ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    All of us

    ลำดับตอนที่ #3 : #คับฟ้าพาฝัน:: 02[อัปครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 64


    ประกาศจ้าาาา

    ตอนนี้ไรท์มีเพจแล้ววว ไรท์จะแจ้งเกี่ยวกับการอัพนิยายที่เพจน้าา

    FB PAGE: BBeatrizXX

    จิ้มแล้วไปกดไลค์กดติดตามได้เลยยย ><

    ตอนนี้ก็ไปติดตามนิยายต่อเลยจ้าา

     

    [แกจะหนีหน้าทุกคนไปถึงเมื่อไหร่ ตอนไหนแกจะกลับมาบ้าน?] ประโยคแรกที่บุพการีทักทายกันหลังจากที่พยายามติดต่อเข้ามาหาผมไม่หยุดหลังจากที่ผมไม่ได้กลับบ้านไปเป็นเวลานาน

    คำว่าบ้านสำหรับคนอื่นอาจหมายถึงสถานที่ที่มีพ่อ แม่และลูกอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขก็จะจับมือกันเผชิญอุปสรรคไปด้วยกัน แต่สำหรับบ้านที่ผมอยู่มันมีแค่คำว่าธุรกิจเท่านั้นที่ยึดเหนี่ยวทุกคนเอาไว้ด้วยกัน

    บ้านที่ไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย

    บ้านที่แค่คิดถึงก็รู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน

    เป็นบ้านที่ผมไม่ได้กลับมาเป็นเวลามากกว่า 2 ปีแล้ว...

    “เรื่องของผม” ผมตอบปลายสายไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างไม่มีการเกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกโกรธกับคำพูดที่ดูไม่เคารพเขาแค่ไหนก่อนจะกดตัดสายไปเพราะรู้ว่าถ้ายังถือสายอยู่นานกว่านี้ตัวผมเองก็น่าจะอารมณ์ร้อนขึ้นมาเหมือนกัน

    นี่คือความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวผม

    คุยได้ แต่เห็นหน้าไม่ได้

    คุยได้ แต่ห้ามนาน

    ไม่งั้นเราได้ระเบิดอารมณ์ใส่กันแน่นอน

    ผมพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียดอย่างอดกลั้นก่อนจะวางโทรศัพท์คว่ำเอาไว้บนเค้าท์เตอร์ห้องครัวแล้วเริ่มลงมือทำอาหารท่ามกลางเสียงสั่นของมือถือ 

    ซึ่งผมก็ไม่คิดจะกดรับสายมันอีกครั้ง 

    ผมหยิบเนื้อออกมาจากตู้เย็น ปล่อยทิ้งไว้จนมันเริ่มละลายโดยที่ระหว่างนี้ก็หาพวกผักในตู้ออกมาล้างเตรียมไว้ด้วยก่อนจะหั่นมันเป็นระเบียบ จากนั้นก็หันกลับมาสนใจที่เนื้ออีกครั้ง

    ตั้งใจว่าจะทำข้าวผัดกับกะเพราเนื้อเป็นมื้อเย็นของวันนี้ ทำง่ายดี ไม่ได้มีส่วนประกอบอะไรมากมายด้วย ถึงนาน ๆ จะได้ลงมือทำอาหารเอง แต่ผมก็รู้ส่วนประกอบของหลายเมนูอยู่ 

    ผมเริ่มลงมือทำทุกขั้นตอนอย่างไม่เร่งรีบ พยายามที่จะละเมียดละไมและใจเย็นกับมันให้มากที่สุด แต่ว่าพอมันถึงจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเสียงโทรศัพท์มันเริ่มน่ารำคาญ ความใจเย็นที่มีอยู่ก็พังลง

    ผมปล่อยมีดที่ใช้หั่นผักในมือลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ง้างมือขึ้นสูงก่อนจะขว้างมันลงพื้นอย่างแรงด้วยความไม่พอใจขั้นสุดจนโทรศัพท์เครื่องบางแตกกระจายออกจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม

    น่ารำคาญ

    ไม่รู้รึไงว่าการโทรเข้ามาซ้ำ ๆ แบบนี้มันน่ารำคาญ

    ที่ตัดสายไปยังไม่ชัดเจนอีกหรอว่าผมไม่อยากเจียดเวลาอันมีค่าของตัวเองมาเสวนาด้วย 

    ผมหอบหายใจอย่างหนัก มือทั้งสองข้างสั่นไปหมดอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาจ้องเขม็งไปที่เศษซากของโทรศัพท์ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเองเบา ๆ เพื่อสงบสติลง ปล่อยให้ภายในโซนห้องเงียบไร้เสียงของสิ่งใดมารบกวนตัวเอง แต่ว่าไม่นาน...

