คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER:: 05[อัปครบ]
เมื่อวานฉันไม่ได้กินอะไรอีกเลยนอกจากผลไม้ที่ซื้อมานั่งกินรอพระพายระหว่างที่เขากำลังกินข้าวอยู่กับสลัดเป็นมื้อเย็นแค่นั้น ก่อนนอนก็ทำการยืดเส้นยืดสายและทรมานตัวเองด้วยการออกกำลังหายฟิตหุ่นหลังจากที่อาหารเริ่มย่อยไปแล้วค่อยอาบน้ำนอน เช้าขงวันนี้ฉันก็ยังคงตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกายอีกเช่นเคยโดยพระพายเองก็หลับแบบไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม
เมื่อวานเขาไม่ได้แอบไปเที่ยวไหนให้ฉันต้องวุ่นวายออกไปลากเขากลับบ้าน แต่ก็หลับเป็นตายเหมือนเพิ่งผ่านมรสุมชีวิตมาอย่างหนักหน่วง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ผ่านความยากลำบากอะไรเลยสักนิด แต่ก็ช่างเถอะ ปล่อยให้นอนไปนั่นแหละเพราะถ้าปลุกขึ้นมา เดี๋ยวก็ตื่นมากวนกันแต่เช้าอีก
“เช้านี้อัยย์ขอรับเป็นข้าวต้มนะคะ” ฉันบอกป้าหมอนก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อที่จะอาบน้ำแล้วเตรียมตัวออกไปถ่ายงานตารางที่นัดไว้ ถึงจะเริ่มงานสิโมงครึ่งก็เถอะ แต่ว่าผู้จัดการส่วนตัวเองก็ส่งโลเคชั่นของสตูดิโอที่ต้องไปมาให้แล้ว เพราะงั้นเตรียมตัวให้พร้อมให้สดชื่นและสร้างบรรยากาศของตัวเองให้เข้ากับงานตั้งแต่ตอนนี้ได้เลยจะดีมาก
เพราะงั้น...
“เธอมีถ่ายงานกี่โมงอ่ะ?” น้ำเสียงงัวเงียของพระพายดังมาจากเตียงทำให้ฉันต้องหันไปสนใจเขา ถึงแม้ว่าตอนแรกเป้าหมายจะเป็นการเดินเข้าโซนห้องแต่งตัวเลยก็เถอะ
ฉันต้องลงคลีนซงคลีนซิ่งอะไรอีกเยอะแยะกว่าจะอาบน้ำได้ แล้ววันนี้ต้องถ่ายงานซึ่งมีการแต่งหน้าด้วยแน่ ๆ เพราะงั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วหน้าฉันต้องลงอีกหลายอย่างเลย และเพราะแบบนี้ด้วยแหละมั้งฉันถึงต้องรีบเตรียมตัวอ่ะ
“สิบโมง” ตอบเขาไปพร้อมกับเดินเข้าไปหยิบชุดคลุมอาบน้ำในห้องแต่งตัวมาสวมไว้แล้วเดินออกมามองพระพายที่กำลังกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงจากฝั่งเขาไปฝั่งของฉันก่อนจะคว่ำหน้านอนลงแล้วซุกใบหน้าลงใส่หมอน
...ของฉัน
“ถามทำไมอ่ะพระพาย?” เพราะว่าหลังจากที่ฉันตอบออกไปแล้วพระพายไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับคำตอบของฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันเลยถามเขากลับไป
“ถามเฉย ๆ” ตอบออกมา แต่ก็ไม่ยอมผละหน้าออกมาจากหมอนเพื่อมองหน้าเของคำถามอย่างฉัน ฉันเลยทำแค่ยักไหล่ขึ้นลงเท่านั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวเริ่มลงมือกับหน้าของตัวเอง ปล่อยให้พระพายนอนต่อไปอย่างเดิม
ก็เขามันคนไม่มีงานทำอ่ะ
คนที่เข้าบริษัทบ่อยสุดน่าจะเป็นแม่ของพระพายด้วยซ้ำ
เกิดมาก็สบายเลย ไม่ต้องดิ้นรนทำอะไรเนี่ยมันดีจริง ๆ
หันกลับมามองตัวเองที่กว่าจะดันให้ตัวเองขึ้นมาอยู่ในจุดนี่ได้ฉันต้องทำอะไรบ้าง แล้วก็ได้แต่ยิ้มสู้กับทุกอย่าง
ฉันไม่ได้จะบอกว่าบ้านฉันลำบากมาก ๆ นะ แต่ว่าฉันไม่ได้อยากเป็นนางแบบมาตั้งแต่ต้น
ไม่ได้มีความคิดที่จะเป็นเลย
แต่อาจจะมีชอบบ้างตอนเด็ก แต่ก็เพราะว่าชอบอ่ะฉันเลยเรียนออกแบบดีไซน์เพราะชอบชุดสวย ๆ เวลาเห็นคนใส่เสื้อใส่ชุดที่เราออกแบบแล้วมันน่าจะรู้สึกภูมิใจอ่ะ แต่ตอนนี้ฉันได้ทำทั้งสองงานควบคู่กันไปเลยเพราะผู้จัดการส่วนตัวของฉันบังเอิญมาเจอฉันตอนกำลังเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ เขาลองชวนฉันดู ตอนนั้นฉันไปแลกเปลี่ยนช่วงปีสุดท้ายของการเรียน ตั้งใจว่าจะเก็บเกี่ยวความรู้แล้วก็เพิ่มทักษะของตัวเองให้ได้เยอะที่สุดก่อนกลับมาเรียนต่อปีสุดท้าย
ก็...ก็ได้เรียนจนจบตามที่ตัวเองต้องการนั่นแหละ
แต่ว่าพอเรียนจบฉันก็เริ่มเข้าเป็นนางแบบในสังกัดเล็ก ๆ ที่ผู้จัดการส่วนตัวของฉันทำงานให้ทันที
ตอนนั้นไม่รู้ทำไมฉันถึงตอบตกลงไปก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ชอบการตกเป็นเป้าสายตาหรืออยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะ ๆ ด้วยซ้ำ แต่เหมือนกับว่าฉันอยากกำลังเรียกร้องความสนใจจากครอบครัวอยู่...
