ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Boss Bitch อ่อยให้ตายก็ไม่ได้นายอยู่ดี

    ลำดับตอนที่ #2 : #พาขวัญจะอ่อย:: 01[อัปครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 64


    ประกาศจ้าาาา
    ตอนนี้ไรท์มีเพจแล้ววว ไรท์จะแจ้งเกี่ยวกับการอัพนิยายที่เพจน้าา
    FB PAGE: BBeatrizXX
    จิ้มแล้วไปกดไลค์กดติดตามได้เลยยย ><
    ตอนนี้ก็ไปติดตามนิยายต่อเลยจ้าา



    ฉันเกลียดหน้าฝนมาก 

    เกลียดมาก ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งในหน้าฝน...

    วันนั้นฝนตกแรงมาก ๆ และฉันไม่สามารถกลับบ้านได้ทันทีเพราะว่าคนขับรถนั้นรถติดอยู่ ฉันเลยได้มาหลบฝนที่ใต้ตึกคณะเพื่อนบ้านและเจอกับผู้ชายคนหนึ่งเข้า

    วันนั้นเป็นวันที่พาขวัญคนนี้ได้รู้จักกับคำว่ารักแรกพบเป็นครั้งแรก!

    วันนั้นเราสบตากันด้วย แล้วฉันก็ได้บอกไปแล้วด้วยว่าชอบเขาอ่ะ

    อร้ายย

    นึกถึงเหตุการณ์นั้นกี่รอบก็เขินไม่ไหว

    แล้วหลังจากที่ฉันบอกชอบพี่เขาไปนะ! แหม ไม่อยากจะพูดเลย 

    ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นแหละค่ะ 

    เหตุการณ์หลังจากที่ฉันบอกชอบเขาไป สิ่งที่เขาคนนั้นทำคือถอดหูฟังออกแล้วถามฉันกลับมาด้วยเสียงเข้ม ๆ ว่า

    'อะไร?'

    แค่นั้น 

    เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ยินในสิ่งที่ตัวเองบอกออกไป ฉันเลยเงียบเอาไว้เพื่อกลับมาตั้งหลักใหม่เพราะอยู่ดี ๆ จะเดินโทง ๆ ไปบอกชอบเขาเลยก็ไม่ได้! มันต้องรู้จักเตรียมตัวก่อนสิ!

    หึ 

    คิดไปพร้อมกับก้าวสองขาของตัวเองเดินฉับ ๆ ไปยังสถานที่เป้าหมาย มือข้างที่ไม่ได้ถืออกอะไรถูกใช้ขึ้นมาเสยผมยาวสลวยของตัวเองขึ้นเพราะมันบดบังทัศนยีภาพในการมองทางเดินของฉัน สองตาจ้องไปยังคนตัวสูงที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ก่อนจะเปลี่ยนกิริยาท่าทางของตัวเองให้ดูเรียบร้อยขึ้น จัดผมเพ่าของตัวเองให้ดูเรียบตรงเมื่อเข้าใกล้เป้าหมายเต็มที่

    และในที่สุด...

    "พี่นำทัพคะ ขวัญซื้อเค้กร้านที่อยู่ตรงหัวมุมตรงนั้นมาฝากค่ะ" วางกล่องเค้กลงที่ข้างแขนของคนตัวสูงพร้อมกับใช้นิ้วมือเกี่ยวปอยผมของตัวเองขึ้นมาทัดหูเหมือนกำลังแก้เขินก่อนจะพูดออกไปอีก "ใกล้สอบเก็บคะแนนแล้ว สู้ ๆ นะคะ" ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ เดินหมุนตัวออกมา

    พยายามบังคับจังหวะการเดินของตัวเองให้ช้า ๆ เผื่อว่าเขาจะเรียกรั้งฉันเอาไว้แล้วบอกฉันว่า...