    “มีอะไรรึเปล่าคะคุณคับฟ้า?” พาฝันวิ่งเข้ามาหาผมอย่างตกใจ

    ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอก่อนจะใช้มือดันร่างเล็กที่ตอนนี้อยู่ในชุดสบาย ๆ ออกห่างจากบริเวณนี้แล้วพูดออกไปด้วยเสียงที่พยายามจะบังคับให้เรียบนิ่ง “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ทำโทรศัพท์ตก” 

    ถึงแม้สภาพของมันจะดูห่างจากคำว่าทำตกอยู่เยอะพอสมควรจนพาฝันทำท่าจะเอ่ยท้วงขึ้นมา

    “แต่...” พาฝันเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เหมือนเธอจะเห็นสีหน้าของผมในตอนนี้ คนที่ทั้งขี้เกรงใจและไม่ค่อยกล้าหืออะไรผมมากนักก็ทำได้เพียงแค่ตอบกลับมาว่า “ค่ะ” เท่านั้น

    “เธอไปรอข้างนอกก่อน”

    “ไม่ค่ะ เดี๋ยวหนูเก็บกวาดก่อน คุณคับฟ้าไปรอข้างนอกก่อนนะคะ” พาฝันรีบพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบเดินไปหยิบไม้กวาดมากวาดเศษของโทณศัพท์ที่อยู่บนพื้นให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วแล้วนำไปทิ้งใส่ถังขยะ

    ผมมองภาพแห่งความเร่งรีบนั้นก่อนจะละสายตากลับมามองที่อุปกรณ์ทำอาหารของตัวเองที่ยังคงทำค้างไว้ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเดินเข้าไปหยุดที่จุดเดิมของตัวเองก่อนจะหยิบมีดขึ้นมาถือไว้ในมืออีกครั้ง เมื่อกำลังจะลงมือหั่นคะน้าที่ต่อเสียงใสของคนตัวเล็กก็ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองเธอ

    “คุณคับฟ้าให้หนูทำมั๊ยคะ?” พาฝันถามผม เวลาเพียงไม่นาน แต่เธอน่าจะสังเกตเห็นทุกอย่างและบรรยากาศโดยรวมได้แล้วว่า ณ ตอนนี้ผมอยู่ในอารมณ์ไหน

    ผมเงียบ กำลังคิดและตัดสินใจว่าควรจะทำยังไงเพราะสภาพอารมณ์ของผมตอนนี้ก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอปาถ้วยจานในมือทิ้งไปจนหมด แต่ว่าในเมื่อผมเป็นคนให้คำสัญญาไปแล้ว จะมาให้เธอทำเองคงไม่ได้ 

    “ถ้าคุณคับฟ้าไม่สบายใจ ให้หนูช่วยทำก็ได้นะคะ” พาฝันพูดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ผมเงียบไปนาน ใบหน้าอ่อนวัยของเด็กสาววัย 18 มีรอยยิ้มสดใสแต่งแต้มอยู่บนนั้นทำให้ผมต้องละสายตาจากเธอก่อนจะครางรับข้อเสนอตามที่เธอว่ามาออกไป

    “อืม”

    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพาฝันยังคงมอบรอยยิ้มให้ผมเหมือนเดิม แม้แววตาที่มองมาในแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกันก็ตาม แต่เธอยังคงเลือกที่จะยิ้มให้ผมอยู่แบบนั้น

    กับพาฝันผมไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเธอเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าลึก ๆ ผมจะรู้ถึงจุดประสงค์ของตัวเองอยู่แล้วว่าการรับเลี้ยงดูเธอไว้เพื่ออะไรก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่มีวันทำร้ายผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด 

    ถึงเรื่องที่ตัวเองจะทำมันอาจจะมีบางอย่างทำให้รอยยิ้มของพาฝันหายไปก็ตาม แต่เธอจะไม่มีวันเสียใจหรือเจ็บปวดที่วันนั้นเธอตามผมมา

    ไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่าเด็กคนหนึ่ง แต่ไม่ควรมีใครเจ็บปวดกับเรื่องนี้นอกจากพวกมัน

    แค่พวกมันเท่านั้นที่ต้องเจ็บปวด

    “เอาสิ” ผมว่าเสียงเรียบก่อนจะขยับไปด้านข้างเพื่อที่จะได้มีเนื้อที่ให้พาฝันยืน

    คนตัวเล็กขยับเข้ามายืนข้างกันก่อนจะหันมาเงยหน้าถามผมเสียงใส “คุณคับฟ้าจะทำเมนูอะไรหรอคะ?” 