อืม น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ
ตอนนั้นฉันยังเด็กด้วย แล้วด้วยความเป็นเด็กบางครั้งมันแอบน้อยใจที่เราไม่ได้รับความสนใจมากพอ สุดท้ายฉันเลยยอมไปฝึกเดินแบบ อดทนดูแล ยอมทรามานตัวเองในหลาย ๆ อย่างเพื่อที่จะก้าวไปอยู่ในจุดที่ทำให้คนที่บ้านสนใจ แต่ว่าจนถึงตอนนี้มันก็ยัง...
ฉันคิดอะไรอยู่นะ?
นั่นสิ ตอนนี้ฉันต้องเตรียมตัวไปทำงานนี่นา
ฉันกลับมาเตรียมตัวต่อใช้เวลาอยู่ข้างนอกนานพอสมควรก่อนฉันจะเข้าไปอาบน้ำสระผมและชำระร่างกายให้เสร็จ พอออกมาก็ต้องมาลงครีมบำรุงหน้าไว้เป็นขั้นตอนต่อมาแล้วค่อยไปแต่งตัวและเช็ดผมให้แห้ง
วันนี้ฉันเลือกใส่เสื้อผ้าของแบรนด์ไปเพื่อให้เกียรติเขา ซึ่งที่เลือกใส่วันนี้เป็นกางเกงวอร์มสีดำแล้วก็เตรียมเสื้อวอร์มสีเดียวกันไปเผื่อด้วย ส่วนเสื้อข้างบนฉันใส่เป็นครอบท็อปตัวสั้นสีขาว ซึ่งตัวนี้ไม่ใช่ของทางแบรนด์ แต่ว่าใส่ออกมาแล้วก็ดูเป็นเซ็ทเดียวกันได้ดีทีเดียว
ฉันนั่งเป่าผมที่หน้ากระจกจนผมเริ่มแห้งแล้วและกำลังจะทาลิปสติกลงบนริมฝีปากของัตวเอง แต่ว่า...
“อัยย์~” เสียงงัวเงียของพระพายก็ดังขึ้นมาซะก่อน
ภาพสะท้อนในกระจกของคนตัวสูงที่อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิงทำให้ฉันต้องถามออกไป
“ล้างหน้าหน่อยมั๊ย?”
“เธอมีงานกี่โมง?” แต่พระพายกลับไม่ตอบแล้วถามฉันกลับมา
“สิบโมงไง บอกไปแล้ว” ฉันว่าแล้วทาลิปสติกสีแดงตุ่นลงบนริมฝีปากของตัวเองหลังจากที่ลงผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ริมฝีปากมันชุ่มชื่นแล้ว เม้มริมฝีปากทั้งสองเข้าหากันแล้วหันไปหาพระพายที่ยืนนิ่งอยู่ “มองไร?”
“ไม่เขียนตาอ่ะ?”
“เดี๋ยวไปให้เขาแต่งให้”
“ดีแล้ว ฉันโคตรไม่ชอบตอนเห็นเธอแต่งหน้าเลย กลัวมันทิ่มตาเธอฉิบหาย”
“ไม่ทิ่มหรอกไอ้บ้า ฉันแต่งมากี่ปีแล้ว มันจะไปทิ่มได้ยังไง?”
“คนไม่เคยแต่งไง มันก็ต้องกลัวมั๊ยล่ะ?”
“แค่นี้ก็กลัว” ว่าเสร็จก็ลุกขึ้นไปหาถุงเท้าข้อสั้นมาใส่แล้วเงยหน้ามองพระพายอย่างเอือม ๆ มือข้างซ้ายเอื้อมขึ้นไปปัดปลายผมของเขาขึ้นก่อนจะเดินผ่านเขาไปโดยไม่ลืมที่จะบอกเขา “ไปล้างหน้าล้างตาหน่อย เสร็จแล้วค่อยลงไปกินข้าว”
“เหลือเวลาอีกอยู่ใช่ป่ะ? รอหน่อย” แค่นั้นก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ฉันไม่ได้รอเขาในห้อง แต่เดินออกไปหยิบของที่จำเป็นสำหรับตัวเองก่อนจะลงไปรอที่ข้าง่างบนโต๊ะอาหาร แค่เห็นว่าฉันเดินลงมาป้าหมอนก็เดินไปตักข้าวต้มมาให้กันแล้ว
“อัยย์รบกวนตักให้พระพายเลยนะคะป้าหมอน”
“ได้ค่ะ”
ฉันรินน้ำลงแกวตัวเองก่อนจะจิบมันนิด ๆ ก่อนจะใช้ช้อนคนข้าวต้มเพื่อไล่ความร้อนออกไประหว่างที่รอพระพายจนควันไอความร้อนเริ่มหายฉันถึงเริ่มลงมือกิน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พระพายเดินลงมาในสภาพที่ใบหน้าเร่มสดชื่นกว่าตอนแรกแล้วและมีการหวีผมแล้ว ถึงจะอยู่ในชุดนอนเหมือนเดิมก็เถอะ แต่ถือว่าโอเคแล้ว
“ข้าวต้มอีกแล้วหรอ?”