    "เดี๋ยว" 

    "ว่าไงคะพี่นำทัพ?" ฉันรีบถลากลับไปยังจุดเดิมที่ตัวเองเพิ่งเดินจากมา ต่างกันตรงที่ครั้งนี้ฉันเข้าไปนั่งข้าง ๆ คนตัวสูง ไม่ได้ยืนเหมือนเมื่อกี้

    ฉันนั่งขาไขว้ห้าง เอนตัวไปด้านหน้าเพื่อเท้าแขนของตัวเองไว้กับโต๊ะแล้ววางคางของตัวเองไว้บนหลังฝ่ามือที่กรีดนิ้วเรียวสวยให้เขาเห็น

    พยายามจัดท่าทางของตัวเองให้ดูดีที่สุดในทุกองศาที่ถูกเขาใช้สายตาคมเข้มจับจ้อง

    สายตาเองก็ไม่ลืมที่จะดูรายละเอียดบนหน้าของคนตัวสูงให้ได้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะมองได้

    มองคิ้วหนาเข้มที่ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาดูคมและเรียบนิ่งพร้อมที่จะฆ่ากันด้วยสายตาคู่นั้น 

    มองสันจมูกที่โด่งได้รูปเข้ากับใบหน้าของเขาเป็นอย่างดี ไม่มีอะไรบกพร่อง

    มองริมฝีปากหนาสีธรรมชาติของชายหนุ่มกำลังขยับเปล่งบางอย่างออกมา

    บางอย่างที่ทำให้ฉันหยุดเคลิ้ม...

    "ขอบคุณนะ แต่ฉันไม่กินเค้ก"

    อารมณ์ที่บิ้วท์มาเมื่อกี้...พัง

    อีกแล้ว!

    "เอาเครื่องดื่มมาให้พี่ก็ไม่ดื่ม พอเอาของหวานมาให้พี่ก็ไม่กินอีก! ขวัญแทบจะซื้อมาครบทุกร้านที่อยู่ในมหาลัยแล้วนะ!" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงงอแงก่อนจะนั่งยืดตัวตรงแล้วยกมือขึ้นกอดไว้ที่อกของตัวเองแล้วบ่นอุบอิบ "ตามจีบ ตามเลี้ยงดูมาตั้งหลายเดือนขนาดนี้ยังไม่สนใจกันอีก! ชิชะ!"

    บ่นสลัดคราบหญิงสาวเรียบร้อยเมื่อสองนาทีก่อนซะจนหายเกลี้ยงเลย...

    "เงียบหน่อย มันรบกวนสมาธิ" พี่นำทัพว่าแล้วหันกลับไปสนใจหนังสือต่อ

    ฉันกรอกตามองบนแล้วพูดออกไปเหมือนกับน้อยใจโชคชะตาที่ทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ "ถ้ารู้ว่าเกิดมาเป็นคนสวยแล้วพี่ยังไม่สนใจแบบนี้ ทีหลังขวัญเกิดเป็นหนังสือก็ได้! ฮึ!" 

    ว่าแล้วก็หยิบกล่องเค้กที่บอกเองว่าซื้อมาให้เขาไปมาเปิดออกแล้วนั่งกินมันตรงนั้นแทนเขาซะเลย

    โมโห!

    สวยก็ไม่สน!

    น่ารักก็ไม่สน!

    มาครั้งนี้เรียบร้อยก็ยังไม่สนอีก!

    พาขวัญเหนื่อย!

    ฉันได้แต่คิดอย่างเจ็บใจ ปากก็เคี้ยวเค้กแก้มตุ้ย ๆ แต่ก็มำอะไรไม่ได้อยู่ดีเพราะว่าทุกอย่างมันต้องใช้เวลาได้แต่บอกตัวเองอย่างใจเย็นว่าการจะเอาชนะใจใครสักคนน่ะมันไม่ได้ง่ายเลย ดังนั้นหากฉันต้องการเอาชนะใจพี่นำทัพได้เนี่ยฉันต้องอดทน

    แต่ฉันตามจีบเขามาหลายเดือนแล้วนะ...

