คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : #พาขวัญจะอ่อย:: 01[อัปครบ]
ฉันเกลียดหน้าฝนมาก
เกลียดมาก ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งในหน้าฝน...
วันนั้นฝนตกแรงมาก ๆ และฉันไม่สามารถกลับบ้านได้ทันทีเพราะว่าคนขับรถนั้นรถติดอยู่ ฉันเลยได้มาหลบฝนที่ใต้ตึกคณะเพื่อนบ้านและเจอกับผู้ชายคนหนึ่งเข้า
วันนั้นเป็นวันที่พาขวัญคนนี้ได้รู้จักกับคำว่ารักแรกพบเป็นครั้งแรก!
วันนั้นเราสบตากันด้วย แล้วฉันก็ได้บอกไปแล้วด้วยว่าชอบเขาอ่ะ
อร้ายย
นึกถึงเหตุการณ์นั้นกี่รอบก็เขินไม่ไหว
แล้วหลังจากที่ฉันบอกชอบพี่เขาไปนะ! แหม ไม่อยากจะพูดเลย
ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นแหละค่ะ
เหตุการณ์หลังจากที่ฉันบอกชอบเขาไป สิ่งที่เขาคนนั้นทำคือถอดหูฟังออกแล้วถามฉันกลับมาด้วยเสียงเข้ม ๆ ว่า
'อะไร?'
แค่นั้น
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ยินในสิ่งที่ตัวเองบอกออกไป ฉันเลยเงียบเอาไว้เพื่อกลับมาตั้งหลักใหม่เพราะอยู่ดี ๆ จะเดินโทง ๆ ไปบอกชอบเขาเลยก็ไม่ได้! มันต้องรู้จักเตรียมตัวก่อนสิ!
หึ
คิดไปพร้อมกับก้าวสองขาของตัวเองเดินฉับ ๆ ไปยังสถานที่เป้าหมาย มือข้างที่ไม่ได้ถืออกอะไรถูกใช้ขึ้นมาเสยผมยาวสลวยของตัวเองขึ้นเพราะมันบดบังทัศนยีภาพในการมองทางเดินของฉัน สองตาจ้องไปยังคนตัวสูงที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ก่อนจะเปลี่ยนกิริยาท่าทางของตัวเองให้ดูเรียบร้อยขึ้น จัดผมเพ่าของตัวเองให้ดูเรียบตรงเมื่อเข้าใกล้เป้าหมายเต็มที่
และในที่สุด...
"พี่นำทัพคะ ขวัญซื้อเค้กร้านที่อยู่ตรงหัวมุมตรงนั้นมาฝากค่ะ" วางกล่องเค้กลงที่ข้างแขนของคนตัวสูงพร้อมกับใช้นิ้วมือเกี่ยวปอยผมของตัวเองขึ้นมาทัดหูเหมือนกำลังแก้เขินก่อนจะพูดออกไปอีก "ใกล้สอบเก็บคะแนนแล้ว สู้ ๆ นะคะ" ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ เดินหมุนตัวออกมา
พยายามบังคับจังหวะการเดินของตัวเองให้ช้า ๆ เผื่อว่าเขาจะเรียกรั้งฉันเอาไว้แล้วบอกฉันว่า...
