บทบรรยาย:: พระพาย พัชรนันท์
บรรยากาศการทำงานกลับมาเหมือนเดิมแล้ว อัยย์ก็ยังคงทำงานได้เป็นมืออาชีพอย่างเดิมแม้ว่าเมื่อกี้เธอจะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาก็ตาม แต่เธอก็ยังสามารถยิ้มแย้มให้กับกล้องได้อย่างแจ่มใสเหมือนเมื่อกี้ผมแค่คิดไปเองว่าเธอร้องไห้อ่ะ
แล้วตอนนี้ยังมีอีกเองที่ผมเริ่มไม่มั่นใจด้วยว่าตัวเองคิดไปเองรึเปล่า
อัยย์พูดเรื่องลูก
เราไม่เคยพูดเรื่องนี้กันมาก่อนตั้งแต่ตกลงเรื่องแต่งงาน เรื่องเดียวที่พูดคือเรื่องข้อตกลงกับเรื่องที่เราจะหย่ากันแค่นั้น แต่ก็แค่พูดเอาไว้ก่อนเท่านั้นเอง ผมไม่ได้กำหนดระยะเวลาเราต้องแต่งงานกันนานแค่ไหน ถ้าเธอรู้สึกว่าไม่อยากมีพันธะกับผมแล้วเธอสามารถเดินมาขอหย่าได้ เพราะงั้นเราเลยไม่ได้พูดเรื่องลูกกันไง
แล้วก็ไม่นึกเลยว่าอัยย์จะแอบคิดเรื่องนี้อยู่
ไม่รู้สิ เธอกำลังรุ่งกับงานในวงการของเธออ่ะ ถ้าวันหนึ่งต้องมาหยุดพักงานไปเพราะต้องเลี้ยงลูกผมมองว่ามันไม่คุ้ม แล้วต้องทิ้งห่างจากงานไปนานด้วย
แต่ก็เป็นแค่ความคิดของผมอ่ะ
อัยย์อาจจะวางแผนเรื่องอนาคตเอาไว้หมดแล้วแหละมั้ง
วางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าอนาคตที่ว่าจะมีผมอยู่ในนั้นมั้ย
ก็...ช่างมันเถอะ
ไม่มีผมก็ไม่เป็นไรเพราะยังไงเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันอยู่แล้วอ่ะ แล้วอัยย์เองก็ไม่ได้มีแววจะหันมาชอบคนอย่างผมด้วย
ไอ้คนที่เกือบจะไม่มีอะไรดีอย่างผมนี่แหละ
“ดีมากครับน้องอัยย์ พักห้านาทีแล้วน้องเคทเตรียมถ่ายเซ็ทคู่นะครับ”
“ค่ะ/ครับ”
ผมหันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มต่ำที่ตอบรับเมื่อกี้ สายตาจับจ้องไปที่เขาคนนั้นไม่วางตาเพราะรู้สึกแปลกใจในอะไรบางอย่างมาตั้งแต่แรกแล้ว
ถึงผมจะดูเป็นคนไม่ค่อยสนใจการงาน แต่ใช่ว่าผมจะไม่มีข้อมูลอะไรในหัวเลยนะ ผมแค่ไม่มีแพชชั่นที่จะทำแค่นั้น แต่เรื่องข้อมูลก็อ่านและรับรู้มาไม่น้อยไปกว่าแม่ของผมเลย ดังนั้นผมก็ต้องรู้จักหน้าตาของนางแบบและนายแบบเกือบทั้งวงการอยู่แล้ว แต่ว่าผมกลับไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนของอัยย์มาก่อนเลย และยิ่งฝีมือการทำงานของเขาค่อนข้างดีผมเลยยิ่งแปลกใจเข้าไปอีกว่าผู้ชายคนนี้ไปอยู่ไหนมา
ถ้าฟังจากที่อัยย์เล่ามาคือเขาเป็นลูกครึ่งที่อยู่ต่างประเทศมาตลอดไม่และเคยกลับไทย แต่ตามนิตยาสารต่าง ๆ ก็ไม่เคยมีรูปของคน ๆ นี้เลยสักนิด แน่ใจหรอว่าเป็นนายแบบจริง ๆ น่ะ?