    ตั้งแต่วันนั้นวันที่ฉันเจอเขาที่ใต้ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ ฉันก็ได้ทำการเสาะหาข้อมูลของผุ้ชายคนนั้นอย่างเอาจริงเอาจังจนรู้ได้ว่าเขาชื่อว่านำทัพ กำลังเรียนอยู่ปี 3 คณะวิศวฯ หลังจากที่ได้รับรู้ข้อมูลพวกนี้ฉันก็เริ่มเข้าหาเขาทันที

    แรก ๆ ก็ทักทายกันปกติ หลัง ๆ เริ่มมีการซื้อขนมติดไม้ติดมามาให้เขาโดยการสุ่มขนมมาแล้วรอดูว่าเขาชอบอะไรแบบไหน

    แต่ก็อย่างที่บอกไป เขาไม่ได้สนใจอะไรที่ฉันซื้อมาให้เลย แล้วมันก็จบตรงที่ฉันเป็นฝ่ายกินเองแทบจะทุกครั้ง

    ที่ใช้คำว่าแทบทุกครั้งเพราะมีหลายครั้งที่เราไม่ได้มีเวลามานั่งเงียบ ๆ กันแบบนี้เลยมีบางครั้งฉันยัดของใส่มือเขาเสร็จ ฉันก็ต้องรีบวิ่งกลับตึกเรียนของตัวเองทันที

    สุดไปเลยชีวิตมหาลัยปีแรกของฉันเนี่ย

    เรียนไม่เหนื่อยเท่าตอนวิ่งเอาของกินมาให้ผู้ชาย

    อาจเป็นเพราะมันยังเป็นปีแรกด้วยมั้งเลยยังไม่หนักเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงฉันก็ควรจะทุ่มเทกับการเรียนมากกว่านี้สิ

    อืม ก็คิดได้นะ แต่ทำไมไม่ทำ?

    นั่นสิ

    นั่นน่ะสิ!

    ฉันพยักหน้าเองคนเดียวก่อนจะหยิบชีทเรียนในกระเป๋าผ้าของตัวเองออกมากางไว้แล้วเริ่มก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไปด้วยความเงียบ

    ที่ผ่านมาฉันไม่เคยได้ลองใช้ชีวิตเหมือนแบบที่พี่นำทัพใช้เลยอ่ะ ลองทำอะไรเหมือน ๆ เขาดูอาจจะทำให้ฉันรู้ก็ได้ว่าเขาชอบอะไรแบบไหน มีไลฟ์สไตล์ยังไง เพราะถ้าจะให้ฉันสุ่มของกินมาให้เขาไปเรื่อย ๆ แบบนี้คงไม่มีวันเวิร์กอ่ะ

    งั้นมาอ่านหนังสือดีกว่า

    ไม่ได้แฟนอย่างน้อยก็ได้ความรู้แหละวะ

    "มา!" 


    บทบรรยาย:: นำทัพ

    สามเดือนกับอีกห้าวันแล้วที่ผู้หญิงคนนี้ตามติดชีวิตผม

    เธอบอกว่าเธอชอบผม

    อยากได้ผม

    แล้วก็อีกหลายอย่างที่พูดมาเหมือนต้องการจะโน้มน้าวให้ผมยอมเป็นของเธอให้ได้ แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย

    ทุกวันผมเอาแต่ถามว่าเธอเป็นใครอยู่ในใจไม่ต่ำกว่าสิบรอบ

    ทำไมต้องเป็นผม?

    ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปเด็กคนนี้ก็ดูจะไม่มีท่าทียอมแพ้ต่อผมเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายผมเลยยอมปล่อยให้เธอทำตามใจชอบต่อไปเพื่อหวังว่าวันหนึ่งเธออาจจะยอมแพ้ไปเอง

    มันต้องมีสักวันแหละ

    จบบทบรรยาย:: นำทัพ


    เวลาผ่านไป 

    ผ่านไปแบบเชื่องช้ามาก แต่ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วจากตอนบ่ายสามนิด ๆ แต่พี่นำทัพเองก็ไม่ได้มีการขยับเขยื้อนอะไรไปมากกว่าการเปิดหนังสือกับการขยับคอให้หายปวดเท่านั้น  แต่ก็ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่เหมือนเดิม

    ตัดภาพมาที่ฉัน แค่ผ่านไปได้ไม่ถึงสิบนาทีฉันก็เก็บชีทเข้ากระเป๋าเหมือนเดิมแล้ว หลังจากนั้นฉันก็เอาแต่เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อยรอพี่นำทัพอ่านหนังสือเสร็จ

    โห่ว ก็มันไม่ใช่เวลาเรียนอ่ะดิฉันเลยไม่มีแรงในการอ่านหนังสืออ่ะ วันนี้เรียนมาสามชั่วโมงต่อกันแล้วนะ ยังจะนั่งอ่านหนังสือต่ออีกเกือบสองชั่วโมงหรอ

    ได้จริง ๆ หรอ?

