ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marriage Life

    ลำดับตอนที่ #3 : CHAPTER:: 02[อัปครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 64


    ประกาศจ้าาาา
    ตอนนี้ไรท์มีเพจแล้ววว ไรท์จะแจ้งเกี่ยวกับการอัพนิยายที่เพจน้าา
    FB PAGE: BBeatrizXX
    จิ้มแล้วไปกดไลค์กดติดตามได้เลยยย ><
    ตอนนี้ก็ไปติดตามนิยายต่อเลยจ้าา


    บทบรรยาย:: พระพาย พัชรนันท์

    ผมไม่เคยคลุกคลีกับใครมากเท่าคนในครอบครัวมาก่อน การที่ผมจะสีงเกตอะไรใครได้นั่นหมายความว่าเราต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานพอสมควร ผมกับอัยย์แต่งงานกันมาจะครึ่งปีละ ถึงพฤติกรรมบางอย่างอัยย์จะไม่ได้แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนนัก แต่ผมคิดว่าผมรู้

    อัยย์เป็นคนที่หุ่นสมส่วนนะในความคิดผม การกินของเธอค่อนข้างปกติ เวลาว่างก็กินขนม น้ำหวานเหมือนคนปกติ แต่คงเป็นเพราะระบบการเผาผลาญหรือการออกกำลังกายของอัยย์ที่ทำให้หุ่นของเธอฟิตแอนด์เฟิร์มอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ 

    แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น 

    ประเด็นมันอยู่ตรงที่อัยย์จะเป็นคนทานข้าวช้า ผมไม่รู้นะว่านั่นเป็นเรื่องปกติมั้ย แต่เวลาเรานั่งทานข้าวด้วยกันเธอจะทานช้ามาก อาจเป็นเพราะต้องคอยตอบคำถามที่ไร้สาระของผมหรือไม่ก็รับมือกับคำพูดที่ไม่มีประโยชน์ของผมก็ได้เธอเลยทานข้าวเสร็จช้า ดังนั้นการที่เธอเดินขึ้นมาบนนี้ทั้งที่ผ่านไปได้ไม่นานมันเลยดูแปลก

    "ฉันอิ่มแล้ว" อัยย์ว่าขณะที่มือยังคงเช็ดผมที่เปียกหมาด ๆ ของผมอยู่ "นายจะไปนั่งดี ๆ ก่อนมั้ย? ฉันเช็ดให้ไม่ถนัด"

    "ปล่อยไว้แบบนี้แหละ ผมฉันแห้งเร็ว" ผมผละมือออกจากเอวบางของอัยย์ขึ้นมาคว้าข้อมือของเธอพร้อมกับออกแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการดึงเธอให้เดินตามตัวเองลงไปกินข้าวข้างล่าง

    มาสนใจอะไรผมก็ไม่รู้ ควรสนใจตัวเองมากกว่ามั้ย ดูออกนะว่ายังไม่กินข้าวน่ะ

    "ไม่ได้นะ" อัยย์รีบแย้งพร้อมกับขืนตัวเองไม่ให้ผมลากมาได้โดยง่าย

    "ได้ดิ ป่ะ ไปกินข้าวกัน"

    "พระพาย ฉันกินข้าวแล้วและผมนายยังไม่แห้ง!" เสียงของอัยย์ยังคงดังต่อเนื่องไม่มีท่าทีว่าจะหยุด แม้แต่ตอนที่ผมอุ้มเธอพาดบ่าลงมาข้างล่างเธอก็ยังคงบ่นไม่หยุด

    บ่นเก่งที่หนึ่ง

    บอกแล้วว่าเธอน่ะบ่นโคตรเก่ง

    กินแม่ผมเข้าไปหรอว่าถึงได้เก่งขนาดนี้น่ะ?

    แต่บ่นได้ไม่นานเธอก็กลับมาเงียบอยู่ดีเพราะว่าพอมาถึงโต๊ะหลังจากที่ให้แม่บ้านตัดข้าวต้มมาให้เราสองคนใหม่ คนตัวเล็กนั่งตักข้าวต้มเข้าปากไม่หยุดเลย...