ผมได้แต่คิดเองเงียบ ๆ อยู่คนเดียว แต่เหมือนว่าผมจะจ้องอีกฝ่ายนานเกินไปเขาเลยรับรู้ได้ถึงสายตาก่อนจะหันมามองผมแล้วยกมือไหว้กันด้วยท่าทางที่เก้ ๆ กัง ๆ เล็กน้อย ผมเลยต้องยกมือรับไหว้ไปก่อนจะหันไปมองร่างบางที่อยู่รออยู่ในฉาก ซึ่งถึงแม้จะมีเวลาพักก่อนเริ่มถ่ายเซ็ทต่อไป แต่อัยย์ก็เอาเวลานี้ไปคุยและปรึกษากับช่างภาพว่าต้องทำแบบไหนถึงจะดี ผมเลยละความสนใจจากผู้ชายคนนั้นก่อนจะหันไปมองการทำงานของอัยย์ต่อ
“คุณพระพายไม่นั่งหรอคะ?” อ้อยผู้จัดการของอัยย์เดินมาถามผมเพราะก่อหน้านี้เธอเอาเก้าอี้มาให้ผมนั่งแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่นั่งสักที
“นั่งแล้วมองอัยย์ทำงานไม่ถนัด” ผมว่า แต่ก็ทิ้งตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้เพราะตัวเองก็ยืนมานานพอสมควรแล้ว
“คุณพระพายสนใจไปนั่งข้างช่างภาพมั๊ยคะ? เดี๋ยวอ้อยไปคุยให้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเกะกะเขาเปล่า ๆ ไม่ใช่งานของตัวเองด้วย” ก็แจกแจงเหตุผลไป
จริง ๆ ตอนแรกก็ตั้งใจจะมาป่วนนั่นแหละ แต่ก็แค่จะมากวนตอนเธอพักเบรกแค่นั้นแล้วก็จะไปหลบมุมแล้วมองเหมือนที่ผ่านมา แรต่วันนี้พอเห็นว่าเธอร้องไห้เลยไม่กล้าไปอยู่ไกล ๆ
มันตกใจ ทำตัวไม่ถูก จะให้กวนเหมือนปกติก็ไม่กล้าทำ จะให้นิ่งเฉยไปเลยก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอีก สุดท้ายก็เลยได้ยืนดูอยู่ในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลแบบนี้ จะให้นั่งก็มองไม่ชัด แต่พอยืนตลอดก็ทรมานตัวเองอีก
“น้องนายแบบถ้าพร้อมแล้วเข้ามาได้เลยนะครับ” เสียงช่างภาพดังขึ้นหลังจากที่ตกลงเรื่องมุมกล้องและการโพสต์ท่าต่าง ๆ กับอัยย์เสร็จเรียบร้อย
“ครับ” เคทตอบเสียงเรียบ
อัยย์กระโดดไปมาเหมือนวอร์มร่างกายรอการถ่ายทำ แต่พอเพื่อนชายของเธอเข้าไปหยุดยืนใกล้กันอัยย์ก็ยืนนิ่ง ๆ
ทั้งคู่พูดคุยกันเล็กน้อย ท่าทางสบาย ๆ ของเคทที่ตรงกันข้ามกับท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ของอัยย์ทำให้ผมถึงกับพ่นลมหายใจออกมาห้วน ๆ
มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าอัยย์ประหม่าน่ะ
คนแบบอัยย์หายากนะที่จะเห็นเธอประหม่าจนสังเกตได้แบบนี้
เหอะ! อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหมั่นไส้!
