คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER:: 03[อัปครบ]
พระพายเลิกคิ้วขึ้นพร้อมถามออกมา “ไม่ได้หรอ?”
“ก็ได้อยู่” ฉันตอบออกไปเพราะจะบอกว่าพระพายมาเป็นนายแบบไม่ได้ก็ไม่ถูกเพราะเขาเองก็เคยมีประสบการณ์มาบ้างจากการถ่ายพรีเวดดิ้งของเราเอย ถ่ายรูปลงสกูปข่าวบันเทิงกับครอบครัวบ้างเอย ถึงจะไม่มากเท่าไหร่ และท่าทางเขาอาจจะมีเก้ ๆ กัง ๆ ไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ได้อยู่ อาจจะต้องปรับเรื่องอินเนอร์เล็กน้อย แล้วก็สายตาที่สื่ออารมณ์ออกมาบ้าง เรื่องพวกนี้มันอาจจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ แต่โดยรวมก็ถือว่าได้อยู่นะ
...
ได้อยู่
“เออใช่!” ฉันเบิกตาตากว้าพร้อมกับลุกขึ้นยืน ทำให้พระพายที่อยู่ไม่ห่างจากฉันเท่าไหร่ผงะไปด้านหลัง
ถึงจะเคยประเมินระดับการโพสต์ท่าทางของเขาค่อนข้างไม่มืออาชีพไปเล็กน้อย แต่ว่าถ้ามองเรื่องรูปร่างและหน้าตาของเขาถือว่าได้เลยนะ อีกอย่างถ้าจะเริ่มทำคอลเลคชั่นนี้ให้มีส่วนของผู้ชายด้วยพระพายก็ทำได้เพราะมันออกมาแนวธีมสดใส ๆ ไม่ต้องสื่อแววตาอะไรออกมาเยอะมากเท่าไหร่ ดังนั้น... “ถ้าฉันยื่นเรื่องนี้เสนอแม่นายไปแล้วนายรีบเสนอตัวไปเป็นนายแบเองเลยนะ”
“เฮ้ย! แสดงว่าฉันได้หรอ?!” พระพายว่าออกมาด้วยท่าทางดีใจเหมือนเขาได้ทำตามฝันของเขาสำเร็จ ซึ่งฉันไม่อยากจะคิดเท่าไหร่ว่าการเป็นนายแบบคือความฝันของเขา
“ก็ได้อยู่นะ แต่ต้องดูอีกทีว่าแม่ของายจะออกความเห็นเรื่องคอลเลคชั่นว่ายังไง มันจะผ่านมั๊ย ถ้าไม่ผ่านนายจะไม่ได้ทำก็ได้” ฉันรีบว่าออกไปเพราะไม่อยากจะให้เขาดีใจเก้อ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนที่วางแขนของเก้าอี้แล้วยกมือกอดอกเงยหน้าขึ้นมองเขาระหว่างที่พูดในแง่บวก “แต่ถ้านายอยากจะลองถ่ายแบบจริง ๆ นายสามารถถ่ายร่วมกับคอลเลคชั่นอื่นก็อาจจะได้อยู่นะ แต่ขอเวลาให้ฝ่ายออกแบบหน่อย”
“ทำไมพูดเหมือนไม่มั่นใจเลยวะ?” พระพายก้มหน้าลงมามองพลางขมวดคิ้วถามฉัน มือหนาเอื้อมมาเกาที่ใต้คางของฉันเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาอย่างให้กำลังใจกัน “ผ่านอยู่แล้วแหละ ทำหน้าเชิด ๆ มั่น ๆ ของเธอให้เหมือนกับตอนที่กัดกับฉันหน่อย” แล้วดันคางฉันขึ้นอย่างที่ชอบแกล้งกันเป็นประจำ
“ก็ตอนกัดกับนายมันไม่ต้องความคิดป่ะ?” ฉันว่าพร้อมกับปัดมือของเขาออก จากที่รู้สึกไม่มั่นใจเมื่อกี้ ตอนนี้ฉันเริ่มกลับมามองพระพายตาเขียวปัดอีกแล้ว
ฉายาตัวขัดอารมณ์ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย
“แล้วใครให้มาเกาคางฉันเนี่ย!” ฉันว่าแล้วยกมือของตัวเองขึ้นมาลูบ ๆ ที่ปลายคางเพื่อลบความรู้สึกอุ่นร้อนจากปลายนิ้วมือของเขาออกไปด้วย
พระพายยักไหล่เหมือนไม่สนใจอะไรมากแล้วพูดหมุนตัวไปมาเหมือนยืดเส้นยืดสายแล้วถาม “มาเช็คแค่นี้หรอ? แค่นี้แล้วจบ?”