    บอกแล้วว่ายังไม่กินข้าว 

    บอกแล้วว่าดูออก

    ก็เวลาแค่ไม่ถึงสิบนาทีเธอจะไปอิ่มได้ยังไงอ่ะ

    "วันนี้เธอต้องไปที่สตูดิโอหรอ?" ผมถามอัยย์ตอนที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม 

    หญิงสาวตรงหน้าพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ ก่อนจะตอบ "ว่าจะไปตรวจงานนิดหน่อย"

    "ให้ไปเป็นเพื่อนป่ะ?" ผมลองถามดู เอาจริง ๆ ก็ถามไปงั้นแหละ ต่อให้เธอไม่ให้ไปด้วยผมก็จะไปอยู่ดี

    มีข้ออ้างล้านแปดที่ผมสามารถเอามาอ้างในการไปกับเธอ แน่นอนว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการต่อล้อต่อเถียงกับอัยย์สักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้ายเธอก็ต้องจำยอมให้ผมไปด้วยอยู่ดี

    ผมเก่งแหละ

    หาข้ออ้างเก่ง

    "นายไม่มีงานทำหรอ?" อัยย์ถามระหว่างที่เทน้ำลงในแก้วเพิ่มแล้วยกขึ้นดื่ม

    "การไปตรวจสอบงานกับเธอก็ถือว่าเป็นงานของฉันนะที่รัก" ผมว่าพร้อมกับดันแก้วตัวเองไปใกล้กับอัยย์ด้วย เมื่ออัยย์เทน้ำลงแก้วให้ผมเสร็จ ผมก็รีบดึงกลับขึ้นมายกขึ้นดื่มพลางมองใบหน้าของอัยย์ที่ทำหน้าตาเหมือนกับจะกะโจนเข้ามาข่วนหน้าของผมงั้นแหละ

    "อย่ามาเรียกฉันว่าที่รักนะ" คิ้วเธอเริ่มขมวดเข้าหากัน

    "ทำไมอ่ะเบบี๋?" ผมเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกเธอ

    "เบบี๋ก็ไม่ได้" อัยย์พูดเสียงเข้ม

    "ตัวเธอ?" เริ่มสนุกแล้ว

    ผมวางช้อนของตัวเองลงก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประสานกันแล้วเท้าคางไว้กับโต๊ะ มองหน้าเธอที่พยายามจะส่งสายตาทาดุผมอยู่เรื่อย ๆ ระหว่างที่โซ้ยข้าวต้มอยู่

    "ไม่"

    "ตัวเอง?" 

    "ไม่!!!"

    "ทำไมอ่ะ? เธออ่ะไม่น่ารักเลย! แต่งงานกันมาขนาดนี้แล้วเรายังไม่มีชื่อเล่นให้กันแบบน่าล็อก ๆ เลยนะเธอ!" ว่าแล้วก็แสดงท่าทีเอาแต่ใจออกไป 

    ไม่มีใครเคยได้เห็นหรอกมุมนี้นอกจากอัยย์น่ะ เอาไปพูดให้ใครฟังก็คงจะไม่มีใครเชื่อด้วย

    คนอื่นเขารู้ว่าปกติเขาน่ะเป็นคนเจ้าชู้ แพรวพราว เป็นสายเปย์ชอบจ่ายเงินให้สาว ไม่เคยมีใครรู้หรอกว่างานอดิเรกของผมคือกวนตีนเมียตัวเองแบบนี้ ถึงแม้ว่าเวลาอยู่ข้างนอกเราจะมีงุ้งงิ้งกันบ้าง แอบบิดเนื้อกันบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยต้องมาชักดิ้นชักงอแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะ ๆ นะ

    ก็คนมันมีภาพลักษณ์ให้ต้องดูแล

    เผื่อสาวคนอื่นรู้ว่าผมทำตัวแบบนี้แล้วไม่กล้าเข้าใกล้จะทำยังไง?