ภาพที่อยากได้มีทั้งถ่ายแบบอยู่ในเฟรมเดียวกัน แต่ไม่แตะตัวกันกับที่โดนตัวกัน นี่คือสิ่งที่ช่างภาพเขาต้องการ ผมก็กอดอกนั่งพิจารณาทุกอย่างด้วยความเงียบ มองการจัดท่าทางของอัยย์ที่ดูพยายามให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดตอนที่เธอกับเพื่อนกำลังลองโพสต์ก่อนว่าควรทำท่าไหนดี
เป็นเรื่องที่แปลกหูแปลกตาโคตร
แต่ก็มีเรื่องให้แซวเธอในอนาคตแล้ว
“ถ้าพร้อมแล้วให้สัญญาณได้เลยนะครับ” ช่างกล้องเริ่มส่งเสียงและเริ่มเตรียมตัว
“ค่ะ” อัยย์พยักหน้ารับก่อนจะเริ่มไปยืนตามตำแหน่งที่ช่างภาพเคยบรีฟให้ก่อนหน้านี้
แต่ถึงจะประหม่ายังไงพอช่างเริ่มกดชัตเตอร์สีหน้าของเธอก็กลับมาเป็นปกติในเสี้ยววินาที
สุดยอดจริง ๆ แหละผู้หญิงคนนี้
“เคทเอียงข้างแล้วหันหน้ามานะครับ”
ส่วนเพื่อนของอัยย์ เขาก็ทำได้ดีจริง ๆ นะ ถึงการสื่อสารบางคำจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ว่าก็มีอัยย์กับช่างภาพที่พยายามสื่อสารกับเขาด้วยคำพูดที่ง่ายในการเข้าใจอยู่ แล้วอีกอย่างอัยย์ก็คอยบอกเป็นภาอังกฤษด้วย ดังนั้นเลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
อืม ก็ทำงานกันได้ราบรื่นดี
“โอเคครับ ต่อไปขอเป็นวีดิโอสั้น ๆ เหมือนเดิมนะครับ” ช่างภาพว่านางแบบและนายแบบทั้งคู่เลยต้องย้ายโลเคชั่นไปอีกทีนึงเพราะตรงนั้นมีการเตรียมกล้องสำหรับการถ่ายทำวีดิโอโปรโมทไว้แล้ว
ก็มีแค่เดิน หมุนตัว กอดคอ ไม่ก็ทำตัวเท่ ๆ กันเท่านั้นสำหรับซีนคู่ ส่วนซีนเดี่ยวก็เล่นอะไรได้ก็เล่นไป จะเล่นกับพร็อพหรือเล่นหูเล่นตากับกล้องก็ได้
อีกแค่ซีนเดียวก็รู้สึกว่าจะจบแล้ว
ถือว่าทำเวลาได้ดีอยู่เพราะตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสามนิด ๆ เอง
“ขอมือล่วงกระเป๋าทั้งคู่นะครับ ก้มหน้าลงทั้งคู่ กล้องจะเข้าไปจากทางด้านหลังของอัยย์นะ พี่จะนับจังหวะเหมือนเดิม ถึงสามแล้วให้เงยหน้าขึ้นมามองกล้องนิ่ง ๆ ทั้งคู่นะครับ”
“ค่ะ/ครับ”
“โอเคครับ เริ่มเลย”
จบบทบรรยาย:: พระพาย
“โอเค สุดยอดครับ” เสียงตากล้องพูดพร้อมกับเสียงปรบมือจากทั่วสารทิศทำให้ฉันพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ กันที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากนอกจากสอดส่องสายตาของเขาไปมารอบ ๆ เท่านั้น
ตั้งแต่เคทปรากฏตัวต่อหน้าฉัน เราก็ยังไม่ได้พูดอะไรเป็นจริงเป็นจังกันสักอย่างเลย ตั้งแต่แรกฉันก็เอาแต่ร้องไห้ พอหยุดก็กลับมาถ่ายงานต่ออีก จนถึงตอนนี้ที่ถ่ายงานเสร็จ มีพูดกันระหว่างถ่ายงานบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องการโพสต์ท่าเท่านั้น
ดังนั้น...