“ก็ใช่ มันเป็นงานละเอียดไงพาย ต้องใส่ใจหน่อย” ฉันว่าพร้อมกับเก็บผลงานลงในแฟ้มงานก่อนจะเก็บมันเข้าลิ้นชักโต๊ะแล้วล็อคอย่างหนาแน่น
ความจริงฉันมีไฟล์ที่ออกแบบในแท็ปเล็ตของตัวเองด้วย แต่ว่าพอต้องมาเช็กอะไรแบบนี้แล้วฉันเลือกที่จะปริ้นออกมามากว่า เผื่อเอาไว้ว่าต้องแจกหรือกระจายงานให้คนอ่นด้วยในกรณีที่อุปกรณ์ของเขาไม่พร้อมจะทำงาน ลืมเอา พัง หรือส่งซ่อมอะไรแบบนี้จะได้เห็นกันทั่วถึง แล้วก็ในเรื่องของการเทียบสีของสินค้าจริงกับรูปต้นฉบับที่ร่างเอาไว้ด้วย เพราะว่าจอคอมมันสีแสงสีฟ้าซึ่งนอกจากจะทำให้เสียสายตาแล้วก็อาจจะทำการมองเห็นหรือกำหนดสีมันเพี้ยนไปอีกด้วย เพราะงั้นปริ้นออกมารี้แหละฉันว่าโอเคแล้ อาจจะเปลืองทรัพยากรไปนิด แต่เราไม่ได้ใช้กระดาษพวกนั้นทิ้งเลยทันทีที่ไม่เอานะ เราสามารถเอามารียูสได้ต่ออีกด้วย
เมื่อเก็บเสร็จเรียบร้อยฉันก็คว้าเอากระเป๋าที่ตัวเองถือมาด้วยเอาไว้ เตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่ก็ไม่วายหันไปเอียงคอมองหน้าพระพายเล็กน้อยก่อนจะถามออกไป “เวลานายจะแอ้มผู้หญิงนายไม่ใส่ใจบ้างรึไง?”
“การจ่ายเต็มราคานี่ถือว่าเป็นการใส่ใจมั๊ย?” เขาถามกลับมาทำเอาฉันต้องเบ้ปากมองบน “ไม่รู้แหละ แต่ไม่เคยมีคนบ่นเลยนะ”
“ก็จ่ายเต็มราคาแล้วเขาจะบ่นอะไรได้อีกล่ะ?” ฉันว่า
“ใช่ม่ะ? แสดงว่าฉันดูแลเทคแคร์ดี ไม่มีอะไรให้น่าบ่นเลยสักนิด ผู้หญิงคนอื่นเลยไม่เคยบ่น” พระพายว่าพร้อมกับเดินเข้ามากอดคออย่างสนิทสนมแล้วบ่นให้กันต่อ “มีแต่เธอนี่แหละที่บ่นเช้าบ่นเย็นเป็นแม่ฉันเลย”
“ก็นายไม่เคยทำตัวดี ๆ หนิ” ฉันว่าออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าโทนเสียงของตัวเองอยู่ในโทนไหน
“อยากให้ฉันทำตัวดี ๆ ด้วยหรอจ้ะเมียจ๋า?” พระพายก้มหน้าลงมาถามฉัน ครั้งนี้เขาเป็นคนเปิดประตูห้อง
“เหอะ ถ้าสั่งจะทำให้ฉันมั๊ยล่ะ?” ฉันลองถามออกไป
“ขอร้องอ้อนวอนกันแบบน่ารัก ๆ หน่อยสิเธอ” ไม่ว่าเปล่าแต่หลังจากผละสายตาไปมองทางอื่น ฝ่ามือหนาก็ยกขึ้นมาขยี้เรือนผมของฉันเบา ๆ
“ไม่” ฉันว่าออกไปเสียงเรียบ
จะมาให้ขอร้องอ้อนวอนเนี่ยนะ? เชื่อเถอะว่าทำไปก็เท่านั้นเพราะขนาดข้อตกลงที่เคยตกลงไว้ตั้งแต่แรกเขายังทำไม่ได้เลย อยู่ ๆ จะมาทำดีด้วยว่าฉันขอหรอ? ไม่เชื่อหรอก