    ใครจะรับผิดชอบ!?!

    "ฉันไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นของนายนะที่ต้องมีชื่อเรียกเพราะนายกลัวจะลืมชื่อพวกหล่อนน่ะ" พูดเสร็จก็พ่นลมหายใจออกมาก่อนจะกรอกตามองบนใส่ผม

    พูดจามั่วขาดข้อมูลไปหมด

    ผู้หญิงคนอื่นอะไรก็ไม่รู้! 

    "อะไร! ผู้หญิงอะไร๊!? ไม่เคยจะมี๊!" พร้อมกับยกมือขึ้นโบกสะบัดไปมาประกอบกับคำพูด

    "ตอแหล ถ้าโกหกขอให้แม่นายจับได้!"

    "เลิกกันหมดแล้วจริง ๆ ครับ ไม่มีแล้วครับ เช็คโทรศัพท์ผมได้เลยครับ" ก้มหร้าก้มตายอมรับความจริงออกไปอย่างห้ามไม่ได้

    เพราะข้อตกลงที่ให้ไว้กับยัยนี่นั่นแหละทำให้ผมต้องจำใจลบเบอร์โทรของพริตตี้สวย ๆ ออกไปจนหมดอ่ะ!

    โกรธเว้ย!

    "ไม่เช็ค! จะกินข้าว!" แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อไป

    ผมได้แต่มองเธอเงียบ ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเมื่อเห็นเธอสนใจแต่ข้าวต้มตรงหน้า ต่างกับที่เมื่อก่อนหน้านั้นบอกว่ากินอิ่มแล้วเรียบร้อยและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะเข้าไปอาบน้ำอย่างเดียว

    บอกแล้วว่าเธอน่ะยังไม่อิ่ม

    ผมอยู่กับเธอมานานนะ

    รู้อยู่แล้วแหละว่าอะไรเป็นอะไร

    "หัวเราะอะไร?" อัยย์เงยหน้าขึ้นมาถามผม เหมือนว่าเมื่อกี้มันจะเงียบเกินไปจนเสียงหัวเราะของผมดังเข้าหูของเธอ

    "เปล่า" ผมว่าพร้อมกับยักไหล่ขึ้นแล้วหยิบช้อนของตัวเองขึ้นมาตักในถ้วยกิน

    เป็นบรรยากาศที่ดีเหมือนกับทุกเช้าจริง ๆ 

    หลังจากนั้นเราก็เงียบกันจนกินข้าวเสร็จ ไม่อยากกวนอัยย์มากกว่านี้เพราะไม่งั้นเดี๋ยวไม่ได้ทำงานทำการกันพอดี

    ผมนั่งเขี่ยโทรศัพท์ไปมาระหว่างที่กำลังรออัยย์อาบน้ำและจัดการตัวเองให้พร้อมไปข้างนอก กดเข้าไปดูแล้วอ่านข่าวบันเทิงไปด้วยเพราะเมื่อคืนตัวเองแอบไป...เรียกว่าเกือบก่อเรื่องแล้วกัน เพราะแอบไปเที่ยวข้างนอนกมา แล้วอัยย์เองก็รู้เลยไปรับผมกลับมาบ้านผมเลยกังวลว่าตัวเองจะโดนพาดหัวขึ้นหน้าหนึ่งแข่งกับข่าวเกี่ยวกับรัฐบาล แต่ปรากฏว่าไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว

    แล้วอัยย์รู้ได้ไงวะ?

    แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก คิดว่านะเพราะเธอมีคนรู้จักเต็มไปหมด ทั้งวงการนางแบบของเธอ ไหนจะวงการนักออกแบบอีก ต้องเป็นใครสักคนรายงานให้เธอรู้แน่ ๆ

    ผมเลื่อนนิ้วไปเรื่อย ๆ จนมาเจอกับรูปโปรโมทแบรนด์ของแม่ผมเอง ซึ่งนางแบบที่ใช้ในการโปรโมทก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากอัยย์ 

    เสื้อผ้าเรามีหลากหลายรูปแบบไม่ตายตัวมากนักว่าเป็นแค่เสื้อแขนยาวหรือเสื้อยืดทั่วไป มีทั้งแขนยาวบ้าง สั้นบ้าง เป็นกางเกงแล้วก็กระโปรงด้วยเพื่อคุณผู้หญิงและได้ยินแว่ว ๆ จากผู้เป็นแม่ว่าในอนาคตข้างหน้าเราจะมีเสื้อผ้าของผู้ชายด้วย ถึงปัจจุบันจะมีอยู่บ้าง แต่ความหลากหลายของมันไม่มีได้เท่าผู้หญิงซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่แรกของทางแบรนด์ 

    รูปที่ใช้ในการโปรโมทนั้นเป็นแค่เสื้อยืดสีขาวเอวลอยมีระบายตรงแขน เป็นเสื้อเข้ารูปที่เผยให้เป็นส่วนเว้าโค้งของเอวไม่พอยังเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบที่เธอดูแลและถนอมมาอย่างดีอีกต่างหาก ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์เอวต่ำสีซีดเข้ารูปโชว์สะโพกผายของเธอ บวกกับรองเท้าส้นสูงสีดำเท่านั้นเอง แต่มันกลับดึงดูดให้คนหยุดเลื่อนหน้าจอมามองดูรูปนี้อีกรอบแม้ว่าจะเลื่อนไปผ่านไปแล้วก็ตามได้โดยที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน

    ถึงแม้พื้นหนังของรูปจะเป็นสีขาวเหมือนกับเสื้อที่เธอใส่ แต่เธอกลับโดดเด่นออกมาจากพื้นหลังได้ดีมาก ไม่รู้นะว่ารูปนี้ผ่านกระบวนการแต่งเงาและสีอะไรบ้าง แต่ทุกอย่างมันลงตัวไปหมด

    ไม่แปลกใจที่แม่ผมจะอยากได้อัยย์เป็นลูกสะใภ้ เพราะถ้าวันหนึ่งแบรนด์ของเราปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้หลุดมือไปคงหาใครมาแทนที่ของเธอไม่ได้

    ถึงอัยย์จะมีโอกาสไปร่วมงานกับแบรนด์อื่นด้วยก็เถอะ แต่ต้องเป็นคนละแนว คนละสไตล์กับแบรนด์ของเราโดยสิ้นเชิง ซึ่งนอกจากชุดไทยกับชุดแต่งงานก็มีชุดเกี่ยวกับการกีฬานี่แหละที่เธอสามารถไปถ่ายให้ได้

    แต่ไม่ใช่ว่าชีวิตประจำวันของเธอจะต้องใส่ชุดของแบรนด์เราอย่างเดียวนะ  เธอยังใส่แบรนด์อื่นได้อยู่เหมือนเดิม อันนี้แล้วแต่และขึ้นอยู่กับเธอเลยเพราะว่าการซื้อมาใส่เองกับการโดนจ้างมาโปรโมทมันไม่เหมือนกัน

    “พายมานี่หน่อย” หลังจากที่ผมนั่งจ้องรูปของอัยย์ได้นานพอสมควร ก็มีเสียงดังจากห้องแต่งตัวเรียกผมเข้าไปหา 

    ผมกดออกจากแอพแล้วเก็บโทรศัพท์ยัดลงกระเป๋ากางเกงของตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวตามที่อัยย์เรียกผม 

    เดินเข้าไปในห้องแต่งตัวก็เจอกับร่างบางที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำกำลังยืนพิจารณาเสื้อผ้าในตู้อยู่ ผมเลยถามออกไป “ว่าไง?”