ตอนนี้...
“คะ...”
“เคทยังเหลือ 1 ชุดนะ” เสียงตากล้องดังขึ้นก่อนท่ฉันจะทันได้เรียกชื่อของเคทออกไปเสร็จ ทำให้ฉันต้องยืนเงียบเหมือนเดิมพร้อมกับถอยห่างออกไป
คนตัวสูงหันมามองฉันก่อนเพียงครู่เดียวก่อนจะตอบรับช่างภาพไป “ครับ”
เพราะแบบนั้นฉันเลยตั้งท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้และเปลี่ยนชุดคืน แต่ว่าคนข้างหลังก็คว้าข้อมือของฉันเอาไว้พร้อมเสียก่อน
“ขอเบอร์หน่อย”เคทพูดด้วยเสียงที่ไม่ได้เรียบนิ่งมาก “หรือช่องทางการติดต่อไหนก็ได้ ได้มั๊ย?”
ฉันหันทั้งตัวไปยืนเผชิญหน้ากับเคทก่อนจะบอกเขาออกไป “ได้สิ”
เคทปล่อยข้อมือของฉันให้เป็นอิสระ ฉันยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าก่อนจะพูดย้ำออกไปอีก “ได้อยู่แล้ว”
“ไม่ต้องขอสามีเธอก่อนหรอ?” ครั้งนี้น้ำเสียงที่เกือบจะเรียบนิ่งมีความกวนขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้นหนึ่งข้าง มองยังไงก็รู้ว่าเป็นคำถามที่จงใจกวนกันน่ะ
ฉันยิ้มออกมาอีกครั้ง
เหมือนบรรยากาศเดิม ๆ ระหว่างเรามันกลับมาแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่ถ่ายรูปอยู่ขอสารภาพว่าแอบเกร็งเล็กน้อยเพราะอย่างที่บอกไปเราไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วอยู่ ๆ เขาก็มาโผล่อยู่ต่อหน้าฉันแบบนี้ แล้วยังต้องมาทำงานด้วยกันอีก อย่างน้อยถ้าก่อนหน้านี้เราได้คุยกันหรือติดต่อกันตลอดบ้างฉันก็คงไม่เกร็งขนาดนี้อ่ะ
“ไม่ต้องขอก็ได้” ว่าเสร็จก็หันไปมองพระพายที่กำลังยืนกอดอกมองพวกเราอยู่ “หรือจะไปขอพอเป็นพิธีก็ได้” ฉันว่าก่อนจะหันกลับไปมองที่เคทอีกทีแล้วค่อยพูดต่อ “ค่อยขอเบอร์ฉันกับพี่อ้อยนะ”
“ได้” แค่นั้นฉันก็หมุนตัวแล้วเดินออกไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับไปพูดกับเคทอีกหนึ่งประโยค
“ดีใจที่ได้เจออีกนะ”
“เหมือนกัน”
เมื่อได้ฟังเคทเสร็จ ฉันก็เดินแยกออกไปหาเคทพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยการจับผิดของคนในกองถ่าย
จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้บอกเลยว่าฉันกับเคทรู้จักกันน่ะ คิดว่าไว้มีโอกาสเดี๋ยวค่อยบอกก็ได้ ยังไงวันนี้ก็มีนัดเลี้ยงทีมงานทั้งทีมอยู่แล้ว ถ้าถึงตอนนั้นยังมีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานะของเราอยู่ฉันก็จะอธิบาย ณ ตรงนั้น แต่อนนี้เวลาทำงานอยู่ ดังนั้นให้ทุกคนโฟกัสกับงานก่อนดีกว่า