    "พี่ไม่เบื่อบ้างหรอคะ?" น้ำเสียงที่ฉันใช้ถามพี่นำทัพนั้นอ้อยอิ่งมาก

    สภาพตอนนี้คือแทบจะไหลไปกับโต๊ะแล้ว

    ไม่ไหวแล้ว

    "ขวัญขอล่ะ ถือว่าทำเพื่อขวัญ วันหลังไปอ่านในห้องสมุดนะคะ" ฉันว่าก่อนจะเม้มปากเข้าหากัน เป็นจังหวะที่คนตัวสูงปรายตามามองที่ฉันสักพักเหมือนดูว่าฉันจะพูดว่าอะไร "ขวัญร้อน"

    มันร้อนถึงขนาดที่ฉันต้องรวบผมของตัวเองขึ้นอ่ะ

    คนตัวสูงยังคงไม่พูดอะไร แต่ตอนนี้เลิกสนใจฉันไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งฉันเองก็ไม่สนเพราะรู้ดีว่าพูดไปยังไงมันก็เข้าหูเขาอยู่ดี

    "ขวัญขอร้อง" เสยปอยผมที่ไม่โดนมัดไปแล้วพูดต่ออีก "รักกันไม่ได้ก็อย่ามาทำร้ายกันแบบนี้"

    "ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องมาเฝ้า" ประโยคแรกในรอบสองชั่วโมงของพี่นำทัพที่พูดออกมา 

    "ไม่น่ารักเลยน้า" ฉันว่าพร้อมกับยื่นมือไปจิ้มไหล่ของเขาเบา ๆ แล้วดึงกลับมานั่งบิดไปมาเองคนเดียวเพราะเขินที่ตัวเองเข้าใกล้เขาขนาดนั้น

    ตอนนี้พี่นำทัพเริ่มเก็บของเข้ากระเป๋าแล้วตอนนี้ และต่อไปตารางงานของเขาคือเล่นบาสกับเพื่อน เขาต้องไปเปลี่ยนชุดที่ไหนสักที่ ฉันที่ว่างมาก ๆ ก็จะเอาเวลาช่วงที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้านี้ไปซื้อน้ำเปล่าและไปนั่งรอเขาที่ข้างสนาม มีเตรียมผ้าเย็นไว้ให้ด้วย

    ฉันดูแลเทคแคร์เขาดีแค่ไหนคิดดู!


    [เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาลุงจะไปจอดรอนะครับ]

    "ค่ะ ขวัญโทรบอกแม่แล้วนะคะลุงพงษ์"

    [ครับ] 

    ฉันกดวางสายจากคนขับรถที่ทำหน้าที่นี้ให้ฉันมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงทำหน้าที่เดิมกับตำแหน่งเดิมคู่ใจของเขาอยู่ และเพราะว่าเขาทำหน้าที่นี้มานานแล้วทุกคนในบ้านเลยค่อนข้างเชื่อมั่นและเชื่อใจกับลุงพงษ์ได้จริง ๆ 

    ความจริงฉันขับรถได้ ขับรถเป็น แต่ว่าฉันยังไม่ได้ไปสอบใบขับขี่ คือลองหัดขับแล้วแหละ ได้คุณพ่อเป็นหัดให้ตอนช่วงวันเสาร์อาทิตย์ก่อนจะเปิดเทอมเลยพอขับเป็นบ้าง ฉันคิดเอาไว้ว่าไว้ตัวเองคุ้นชินกับมหาลัยก่อนแล้วก็พวกตึกต่าง ๆ ที่ร้องไปเรียนก่อนค่อยขับรถเอง แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับพ่อและแม่ของฉันด้วยว่าพวกท่านจะอนุญาตมั้ย