    “กะเพราเนื้อกับข้าวผัด” ผมตอบออกไป เห็นว่าคนตัวเล็กพยักหน้าอย่างเชื่องช้าหลังจากได้ยินคำตอบ ผมเลยตัดสินใจถามเธอไป “อยากเปลี่ยนเมนูมั้ย? เปลี่ยนได้นะถ้าเธอไม่ชอบ”

    ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง พาฝันรีบส่ายหน้าอย่างรุนแรงใส่ผมก่อนจะตอบออกมา “เอาเมนูนี้แหละค่ะ” เธอว่าเสร็จก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างบางเบาแล้วพูดต่ออีก “คุณคับฟ้าทำกะเพราเนื้ออร่อย หนูชอบ”

    เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่พาฝันยิ้มแล้วผมไม่หลบหน้าหนีจากสายตาคู่นั้นไปมองทางอื่น

    เพราะแบบนั้นผมเลยเลือกที่จะวางมีดลงอีกครั้งแล้วเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

    “พาฝัน”

    จบบทบรรยาย:: คับฟ้า


    คุณคับฟ้าเรียกชื่อฉันออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากปกติ

    แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความเย็นชา บัดนี้กำลังสั่นไหวเหมือนกับว่าเรื่องที่เขากำลังจะพูดออกมานั้นมันเป็นเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจมาก ๆ 

    ตั้งแต่รู้จักกันมาคุณคับฟ้าไม่เคยมีอาการแบบนี้เลย ทุกวันฉันจะได้รับความนิ่งขรึมของเขามากกว่า ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะเผยลักษณะอาการแบบนี้ออกมา แสดงว่าเรื่องนั้นมันต้องใหญ่มาก ๆ หรืออาจจะยากที่จะตัดสินใจก็ได้ ซึ่งการที่เขาเรียกฉันแบบนี้มันก็หมายความว่ามันเกี่ยวข้องกับฉันใช่มั๊ย?

    อย่าบอกนะ...

    “คุณคับฟ้า...จะส่งหนูคืนแม่หรอคะ?” ฉันถามออกไปเสียงเบาหวิว

    ก็รู้อยู่หรอกว่าสักวันคุณเขาต้องอยากส่งฉันกลับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องเลยที่คน ๆ หนึ่งจะต้องมาเลี้ยงดูส่งเสียเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองหรือสามารถสร้างประโยชน์อะไรให้ตัวเองได้น่ะ

    แต่ว่าถ้าเขาจะส่งฉันกลับจริง ๆ ฉันก็คงไม่เรียกร้องที่จะอยู่ต่อหรอก เพราะฉันเองยังมองไม่เห็นเลยว่าในอนาคตฉันจะทำประโยชน์อะไรให้เขาได้บ้าง ทุกวันนี้ก็ทำได้แค่งานบ้านเท่านั้นเอง

    ทำไมทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลยนะฉันเนี่ย

    ทั้ง ๆ ที่คิดเอาไว้แล้วว่าสักวันต้องโดยทิ้งอีกครั้ง แต่ใจที่เตรียมเอาไว้กลับวูบโหวงขึ้นมาสักอย่างงั้น

    “ไม่ใช่” ปล่อยให้ฉันคิดไปเองจนนาน คุณคับฟ้าก็พูดขึ้นมาพร้อมกับเดินเข้ามาหาฉันจนฉันต้องเงยหน้าขึ้นอีกเพื่อมองเขาเนื่องจากความสูงที่ต่างกันมากของเราสองคน

    ฉันหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกด้วยความลืมตัว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็กลับมายืนตรงเงยหน้ามองคุณคับฟ้าเหมือนเดิม

    คุณคับฟ้าก้มหน้าลงมามองฉัน แววตาของเขาเริ่มกลับมานิ่งเรียบเหมือนเดิมแล้ว ถึงจะแค่เล็กน้อย แต่ก็ทำให้ฉันรู้ว่าเขาคงไม่กังวลเรื่องที่จะพูดอีกแล้ว 

    หลังจากที่เรามองหน้ากันอยู่นาน นานมากจนครั้งนี้ฉันต้องเป็นฝ่ายหลบตาเอง คุณคับฟ้าก็ถามขึ้นมา “ไม่อยากกลับไปหรอ?”