“เสร็จแล้ว” ฉันเดินไปพูดกับพระพายพร้อมกับยักไหล่ขึ้นลงเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันไปรับเสื้อที่ตัวเองใส่มาจากพี่ช่างแต่งหน้าที่ถือมาให้มาถือไว้กร้อมกับหันไปก้มหน้าให้เพื่อเป็นการขอบคุณและไม่ลืมที่จะยิ้มให้ด้วย
“น้องอัยย์จะกลับก่อนก็ได้นะคะ เพราะยังไงก็ไม่มีคิวถ่ายต่อแล้ว” พี่ช่างแต่งหน้าว่า
ฉันได้ยินแบบนั้นก็เลยเงยหน้าขึ้นไปมองพระพายเพื่อดูว่าเขาจะทำยังไง แต่คนตัวสูงกลับยักไหล่เหมือนกับบอกว่าแล้วแต่ฉันเลย ซึ่งฉันก็ไม่ได้วางแผนอะไรต่อด้วย ตามเดิมก็มีแค่ถ่ายเสร็จก็กลับเท่านั้น ถึงบ้านแล้วก็ค่อยคิดอีกทีว่าจะทำอะไรต่อ คือแพลนของฉันน่ะไม่ได้คิดว่าพระพายจะมาไง
“เธออยากพูดอะไรกับเพื่อนเธอต่อมั๊ยล่ะ?” พระพายถาม
ฉันได้ยินคำถามแบบนั้นเลยส่ายหน้าไปแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย
ก็เดี๋ยวก็จะเจอกันตอนกินเลี้ยงอยู่แล้ว ถ้าเขามานะ ส่วนถ้าเขาไม่มาก็ค่อยคุยกันทีหลังก็ได้เพราะเดี๋ยวพี่อ้อยก็ให้เบอร์ฉันไปเอง ดังนั้นค่อยคุยกันก็ได้
“งั้นจะกลับบ้านเลยมั๊ย?” พระพายถาม
“เอาดิ กลับเลยก็ได้” ฉันว่าพร้อมกับยกเสื้อผ้าในมือขึ้นก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวไปเปลี่ยนชุดก่อน นายกลับก่อนเลยก็ได้” เพราะว่าเรามารถคนละคัน เขาไม่ต้องรอฉันเปลี่ยนชุดเสร็จก็ได้
พระพายพยักหน้าก่อนจะคลายมือที่กำลังยกกอดอกอยู่ลงแล้วขึ้นมาขึ้นมาขยี้ผมฉันเล็กน้อยแล้วพูดต่ออีก “ขับรถดี ๆ”
“เหมือนกัน”
“ให้เตรียมอะไรไว้ที่บ้านม่ะ?”
“ไม่อ่ะ จะนอนเลย”
“เค ไว้เจอกัน” เขาว่าก่อนจะหมุนตัวออกไป
ฉันมองแผ่นหลังของพระพายจนเขาลับตาไปก่อนจะหันหลังกลับไปมองตรงฉากที่เซ็ทไว้ พอเห็นว่าเคทกลัยมาถ่ายต่อแล้วฉันก็ขอตัวไปเปลี่ยนชุดคืนก่อนจะเดินไปบอกลาทุกคนแล้วขอตัวกลับบ้าน ไม่ลืมที่จะขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทำงานหนักในวันนี้ด้วยแล้วก็ไม่ลืมแจ้งพี่อ้อยไปว่าให้เอาเบอร์ส่วนตัวฉันให้เคทด้วย
เท่านั้นก็เดินออกมา
ฉันขัยรถตรงดิ่งไปที่บ้านทันที พอถึงบ้านก็ดิ่งไปที่ห้องนอนเพื่อเปลี่ยนชุดให้อยู่ในชุดที่สบายที่สุด จากนั้นก็ทำความสะอาดใบหน้าของตัวเองให้เรียบร้อย ตั้งแต่ใช้คลีนซิ่งไปจนถึงขั้นตอนล้างหน้า ซึ่ง...ทุกการกระทำของฉันอยู่ในสายตาของพระพายหมดตั้งแต่มาถึงบ้าน
เขาอยู่ชั้นล่างตอนฉันถึงบ้าน
เขาขึ้นมาข้างบนตอนฉันขึ้นมาข้างบน
เขายืนกอดอกที่หน้าห้องน้ำตอนที่ฉันล้างหน้า
ที่บอกว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาคือไม่เกินจริงเลย