    หลังจากวางสายของลุงพงษ์เสร็จแล้ว ฉันก็ถือของทุกอย่างที่ซื้อมาเพื่อไปที่สนามบาสที่ประจำของที่นำทัพชอบไปเล่นกับเพื่อนของเขา

    ฉันไปบ่อยมาก มากพอ ๆ กับที่เขาไปนั่นแหละ แต่ว่าไม่เคยได้ว่างไปดูตอนเขาแข่งจริงจังสักทีเพราะมันยังไม่มีการแข่งเกิดขึ้นเลยสักครั้ง ได้แต่ฝันว่าสักวันฉันต้องไปดูเขาให้ได้!

    "สวัสดีค่ะพี่พี่อาร์มพี่พีร์" เมื่อเข้าไปถึงที่สนามฉันก็เริ่มทักทายพี่คนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นทันที ฉันได้รับรอยยิ้มกลับมาจากผู้ชายที่เพิ่งเรียกชื่อออกไปสองคน ไม่ได้มีเสียงทักทายกลับเพราะดูแล้วพวกเขาคงจะยุ่ง ๆ อยู่ แต่สาเหตุก็ไม่ได้เกิดจากอะไรที่มันใหญ่มากเลย

    ฉันเบนสายตามองไปยังผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในสนามก่อนแล้วด้วยความหมั่นไส้แล้วทักทายเธอด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไม่เป็นมิตร "มาเร็วกว่าคนอื่นเขาเลยนะ"

    "ไม่ได้อยากมาสักหน่อย" ผู้หญิงคนนั้นว่าด้วยใบหน้าเหมือนไม่พอใจเล็กน้อยพร้อมกับปัดฝ่ามือหนาที่วางทาบอยู่บนศีรษะของเธอออกไปแรง ๆ "นี่ อย่ามาจับนะ"

    "พูดเพราะ ๆ กับพี่หน่อยครับ" ผู้ชายตัวสูงกว่าพี่นำทัพพูดพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกแล้วส่ายหน้าไปมาเหมือนกับรับไม่ได้กับพฤติกรรมนี่ของเธอ

    ผู้ชายคนนี้คือพี่อาร์มเป็นเพื่อนของพี่นำทัพ ส่วนผู้หญิงที่ฉันทักทายไปชื่อพาย เป็นเพื่อนฉันเองค่ะ

    เพื่อนที่รู้จักกันมานานมาก

    ชีวิตของมันอ่ะถ้าไม่มีฉันก็มันไม่มีใครเลยนะ ส่วนฉันถ้าไม่มีมันก็เหลือใครแล้วเหมือนกันแหละ เพราะงั้นเราถึงคบกันเป็นเพื่อนได้นานขนาดนี้ไง

    แต่ลองคิดในแง่ดีว่ามันเพิ่งเปิดเทอมไง เราเลยยังไม่มีเวลาไปหาเพื่อนใหม่ ต้องคิดเอาไว้แบบนี้!

    แต่มีเวลามาหาผู้ชาย? 

    คนละเรื่องกันแหละ 

    ช่างมันเถอะ 

    เอาเป็นว่าฉันเพื่อนพาย พายเพื่อนฉัน พายกับพี่อาร์มเหมือนจะกำลังจีบกันอยู่ พายกับพี่พีร์เป็นพี่น้องกัน พี่พีร์กับพี่อาร์มเป็นเพื่อนของพี่นำทัพจบการบรรยายค่ะ!

    "อ่ะ น้ำองุ่น" ฉันยื่นน้ำองุ่นในขวดให้เพื่อนไป

    พายเอื้อมมือมารับด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังไม่พอใจสุด ๆ 

    คู่นี้อยู่ด้วยกันแล้วเป็นแบบนี้ตลอดเลยอ่ะ ขวัญไม่เข้าใจว่าทำไมไม่พูดกันดี ๆ ไม่ดูคู่ของขวัญเป็นตัวอย่างเลย

    แต่การพูดด้วยกันดี ๆ ใช่ว่าจะเป็นตัวยืนยันความสัมพันธ์อันดีงามนะ

    ก็ยกตัวอย่างคู่ฉันอีกนั่นแหละ

    พูดเพราะมากกก พูดด้วยดีมากกก

    แต่ประเด็นคือฉันพูดอยู่ฝ่ายเดียว...