“ช่างมันเถอะ ขอยังไงนายก็ทำไม่ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ”
สุดท้ายฉันก็ไม่ทำตามที่เขาต้องการและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเดิม
ถ้าคิดว่าเขาทำไม่ได้ฉันก็จะไม่ขอเพราะถ้าเกิดวันหนึ่งเขาเผลอทำขึ้นมา ต่อให้เผลอก็ตามมันก็เสียความรู้สึกอยู่ดี แต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงถ้าจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ชายก็อาจจะใช่ ไม่คงไม่สามารถเหมารวมผู้ชายทุกคนได้
แต่ว่าในกรณีของพระพาย...เพราะฉันให้เขาไม่ได้
ไม่รู้สิ
จะว่ายังไงดีล่ะ?
เราแต่งงานกันก็จริง แต่เรื่องแบบนี้ฉันว่าเราควรสมยอมกันทั้งคู่มากกว่า ในเมื่อฉันไม่สมยอม มันก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่พระพายจะออกไปหาคนที่ยอมเขาจากข้างนอก นอก ซึ่งฉันเองไม่ได้ติดเรื่องนี้เพราะเราก็ตกลงกันแล้วว่าเขาจะออกไปหาใครเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ขอแค่อย่างเดียวว่าอย่าไปอยู่ในที่โล่งแจ้งเป็นเป้าสายตาผู้คนแค่นั้นเอง
แต่เขาก็ทำให้ฉันไม่ได้...
ทำไมล่ะ?
ฉันขอมากไปหรอ?
“บอกว่าช่างมันแต่มาทำหน้าหงิกคือ?” พระพายถามขึ้นมา
ฉันรีบหันหน้ไปมองเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะเถียงออกไปข้าง ๆ คู ๆ “ทำหน้าหงิกอะไร? ไม่ได้ทำ” เป็นอีกครั้งที่ฉันปัดมือพระพายออกอย่างไม่แยแสอะไรอีกทั้งยังเดินนำหน้าไปอีกด้วย มือบางสะบัดผมยาวสลวยของตัวเองไปด้านหลังด้วย
ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนอยู่จนกระทั่งเดินเข้ามาในลิฟท์แล้วเห็นเงาสะท้อนของตัวเองที่สะท้อนจากกระจกภายในลิฟท์ว่าคิ้วเรียวสวยกำลังขมวดเข้าหากันอยู่ แววตาฉายแววความไม่พอใจเล็กน้อยเหมือนหงุดหงิดและไม่ชอบใจกับอะไรบางอย่าง
โอเค หน้าหงิกก็หน้าหงิก
ไม่เถียงละก็ได้
ฉันมองใบหน้าตัวเองจนกระทั่งลิฟท์ปิดไป ฉันถึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้กดเปิดค้างไว้เพื่อรอพระพายเข้ามาด้วย เหมือนเมื่อกี้จะได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาจากด้านหลังของตัวเองด้วยนะ แต่ความหมั่นไส้บางอย่างทำให้ฉันมองข้ามมันไป
อารมณ์เสีย!
ไม่อยากเสวนาด้วย!