    “...คะ?” แม้จะได้ยินคำถามนั้นครบทุกคำทุกพยางค์ แต่เพราะไม่คิดว่าเขาจะถามขึ้นมาแบบนี้ฉันเลยถามออกไป

    อย่างที่บอกว่าฉันเตรียมใจเอาไว้แล้วเรื่องที่สักวันต้องโดนเขาส่งกลับคืนไปให้แม่ แม้ว่าจะรู้อยู่แล้ว แต่มีแค่ฉันเท่านั้นที่รู้ว่าลึก ๆ แล้วตัวฉันเองไม่ได้อยากกลับไปอยู่ที่นั่นอีก

    อาจจะฟังดูอกตัญญูที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองอยากอยู่ที่นี่มากกว่าอยู่กับแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ว่าถ้าเลือกได้...ยังไงฉันก็ต้องอยากอยู่ที่นี่อยู่แล้ว

    ไว้ให้ฉันโตขึ้นหรือมีงานทำก่อน ให้ฉันมีเงินเยอะ ๆ ฉันจะกลับไปหาแม่เอง

    จะทำให้แม่อยู่ในที่ที่ดีขึ้นมากกว่าที่ตรงนั้น

    “เธออยากอยู่ที่นี่ต่อหรอฝัน?” คุณคับฟ้าถามขึ้นมาอีกครั้ง

    ฉันลังเลที่จะตอบในตอนแรกเพราะไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ คุณคับฟ้าถึงถามแบบนี้ขึ้นมา เป็นคำถามวัดใจหรือเพราะเขาไม่รู้จริง ๆ เลยถามกันแน่ เพราะงั้นฉันเลยเลือกที่จะตอบออกไปอย่างตรงไปตรงมา

    “หนูอยากอยู่ต่อค่ะ”

    “หรอ?” เขาว่าเสียงเบาแล้วพูดประโยคคล้ายคำถามขึ้นมา “ถ้าฉันมีเรื่องให้เธอช่วย เธอจะช่วยฉันมั๊ยฝัน?”

    “ช่วยค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แต่หนูจะช่วยคุณคับฟ้าแน่นอนค่ะ” ครั้งนี้ฉันรีบตอบออกไปโดยที่ไม่ต้องคิดเลย

    “ถ้าฉันให้เธอมาเป็นแฟนฉัน แฟนที่รักกันมาก ๆ จนแยกจากกันไม่ได้ เธอทำให้ฉันได้ใช่มั๊ย?”

    “......”

    “เธอจะช่วยฉันใช่มั๊ยพาฝัน?”

    ฉันนิ่งเงียบไปเพราะพูดไม่ออกและไม่ได้ตั้งตัวว่าจะเจอคำขอแบบนี้จากคุณคับฟ้า

    คำขอที่ว่าให้ฉันไปเป็นแฟนของเขาน่ะ...

    ก็ตอนแรกเราสองคนตกลงกันแล้วเรื่องความสัมพันธ์ของเราว่ามันจะไปในรูปแบบหรือทิศทางไหน ขีดจำกัดของเราสองคนจะเป็นยังไง ซึ่งมันเป็นได้แค่นายจ้างกับลูกจ้าง ไม่ก็ผู้อุปการะเลี้ยงดูเท่านั้น ไม่สามารถเป็นมากกว่านี้ได้ อีกอย่างคุณคับฟ้าก็เคยบอกแล้วว่าห้ามคิดกับเขาเกินเลยเด็ดขาด ที่เขาบอกเอาไว้เพราะการที่ชายหญิงแปลกหน้ามาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ยังไงมันก็ต้องมีสักฝ่ายที่เกิดความรู้สึกขึ้นมา 

    เราพูดและตกลงเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงแรกที่เราอยู่ด้วยกันแล้ว

    แล้วที่ผ่านมาฉันที่พยายามห้ามความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ลึก ๆ ตอนนี้ต้องรู้สึกยังไง?