“มันย่อยง่าย อยู่ท้องด้วย” ฉันตอบออกไป
“ไม่เบื่อหรอวะ?” เขาถาม
“นายเบื่อมั๊ยล่ะ? ถ้าเบื่อเดี๋ยววันหลังฉันบอกป้าหมอนเตรียมอย่างอื่นไว้ให้ด้วย”
“ไม่เป็นไร กินได้หมด” เขาว่าแล้วนั่งลงตรงข้ามฉัน แต่ถึงจะพูดแบบนั้นออกมาพระพายก็ยังคงถามออกมาอยู่ดี “ตอนเช้ามันต้องกินอะไรที่มันอยู่ท้องไม่ใช่หรอวะ?”
“ระหว่างวันฉันก็กินพวกผลไม้อยู่ไง”
“เออเนอะ”
“แต่วันหลังเดี๋ยวเอาเป็นมื้อเช้าที่มันจริงจังเลยก็ได้" เพราะนาน ๆ ทีเราถึงจะกินมื้อเช้าแบบหลัก ๆ หนัก ๆ อ่ะ ถึงฉันจะกินอาหารครบทุกมื้อแล้วก็มีของว่างระหว่างวันบ้าง แต่ว่ามันไม่ได้เป็นอาหารที่มันเป็นจริงเป็นจังเลยสักมื้ออ่ะ
“ลองปล่อยตัวเองบ้างแล้งค่อยเน้นออกกำลังกายเอา”
“กินไปเท่าไหร่ก็เอาออกเท่านั้น”
“ใช่ มาออกกำลังกายด้วยกันมั๊ยล่ะ?” พระพายว่า แต่ไม่เงยหน้ามามองฉัน
คนตัวสูงก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าของเขาไมรอเอาคำตอบจากฉันเลย ส่วนฉันก็ทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป “พูดแล้วอย่าเบี้ยวนะ” ก่อนจะก้มหน้าก้มตาไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่
แล้วต่างคนก็ต่างเงียบกันไป
ก็ถือว่าตกลงรับคำชวนของเขาไปแล้ว
คงไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้เพราะเขาก็คงเข้าใจเองว่าฉันตกลงน่ะ
ใช้เวลาอยู่กับมื้อเช้าไม่นานข้าวต้มก็หมดถ้วยฉันเลยขอตัวลุกออกจากโต๊ะไปแปรงฟันแล้วเดินกลับลงมาข้างล่าอีกรอบเพื่อที่จะออกไปทำงานแล้ว
“ฉันไปแล้วนะพาย” บอกลาคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโต๊ะกินข้าว ได้รับการโบกมือมาซึ่งเป็นสัญญาณว่ารับรู้แล้วเรียบร้อยฉันก็เดินออกจากบ้านมาทันที
หูก็ได้ยินเสียงดังแว่ว ๆ ตามมา “ตั้งใจทำงานนะ!!”
ก็ได้แต่กลับหลังหันไปมองค้อนคนตัวสูงเพียงเท่านั้นก่อนจะขับรถแล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ทำงานของตัวเองทันที
เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะขับรถไปกองเอง ไปนู้นไปนี่เอง ผู้จัดการส่วนตัวที่มีฉันให้เขาทำแค่จัดตารางงานเท่านั้น อาจจะมีตามไปดูแลที่กองบ้างเพราะว่านอกจากฉันแล้วพี่เขายังดูแลเด็กใหม่ในสังกัดอีกสองคน ซึ่งฉันไม่ได้ติดอะไรเท่าไหร่ขอแค่เขาแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับงานให้ฉัน ไม่ทำตารางฉันชนกันแล้วมีเวลาว่างให้ในวันหยุดแค่นั้นก็พอแล้ว
ก็ขับรถได้อยู่
การเงินก็จัดการเองได้
ดังนั้นให้เขาไปดูแลเด็ก ๆ เถอะ
แต่แบบนี้ก็คงเรียกว่าส่วนตัวไม่ได้สินะเพราะฉันใช้ร่วมกับคนอื่นด้วยอ่ะ
ก็...นั่นแหละ เรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ
ฉันใช้เวลาขับรถราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานที่นัดหมาย เสร็จก็โทรไปแจ้งให้ผู้จัดการทราบว่ามาถึงแล้วพี่เขาจะได้ไม่เป็นห่วงหรือเกิดอยู่ไม่สุขกลัวว่าฉันจะไม่มาทำงานงี้
แต่ฉันไม่เคยเบี้ยวงานนะ!
พี่เขาแค่กลัวว่าจะมีอะไรฉุกเฉินขึ้นมาเท่านั้นแหละ
“อัยย์ถึงแล้วนะคะ กำลังจะเข้าไป”
[โอเค ถ้าถ่ายงานเสร็จแล้วโทรบอกพี่ด้วยนะ]
“ได้ค่ะ” ฉันตอบรับไปก่อนจะกดวางสายแล้วเดินลงจากรถเข้าไปในกองถ่าย
บรรยากาศการทำงานที่คุ้นเคย เต็มไปด้วยทีมงานนับสิบคนกำลังเดินไปมาอยู่จัดแสงและสีให้มันเข้ากับธีมของการถ่ายภาพในวันนี้
เมื่อเดินไปอันดับแรก็ไปไหว้พี่ ๆ ทีงานทุกคนก่อนเลย
“สวัสดีค่ะ”
จากนั้นก็รอให้พวกเขาบอกว่าต้องทำอะไรยังไง บรีฟงานมาก่อนว่าอยากได้ประมาณไหน ถ้ามีนางแบบหรือนายแบบท่านอื่นมาร่วมด้วยก็ต้องรออีกฝ่ายเพื่อมาร่วมฟังด้วย
ซึ่งครั้งนี้เป็นนายแบบ...