ฉันเดินไปข้างหน้ากำลังจะกดชั้นที่ต้องการจะไป แต่ว่าประตูลิฟท์ก็เปิดก่อนเป็นคุณสามีนั่นเองที่กำลังยืนส่ายหน้าใส่ฉันช้า ๆ
“ขอโทษ ๆ ไม่ต้องขอก็ได้ ไม่ล้อเล่นแล้ว” พระพายว่าพร้อมกับเดินเข้ามาในลิฟท์แล้วกดไปชั้นใต้ดินที่เราจอดรถอยู่ มือหนายังคงใช้จับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายฉันอย่างวิสาสะเหมือนเดิม ซึ่งปกติถ้าไม่ขยี้เรือนผมฉัน เขาก็ดันคางกัน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่...พระพายใช้นิ้วที่แข็งกระด้างดึงแก้มของฉันข้างหนึ่งด้วยแรงที่ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด
“พระพายฉันเจ็บ” ฉันว่าพร้อมกับชักสีหน้าใส่เขา
“อย่างอนกันดิ แกล้งนิดเดียวเอง” พระพายว่าพร้อมกับโน้มตัวลงมาให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับเขาแล้วส่งยิ้มมาให้
“ไม่ได้งอน ไม่ได้โกรธด้วย” ใช่ ไม่ได้โกรธ แต่ก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นอะไร รู้แค่ว่าหงุดหงิด ไม่ชอบใจเลย
“แล้วเป็นอะไร? ทำไมหน้าบึ้ง?” พระพายถามฉันขณะที่ดึงฝ่ามือกลับออกไปแล้วคว้าที่ข้อมือของฉันเบา ๆ เหมือนกำลังกะแรงที่เหมาะอยู่ว่าต้องใช้แรงเท่าไหร่ฉันถึงจะไม่ต่อต้านเขา
“ไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้ฉันร้อน ฉันไม่โอเค ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ฉันหงุดหงิด” พูดไปด้วยมือก็ดึงแขนเสื้อขึ้นมากองไว้ที่ข้อศอกของตัวเองไปด้วย
ตอนนี้เหมือนอารมณ์บางอย่างในกายมันพลุ่งพล่านขึ้นมาด้วยนิดหน่อย แล้ววันนี้ขนาดยังไม่ถึงครึ่งวันฉันอารมณ์แปรปรวนตั้งแต่เช้าแล้ว ทั้งซึมบ้างล่ะ ทั้งไม่อยากอาหารบ้างล่ะ ขุดเรื่องน้อยใจตั้งแต่ชาติที่แล้วขึ้นมาบ้างล่ะ แล้วไหนจะต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับพระพายอีก ไม่ชอบเลย
“อ่า แล้ว?” เหมือนพระพายจะถามว่านอกจากนี้ยังมีอะไรอีก เพราะงั้นฉันเลยตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูจะติดเอาแต่ใจเล็กน้อย
“ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอ่ะพาย”
“อ่าห้ะ” แต่พระพายก็ไม่ได้สนใจอะไรกับคำพูดของฉันเลย แถมยังหันหน้ามาถามกันขณะที่ปลดล็อครถแล้วเปิดประตูให้ฉันเข้าไปนั่งอีกด้วยว่า “ร้อน ๆ แบบนี้สนใจไปกินไอศกรีมม่ะ?”
ฉันนิ่ง
ตอนแรกไม่รู้ว่าตัวเองหน้าบึ่งหรอก แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าแก้มตัวเองป่องออกมาแค่ไหนน่ะ เพราะงั้นเลยตอบออกไปเสียงแข็ง “จะกินอยู่ร้านที่ห้าง G!” อย่างเสียงดังฟังชัดเสร็จก็ขึ้นรถไป
พระพายยิ้มออกมา คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้น ปากคว่ำลงเพียงเล็กน้อยพร้อมทั้งยักไหล่ข้นเหมือนต้องการจะบอกว่า ‘เรื่องแค่นี้’ ก่อนจะปิดประตูรถลงให้แล้วรีบขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ
ก่อนที่รถจะเริ่มออกตัวไปยังจุดหมาย คนตัวสูงข้าง ๆ ฉันก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าเอือม ๆ ว่า “ใกล้จะเป็นเมนส์แล้วเหวี่ยงใส่ผัวตลอด ให้มันได้แบบนี้สิ”
ฉันนั่งทำหน้ามุ้ย คิ้วเรียวยังคงขมวดเข้าหากันแน่นเหมือนเดิม เพราะรู้ส่าที่พระพายพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง มันกำลังจะถึงรอบเดือนของฉันแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ ปกติก็มีแค่บ่นอยากกินของจุบจิบก็เท่านั้นเอง
น่าจะนะ...