    ขอสารภาพว่าที่ผ่านมามีหลายครั้งที่ตัวฉันเองแอบคิดไม่ซื่อกับผู้มีพระคุณของตัวเอง ที่ผ่านมาฉันไม่ได้พบปะกับผู้ชายมากนัก ถึงจะเคยมีเพื่อนร่วมห้องเป็นผู้ชายก็เถอะ แต่เพราะความที่เป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาก็นานเลยไม่ได้มีความรู้สึกที่มันเกินกว่าเพื่อนเลยสักครั้ง แต่พอมาเจอกับคุณคับฟ้าเหมือนมันมีความรู้สึกบางอย่างที่ฉันเองก็บอกไม่ถูกว่าทำต้องรู้สึกใจเต้นแรงกับการกระทำที่ดูเหมือนเอาใจใส่กัน แม้จะเพียงแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม แต่มันทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาต่างจากผู้ชายคนอื่นที่ได้เคยพบมา

    แต่ก็อย่างที่บอก อาจเป็นเพราะฉันไม่ค่อยได้พบปะผู้ชายมามากนักเลยทำให้ฉันใจสั่นกับคุณคับฟ้า

    เอาแต่คิดแบบนี้แล้วพยายามหักห้ามความรู้สึกทุกอย่างที่ก่อนตัวขึ้น แต่พอวันนี้เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจะให้ฉันตอบออกไปยังไง?

    หรือนี่ก็เป็นคำถามที่ใช้ทดสอบฉันเหมือนกันหรอ?

    “ทำไม...?” ฉันพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว

    ตอนนี้ฉันเริ่มคิดแล้วนะว่าที่ผ่านมาตัวเองเผลอแสดงออกไปให้เขาเห็นรึเปล่า ทำไมเขาถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ว่าฉันคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าตัวเองเผลอไปทำแบบนั้นตอนไหน

    ฉันมั่นใจจริง ๆ นะส่าฉันเก็บอาการได้ดีพอน่ะ

    “ถ้าฉันบอกว่าเธอไม่มีสิทธิ์รู้เพราะเธอติดหนี้บุญคุณของฉัน เธอจะโอเคมั๊ย?” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องเข้ามาในตาของฉันนิ่งขณะที่เขาถามฉัน

    ฉันลังเลว่าจะพยักหน้าหรือส่ายหน้าตอบเขาไปดี แต่สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าออกไป

    ขอกันแบบนี้อย่างน้อยก็ให้ฉันได้รู้สาเหตุบ้างไม่ได้หรอ?

    คุณคับฟ้าถอนหายใจก่อนจะเดินไปล้างมือให้เรียบร้อยแล้วเดินกลับมาหาฉันใหม่แล้วพูดขึ้นมา

    “ขอเวลา 5 นาทีได้มั๊ย?”

    “ได้ค่ะ” ฉันตอบออกไปก่อนจะเดินไปล้างมือแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าของเขา “คุณคับฟ้าอยากใช้นานแค่ไหนแล้วแต่คุณคับฟ้าเลยค่ะ”

    “......” เขาเงียบก่นอจะเอื้อมมือมาคว้าข้อมือของฉันเอาไว้แล้วพาเดินไปในส่วนของห้องนั่งเล่น แล้วนั่งลงบนโซฟาตัวยาว ฝ่ามือหนารั้งข้อมือของฉันให้นั่งลงข้าง ๆ เขา

    เราสองคนไม่ได้มองหน้ากัน

    ฉันก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง ไม่กล้าเงยน้าขึ้นไปสบตากับเขาเลย

    คุณคับฟ้าเริ่มอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฉันได้รับรู้ เล่าทุกอย่างออกมาหมดเปลือกจนฉันที่เอาแต่ก้มหน้าเงียบในตอนแรกต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเขาในตอนที่สายตาเหลือบไปเห็นว่านิ้วเรียวสวยทั้งสิบกำลังกำเข้าหากันแน่นจนหลังมือมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาอย่างน่ากลัว

    ฉันได้แต่ถามตัวเองในใจว่ามันดีจริง ๆ หรือที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นเรื่องที่เป็นเรื่องที่คนนอกอย่างฉันสมควรได้รับรู้จริง ๆ หรอ?