"มองไร?" ฉันถามพระพายออกไปขณะที่ใช้สำลีเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่บนใบหน้าออก
พระพายปล่อยมือลงไปล่วงกระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วตอบ "มองเมีย" เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่อยู่กลางห้องนอนแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเขี่ยหน้าจอเล่น
ฉันส่ายหน้าไปมาก่อนจะไปทาครีมอีกสอบตัวหลังจากที่หน้าเริ่มแห้งแล้ว เมื่อเสร็จขั้นตอนการลงครีมก็ไปหยิบเครื่องนวดใบหน้ามานวด ขณะที่นวดก็เดินไปทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา
"ไปนอนที่เตียงดี ๆ" คนตัวสูงหันมาว่าพร้อมกับปรับเปลี่ยนท่านั่งของตัวเองเล็กน้อย แล้วใช้มือข้างที่ว่างจากการถือโทรศัพท์ขึ้นมาตบที่หน้าตักของตัวเอง
ฉันยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาพาดบนหน้าตักของพระพายก่อนจะตอบออกไป "นวดเสร็จเดี๋ยวไป"
"ถ้าเผลอหลับฉันปล่อยให้นอนปวดหลังนะ ไม่อุ้มไปที่เตียงนะ" เขาว่าพร้อมกับจับข้อเท้าของฉันยกไปมาเพื่อวางให้ดี ๆ จากนั้นก็วางมือของตัวเองลงบนช่วงขาของฉันแล้วเล่นโทรศัพท์ต่อ
ถึงปากจะดูเหมือนไล่กันไปที่อื่น แต่ว่าการกระทำของพระพายกลับตรงกันข้ามกันซะงั้น
"ไม่หรอก" ฉันว่าออกไปก่อนจะปล่อยให้บรรยากาศเข้าสู่ความเงียบ
แต่พระพายก็ทำลายความเงียบนั้นลงไปด้วยการพูดขึ้นมา
"ฉันไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนเธอมาก่อน"
"ก็ไม่แปลกหนิ"
"ถ้าเป็นนายแบบฉันต้องเคยเห็นมาก่อนสิ" พระพายว่าพร้อมกับวางโทรศัพท์ลง "รูปร่างดี หน้าตามีเอกลักษณ์ แต่ทำไมฉันไม่เคยเห็นวะ?"
"เคทอาจจะเพิ่งเข้าวงการก็ได้" ฉันว่าพร้อมกับพลิกตัวนอนเอียงข้างหันหน้าเข้าหาพนักพิงของโซฟา
"แต่มาขอถ่ายแบบกับนางแบบตัวท็อปได้เนี่ยนะ?"
"พี่อ้อยไง"
"ใช่หรอวะ?" พระพายถามมาอีก
ฉันที่ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าเขาเลยก็ได้แต่เงียบก่อนจะพูดออกไป "เดี๋ยวคืนนี้ฉันถามให้ก็ได้"
"คืนนี้?" พระพายทวน
“อื้อ มีนัดเลี้ยงขอบคุณทีมงานอ่ะ ไปด้วยม่ะ?” ฉันถามพร้อมกับปิดเครื่องนวดลงแล้วถือมันเอาไว้ในมือเฉย ๆ
“ร้านไหน?”
“ร้านอาหารกึ่งผับแถว ๆ ห้าง X อ่ะ” ฉันตอบแล้วพลิกตัวนอนตัวตรงก่นจะใช้ข้อศอกดันตัวเองขึ้นแล้วเอาหมอนอิงออกเพราะมันสูงเกินไปแล้วฉันปวดคอ
“ไปได้หรอเธอน่ะ?” พระพายเอื้อืมมือดึงหมอนไปก่อนจะวางมันไว้บนขาของฉัน “ไม่กลัวข่าวอะไรหรือไง?”