“แล้วเป็นแค่ตอนที่อยู่กับฉันด้วย คืออะไรวะ?” พระพายบ่น
ฉันเสหน้ามองออกนอกหน้าต่างพร้อมกับตอบออกไป “เพราะมันคือความสบายของฉันไงพาย”
ไม่รู้ว่าพระพายจะตีความหมายของประโยคที่ฉันเพิ่งพูดเสร็จนั้นไปในทางไหน แต่ฉันหมายความว่าแบบนั้นจริง ๆ
ไม่รู้สิ อยู่กับเขาแล้วฉันไม่ต้องคอยปั้นหน้ายิ้มหรือต้องรักษาภาพลักษณ์ตามที่สื่อต้องการไว้ตลอดอ่ะ เหมือนกับว่าทุกครั้งที่อยู่กับเขาแล้วฉันสามารถเป็นตัวเองได้อย่างงั้นแหละ แบบนี้มันเรียกว่าความสบายใจได้มั๊ยนะ?
ได้แหละ
ถึงแม้มันจะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจบ้างก็เถอะ แต่ก็นั่นแหละ ไว้ขอโทษทีหลังละกัน
แต่ใช่ว่ากับคนอื่นหรือเพื่อนร่วมงานฉันจะใส่หน้ากากเข้าหาพวกเขานะ ฉันแค่รู้ว่าเวลาไหนตัวเองต้องทำตัวยังไง ซีเรียสได้ตอนไหน ตอนไหนต้องยิ้มหรือว่าเวลาไหนที่ควรจริงจังอ่ะ มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วยแหละ เพราะงั้นเลยไม่ค่อยได้วีนใส่ใครเท่าไหร่ อีกทั้งพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานอ่ะจะไปทำตัวไม่น่ารักใส่ก็ไม่ได้ไง
แต่กับพระพายทำได้
งงมั๊ย?
เขาคือคนที่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
“นายก็บ่นเก่งเหมือนกันนั่นแหละ” ฉันว่า แต่ยังคงไม่หันไปมองพระพายเหมือนเดิม แต่เห็นเงาสะท้อนที่มันเลือนลางว่าเขากำลังส่ายหน้าไปมาอยู่ ฉันหันไปมองค้อนใส่คนตัวสูงกันที แต่ว่าพระพายไม่ได้มองฉันอยู่เนี่ยสิเลยไม่รู้ว่าฉันส่งสายตาแบบไหนไปให้เขาอยู่อ่ะ เพราะงั้นฉันเลยหันกลับมามองถนนเหมือนเดิม
“ถึงห้างแล้วอย่าทำหน้าบูดเป็นตูดแบบนี้นะ เดี๋ยวมีข่าวว่าฉันไปสร้างเรื่องไว้อีก” พระพายว่า
คำว่า ‘อีก’ แสดงว่ามันเคยมีเหตุการณ์ประมาณนี้เกิดขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าใช่ ตอนนั้นฉันต้องไปงานสังสรรค์หลังิปดโปรเจคเมื่อเกือบห้าเดือนที่แล้ว แล้วบังเอิญว่าเห็นเขาอยู่ในสภาพนัวผู้หญิง ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องเดินไปลากคอเขากลับบ้านท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานเกือบสิบคนเพราะว่าตอนแรกฉันมองไม่เห็นเขาหรอก แต่มีคนทักขึ้นมาฉันเลยรู้ว่านั่นเป็นเขา