    เนิ่นนานเกินกว่า 5 นาทีตามที่เขาว่ามา ล่วงเลยจนแสงอาทิตย์สีทองสาดส่องเข้ามาภายในตัวห้องเริ่มหายลับขอบฟ้าไปแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก

    แววตาที่เคยเรียบนิ่งไม่ไหวติงบัดนี้ฉันเห็นแต่ความแข็งกร้าวภายในดวงตาคู่นั้นของเขาจนฉันเริ่มรู้สึกแล้วว่าเรื่องนี้มันไม่น่าจะใช่เรื่องที่ฉันควรจะได้รับรู้ด้วยเลย

    และเรื่องราวหลังจากที่ฉันรับรู้เรื่องพวกนี้แล้วฉันคงไม่สามารถปฏิเสธคำขอจากคุณคับฟ้าได้แน่นอน แม้มันจะเป็นเรื่องที่ใหญ่มากจนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างฉันไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้วฉันก็จะพยายามให้เต็มที่

    แม้จะช่วยได้เพียงนิดเดียวฉันก็จะช่วย

    แม้การมีอยู่ของฉันในเรื่องนั้นจะมีเพียงน้อยนิด แต่เพราะคุณคับฟ้าเห็นว่าเขาสามารถพึ่งพาฉันได้ ดังนั้นฉันจะทำให้เต็มที่

    “เธอ...ยังมองว่าฉันเป็นผู้มีพระคุณของเธอออยู่อีกมั๊ย?”

    “ค่ะ” ฉันตอบออกไป สายตายังคงจ้องมองที่เขาเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปโฟกัสที่จุดไหน แม้ว่าคุณคับฟ้าจะยังคงมองไปที่อื่นที่ไม่ใช่ฉันเหมือนเดิม “คุณคับฟ้าสามารถใช้หนูได้เท่าที่ต้องการเลยนะคะ”

    “......”

    “เพราะชีวิตใหม่ที่คุณคับฟ้าให้หนูมา ไม่ว่าจะตอบแทนยังไงชาติหนูก็คงไม่สามารถตอบแทนได้หมดหรอกค่ะ” ฉันพูดพลางผลิรอยยิ้มออกมา

    คุณคับฟ้าหันมามองฉัน แววตาที่แข็งกร้าวเมื่อครูแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร เหมือนกับว่าคำพูดและสีหน้าของฉันมันดูน่าสงสารมาก ๆ จนเขาไม่สามารถปกปิดสีหน้าและแววตาเอาไว้ได้

    “ไม่...” เหมือนเขากำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่ฉันก็พูดแทรกขึ้นไปก่อนที่เขาจะได้พูดอย่างไม่มีมารยาท

    “หนูเต็มใจค่ะ” ฉันยังคงยิ้มเอาไว้อยู่ “ดังนั้นไม่ต้องห่วงอะไรเลยนะคะ”

    ได้แต่หวังว่ารอยยิ้มที่ยิ้มออกไปจะไม่ทำให้เขามีหน้าแบบนี้อีก

    จบบทบรรยาย:: พาฝัน


    ผม...กำลังทำอะไรอยู่?

    ผมถามตัวเองในใจรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้หลังจากที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้พาฝันฟังเพราะตัดสินใจแล้วว่าจะยืมมือของเธอให้มาช่วยในเรื่องต่าง ๆ ของตัวเอง ทั้งที่พาฝันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียเลยแม้แต่นิดเดียว

    ทำไมวะ?

    อะไรทำให้ผมตัดสินใจทำแบบนั้นออกไปวะ?

    ผมเอาแต่ถามตัวเองแบบนี้ตั้งแต่ตอนช่วงหัวค่ำ ล่วงเลยมาจนถึงตอนทานมื้อเย็นเผมก็ยังคิดอยู่ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่เงียบเชียบเหมือนปกติ แต่กลับต่างออกไปจากทุกทีจนไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการฉลองเปิดเทอมให้แก่เด็กตัวเล็กที่อยู่ข้างหน้า ด้วยความที่บรรยากาศมันดูหนักอึ้งเกินไป ผมตั้งใจว่าทานข้าวเสร็จผมตัดสินใจจะบอกพาฝันออกไปว่าไม่ต้องทำแล้ว แต่เมื่อนึกสีหน้าและคำพูดของพาฝันแล้วทำให้ผมรู้สึกไม่สงบใจถ้าจะบอกออกไปตรง ๆ 

    มันจะเหมือนผมกำลังเล่นกับเรื่องความรู้สึกและจิตใจของเธออยู่

    เอาเรื่องหนัก ๆ ไปใส่ในหัวเธอแบบั้นแล้วจะมาพูดยกเลิกง่าย ๆ ได้ยังไง?

