเชอร์หัวข้อ 'ลักษณะของกริฟฟอน' เสร็จ เขาก็ไม่สนใจโอฟี่อีกต่อไป เขาจึงหันมาถามข้าแทน

     

    "ไปกันเลยไหมขอรับ"

     

    "อืม" ข้าบอกอย่างเอือมๆ

     

    เมื่อข้าพูดจบซิลฟ์ก็โผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรีทันที โดยทิ้งโอฟี่ที่กำลังทำหน้าเหวออยู่ด้านล่างไว้เพียงลำพัง

     

    "รอข้าด้วยสิเจ้านกบ้าาาาา!" เขาตะโกนขึ้นมาเสียงดังลั่น

     

    "เจ้าชักช้าเอง อย่าสายเสียล่ะ" ซิลฟ์ทิ้งท้ายอย่างเจ็บแสบ ทำเอาโอฟี่ได้แต่กัดฟันกรอด อย่าให้ถึงทีเขาบ้างล่ะ! เชอะ!

     

    ข้านั่งเหม่อมองท้องฟ้าอันมืดมิด เพราะวันนี้เป็นคืนเดือนมืด คืนนี้จันทราแสนสวยจึงอดฉายแสงไปตามระเบียบ

     

    "คิดอะไรอยู่หรือขอรับ" ซิลฟ์ดึงข้าออกมาจากภวังค์ความคิดแสนยุ่งเหยิงในหัวข้าออกมาสู่โลกความเป็นจริง

     

    "ข้าแค่คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวข้ากลายเป็นหนึ่งในดวงดาวเหล่านั้นบ้าง..."

     

    "...ท่านพูดเหมือนกับว่าท่านอยู่มานานมากแล้ว..."

     

    "ไม่รู้สิ... ความทรงจำข้ามันเลือนลางมาก มันคงเป็นแค่ความรู้สึกที่เหลืออยู่กระมัง" แต่ข้าคิดว่าน่าจะเป็นความรู้สึกของเจ้าของร่างคนเก่าเสียมากกว่า ความเจ็บปวดที่ไม่มีที่มาที่ไปนี้น่ะ

     

    "..." ซิลฟ์ครุ่นคิดเงียบๆ โดยปกติแล้วท่านแม่มดจะออกแนวขี้โมโห เสียงดัง โวยวายอยู่ตลอดเวลา ทว่าบางครานางก็นิ่งเงียบเสียจนน่ากลัว ความจริงแล้วพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าท่านแม่มดอาศัยอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว

     

    จากที่ข้าเคยอ่านมาจากบันทึกของเจ้าของร่างคนเก่า นางเล่าว่าในอดีตป่าเบลล่าทริกซ์แห่งนี้เคยเป็นเพียงพื้นที่รกร้างสำหรับการทำสงครามของเหล่ามนุษย์และปีศาจ โดยที่พวกเขาทั้งสองต่างใช้สัตว์อสูรอย่างพวกเราเป็นเครื่องมือในการทำสงคราม

     

    เมื่อสงครามจบลงนางก็ฟื้นฟูพื้นที่รกร้างนั่นขึ้นมาเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ เหล่าสัตว์อสูรที่สามารถหลบหนีออกมาจากการเป็นทาสของเหล่าปีศาจและมนุษย์มาต่างก็พากันมาตั้งรกรากที่นี่

     

    เผ่ามังกรเป็นเผ่าแรกที่เข้ามาอยู่ที่นี่ แต่หัวหน้าเผ่าคนแรกผู้ที่คาดว่าน่าจะสนิทกับนางที่สุดนั้นตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าพออ่านมาถึงตรงนี้ทีไรข้าก็พาลปวดใจมันทุกที แล้วบันทึกก็จบลงตรงนั้นอย่างน่าเสียดาย...

     

    ในอดีตมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ...

     

    เนื่องจากข้ามัวแต่จมอยู่กับความคิดของตนเอง ข้ารู้ตัวอีกทีก็ถึงใจกลางป่าเสียแล้ว

     

    ต้นวิสทีเรียถูกตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสี พร้อมด้วยโคมลอยดวงใหญ่ที่สุดลอยอยู่หน้าต้นไม้โดยมีโซ่ตรึงไว้ 4 มุม ทุกคนต่างอยู่ในชุดพิธีการสีดำเรียบๆ ในมือถือโคมลอยกันคนละดวงพูดคุยกันระหว่างรอข้ามาเปิดงาน

     

    ซิลฟ์ส่งข้าลงตรงลานทำพิธีหน้าต้นวิสเทอเรียแล้วก็แปลงกายเป็นมนุษย์เดินลงจากลานพิธีไป แต่โอฟี่ผู้ดำเนินพิธียังมาไม่ถึง ข้าจึงเริ่มด้วยการคุยเล่นเพื่อรอคนมาร่วมพิธีให้ครบ

     

    "ท่านแม่มดมาแล้ว!" ใครคนหนึ่งจะโกนขึ้น ทำให้ทุกคนในงานหันมาสนใจข้ากันเสียหมด

     