"เดี๋ยว"
"ว่าไงคะพี่นำทัพ?" ฉันรีบถลากลับไปยังจุดเดิมที่ตัวเองเพิ่งเดินจากมา ต่างกันตรงที่ครั้งนี้ฉันเข้าไปนั่งข้าง ๆ คนตัวสูง ไม่ได้ยืนเหมือนเมื่อกี้
ฉันนั่งขาไขว้ห้าง เอนตัวไปด้านหน้าเพื่อเท้าแขนของตัวเองไว้กับโต๊ะแล้ววางคางของตัวเองไว้บนหลังฝ่ามือที่กรีดนิ้วเรียวสวยให้เขาเห็น
พยายามจัดท่าทางของตัวเองให้ดูดีที่สุดในทุกองศาที่ถูกเขาใช้สายตาคมเข้มจับจ้อง
สายตาเองก็ไม่ลืมที่จะดูรายละเอียดบนหน้าของคนตัวสูงให้ได้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะมองได้
มองคิ้วหนาเข้มที่ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาดูคมและเรียบนิ่งพร้อมที่จะฆ่ากันด้วยสายตาคู่นั้น
มองสันจมูกที่โด่งได้รูปเข้ากับใบหน้าของเขาเป็นอย่างดี ไม่มีอะไรบกพร่อง
มองริมฝีปากหนาสีธรรมชาติของชายหนุ่มกำลังขยับเปล่งบางอย่างออกมา
บางอย่างที่ทำให้ฉันหยุดเคลิ้ม...
"ขอบคุณนะ แต่ฉันไม่กินเค้ก"
อารมณ์ที่บิ้วท์มาเมื่อกี้...พัง
อีกแล้ว!
"เอาเครื่องดื่มมาให้พี่ก็ไม่ดื่ม พอเอาของหวานมาให้พี่ก็ไม่กินอีก! ขวัญแทบจะซื้อมาครบทุกร้านที่อยู่ในมหาลัยแล้วนะ!" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงงอแงก่อนจะนั่งยืดตัวตรงแล้วยกมือขึ้นกอดไว้ที่อกของตัวเองแล้วบ่นอุบอิบ "ตามจีบ ตามเลี้ยงดูมาตั้งหลายเดือนขนาดนี้ยังไม่สนใจกันอีก! ชิชะ!"
บ่นสลัดคราบหญิงสาวเรียบร้อยเมื่อสองนาทีก่อนซะจนหายเกลี้ยงเลย...
"เงียบหน่อย มันรบกวนสมาธิ" พี่นำทัพว่าแล้วหันกลับไปสนใจหนังสือต่อ
ฉันกรอกตามองบนแล้วพูดออกไปเหมือนกับน้อยใจโชคชะตาที่ทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ "ถ้ารู้ว่าเกิดมาเป็นคนสวยแล้วพี่ยังไม่สนใจแบบนี้ ทีหลังขวัญเกิดเป็นหนังสือก็ได้! ฮึ!"
ว่าแล้วก็หยิบกล่องเค้กที่บอกเองว่าซื้อมาให้เขาไปมาเปิดออกแล้วนั่งกินมันตรงนั้นแทนเขาซะเลย
โมโห!
สวยก็ไม่สน!
น่ารักก็ไม่สน!
มาครั้งนี้เรียบร้อยก็ยังไม่สนอีก!
พาขวัญเหนื่อย!
ฉันได้แต่คิดอย่างเจ็บใจ ปากก็เคี้ยวเค้กแก้มตุ้ย ๆ แต่ก็มำอะไรไม่ได้อยู่ดีเพราะว่าทุกอย่างมันต้องใช้เวลาได้แต่บอกตัวเองอย่างใจเย็นว่าการจะเอาชนะใจใครสักคนน่ะมันไม่ได้ง่ายเลย ดังนั้นหากฉันต้องการเอาชนะใจพี่นำทัพได้เนี่ยฉันต้องอดทน
แต่ฉันตามจีบเขามาหลายเดือนแล้วนะ...