และฉันยังไม่รู้ด้วยว่าเป็นใคร รู้แคว่าแบรนด์จ้างนายแบบอีกคนมาแทน พี่ผู้จัดการที่ปกติต้องแจ้งว่าฉันถ่ายงานร่วมกับใคร ครั้งนี้ก็บอกฉันมาว่ามีเซอร์ไพรส์แค่นั้น ซึ่งถ้าจะเซอร์ไพรส์จริง ๆ คงต้องเอาพระพายมาถ่ายคู่กับฉันอ่ะ
แต่อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้อ่ะเนอะ
อาจจะเป็นดาราเบอร์ใหญ่ของประเทศหรือไม่แบรนด์ก็อาจจะลงทุนจ้างนายแบบจากต่างประเทศมา ซึ่งเป็นขวัญใจของฉันมา เช่นโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เงี้ยะ!
บอกเลยว่าถ้ามาจริงฉันไม่เอาค้างจ้าง!
พูดเลย!
“พี่ ๆ คะ อัยย์สั่งกาแฟกับขนมแล้วก็น้ำดื่มเย็น ๆ มาด้วยนะคะ เดี๋ยวก็มาส่งแล้ว ยังไงก็มารับไปดื่มกันได้นะคะ” พูดไปก็แจกรอยยิ้มไปด้วยอย่างเป็นมิตรก่อนจะเดินไปนั่งในตรงที่ ๆ เขาเตรียมไว้ให้หลังจากที่ได้รับริยยิ้มและคำขอบคุณกลับมาแล้ว
ก็สั่งเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แล้วก็ให้เอามาส่งที่นี่ซึ่งฉันก็เพิ่งจะบอกโลเคชั่นไปตอนที่ผู้จัดการส่งมาให้นั่นแหละ
ฉันทำแบบนี้เกือบจะเป็นปกติอยู่แล้วเพราะว่าเหมือนทุกคนมาทำงานหนักด้วยกันอ่ะ ควรจะได้รับอะไรตอบแทนไปด้วยที่มันนอกเหนือจากค้างจ้าง ซึ่งบางครั้งฉันก็สั่งพวกขนมหรืออะไรแบบนี้มานี่แหละ แต่บางครั้งก็ติดต่อร้านไม่ทัน คิวร้านเต็มเลยไม่ได้สั่งมางี้ ซึ่งก็หาอะไรมาทดแทนกันอยู่ แต่ไม่ได้เป็นเซ็ทน้ำ ขนม กาแฟแบบนี้
“น้องอัยย์ครับ เดี๋ยวอีกสามสิบนาทีเราเริ่มถ่ายเดี่ยวก่อนเลยนะครับ”
“ได้ค่ะ” ฉันว่าก่อนจะลุกขึ้นไปหาพี่ที่เป็นฝ่ายจัดเสื้อเสื้อที่ต้องใส่ให้ ซึ่งเขาเองก็กำลังเดินมาหาฉันอยู่เหมือนกัน
“วันนี้ต้องถ่ายเดี่ยวทั้งหมดสี่ชุดนะคะ แล้วก็มีบางตัวที่ต้องถ่ายกับนายแบบอีกด้วยนะคะ”
“โอเคค่ะ ห้องเปลี่ยนชุดอยู่ตรงไหนหรอคะ? เดี๋ยวอัยย์จะไปเปลี่ยนรอเลย”
“เดี๋ยวพี่นำไปนะคะ”
เพราะต้องคอยเซฟตัวเองตลอดเวลาเนื่องจากว่ามีข่าวเกี่ยวกับรูปหลุดบ่อย ๆ เพราะงั้นฉันเลยค่อนข้างซีเรียสเรื่องห้องแต่งตัวมาก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับต้องวีนหรือเหวี่ยงเวลาที่เจอห้องแต่งตัวไม่ดีนะ เพราะฉันก็เตรียมอุปกรณ์ที่เซฟตัวเองมาอยู่
กระโจมอกไงล่ะ
มันต้องระวังไง แต่ก็ไม่ถึงกับระแวงหรอก แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเองไง
มันต้องเซฟ
“สีไหนก่อนหรอคะ?”