    มันเจ็บกระดองใจ!

    ฉันได้แต่คิดอย่างเจ็บใจ แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็คงต้องยอมรับชะตากรรมที่ใจตัวเองได้เลือกเอาไว้

    อย่างน้อยการที่พี่นำทัพไม่ได้มีท่าทีต่อต้านมันก็ชัดเจนแล้วแหละว่าเขาไม่ได้รู้สึกแอนตี้กับตัวตนของฉันน่ะ

    มีหวังอยู่หรอก!

    "ไอ้ทัพ มึงช้าอ่ะ" พี่พีร์ว่า

    สิ้นเสียงของพี่พีร์ทำให้ฉันต้องหันควับไปทางด้านหลังก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสดใสเมื่อเห็นว่าพี่นำทัพมาแล้ว

    จากที่รู้สึกเจ็บใจเอย น้อยใจเอย และก็รู้สึกอะไรก็ไม่รู้ตีกันอยู่ในหัวบ้างแหละ แต่พอเห็นหน้านิ่ง ๆ ของพี่นำทัพแล้วมันดีต่อใจจริง ๆ

    พี่นำทัพจะเยียวยาทุกสิ่ง

    ฉันเดินเข้าไปหาพี่นำทัพด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยประกายวิ้ง ๆ ก่อนจะพูดออกไปกับคนตัวสูง

    "มองหน้าขวัญ แล้วขวัญสัญญาว่าจะให้แม่มาขอทันทีที่พี่เป็นแฟนขวัญ"

    "......" เขาก้มหน้าลงมามองฉันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ว่า...

    "พี่ตกลงหรอ!?" ตีความอย่งเข้าข้างตัวเองแบ้วถามพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้เขา มือบางก็กำชายเสื้อบาสของเขาเอาไว้แน่น "ขวัญจะให้แม่มาขอพี่จริง ๆ นะ!"

    "เพ้อเจ้อ" คนตัวสูงว่าพร้อมกับถอยหลังห่าง ฉันเลยต้องปล่อยมือจากชายเสื้อของเขาแล้วเดินขมุบขมิบปากมานั่งบนสแตนเชียร์ข้าง ๆ กับพาย สายนาก็มองไปที่ร่างสูงของพี่นำทัพที่เริ่มวิ่งรอบสนามเพื่อวอร์มร่างกายก่อนเริ่มซ้อม

    "พี่ทัพไม่สนใจฉันเลยอ่ะแก ต้องทำยังไงอ่ะ?" ฉันถามพายออกไป ไม่ได้ถามเอาคำตอบหรอกเพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้คำแนะนำอะไรดี ๆ จากเพื่อนคนนี้เลย

    ไปบนบ้างล่ะ

    แอบดักตีหัวบ้างล่ะ(พฤติกรรมอันตราย ห้ามทำนะคะ)

    ใช้น้ำมันพรายบ้างล่ะ

    แต่ละอันที่เสนอมา ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ยังคบกันได้ถึงทุกวันนี้อ่ะ

    "ก็ไม่ต้องทำดิ" เพื่อนสาวของฉันเสนอออกมา 

    ได้ยินคำแนะนำของพายทำให้ฉันถึงกับต้องถอนหายใจออกมา

    ให้อยู่เฉย ๆ คอยมองพี่นำทัพแบบไม่ลงมือทำอะไรเลยแบบนี้ไม่ได้นะ มองไปทางไหนก็เจอแต่คนที่สนใจเขาอ่ะ ขนาดเขาไม่ค่อยสุงสิงอะไรกับใครแม้แต่เพื่อนตัวเองแล้วก็ชอบหามุมเงียบ ๆ อ่านหนังสือไม่ค่อยได้ไปไหนแท้ ๆ แต่พออยู่ที่สาธารณะก็ยังไม่วายตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นตลอดแบบนี้ได้ยังไงกัน

    หรือเพราะแบบนี้นะคนเลยสนใจเขาอ่ะ?