    เพราะเอาแต่คิดมากอยู่แบบนั้นผมเลยนอนไม่หลับ ปกติก็เป็นคนหลับยากอยู่แล้วถ้าไม่ได้ทำงานหนัก ๆ หรือออกกำลังกายมาก่อน วันนี้ทั้งวันผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งเฝ้าร้านของตัวเองทั้งวันรอเวลาที่พาฝันจะโทรมาแค่นั้น เลยกลายเป็นว่ามีพลังงานเหลือล้นเกินกว่าจะนอนหลับไปเฉย ๆ ได้

    สุดท้ายผมเลยเดินออกจากห้องนอนของตัวเองมาเพื่อหาอะไรทำ แต่จังหวะที่เปิดประตูออกมานั้น ห้องฝั่งตรงข้ามก็เปิดประตูออกมาเหมือนกัน ซึ่งนั่นทำให้ทั้งผมและเธอต่างก็ชะงักไป

    พาฝันที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนตัวยาวแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนไม่รู้จะทำอะไรกับบรรยากาศแบบนี้ ส่วนผมเองก็ก้มหน้ากลับไปด้วยความเงียบ

    เราปิดประตูลงแล้วยืนอยู่หน้าห้องนอนองใครของมัน ไม่มีใครกล้าก้าวเท้าออกไปตรงไหนเลย เวลาล่วงเลยไปจนเกือบนาทีผมจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดออกไปก่อน

    “นอนไม่หลับหรอ?” ผมถามเสียงเรียบก่อนจะเดินไปเปิดไฟแล้วเดินไปที่โซนห้องนั่งเล่นด้วยท่าทีปกติ ยังไม่ทันได้นั่งลงเพราะสองตายังคงมองที่พาฝันเองจากรอเธอตอบกลับมาอยู่

    “น้ำหนูหมดค่ะ เลยมาเปลี่ยนขวดใหม่” พาฝันตอบด้วยน้ำเสียงปกติกลับมาเช่นกัน

    การแสดงออกของเรามันดูปกติมากเหมือนอย่างที่ผมบอก

    แต่บรรยากาศรอบตัวมันไม่ปกติ ผมรู้สึกได้

    ผมยืนพิงพนักของโซฟาแล้วจ้องมองจังหวะการก้าวเดินที่ค่อนข้างเชื่องช้าของพาฝันที่กำลังเดินเข้าห้องครัวไปเงียบ ๆ จนกระทั่งเธอเดินออกมาผมก็ยังคงค้างสายตาไว้ที่พาฝันเหมือนเดิม

    แต่แทนที่เธอจะกลับเข้าไปห้องนอนของเธอ คนตัวเล็กกลับเดินเข้ามาหาผมแล้วถามแทน “คุณคับฟ้านอนไม่หลับหรอคะ?” 

    “อืม” ผมตอบออกไปแล้วเดินอ้อมมานั่งบนโซหา ส่งสายตาที่ไม่รู้จะเรียกว่าเชิญชวนได้รึเปล่า แต่พาฝันก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ กัน 

    ถึงลึก ๆ ผมจะคิดหรือหวังอะไรไว้ในหัวก็ตาม แต่ริมฝีปากกลับเอ่ยถามเธอออกไป “ทำไมไม่ไปนอน?”

    “...ยังไม่ง่วงค่ะ” พาฝันตอบพร้อมกับเอนตัวพิงโซฟา

    ปากบอกว่ายังไม่ง่วง แต่การสังเกตสีหน้าเมื่อกี้เหมือนพาฝันจะเริ่มง่วงหน่อย ๆ แล้ว แต่ก็ยังคงไม่เข้าไปนอนอยู่ดี

    “ให้หนูนั่งเป็นเพื่อนมั๊ยคะ?” สิ้นประโยคนั้นผมหันไปมองหน้าเธอ ยังคงเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเนียนใสไร้เครื่องสำอางของพาฝันเหมือนเดิม

    เป็นรอยยิ้มที่ต่างจากเมื่อเย็นไปโดยสิ้นเชิง

    แบบนี้หน่อย...