    “จะดูว่านายแต่งแบบไหนจะได้ใส่แนวเดียวกัน” เธอว่าพร้อมกับหันมามองผมแล้วสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า

    ผมใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอร์มสีเทาแค่นั้น เพราะตอนแรกอัยย์บอกว่าวันนี้เธอว่างแล้วเราสองคนคงไม่ได้ออกไปไหนผมเลยคิดว่ามันคงไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้เป็นทางการมากเท่าไหร่ เพราะถ้าออกไปอย่างน้อยก็ไม่ใช่ธุระสำคัญเนื่องจากผมเองก็ไม่มีนัดอะไรด้วย เลยอยู่ในสภาพของเสื้อยืดกางเกงวอร์มแค่นั้น

    ส่วนอัยย์ที่บอกว่าไม่ให้ไปด้วยและมีท่าทีขัดขืนเต็มที่ตอนที่ผมเสนอตัวไปเป็นเพื่อนในตอนแรก บัดนี้กำลังพยายามเลือกชุดที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังแต่งตัวมาเป็นคู่อยู่

    “ตู้เสื้อผ้าฉันไม่ค่อยมีสีเทาเลยอ่ะ” เธอว่าพร้อมกับเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าอีกตู้ดูแล้วหันกลับมามองผมอีกรอบ 

    “ก็ใส่ฮู้ดสีเทาที่เคยซื้อให้ไง” ผมว่าพร้อมกับเดินไปตู้เดิมที่เธอเปิดหาเมื่อกี้ก่อนจะเลือก ๆ แล้วหยิบเสื้อฮู้ดที่จำได้ว่าตัวเองเคยซื้อให้อัยย์ออกมาแล้วยื่นให้เธอ จากนั้นก็เดินไปอีกตู้ที่เธอเก็บท่อนล่างจำพวกกางเกงหรือไม่ก็กระโปรงอะไรของเธอไว้นั้นแล้วมองหากางเกงหนึ่งตัว

    “เอาตัวนั้น ๆ” อัยย์ที่เดินถือฮู้ดอยู่เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับหยิบกางเกงสีขาวตัวหนึ่งขึ้นมาก่อนจะกางออกแล้วลองเอาฮู้ดมาวางทับดูว่ามันจะเข้ากันมั๊ยก่อนจะพยักหน้า “เอาตัวนี้แหละ” ว่าเสร็จหลังจากนั้นก็หันมามองผมพูดเสียงเรียบ “ออกไปรอข้างนอก ฉันจะแต่งตัว”

    “คำว่าขอบคุณสักคำไม่มี” ผมว่าก่อนจะใช้นิ้วดันปลายคางของอัยย์ขึ้นแล้วเดินออกจากห้องแต่งตัวออกมา หูก็ไม่วายจะได้ยินเสียงของเธอดังตามหลังมาด้วย

    “ฉันแค่จะดูว่านายแต่งตัวแบบไหน ไม่ได้จะให้ช่วย!” 

    ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่คำขอบคุณที่ผมว่า

    เออ ให้มันได้แบบนี้

    ผมนั่งรออัยย์อีกเกือบสิบนาทีเธอก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัวในสภาพที่พร้อมแล้วเรียบร้อย เดินไปหยิบกระเป๋าใบเล็กมาแล้งเดินหมุนตัวอยู่ต่อหน้าผม

    “มา พร้อม”

    “แล้วตอนแรกทำเป็นไม่อยากให้ไปด้วย” ผมว่าก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปกอดคอของอัยย์เอาไว้ทั้ง ๆ ที่โดนคนตัวเล็กมองค้อนมา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจสายตานั้นของเธอเท่าไหร่ ออกแรงเพียงเล็กน้อยพาเธอเดินออกจากห้องไป

    เราใช้เวลาในการเดินทางเกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริษัทแล้ว เมื่อมาถึงก็มุ่งหน้าไปในส่วนของสตูดิโอทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา

    “จะอยู่ถึงเที่ยงป่ะ? จะได้เตรียมร้านข้าวไว้รอเลย” ผมว่าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแอปดิลิเวอร์รี่อาหารก่อน

    “เพิ่งกินมา นายจะกินอีกแล้วหรอ?” 