แล้วอีกอย่างนั่นก็เป็นครั้งแรกด้วยที่เราตั้งข้อตกลงขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาอ่ะ
หลังจากคืนนั้นจำได้ว่ามีข่าสออกทุกช่องเลยว่าฉันไม่สามารถลบรอยเสือของพระพายออกไป พระพายเองก็เป็นเสือไม่ทิ้งลายทำตัวแบบเดิมอยู่ สรุปแล้วที่เราแต่งงานกันมันเป็นเพราะรักกันจริง ๆ หรือว่าเพราะอะไรกันแน่
สังคมตั้งคำถามกันต่าง ๆ นานา ฉันโดนวิจารณ์ว่าคุมสามีไม่ได้ ส่งผลต่อสุขภาพจิตช่วงนั้นของฉันมาก ๆ เพราะนอกจากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับเขาแล้ว ฉันยังต้องมาเป็นข่าวที่ฉันไม่เคยเป็นมาก่อนและไม่รู้ว่าต้องรับมือยังไงอีก แต่ว่าเราก็ผ่านมันมาได้ด้วยคำว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย
เพราะแบบนั้นช่วงหลังจากข่าวนั่นออกมาฉันกับพระพายเลยหมั่นหวานออกสื่อบ้าง แต่ไม่ได้บ่อยยหรอก แค่ออกมาควงแขนกันเดินห้างแค่นั้นเอง คนก็แอบถ่ายรูปไปลงโซเชียลให้นักข่าวลงข่าวฉันแล้ว
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การมายืนยันความสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น
จะมากินไอศกรีม!
มาแล้วและต้องได้กินด้วย ไม่งั้นฉันจะทำหน้าเป็นตูดแบบนี้ทั้งวันอ่ะ“เฮ้ เมื่อกี้ฉันบอกว่าหน้าเธอเป็นตูดนะ ไม่คิดจะแว้ด ๆ ใส่เลยหรอ?” เพราะปฏิกิริยาของฉันไม่เหมือนเดิม คนตัวสูงเลยพูดขึ้นมาเพื่อเช็คว่าฉันไม่อะไรกับคำพูดนั้นจริง ๆ หรอ
“ไม่” ว่าแล้วยกมือขึ้นกอดอก สายตามองตรงไปข้างหน้า เชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อยเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถติดไฟแดงพอดีพระพายเลยสามารถละสายตาจากถนนมามองฉันได้
มือหนาเอือมมาคว้าใบหน้าของฉันเอาไว้พร้อมกับบังคับให้หันไปมองหน้าเขา นิ้วโป้งจมอยู่ที่แก้มด้านซ้าย ส่วนนิ้วชี้จมอยู่ที่ฝั่งขวา คนตัวสูงออกแรงบีบเล็กน้อยแล้วพึมพำ
“ไอ้ตูด จะแก้มป่องอะไรขนาดนี้?” เขาว่า นิ้วทั้งสองยังทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิมคือการบีบขย้ำเนื้อแก้มของฉันไม่ยอมปล่อยไปไหนจนฉันต้องเป็นคนจับข้อมือของเขาเอาไว้แล้วถามออกไป
“แล้วทำไมล่ะไอ้แก่?”