    “เอาสิ แต่สี่ทุ่มแล้วนะ” ผมไม่ห้าม แต่ก็ไม่ได้พูดในเชิงรั้งเธอไว้อยู่ต่อเหมือนกัน

    “ไม่เป็นไรค่ะ ตารางเรียนพรุ่งนี้ไม่มีตอนเช้า” เธอว่าแล้วยกน้ำขึ้นดื่มเล็กน้อย เหมือนจะหิวน้ำตั้งแต่แรกแล้ว

    หลังจากดื่มน้ำเสร็จตากลมโตใสแป๋วเลยตอนนี้

    ผมส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะส่ายหน้าไปมา จนพาฝันต้องหันหน้ามามองกันด้วยความสงสัยว่าผมหัวเราะอะไร

    “เปล่า” ผมว่าก่อนจะเอนตัวลงไปพิงกับโซฟาเหมอนกัน แขนพาดไปตามพนัก ขาทั้งสองข้างยกขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะกระจกอย่างไม่เกรงใจใคร พยายามหาท่าที่ตัวเองผ่อนคลายหรือสายมากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้บนโซฟาที่มีพื้นที่จำกัดนี้แล้วหลับตาลงเหมือนกับต้องการใช้ความคิด

    พาฝันทำหน้าที่ของเธอได้ดีมาก 

    เธอบอกว่าจะนั่งเป็นเพื่อนก็ทำแค่นั่งเงียบ ๆ เฝ้าผมอยู่แบบนั้นจนผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

    คาดว่าเป็นเพราะความเงียบที่มันปกคลุมไปทั่วห้องแน่ ๆ แล้วก็ความสบายใจอะไรบางอย่ามันทำให้ผมหลับได้ทั้ง ๆ ที่มีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ กันแบบนี้ 

    แต่จะเรียกว่านั่งเป็นเพื่อนไม่ได้แล้ว เพราะพาฝันเองก็หลับไปด้วยเหมือนกัน

    ผมนั่งตั้งสติก่อนจะลุกขึ้นมาบิดคอไปมาเล็กน้อยเพื่อไล่ความเมื่อยออกจากร่างกายแล้วมองที่ร่างเล็กที่กำลังนั่งขดตัวอยู่พื้นฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ ซึ่งตอนแรกผมพาดขาไว้ตรงนั้น แต่ท่าที่ผมตื่นมาคือทั้งแขนทั้งขาวางเรียบร้อยอยู่บนโซฟา มีผ้าห่มผืนบางห่มให้ด้วย

    มีพาฝันคนเดียวที่และแค่พาฝันเท่านั้นที่ทำให้ผมได้

    แล้วดู...

    จัดแจงท่านอนให้ผมอย่างดี ห้าผ้ามาห่มให้กัน แต่ตัวเองกลับไปนั่งฟุบกับโต๊ะโดยปราศจากผ้าห่มด้วย

    ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืดแขนยืดขาพอเป็นพิธีแล้วเปิดไปประตูห้องของพาฝันเอาไว้ให้กว้าง ๆ ก่อนจะเดินกลับมาใช้ผ้าห่มคลุมตัวของพาฝันไว้แล้วช้อนตัวเธอขึ้นมาแล้วพาเข้าไปในห้องของเธอ วางลงบนเตียงอบ่างเบามือก่อนจะจัดแจงห่มผ้าแล้วเปิดเครื่องปรับอากาศในห้องให้เธอในอุณหภูมิที่พอเหมาะแล้วเดินกลับมาที่ข้างเตียงของพาฝันเหมือนเดิม

    ยืนมองใบหน้ายามหลับของเธอที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับไปมองพาฝันอีก





     


    Hashtag On Twitter

    #คับฟ้าพาฝัน


     

    Talk

    มาล้าววว

    ฝากเม้น ๆ หน่อยน้าา


    Talk 2

    เซ็ทนี้มี 2 เรื่องนะคะ ไรท์จะอัปสลับกัน ซึ่งไรท์ไม่กล้าบอกว่าเรื่องไหนและเกี่ยวกับอะไรเพราะกลัวว่ามันจะเป็นการสปอยล์เนื้อหาเน้อ

    อ่านเสร็จเม้น ๆ ด้วยน้าา

     

    Talk 3

    นางเอกรู้ พระเอกรู้ นักเขียนรู้ ตอนนี้ทุกคนรู้ปมหมดแล้วนะคะยกเว้นนักอ่านของไรท์ ฮ่าา 

    อ่านเสร็จเม้นให้กันด้วยน้าา


     


     

     

    1 เม้น = 1 กำลังใจน้า

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×