“เลือกได้เลยค่ะ” พี่เขาว่า
“งั้นอัยย์ของสีพีชก่อนนะคะ สีมันสวยมากเลย” เพราะเป็นสีที่ตัวเองชอบด้วยแหละมั้งสายตาของฉันเลยโฟกัสที่มันมาตั้งแต่ตอนที่ได้รับมาแล้ว
สีมันสวยอ่ะ ดูขับผิวด้วย
มันไม่ได้เป็นพีชที่สีเข้มเลยเก็ทป่ะ? เพราะคอลเลคชั่นนี้เขาทำเป็นสีพาสเทลมันเลยเป็นสีอ่อน ๆ ซึ่งฉันชอบมาก
“พี่จะรออยู่ข้างนอกนะคะ” จากนั้นก็ปล่อยเวลาให้ฉันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อเปลี่ยนเสร็จก็มาส่องความเรียบร้อยกับตัวเองในกระจกก่อนเดินออกไปข้างนอก แล้วเดินกลับไปยังกองถ่ายเหมือนเดิม แล้วให้ช่างแต่งหน้ามาทำการเติมแต่งใบหน้าให้
“ลุคของวันนี้ทั้งวันมาแบบลุคเท่ ๆ แต่ว่าก็แอบสดใสนะคะน้องอัยย์”
“ตีนกาต้องออกแน่ ๆ เลยค่ะ” ฉันว่าพลางหัวเราะออกมาเพราะว่าถ้าให้สดใสฉันต้องได้ยินบ่อยแน่ ๆ ซึ่งพี่ช่างแต่งหน้าเองเมื่อได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเหมือนกันพร้อมกับพูดพลางเริ่มลงเครื่องสำอางค์ให้ฉัน
“ไม่หรอกค่ะ” แล้วยังพูดต่ออีก “ดื่มน้ำเยอะ ๆ พักผ่อนให้เพียงพอก็พอแล้วค่ะ”
“พักผ่อนเยอะ ๆ เนี่ยยากสุดแล้วค่ะ” ว่าแล้วก็หลับตาลง หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเพราะพี่เขาต้องใช้สมาธิในการแต่งหน้าฉัน และไม่คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าฉันจะขยุกขยิกไปมาน่ะ
ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ก็ตามที่พี่ช่างภาพกำหนดมานั่นแหละ เหมือนกับว่าเขากะเวลามาแล้ว แล้วอีกอย่างก็เพราะฉันลงพวกคงพวกครีมและมาส์กหน้าก่อนจะมาแล้วเลยไม่ต้องเสียเวลาในส่วนนั้นอีก
ทรงผมเซ็ทแรกเขาอยากได้ปล่อยผมตรงเฉย ๆ ก่อน เดี๋ยวเซ็ทต่อไปเขาค่อยเบรคเพื่อเปลี่ยนทรงผมอีกรอบ
“น้องอัยย์ครับ ถ้าพร้อมแล้วสามารถเข้าไปในเซตติ้งได้เลยะครับ” พี่ช่างภาพเดินมาบอกฉัน
พอฉันหันไปมองเซตติ้งต่าง ๆ ก็เห็นว่าเริ่มจัดเสร็จแล้ว ซึ่งมาในสีที่อยู่ในโทนเดียวกันกับชุดที่ฉันใส่อยู่เลย ทั้งฉาก ทั้งพรอพที่ประกอบฉากและเพื่อให้ฉันได้หยิบจับเป็นลูกเล่นบ้าง ซึ่งเซ็ตไว้หลายฉากเลยทีเดียว เหมือนกับว่าถ่ายฉากนี้เสร็จก็สามารถเปลี่ยนฉากได้เลยหรืออาจจะสามารถเปลี่ยนฉากไปหาสีที่ตัดกับชุดที่ฉันใส่อยู่ก็ได้
“ขอแบบมีความขี้เล่นนิดนึงนะครับ สามารถหยิบทุกอย่างมาเล่นได้เลยนะครับ”
“ได้ค่ะ” ฉันว่าพร้อมกับหยิบลูกบอลอันเล็ก ๆ มาถือไว้ก่อนจะบิดร่างกายเล็กน้อยเพื่อผ่อนคลายตัวเอง สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างยาวเหยียดแล้วเงยหน้าขึ้นส่งสายตามองเข้าไปในเลนส์กล้อง เมื่อเริ่มตั้งสมาธิได้ฉันก็พยักหน้าให้กับกล้องแล้วพูด “เริ่มเลยค่ะ”
“ครับ เริ่มได้เลย”
เพียงเท่านั้นลูกบอลที่ถือไว้อยู่สามลูกก็ถูกโยนขึ้นในระดับที่เหนือศีรษะของตัวเองเล็กน้อย สีหน้าท่าทางบนใบหน้ามีการยิ้มมุมปาก ตาหรี่ลงเล็กน้อยและเน้นการเล่นหูเล่นตากับกล้อง
ลักษณะท่าทางการโพสต์เริ่มตั้งแต่บิดตัวเล็กน้อย มือล่วงกระเป๋ากางเกงบ้าง ปล่อยฟรีบ้าง จับคอเสื้อวอร์มบ้างไปจนถึงนั่งลงกับพื้นและการกระโดดอยู่กลางอากาศ ซึ่งไม่ว่าจะขยับยังไงเสียงแฟลชก็ดังอยู่ตลอดทุกการหยุดนิ่งเพื่อโพสต์ท่าของฉัน
เพียงแค่บรีฟมาเท่านั้นว่าต้องการแบบไหน เดี๋ยวจัดการให้เอง
“สวยครับ ดี” หน้าที่ของช่างภาพ นอกจากจะต้องถ่ายภาพออกมาให้สวยแล้ว หน้าที่อีกหนึ่งอย่างที่เขาต้องทำคือชมเพื่อสร้างเอเนอร์จี้ให้กับนางแบบ อาจจะมีคนอื่นนอกจากช่างภาพที่คอยส่งเสียงชมมา ซึ่งมันสามารถสร้างความมั่นใจได้เยอะเลยทีเดียว
“โอเคครับ ดีมาก เดี๋ยวเปลี่ยนชุดเซ็ทต่อไปได้เลยนะ สามารถเช็ครูปเซ็ทเมื่อกี้ได้”
“ได้ค่ะ” เมื่อได้รับคำสั่งแบบนั้นฉันก็รีบเดินออกจากฉากเพื่อไปตรวจสอบงานที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อกี้
พี่แต่ละฝ่ายรีบวิ่งเข้ามาหาฉันพร้อมทั้งทิชชู่และพัดลมขนาดเล็กมาเปิดให้ฉันเพื่อไม่ให้ฉันรู้สึกร้อนไปมากกว่านี้และคอยชับเหงื่อให้ ซึ่งก็ไม่ได้มีเยอะอะไรเพราะว่าเพิ่งถ้าไปไม่ถึงสิบนาทีเลย
“อุตส่าห์คิดเอาไว้ว่าตอนกระโดดภาพต้องออกมาดีแน่ ๆ แต่หน้าอัยย์ไม่ได้เลยอ่ะ” ฉันว่าอย่าเงีสยดายเพราะว่าตัวเองกระโดดไปแค่ครั้งเดียวเราะอยากลองเฉย ๆ และพี่ช่างภาพเองก็บอกว่าลองได้ ซึ่งก็นั่นแหละ...ลองไปครั้งเดียวเพราะกลัวว่าจะเสียเวลากับตรงนั้นนานเลยใช้ท่าปกติต่อ