“แบบนี้หน่อย” เขาว่าแล้วหันกลับไปมองถนนเหมือนเดิมโดยที่ไม่ได้พยายามดึงข้อมือของตัวเองออกจากการจับกุมของฉันเลยแม้แต่น้อย ส่วนฉันเองก็ไม่ได้ปล่อยให้ข้อมือของเขาเป็นอิสระเหมือนกันเพราะไม่ไว้ใจว่าเขาจะทำอะไรกับหน้าฉันอีกรึเปล่า สุดท้ายฉันก็จับข้อมือของเขาไว้แบบนั้นจนกระทั่งไฟจราจรเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวฉันถึงได้ปล่อยข้อมือเขาให้เป็นอิสระ
ปล่อยให้ความร้อนจากผิวกายของพระพายติดค้างอยู่ที่ฝ่ามือของฉันเหมือนเดิม
เมื่อมาถึงที่หมาย ใบหน้าของฉันก็เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าหลังจากลงรถมาฉันก็ยืนกอดอกตีหน้าบึ้งเหมือนเดิม แต่ในใจตอนนี้คือวิ่งไปถึงร้านแล้ว
“มา” พระพายเดินมาจับข้อมือฉันไว้แล้วพาเดินไปข้างหน้าด้วยจังหวะความเร็วที่ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป
ในตอนแรกฉันเดินเดินตามเขาต้อย ๆ ปล่อยให้พระพายเป็นคนลากฉันไป แต่ต่อมาพระพายก็ลดความเร็วของฝีเท้าลงจนฉันที่เรียกว่าอยู่ในลักษณะของการเดินทอดน่องตอนนี้เดินอยู่ข้าง ๆ เขาได้
ฉันเอียงหน้าขึ้นไปมองพระพาย ทำสีหน้าไม่พอใจใส่เขาไป แกล้งทำแก้มป่องแล้วสะบัดหน้าใส่ แต่แทนที่พระพายจะขอโทษหรือง้อกันเหมือนเมื่อสามสิบนาทีที่แล้วที่อย่างน้อยก็พยายามพูดอยู่ แต่ตอนนี้พระพายกลับหัวเราะออกมาแล้วใช้มือข้างที่ว่างเอื้อมมาบีบแก้มทั้งสองข้างของฉันแล้วพูดออกมา
“ชอบจริงไอ้แก้มป่อง ๆ เนี่ย”
“จะว่าฉันอ้วนหรอ?” เพราะว่าอารมณ์เริ่มดีขึ้นกว่าเมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ฉันเลยกลับมาต่อล้อต่อเถียงกับพระพายเหมือนเดิม
“ไม่คิดว่าชมบ้างหรอวะ?”
“ชิ!” ฉันสะบัดผมใส่เขาแล้วเป็นฝ่ายเดินนำเขาบ้างเพราะทางที่พระพายจะเดินไปอ่ะมันคือลิฟท์ ซึ่งมันก็ดีอ่ะแหละ แต่ว่าถ้าใช้บันไดเลื่อนเราจะเจอร้านพอดีเลย ไม่ต้องเดินอ้อมเหมือนใช้ลิฟท์ อาจจะช้ากว่าเล็กน้อย แต่ว่าเราไม่ต้องเดินอ้อมไกล “ต้องใช้ฉันเดินนำทุกรอบ”
“ถ้าให้มาคนเดียวมีหลงทางอ่ะ” พระพายว่า
“ไม่ได้มาบ่อยหรอ?” ฉันหันหลังไปถามขณะที่ยืนอยู่บนบันไดเลื่อนสูงกว่าพระพายหนึ่งขั้นทำให้ตอนนี้ระดับสายตาของเราทั้งสองคนเท่ากัน
“ก็มาเฉพาะตอนที่มากับเธออ่ะ” พระพายว่าเสร็จก็จับไหล่ฉันให้หันกลับไปทางเดิมเพราะใกล้จะสิ้นสุดทางของบันไดเลื่อนแล้ว ถ้าหากฉันยังหันหลังอยู่แบบนี้มันจะอันตรายและแน่นอนว่าฉันได้รับเสียงดุ ๆ มาจากคนด้านหลัง “ไปถึงร้านก่อนค่อยถามมั๊ย?”