    แบบไม่ค่อยได้เห็นเลยรู้สึกว้าวแบบนี้มั้ยอ่ะ?

    ถ้าพาเขามาเจอผู้คนบ่อย ๆ คนอาจจะรู้สึกชินชาไปเองก็ได้...

    จากที่รู้สึกว้าวก็กลายเป็นรู้สึกเฉยๆ

    เออ! ใช่!

    แต่ว่า...พี่นำทัพอาจจะไม่ชอบใจก็ได้ ถ้าต้องทำให้เขาทำรู้สึกไม่โอเคกับการกระทำที่ฝืนใจเขาแบบนี้ ฉันปล่อยให้เขาเป็นแบบเดิมต่อไปดีกว่า

    เฮ้อ เหนื่อยจิตเหนื่อยใจ

    "เสร็จนี่ฉันกับพี่พีร์ว่าจะไปหาไรกินต่ออ่ะ ไปด้วยป่ะ?" พายหันมาถามฉันหลังจากที่เราสองคนเงียบกันไปนานพอสมควร

    ฉันเริ่มนั่งคิดแล้วว่าจะไปดีมั้ยเพราะฉันบอกแม่ไปว่าจะรีบกลับบ้านทันที แล้วอีกอย่างฉันก็กลัวว่าลุงพงษ์ต้องรอนานด้วยอ่ะ 

    แต่ว่าตอนนี้ลุงพงษ์ยังไม่มา...

    ถ้าฉันโทรบอกทั้งลุงพงษ์กับแม่ตอนนี้ทุกอย่างอาจจะทันก็ได้

    "งั้นเดี๋ยวฉันโทรไปขอแม่ก่อนนะ" ฉันว่าก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาแม่ทันที 

    การขออนุญาตจากแม่นั้นไม่ได้เป็นเรื่องยากเท่าไหร่เลยเพียงแค่บอกสถานที่ว่าไปที่ไหน บอกว่าไปกับใครและจุดประสงค์คือไปเพื่ออะไรเท่านั้นเอง อาจจะใส่เสียงออดอ้อนเล็กน้อยตามโอกาสต่าง ๆ บ้างเป็นบางที คุณแม่ของฉันก็อนุญาตแล้ว

    “ขอบคุณค่ะแม่ เดี๋ยวขวัญรีบกลับนะคะ” ฉันว่าแค่นั้นก่อนจะกดวางสายของแม่ลงแล้วหันไปพยักหน้าให้กับเพื่อนสาวของตัวเอง

    “แล้วจะไปร้านไหนอ่ะ?” พายถาม

    “อ้าว ฉันนึกว่าแกคิดร้านไว้แล้ว” ฉันรีบหันขวับไปมองเพื่อน

    “ก็คิดไว้แล้วอ่ะ แต่ตอนนั้นแกยังไม่ได้บอกว่าจะไปด้วย” พายว่า

    “ร้านไหนก็ได้ ไม่ติด” ฉันว่าพร้อมกับยักไหล่ไปด้วย

    ฉันน่ะไม่ได้ซีเรียสเรื่องอาหารมากยกเว้นว่าอาหารจานนั้นจะมีกลิ่นที่ค่อนข้างเป็น เช่น ทุเรียนที่หลายคนชอบทานกัน แต่ฉันกลับรู้สึกไม่โอเคกับกลิ่นเฉพาะของมันงี้อ่ะ

    ดังนั้นฉันเลยต้องมาดูอีกทีว่าพวกอาหารที่มีกลิ่นเฉพาะของตัวเองเป็นกลิ่นจำพวกไหน

    “เค ร้านข้าวต้มนะ”

    ฉันได้ยินแบบนั้นก็ทำท่าเอียงคอนึกว่าร้านไหน พอนึกออกแต่ยังไม่ชัวร์เลยถามออกไปเพื่อความแน่ใจ “ร้านเฮียสี่หรอ?”