ตั้งแต่วันนั้นวันที่ฉันเจอเขาที่ใต้ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ ฉันก็ได้ทำการเสาะหาข้อมูลของผุ้ชายคนนั้นอย่างเอาจริงเอาจังจนรู้ได้ว่าเขาชื่อว่านำทัพ กำลังเรียนอยู่ปี 3 คณะวิศวฯ หลังจากที่ได้รับรู้ข้อมูลพวกนี้ฉันก็เริ่มเข้าหาเขาทันที
แรก ๆ ก็ทักทายกันปกติ หลัง ๆ เริ่มมีการซื้อขนมติดไม้ติดมามาให้เขาโดยการสุ่มขนมมาแล้วรอดูว่าเขาชอบอะไรแบบไหน
แต่ก็อย่างที่บอกไป เขาไม่ได้สนใจอะไรที่ฉันซื้อมาให้เลย แล้วมันก็จบตรงที่ฉันเป็นฝ่ายกินเองแทบจะทุกครั้ง
ที่ใช้คำว่าแทบทุกครั้งเพราะมีหลายครั้งที่เราไม่ได้มีเวลามานั่งเงียบ ๆ กันแบบนี้เลยมีบางครั้งฉันยัดของใส่มือเขาเสร็จ ฉันก็ต้องรีบวิ่งกลับตึกเรียนของตัวเองทันที
สุดไปเลยชีวิตมหาลัยปีแรกของฉันเนี่ย
เรียนไม่เหนื่อยเท่าตอนวิ่งเอาของกินมาให้ผู้ชาย
อาจเป็นเพราะมันยังเป็นปีแรกด้วยมั้งเลยยังไม่หนักเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงฉันก็ควรจะทุ่มเทกับการเรียนมากกว่านี้สิ
อืม ก็คิดได้นะ แต่ทำไมไม่ทำ?
นั่นสิ
นั่นน่ะสิ!
ฉันพยักหน้าเองคนเดียวก่อนจะหยิบชีทเรียนในกระเป๋าผ้าของตัวเองออกมากางไว้แล้วเริ่มก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไปด้วยความเงียบ
ที่ผ่านมาฉันไม่เคยได้ลองใช้ชีวิตเหมือนแบบที่พี่นำทัพใช้เลยอ่ะ ลองทำอะไรเหมือน ๆ เขาดูอาจจะทำให้ฉันรู้ก็ได้ว่าเขาชอบอะไรแบบไหน มีไลฟ์สไตล์ยังไง เพราะถ้าจะให้ฉันสุ่มของกินมาให้เขาไปเรื่อย ๆ แบบนี้คงไม่มีวันเวิร์กอ่ะ
งั้นมาอ่านหนังสือดีกว่า
ไม่ได้แฟนอย่างน้อยก็ได้ความรู้แหละวะ
"มา!"
บทบรรยาย:: นำทัพ
สามเดือนกับอีกห้าวันแล้วที่ผู้หญิงคนนี้ตามติดชีวิตผม
เธอบอกว่าเธอชอบผม
อยากได้ผม
แล้วก็อีกหลายอย่างที่พูดมาเหมือนต้องการจะโน้มน้าวให้ผมยอมเป็นของเธอให้ได้ แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย
ทุกวันผมเอาแต่ถามว่าเธอเป็นใครอยู่ในใจไม่ต่ำกว่าสิบรอบ
ทำไมต้องเป็นผม?
ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปเด็กคนนี้ก็ดูจะไม่มีท่าทียอมแพ้ต่อผมเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายผมเลยยอมปล่อยให้เธอทำตามใจชอบต่อไปเพื่อหวังว่าวันหนึ่งเธออาจจะยอมแพ้ไปเอง
มันต้องมีสักวันแหละ
จบบทบรรยาย:: นำทัพ
เวลาผ่านไป
ผ่านไปแบบเชื่องช้ามาก แต่ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วจากตอนบ่ายสามนิด ๆ แต่พี่นำทัพเองก็ไม่ได้มีการขยับเขยื้อนอะไรไปมากกว่าการเปิดหนังสือกับการขยับคอให้หายปวดเท่านั้น แต่ก็ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่เหมือนเดิม
ตัดภาพมาที่ฉัน แค่ผ่านไปได้ไม่ถึงสิบนาทีฉันก็เก็บชีทเข้ากระเป๋าเหมือนเดิมแล้ว หลังจากนั้นฉันก็เอาแต่เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อยรอพี่นำทัพอ่านหนังสือเสร็จ
โห่ว ก็มันไม่ใช่เวลาเรียนอ่ะดิฉันเลยไม่มีแรงในการอ่านหนังสืออ่ะ วันนี้เรียนมาสามชั่วโมงต่อกันแล้วนะ ยังจะนั่งอ่านหนังสือต่ออีกเกือบสองชั่วโมงหรอ
ได้จริง ๆ หรอ?