    “ยังไม่ได้จะกินตอนนี้ แต่พอดีว่ามันมีคนที่ทำงานแบบไม่ดูเวลาเหมือนแม่ฉันไม่ให้ค่าจ้างอยู่คนนึงเลยต้องหาไว้เผื่อไง” ผมว่า

    อัยย์เป็นคนที่ถ้าได้โฟกัสกับงานแล้วจะไม่สนใจอะไรเลยสักอย่าง อาจจะมีสนใจเพื่อนร่วมงานอยู่ในตอนที่ต้องปรึกษากัน แต่ว่าพอถึงเวลาที่คนอื่นเขาพักกันเธอจะชอบบอกว่าเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง ซึ่ง...ไม่เคยตามออกมาเลย บ่อยครั้งที่แม่บ้านต้องหั่นผลไม้เตรียมใส่กล่องมาให้เธอด้วย แต่ก็อย่างที่ว่าเธอไม่พักเลยไง เพราะแบบนี้ผมเลยต้องถามดูด้วยว่าเธอจะอยู่นานมั๊ย 

    ที่ทำแบบนี้ไม่ได้เป็นห่วงเลยนะ

    จริง ๆ

    จบบทบรรยาย:: พระพาย พัชรนันท์


    “ไม่รู้อ่ะ แค่มาตรวจงานเฉย ๆ ไม่ได้น่าจะมีอะไรต้องแก้เยอะ” ฉันตอบก่อนจะเป็นคนเปิดประตูห้องเข้าไปแล้วจัดการเปิดไฟและเครื่องปรับอากาศในห้องและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานก่อนจะวางกระเป๋าลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

    พระพายเก็บโทรศัพท์ลงเข้ากระเป๋าเดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับหยิบแบบร่างที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะขึ้นไปดูด้วยท่าทางพิจารณาก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยเหมือนพึงพอใจกับผลงานที่ฉันลองคิกออกมา

    คอลเลคชั่นนี้ฉันว่าจะลองเสนอแม่ของพระพายให้ปล่อยช่วงหน้าร้อนเพราะว่าทางแบรนด์ส่วนใหญ่จะปล่อยเสื้อยืดออกมาเป็นสีอ่อน ๆ ใส่ง่ายแล้วก็สบายตามากกว่า ซึ่งครั้งนี้ฉันอยากได้สีที่มันสด ซึ่งคิดว่าถ้าปล่อยออกม่วงหน้าร้อนน่าจะดีเพราะถ้าใส่ถ่ายรูปด้วยคงเข้ากับแสงแดดประเทศไทยไม่น้อย 

    โดยที่ทำออกมาเนี่ยเป็นเสื้อยืดที่เนื้อผ้าตั้งใจจะหาผ้าที่มันระบายอากาศมากที่สุดแล้วก็ดูดซึมเหงื่อให้ได้ที่สุดด้วย นอกจากนี้ก็มีกางเกงกับกระโปรงที่สามารถเอามาจับคู่แมชต์กันได้

    ฉันเลิกคิ้วขึ้นเพราะต้องการฟีดแบคจากเขาเพราะถ้าไม่ยึดความสัมพันธ์ที่ไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยวข้องพระพายเองก็ไม่ต่างกับเจ้านายฉันเท่าไหร่เพราะงั้นจะรับฟังความคิดเห็นจากเขาบ้างคงไม่แปลกอะไร

    “กำหนดปล่อยคอลเลคชั่นนี้คือตอนไหน?” เขาหันหน้ามาถามกัน

    “ช่วงซัมเมอร์ เมษาหน้าร้อนประมาณนี้เพราะเราเว้นการปล่อยเสื้อโทนสีสด ๆ มานานแล้ว”

    “โอเคเลยนะ” พระพายว่าก่อนจะลองเสนออะไรออกมาอีก “ถ้าทำเป็นเดรสสั้นเนื้อผ้าที่มันเย็น ๆ หน่อยฉันว่าก็ดีด้วยนะ”