“เดี๋ยวเซ็ทต่อไปค่อยลองอีกก็ได้ วันนี้ดูแล้วน่าจะงานเร็วอยู่”
“โอเคค่ะ เดี๋ยวอัยย์ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ” ว่าแล้วก็รับชุดไปเปลี่ยน เวลาในการแต่งตัวก็ไม่ได้นานมากเท่าไหร่เพราะเปลี่ยนแค่เสื้อวอร์มกับกางเกงเท่านั้นเนื่องจากสปอร์ตบราที่ใส่ไว้ข้างในยังเป็นตัวเดิมอยู่ แค่นั้นก็เดินออกมา
“นายแบบมาพร้อมแล้วนะคะน้องอัยย์”
แต่ว่าถึงจะใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นายแบบที่ต้องถ่ายคู่กับฉันก็มาถึงแล้ว
“จริงหรอคะ?” ฉันถามอย่างตื่นเต้น “อัยย์ยังไม่รู้เลยค่ะว่าต้องถ่ายงานกับใคร ผู้จัดการไม่ได้บอกด้วย”
“พี่นึกว่ารู้จักกันอยู่แล้ว” ว่าพลางเอาเสื้อชุดเดิมที่ฉันใส่ออกไปถือไว้
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นหรอคะ?” ฉันถามพร้อมกับเดินกลับไปที่กองด้วยความเร็วพอประมาณไม่ได้เร่งรีบเท่าไหร่ สายตาก็จ้องทางข้างหน้าไปด้วย พร้อมกันนั้นฉันก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนหันหลังให้กันอยู่
มองจากด้านหลังเขาเป็นคนค่อนข้างสูง ไว้ผมยาว ไม่เรียบตรง เหมือนตั้งใจทำให้มันยุ่ง ๆ สีดำและทำเป็นสีขาวปลาย ๆ
ฉันยังไม่เห็นหน้าเขาหรอก แต่มองดูรอบ ๆ แล้วเห็ฯพี่อ้อผู้จัดการฉันยืนอยู่ใกล้ ๆ เขา พี่ช่างภาพที่ยืนคุยกับเขาคนนั้นก็ผายมือมาทางฉันเพื่อบอกว่าฉันได้มาถึงแล้วนายแบบคนนั้นเลยหันหน้ามามองกัน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่ฝ่ายเสื้อผ้าตอบคำถามของฉันออกมา
“เขาบอกว่าอยากร่วมงานกับน้องอัยย์ค่ะ ไม่เคยได้ร่วมงานกัน ถึงขั้นบอกว่าไม่ขอรับค่าจ้างเลยนะคะ”
วินาทีที่ฉันเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนั้นเป็นใคร ความรู้สึกมากมายก็โถมเข้ามาจนฉันไม่ร่าต้องรู้สึกยังไงกับการปรากฏตัวของอีกฝ่ายกันแน่
มันทั้งช็อก ทั้งไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงหน้าฉันอีกรอบ
“ไง” ยิ่งคนตัวสูงยิ้มทักทายกันอย่างสนิทสนมนั้นอีก
ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ทว่าสายตากลับส่อแววขี้เล่นที่ยังคงเหมือนเดิมของเขาทำให้ริมฝีปากของฉันเอ่ยชื่อของเขาออกไปโดยอัตโนมัติ
“เคท...”
เป็นชื่อที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เรียกอีกครั้ง
บทบรรยาย:: พระพาย พัชรนันท์
วันนี้ผมว่าง
ใช้คำว่าค่อนข้างว่างเลยก็ได้เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้เป็นประธานในทุก ๆ อย่างเต็มตัวเพราะงั้นผมเลยว่างอยู่
แต่อัยย์ไม่ว่าง วันนี้เธอมีถ่ายงานที่สตูดิโอที่ไหนสักที่ ซึ่งผมเพิ่งได้รับโลเคชั่นจากผู้จัดการของเธอเมื่อกี้เพราะเพิ่งรู้สึกเบื่อ ๆ จากการอยุ่บ้านเลยว่าจะไปนั่งเฝ้าเมียทำงานสักหน่อย
ตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมเลยว่าจะไปป่วนน่ะ
แต่ว่าพอมาถึงสถานที่ถ่ายงานของอัยย์บรรยากาศที่อยู่ข้างในกลับไม่ได้เหมือนที่ตัวเองเคยเจอหรือคิดเอาไว้
มันดูแปลก ๆ ไป
พอเดินเข้าไปจนสามารถสังเกตได้ใกล้ ๆ ก็เห็นว่าอัยย์กำลังยืนกอดกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เหมือนจะตัวสั่นคล้ายกับกำลังร้องไห้อยู่ด้วย ผู้ชายคนนั้นไม่ได้กอดอัยย์ตอบ ทำเพียงแค่ใช้มือตบที่กลางหลังของเธอเบา ๆ เท่านั้นเอง
เหล่าสต๊าฟต่างก็พากันทำตัวไม่ถูก ยิ่งเห็นว่าผมเดินเข้ามาด้วยก็ยิ่งต่างพากันเลิ่กลั่กกันไปหมด
ในที่สุดผู้ชายคนนั้นก็หันมาเห็นผม
เขาสะกิดที่ไหล่ของอัยย์ ดันเธอออกก่อนจะพยักพเยิดหน้ามาทางนี้
พออัยย์เห็นว่าเป็นผมเธอก็รีบเช็ดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ ข้างหนึ่งเตรียมก้าวมาข้างหน้า แต่ก็เหมือนจะชะงักไปโดยเธอหยุดแล้วหันกลับไปมองคนข้างกายเธอเพียงเล็กน้อยแล้วเดินออกมาหาผม
ช่องว่างที่มีค่อนข้างเยอะระหว่างสองคนนั้นทำให้ผมเห็นว่าเป็นผู้ชายคนนั้นที่ใช้มือดันหลังเธอออกมาน่ะ
ผมไม่ได้ถามอะไรออกไปเลยนอกจากเอื้อมแขนออกไปรับอัยย์แล้วโอบรอบคอเธอเอาไว้ก่อนจะพาเดินออกมาจากตรงนั้น
“ขอยืมตัวภรรยาแปปนึงนะครับ” ไม่ลืมที่จะกล่าวออกไปเพื่อขออนุญาตพาตัวเธอออกไปคุย
ไม่มีใครห้าม น่าจะเป็นเพราะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบและเรียกสถานการณ์กลับไปเหมือนเดิม
“เดี๋ยวถ่ายผมเลยก็ได้ ขอชุดหน่อย”
เพียงเท่านั้นผมก็ไม่ได้สนใจใครอีกเลยนอกจากคนที่ยังคงสะอื้นอยู่ตอนนี้
เกิดอะไรขึ้นวะ?