    “อ่า” พายว่า

    ร้านข้าวต้มชื่อเฮียสี่ คนทำไม่ได้ชื่อสี่ แต่เป็นคุณพ่อของคนทำซึ่งตอนนี้ท่านเสียไปแล้วเมื่อเกือบ ๆ สองปีก่อน ซึ่งฉันรู้เรื่องนี้เพราะเคยมากินกับพายแล้วก็พี่พีร์บ่อย ๆ จนรู้ว่าเมนูไหนของร้านนี้เพราะร้านเฮียแกเนี่ยไม่ได้มีแต่ข้าวต้มอย่างเดียว แต่มีอาหารตำสั่งที่มันหลากหลายด้วย

    ฉันพยักหน้าหลายๆ รอบก่อนจะเงียบไป แต่นั่นคงทำให้พายคิดว่าฉันไม่โอเคเธอเลยถามขึ้นมา “อยากเปลี่ยนม่ะ?” 

    “ไม่อ่ะ อยากกินผัดผักบุ้งพอดี” ฉันรีบว่าพร้อมกับพูดชื่อเมนูออกไป

    ความจริงร้านของเฮียสี่เนี่ยแก

    “พาไปร้านข้าวต้ม แต่อยากกินผัดผักบุ้ง” พายว่าด้วยน้ำเสียงที่ดูเอือมเล็กน้อยก่อนจะสายหน้าไปมาให้ฉันเหมือนกับว่ามันรับไม่ได้กับเรื่องที่ฉันพูดออกไปงั้นแหละ

    “ทำไมอ่า! ไปแต่ละครั้งแกก็ไม่เคยสั่งข้าวต้มหรอก!” ฉันลุกขึ้นว่าพร้อมกับยกมือเท้าเอวเหมือนคนแก่ขี้บ่น

    “ก็ฉันไม่ได้อยากกินข้าวต้มนี่!” พายเงยหน้าขึ้นมา

    “นั่นไง! ฉันก็ไม่ได้อยากกินข้าวต้มเหมือนกันไง!”

    “เออ! นั่งลง!” 

    “เออ!” แล้วก็นั่งลงกอดอกทำหน้ามุ้ยหลังจากเกิดการมีปากมีเสียงกันเมื่อกี้ ฉันเอาศอกของตัวเองไปชนหลังของยัยพายเบา ๆ คล้ายกับการสะกิดก่อนจะส่งเสียงออกไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันไม่พอใจหน่อย ๆ “ชิ!”

    “ไม่ต้องมาชิเลยนะ” ยัยพายว่าพร้อมกับดันหลังของฉันคืนแล้วพูดต่ออีกประโยค ซึ่งเป็นปนะโยคที่ทำให้หูของฉันผึ่งเลยทีเดียว “ตอนแรกว่าจะให้พี่พีร์ชวนเพื่อนมาด้วย แต่เปลี่ยนใจละ ไม่ให้ชวนแล้ว”

    ฉันได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องหันไปกอดแขนเพื่อนสนิทของตัวเองเอาไว้พร้อมกับพูดออกมาเสียงอ้อน

    “เมื่อกี้ขอโทษนะแกที่เสียงดังไปนิดหน่อยอ่า ขอโทษน้า” ว่าเสร็จก็ผละออกมาแล้วใช้มือบีบ ๆ ที่ไหล่ของยัยพายไปด้วยก่อนจะพูดต่ออีก “ปวดไหล่มั๊ยแก เดี๋ยวฉันนวดให้”

    “ตรงนั้นแหละ” นางว่าก่อนจะแสดงท่าทีเหมือนผู้ชนะออกมา ฉันมองบนให้ท่าทางแบบนั้นก่อนจะบรรจงนวดไหล่ให้ยัยพายไป แต่ได้ไม่นานเท่าไหร่ฉันก็ผละออกแล้วพูดเสียงเรียบออกไป

    “ฉันขอโทษแกแล้ว ไหล่ก็นวดให้แล้ว ดังนั้นให้พี่พีร์ชวนพี่นำทัพไปด้วยเดี๋ยวนี้!”







    Hashtag On Twitter
    #พาขวัญจะอ่อย

    Talk



    1 เม้น = 1 กำลังใจน้า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×