    ข้ายิ้มแล้วทักทายพวกเขาพอเป็นพิธีอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกถึงแรงดึงเบาๆ ตรงขอบชายกระโปรง เมื่อข้าหันไปมองก็พบกับเด็กชายคนหนี่ง

     

    ข้ามองสำรวจเด็กชายตรงหน้าพบว่า คืนนี้เขาใส่ชุดเสื้อคอปกแขนยาวสีดำพร้อมกางเกงขาสั้น ผมเผ้าที่ยาวรกรุงรังบัดนี้ก็เหลือเพียแค่ผมซอยสั้นและผมหน้าม้าที่ปิดดวงตาสีสวยของเขาไว้เสียมิด

     

    "เขาอยากมาหาท่านน่ะเจ้าค่ะ" เอรีเอดเน่เดินตามหลังเขามาเงียบๆ

     

    "แล้วเจ้าจะเกาะข้าทำไมมิทราบ?" ข้าถามอย่างรำคาญใจ

     

    "…"

     

    “ปล่อย!” ข้ากระชากตัวเด็กชายออกจากกะโปรงอย่างแรง

     

    “ไม่!” เด็กชายเกาะแน่นยิ่งกว่าเดิมอีก

     

    “เจ้าลูกลิงนี่!” ผู้คนโดยรอบต่างลนลานไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับเหตุการณ์ตรงหน้าดี จนกระทั่ง…

     

    แคว่ก! ข้ากระชากเขาออกอย่างแรงจนกระโปรงข้าขาดติดมือเขาไปด้วย

     

    “…” บรรยากาศพลันติดลบ พาลทำให้ทุกคนขนลุก

     

    เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง! ข้าโยนเขาออกไปสุดแรง แต่ยังโชคดีที่เอวาสร้างบาเรียขึ้นมาขวางเอาไว้ก่อนที่นัวร์จะกระเด็นไปทำต้นไม้หักเป็นทางยาวจนต้องลำบากตามไปซ่อมกันอีก ถึงนัวร์จะกระแทกเข้ากับบาเรียไปสามชั้นเต็มๆ เลยก็ตาม

     

    แต่ก่อนที่เรื่องจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ โอฟี่ก็เข้ามาในงานพอดี เขามองบรรยากาศมาคุแล้วก็ขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะตบหน้าตัวเองแปะๆ ทำเป็นมองไม่เห็นอะไรแล้วเดินไปลากมือท่านแม่มดเดินไปที่ลานพิธี ถึงแม้จะโดนนางสบัดมือทิ้งทันทีเลยก็เถอะ

     

    ถึงข้าจะอารมณ์ร้ายแต่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผล ข้าใช้เวทย์ซ่อมกระโปรงตัวเองก่อนจะเดินกระแทกส้นสูงเข้าไปในลานพิธี บรรยากาศรอบข้างพลันผ่อนคลายลง ส่วนเจ้าเด็กนั่น….ก็ช่างหัวมันเถอะ!

     

    "ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เรามาเริ่มทำพิธีกันเถอะ" โอฟี่กล่าวเสียงกังวาล ข้าเดินไปลูบโซ่ตรวนที่ขึงโคมลอยไว้ราวกับรอใครซักคนมาปลดปล่อยมัน พร้อมกับดวงตาข้าที่เรืองแสงสีฟ้าออกมา

     

    "ข้าแด่ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ... ข้าขอมอบคำอวยพรแก่เจ้า..."

     

    เคร้ง! โซ่เส้นที่ 1 แตกออก

     

    "จงหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทั้งปวง"


     

    เคร้ง! ตามด้วยโซ่เส้นที่ 2


     

    "ไม่จำเป็นต้องเสียใจหรือเสียดาย"


     

    เคร้ง! โซ่เส้นที่ 3


     

    "ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงเพราะพวกข้าสัญญาว่าจะใช้ชีวิตให้ดี"


     

    เคร้ง! โซ่เส้นสุดท้าย...


     

    "จงเป็นอิสระและอย่าลืมมีความสุขมากๆ เสียล่ะ"


     

    ข้ายืนมองโคมลอยที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เปรียบเสมือนพวกเขาได้ปลดโซ่ตรวนทั้งหลายแล้วจากไปไม่มีวันหวนกลับอีกต่อไป

     

    โคมไฟดวงน้อยอีกหลายดวงลอยตามขึ้นไปจนละลานตา แต่งแต้มสีสันให้กับผืนฟ้าสีดำสนิทอันกว้างใหญ่สว่างไสวสวยงาม

     

    หลังจากนั้นสติข้าก็เลือนลางไม่รู้ว่ากลับมาถึงบ้านได้ยังไงหรือเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นบ้าง วันนี้ข้าต้องใช้สมาธิในการควบคุมพลังอย่างมากทีเดียวเพราะไม่มีคฑาช่วย ไม่งั้นแทนที่จะเป็นการปลดโซ่อาจจะกลายเป็นระเบิดตูมใหญ่แทน ดังนั้นเมื่อหัวถึงหมอนข้าก็หลับลึกด้วยความอ่อนล้าทันที

     

    __________________________________

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×