บทบรรยาย:: พระพาย พัชรนันท์
หนึ่งปีที่ฉันอยู่ต่างประเทศนอกจากจะได้รับความรู้เองเกี่ยวกับที่ตัวเองเรียนแล้วฉันยังได้เพื่อนดี ๆ มาด้วยหนึ่งคนและเขาคนนั้นชื่อเคท
ถึงจะเป็นระยะเวลาแค่ปีเดียวอ่ะ แต่เคทเป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ เลย เดิมทีฉันไม่ได้เป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ยิ่งอยู่ในต่างประเทศอีกเพราะงั้นฉันเลยไม่ค่อยเมคเฟรนด์กับใครเท่าไหร่ ก็อย่างที่บอกอ่ะว่าฉันตั้งใจจะไปเอาความรู้ แต่ว่าพอได้รู้จักกับเคทผ่านการเรียนวิชาเดียวกัน เซคเดียวกัน ได้ทำงานคู่กันอยู่หนึ่งงาน อยู่ดี ๆ เราสองคนก็กลายเป็นสนิทกันเฉยและที่สำคัญพี่อ้อยก็รู้จักเขาด้วยพราะว่าช่วงที่พี่อ้อยตื้อฉันน่ะเคทก็อยู่ร่วมในสถานการณ์ด้วยเกือบตลอด
เคทเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-ไทย เกิดที่ไทยแล้วย้ายมาอยู่ที่อังกฤษตั้งแต่เด็ก ภาษาไทยเขาไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แต่แม่เขาก็พยายามใช้ภาษาไทยกับเขาบ่อย ๆ อยู่ หลังจากที่ได้ยินเขาพูดเมื่อกี้ก็น่าจะเริ่มพูดภาษาไทยชัดขึ้นแล้ว
แล้วที่ร้องไห้เล่นใหญ่เมื่อกี้น่ะเพราะว่าวันที่ฉันกลับมาไทย แต่ว่าก่อนจะขึ้นเครื่องแม่ของเคทส่งข้อความมาบอกว่าเขาประสบอุบัติเหตุ เข้าโรงพยาบาล อาการโคม่าเลยทีเดียวแต่ว่าตอนนั้นฉันกำลังจะขึ้นเครื่องแล้วเลยไม่สามารถไปหาเขาได้ ทำได้แค่บอกว่าถ้าอาการเขาดีขึ้นแล้วหรือยังไงให้แม่เขารีบติดต่อฉันกลับมาทันที
แต่ผ่านมาเกือบ 7 ปีแล้วฉันก็ไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับเคทอีกเลย
พี่อ้อยเองก็คอยบอกฉันว่าเขาไม่เนอะไรหรอก เพราะอาการเขาโคม่าซึ่งฉันไม่รู้ว่าอะไรหนักขนาดไหน แต่ว่าคงต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานแน่ ๆ ก็เลยได้แต่ภาวนาว่าเขาจะกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง
เขาก็ปลอดภัยจริง ๆ เพียงแต่ไม่ได้ติดต่อมาเพราอะไรหลาย ๆ อย่าง รวมกับฉันเองก็เริ่มเตรียมตัวเตรียมความพร้อมในการเป็นนางแบบด้วย ซึ่งก็วุ่นวยาหลายอย่างอ่ะ
“ดีใจด้วยที่เพื่อนเธอปลอดภัยดี” พระพายว่าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรเหมือนประโยคที่เขาพูดออกมา
คือฉันเพิ่งเล่าเรื่องทุกอย่างให้พระพายรู้เพราะว่าเขาถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็เลยเล่าทุกอย่างเลยตั้งแต่ตอนที่รู้จักกับเคทจนถึงตอนกลับมาไทย ระหว่างที่เล่าก็สะอื้นไปด้วย พระพายก็ทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดีด้วยการไม่พูดแทรกขึ้นมาและรับฟังจนจบถึงได้พูดนั่นแหละ
“เธอคงจะสนิทกับเพื่อนคนนี้มากสินะ” พระพายว่า แขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาถูกใช้แทนทิชชู่ได้ดีเลยทีเดียว
“ฉันไม่รู้จักใครอยู่ที่นั่นเลยนะ การมีเพื่อนที่ดีที่สามารถช่วยเหลือกันได้ตอนนั้นมันดีแค่ไหนนายไม่รู้หรอก” ว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงแล้วคว้าแขนเสื้อเขามาซับน้ำตาต่อก่อนจะสูดลมหายใจเช้าปอดเพื่อดึงสติตัวเอง
ฉันทิ้งงานมามากกว่าห้านาทีแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่แย่มากเลยอ่ะเพราะว่าไม่เคยเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาก่อนไง แล้วนี่ถ้ากลับเข้าไปแล้วฉันต้องทำหน้ายังไงอ่ะ?