“ไปได้สิ คนไปเยอะแยะ ทีมงานทั้งทีม พี่อ้อยก็ไป ไม่ได้ไปแค่ฉันกับเคทสักหน่อย” ฉันว่าก่อนจะทิ้งตัวลงอีกครั้ง ซึ่งเอาตามตรงที่บอกตามพระพายไปว่าถ้านวดหน้าเสร็จจะไปนอนที่เตียง แต่เหมือนว่าตอนนี้มันได้ท่าที่ใช่แล้วสิ...
โอเค นอนอีกสักนิดก็ได้ ไว้ใกล้หลับค่อยลุกไปเปลี่ยนที่แล้วกัน
ฉันตกลงตัดสินใจกับตัวเองก่อนจะพูดต่ออีก “อีกอย่างมันก็ห้องส่วนตัวด้วย แล้วนี่ก็มาชวนนายไปด้วย นี่ฉันชวนนายเลยนะ”
พระพายเงยหน้าทำหน้าตาเหมือนกำลังครุ่นคิดก่อนจะตอบออกมา “ขอคิดก่อน”
“เค ถ้ายังไงก็บอกนะเผื่อไปคันเดียวกันเลย” ฉันว่า
“ที่ชวนคือจะให้ฉันขับรถให้ว่างั้นเถอะ?”
“ไม่ใช่ ก็ชวนจริง ๆ แบบจริงจังเผื่อนายอยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างอ่ะ” ฉันรีบว่าออกไป “ฉันขับรถเองก็ได้ นายก็นั่งเฉย ๆ ไป”
“เหมือนอยากให้ฉันไปมากอ่ะ” พระพายว่าพร้อมกับหัวเราะในลำคอออกมา
“งั้นก็แล้วแต่นาย จะไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ฉันถือว่าชวนแล้ว” ฉันว่าพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกแล้วนอนพลิกตัวเข้าหาพนักพิงเหมือนเดิมก่อนจะหลับตาลง
“เฮ้ย ๆ บอกว่าให้ไปนอนที่เตียงดี ๆ ไง” พระพายว่าพร้อมกับเอาหมอนขึ้นมาตีที่ลำตัวของฉันหลาย ๆ ที แต่ฉันก็ไม่ได้ให้ความสนใจการกระทำนั้นของพระพายเลย
จนพระพายเหมือนจะหาวิธีได้เพราะเขานิ่งไปเล็กน้อย ฉันเลยได้ลืมตาขึ้นมา ก็เห็นว่าพระพายกำลังยิ้มด้วยใบหน้าที่มีความชั่วร้ายแฝงอยู่
“อย่าให้ฉันต้องร้ายนะอัยย์”
“นายจะทำ! พระพ๊าย!”
ฉันร้องเสียงหลงเมื่อพระพายดันขาของฉันลงจากหน้าตักของเขาแล้วพุ่งตัวเข้ามาจั๊กจี้ที่เอวของฉันแทน ซึ่งการที่เขาดันขาของฉันออกเนี่ยทำให้ฉันไม่สามารถยกขึ้นมาได้เลย เพราะงั้นการปัดป้องตัวเองจากเขาด้วยการถีบนั้นใช้ไม่ได้ ที่ทำได้คือใช้มือและการดิ้นเพื่อหลบเท่านั้น
แต่อย่าลืมนะว่าเราอยู่บนโซฟากันน่ะ...
มันหลบไปไหนไม่ได้เลย
“พาย ๆ พอแล้ว ๆ ไม่เอาแล้ว” สุดท้ายก็ต้องยอมเขาไป
วันนี้ฉันเหนื่อยเพราะพระพายไปแล้วกี่รอบกันนะ...