“มันจะลืม” ฉันว่า ครั้งนี้ไม่หันไปมองพระพายอีกเพราะว่าเหลืออีกสองชั้นกว่าจะถึงร้านไอศกรีมที่ว่า
ในหัวก็เริ่มคิดเมนูที่ต้องเองต้องการจะสั่งขึ้นมาแล้ว
เมนูที่มาเมื่อไหร่ก็สั่งเป็นประจำอย่างฮันนี้โทสต์ที่สั่งไอศกรีมเพิ่มอีกหนึ่งลูกตลอดเพราะว่าฉันตัดสินใจไม่ได้ ซึ่งถ้ากินไม่หมดก็มีพระพายที่คอยบ่นว่าสั่งมาเยอะเกิน ถ้าสั่งมาแล้วกินไม่หมดงั้นจะสั่งทำไม ซึ่ง...ชินแล้วกับเรื่องนี้ แต่ถึงพระพายจะบ่นยังไงเขาก็ช่วยฉันกินจนหมดอยู่ดีอ่ะ
แล้วก็มาว่าฉันบ่นเก่งนะ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่แพ้กันอ่ะ
และเมื่อเรามาถึงร้าน แน่นอนว่าฉันเลือกที่จะเข้าไปในตรงโต๊ะที่อยู่ข้างในสุดของร้านเนื่องจากวันนี้ไม่ค่อยพร้อมที่จะเธอใครเท่าไหร่เพราะลองประมวลผลดูแล้วไม่พร้อมจริง ๆ ถึงแม้จะบอกว่าตัวเองอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่มีอะไรคอนเฟิร์มอีกว่าฉันจะองค์ลงอีกทีเมื่อไหร่
“เอาฮันนี่โทศต์ค่ะ ไอศกรีมรับเป็นวนิลากับ...” ฉันส่งสายตาไปให้พระพายเลือกด้วย
“เลือกเลย” เขาว่า
“กับช็อกโกแล็ตค่ะ ผลไม้ไม่เอาพวกเบอร์รี่นะคะ” ฉันว่าแล้วหันไปเปิดเมนูเครื่องดื่มแล้วสั่งของที่ตัวเองชอบมา “เครื่องดื่มเป็นสตรอว์เบอร์รี่สมูตตี้นะคะ” แล้วยื่นไปให้พระพายดูในส่วนของเขา
“Vanilla Latte Frappe ครับ” ว่าเสร็จก็ส่งคืนพนักงานไป
พนักงานทำหน้าที่ทวนเมนูที่เราสั่งไปก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป เมือไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้วก็ก็พูดขึ้นมา
“อันที่นายสั่งน่าลองอ่ะ” ตอนเขาเอามาเสิร์ฟค่อยลอง
“พูดแล้วนะ” ฉันว่า
“เออพูดแล้ว” พระพายย้ำคำเดิมแล้วถามขึ้นมาอีก “ทำไมไม่แยกกันสั่งอ่ะถ้าจะต้องเอาพวกเบอร์รี่ออก?”
“กินไม่หมด” ฉันตอบออกไปอย่างตรงไปตรงมา
พระพายที่ได้ยินคำตอบก็ได้แต่หัวเราะในลำคอเสียงต่ำพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอือม ๆ ให้ฉัน
ฉันชอบสตรอว์เบอร์รี่มาก แต่มันมีเหตุจำเป็นที่ต้องเอาออกเพราะว่าพระพายแพ้พวผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อาจจะไม่ได้รุนแรงมาก แต่ถ้าได้รับในปริมาณเยอะ ๆ ก็หนักอยู่
หนักแค่ไหนก็ไม่รู้เพราะว่ายังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองอ่ะ แต่รู้ว่าเขาแพ้อะไรบ้าง แล้วที่รู้ว่าหนักก็เพราะลองถาม ๆ แม่ของเขาดู ตอนนั้นทำเป็นแกล้งถามแสดงความสนใจและห่วงใยพระพายไปเพราะเป็นช่วงแรก ๆ ที่เริ่มแต่งงานกัน ทำให้แม่เขารู้ว่าฉันรู้อะไรเกี่ยวกับลูกชายของท่านบ้าง
ก็นั่นแหละ เลยได้รู้มาค่อนข้างเยอะเกี่ยวกับพระพายน่ะ
แต่บางส่วนก็รู้จากเขาอยู่แล้วนะเลยสามารถไปคุยกับแม่ของเขาได้
ขอแค่พระพายบรีฟข้อมูลมา ไม่ว่าจะเยอะแค่ไหนฉันก็จะจำให้ได้
ก็ดีลกันมาแล้วนี่เนอะ
ต้องแสดงให้เห็นหน่อยว่าเป็นลูกสะใภ้ที่ใส่ใจคุณสามีมากแค่ไหน
ความคิดเห็น