คงจะไม่มีใครเอาไปพูดอะไรต่อใช่มั๊ย?
ฉันไม่เคยมีข่าวเสียหานเกี่ยวกับผู้ชายเลยนะ
โอเค เมื่อก่อนอาจจะเคยมีบ้าง แต่ว่าพอหลังจากแต่งงานแล้วฉันไม่มีเลยนะ
ว่าแต่...
“แล้วนี่นายมาทำอะไรอ่ะ?” ถึงจะอยู่ตรงนี้ด้วยกันมาจนตอนนี้เกือบจะสิบนาทีแล้ว แต่อย่างที่บอกไปว่าเพราะฉันเอาแต่เล่าอ่ะ เพราะงั้นจนถึงตอนนี้ฉันเลยยังไม่รู้ว่าพระพายมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
“ก็คนมันว่างอ่ะ เลยว่าจะมานั่งเฝ้าเมียทำงาน แต่ใครจะไปคิดว่าจะมาเห็นเมียยืนกอดกับกิ๊กอยู่”
“เคทไม่ใช่กิ๊ก” ฉันพูดเสียงเข้ม
“หวังว่าในอนาคตเธอจะยังยืนยันแบบนี้นะ” พระพายว่า
ฉันขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นก่อนจะขยี้ผมของพระพายเบา ๆ แล้วถามออกไป “ทำไม? เกิดเป็นสามีที่ดีกลัวเมียมีกิ๊กขึ้นมารึไง?”
คนตัวสูงทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาก่อนจะจับข้อมือข้างที่ฉันใช้ขยี้มผมของเขาเอาไว้แล้วใช้ท่อนแขนอีกข้างโอบรอบเอวของฉันจากนั้นก็ยกฉันขึ้นเหนือพื้นด้วยแรงของเขา
“ไม่ห่วงภาพลักษณ์ของเธอแล้วรึไง?” ถามไปพร้อมกับยกฉันขึ้นลงจนฉันต้องใช้มือเกาะที่ไหล่ของเขาเอาไว้แล้วโวยวายเสยงดัง
“พายหยุด ฉันจะตก!”
แต่พระพายไม่ได้สนใจฉันเลย “แล้วเมื่อกี้ทำอะไรผมฉัน ห้ะ?”
“ก็ กรี๊ด!” กำลังจะตอบออกไปนั่นแหละ แต่พระพายกลับหมุนตัวหลายรอบมาก ๆ จนฉันหลุดกรี๊ดออกมา จากที่เกาะไหล่พระพายเฉย ๆ ตอนนี้ฉันต้องกอดรอบคอของเขาเอาไว้แล้ว “ไอ้พาย! ฉันจะต๊ก!”
“จะต๊กเลยหร๊อ?” เพราะทั้งตกใจทั้งกลัวตก ประโยคที่พูดออกไปเสียงเลยหลงจนเหมือนจะหาทางกลับบ้านไม่เจอ แต่ไอ้พระพายแทนที่จะปล่อยฉันลงกลับส่งเสียงล้อเลียนกันอีก แต่ดีหน่อยที่เขาหยุดหมุนแล้ว
“ไอ้บ้าพระพาย” ว่าแล้วก็พละหน้าออกไปมองใบหน้าของพระพายเพื่อเตรียมด่า แต่ว่าพอเห็นใบหน้าที่ตอนแรกดูเรียบนิ่ง แต่ตอนนี้กลับเริ่มมีรอยยิ้มกวน ๆ ขึ้นมาแล้วฉันก็ได้แต่ทำหน้าบึ้งต่อแล้วพูดอุบอิบไป “วางฉันลงเลยนะ”
“โอเคขึ้นยัง?”
“อะไร?”
“ยิ้มได้ยัง?” พระพายเลิกคิ้วขึ้นถาม
ฉันนิ่งไม่ได้ตอบอะไรเขาไปพระพายเลยพูดต่ออีกพร้อมกับค่อย ๆ ปล่อยฉันลงจนปลายเท้าแตะพื้น แต่ว่าคนตัวสูงก็ไม่ยอมปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ “หน้าเธอตอนร้องไห้โคตรแย่เลย”
“ไอ้...” น่าด่าที่สุด แต่กลับถูกเขาพูดขัดขึ้นมาก่อน
“เพราะงั้นยิ้ม ๆ เหมือนเดิมดีแล้ว” และใช้มือยกขึ้นขยี้เรือนผมของฉันจนยุ่งเหยิงไปหมดหลังจากพูดเสร็จ ก่อนจะปล่อยฉันให้เป็นอิสระพร้อมกับเดินหนีกันไป ปล่อยให้ฉันยกมือขึ้นจัดผมตัวเองพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของพระพายที่ค่อย ๆ เดินห่างกันไป
สำหรับฉันน่ะไม่ได้ต้องการอะไรมากหรอกนะเวลาที่ตัวเองเศร้าหรือร้องไห้หรืออยากระบายอะไรออกไปอ่ะ แค่อยากได้เพื่อนมานั่งฟังแค่นั้นก็พอแล้ว ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านอกจากพูดออกไป ร้องไห้ออกไปแล้วต้องต้องทำอย่างอื่นเพื่อให้ตัวเองกลับมายิ้มหรือร่าเริงเหมือนเดิมได้อีกด้วย
แล้วก็ไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายคนที่ทำให้กลับมาจะเป็นคนที่ปลอบคนไม่เก่งอย่างพระพายน่ะ
“พระพายรอด้วย!”
ความคิดเห็น