“ไปดี ๆ ก็ไม่หอบแล้ว” พระพายว่าพร้อมกับถอยห่างออกไป
“ถ้านายไม่จี้ฉัน...ฉันก็ไม่หอบแล้ว” ฉันว่าพร้อมกับหอบไปด้วยแล้วดันตัวเองขึ้นมานั่งพร้อมกับใช้กำปั้นเล็ก ๆ ของตัวเองไปทุบไหล่ของพระพายไปหลายรอบ “ฉันทำงานมาทั้งวันถ้าเผลอหลับไปก็ไม่คิดจะอุ้มไปไว้ที่เตียงดี ๆ รึไง?”
“แบบโมเม้นพระ-นางในละครหลังข่าว?” พระพายถาม
“ใช่” ตอบพร้อมกับยกขาขึ้นมาทับเขาไว้เหมือนเดิม
“ขี้เกียจเดินพูดแบบนี้ ไม่เห็นต้องพูดยาว” พระพายว่าก่อนจะดันขาฉันลงแล้วลุกขึ้นไปนั่งย่อตัวอยู่ข้างล่าง ตอนแรกฉันมองเขาด้วยความตกใจก่อนจะตกใจอย่างแรงเมื่อพระพายสอดแขนแกร่งของเขามาพร้อมกับยกฉันขึ้นอย่างง่ายดาย ฉันที่ตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัวอะไรก็รีบคว้าที่คอเสื้อของพระพายเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าเขาจะแกล้งโยนฉันเล่น
ไว้ใจไม่ได้
“ถ้าโยนฉันลงเตียงฉันกัดหูนายขาดจริง ๆ นะพระพาย” ฉันพูดขู่เขาไปพร้อมกับจดจ้องที่เตียงอย่างไม่วางตาเผื่อเอาไว้ ถ้าเกิดพระพายตั้งท่าจะโยนฉันขค้นมาฉันจะได้ตั้งตัวได้ทัน
“นี่เมียหรือหมา ขออีกที?” พระพายถาม ฉันเลยกรอกตามองบนก่อนจะลากสายตามามองพระพาย
“เมียก็กัดได้” ฉันรีบว่าพร้อมกับกระชากคอเสื้อเขาด้วย
ไอ้บ้านี่ !
“เธอเนี่ยนะ! เธอเนี่ย!” พระพายเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่ยอมพูดออกมา จนวางฉันลงบนเตียงเรียบร้อยแล้วถึงได้ยอมพูด “จังหวะแบบนี้มันต้องมีหัวใจลอยไปลอยมา สบตากันปิ๊ง ๆ แล้วป่ะ?”
“เอาอะไรมาปิ๊ง ๆ อ่ะ?” ฉันถามไปพร้อมกับกลิ้งไปนอนที่ฝั่งของตัวเองก่อนจะคว้าหมอนข้างมากอดเอาไว้แล้วมองหน้าพระพาย
“ช่างมันเถอะ” สุดท้ายคนตัวสูงก็ตัดบทพร้อมกับเดินอ้อมไปดึงผ้าม่านมาบังแดดให้ฉันเพียงครึ่งหนึ่งก่อนจะเดินมายืนกอดอกมองฉันแล้วพูดออกมา “เลี้ยงกองเลี้ยงทีมงานตอนไหนก็บอก จะไปด้วย”
“แล้วก็ทำเป็นเล่นตัวตอนฉันชวน” ฉันบ่นแล้วนอนหันหลังให้พระพาย
“ก็เธอชวนเหมือนไม่อยากให้ไปก่อนป่ะวะ?” พระพาย
“ที่ชวนก็เพราะอยากให้ไปป่ะ?” ฉันหันหน้ากลับไปว่าพร้อมกับขมวดคิ้วใส่คนตัวสูงแล้วหันกลับมาพร้อมกับดิ้นดุ๊กดิ๊กเพื่อปรับท่านอนของตัวเองแล้วพูดออกไปเพื่อตัดปัญหาทุกอย่าง “จะนอนแล้ว ไม่คุยกับนายแล้ว ตอนห้าโมงเย็นปลุกด้วย”
และพระพายก็ตอบกลับมาแค่ “เออ แม่คนปากแข็ง” แค่นั้น
ความคิดเห็น