    ฉันพยักหน้าอย่างยอมรับ แต่ก็มีเรื่องให้แทรกขึ้นไปอยู่ดี “แต่มันเป็นสีเดียวเลยนะพาย”

    ถึงจะแอบคิดว่ามันน่าจะโอเค แต่ถ้าต้องเป็นเดรสเลยมันน่าจะเกินไป คงมีแค่ไม่กี่สีที่ขายได้แน่ ๆ ถ้าลองสำรวจจะความสนใจของวัยรุ่นที่มีแล้ว

    “อืม...” พระพายทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะก้มลงมองกระดาษแผ่นเดิมแล้วชี้นิ้วมาแล้วพูดขึ้น “งั้นเอาแค่นี้ก็ได้”

    “มันโอเคอยู่ใช่มั๊ย?”

    “โอเคดิ เธอเป็นคนคิดเองเลยนะ” พระพายว่า

    ฉันยิ้มมุมปากขึ้นให้กับประโยคที่ดูเหมือนคำชมของพระพายก่อนจะส่ายหน้าไปมาเบา ๆ แล้วหาสีที่มันจับคู่กันได้มาเทียบกันดูเพราะถ้าเกิดแม่ของพระพายอนุมัติ ผลิตสินค้าออกมาเรียบร้อยแล้วจะได้เตรียมชุดถ่ายแบบเลย ไม่ต้องไปเตรียมตอนใกล้ ๆ จะโปรโมท

    ทำงานไฟลนก้นมันไม่สนุกหรอกนะขอบอก

    อีกอย่างคิดเอาไว้ตอนนี้ก็เผื่อว่าในอนาตคมีปัญหาด้วย จะได้แก้ได้ทัน

    “แล้วคอลเลคชั่นผู้ชายอ่ะจะทำตอนไหนนะ? เหมือนคุ้น ๆ ว่าจะทำหนิ ใช่ป่ะ?” พระพายถามขึ้นมา

    “ใช่ แต่ยังดีลนายแบบไม่ได้อ่ะ” ฉันตอบพร้อมกับทำหน้าเซ็งออกมา 

    นายแบบเยอะมาก แต่ติดสัญญาเยอะมากเช่นกันเพราะงั้นเลยยังไม่มีแพลนว่าจะทำคอลเลคชั่นผู้ชายเลย แล้วนายแบบอิสระคนที่เคยร่วมงานด้วยตอนนี้ก็ไปรับงานที่ต่างประเทศ ไม่รู้อีกว่าจะว่างจากทางนู้นตอนไหนเพราะยังไม่ได้ติดต่อกันเลย เราเลยมีปค่ความคิดเท่านั้นเอง

    “หรอ?” พระพายว่าก่อนจะยืนตัวตรง สองมือล่วงกระเป๋าขาข้างหนึ่งเหยียดตรงส่วนอีกข้างพ้อยท์ปลายเท้าแบบเก้ ๆ กัง ๆ ใบหน้ากดต่ำ คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้าที่เหมือนพยายามจะเก็กให้หล่อ...

    “พาย...” ฉันเรียกชื่อสามีของตัวเองออกไปเสียงเบา สีหน้ตอนนี้ก่งสงสัยกึ่งพูดไม่ออกเล็กน้อยเพราะว่ารู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ “อย่าบอกนะว่านายจะเสนอตัวเป็นนายแบบน่ะ?”







    Hashtag On Twitter
    #คุณสาขาเมียจ๋า
    #อัยย์พระพาย

    Talk1
    -

    Talk2
    อัปแน้วว

    Talk3
    มาต่อแน้วว ขอเม้นหน่อยน้าาา
    ถ้าเม้นเยอะเดี๋ยวคืนนี้ไรท์มาอัปต่อน้าา

    Talk4
    มาต่อแน้ววว ชดเชยที่หายไปนานนะคะ
    อ่านเสร็จเม้น ๆ ด้วยน้าาา



    1 เม้น = 1 กำลังใจน้า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×