"พี่ไม่เบื่อบ้างหรอคะ?" น้ำเสียงที่ฉันใช้ถามพี่นำทัพนั้นอ้อยอิ่งมาก
สภาพตอนนี้คือแทบจะไหลไปกับโต๊ะแล้ว
ไม่ไหวแล้ว
"ขวัญขอล่ะ ถือว่าทำเพื่อขวัญ วันหลังไปอ่านในห้องสมุดนะคะ" ฉันว่าก่อนจะเม้มปากเข้าหากัน เป็นจังหวะที่คนตัวสูงปรายตามามองที่ฉันสักพักเหมือนดูว่าฉันจะพูดว่าอะไร "ขวัญร้อน"
มันร้อนถึงขนาดที่ฉันต้องรวบผมของตัวเองขึ้นอ่ะ
คนตัวสูงยังคงไม่พูดอะไร แต่ตอนนี้เลิกสนใจฉันไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งฉันเองก็ไม่สนเพราะรู้ดีว่าพูดไปยังไงมันก็เข้าหูเขาอยู่ดี
"ขวัญขอร้อง" เสยปอยผมที่ไม่โดนมัดไปแล้วพูดต่ออีก "รักกันไม่ได้ก็อย่ามาทำร้ายกันแบบนี้"
"ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องมาเฝ้า" ประโยคแรกในรอบสองชั่วโมงของพี่นำทัพที่พูดออกมา
"ไม่น่ารักเลยน้า" ฉันว่าพร้อมกับยื่นมือไปจิ้มไหล่ของเขาเบา ๆ แล้วดึงกลับมานั่งบิดไปมาเองคนเดียวเพราะเขินที่ตัวเองเข้าใกล้เขาขนาดนั้น
ตอนนี้พี่นำทัพเริ่มเก็บของเข้ากระเป๋าแล้วตอนนี้ และต่อไปตารางงานของเขาคือเล่นบาสกับเพื่อน เขาต้องไปเปลี่ยนชุดที่ไหนสักที่ ฉันที่ว่างมาก ๆ ก็จะเอาเวลาช่วงที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้านี้ไปซื้อน้ำเปล่าและไปนั่งรอเขาที่ข้างสนาม มีเตรียมผ้าเย็นไว้ให้ด้วย
ฉันดูแลเทคแคร์เขาดีแค่ไหนคิดดู!
[เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาลุงจะไปจอดรอนะครับ]
"ค่ะ ขวัญโทรบอกแม่แล้วนะคะลุงพงษ์"
[ครับ]
ฉันกดวางสายจากคนขับรถที่ทำหน้าที่นี้ให้ฉันมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงทำหน้าที่เดิมกับตำแหน่งเดิมคู่ใจของเขาอยู่ และเพราะว่าเขาทำหน้าที่นี้มานานแล้วทุกคนในบ้านเลยค่อนข้างเชื่อมั่นและเชื่อใจกับลุงพงษ์ได้จริง ๆ
ความจริงฉันขับรถได้ ขับรถเป็น แต่ว่าฉันยังไม่ได้ไปสอบใบขับขี่ คือลองหัดขับแล้วแหละ ได้คุณพ่อเป็นหัดให้ตอนช่วงวันเสาร์อาทิตย์ก่อนจะเปิดเทอมเลยพอขับเป็นบ้าง ฉันคิดเอาไว้ว่าไว้ตัวเองคุ้นชินกับมหาลัยก่อนแล้วก็พวกตึกต่าง ๆ ที่ร้องไปเรียนก่อนค่อยขับรถเอง แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับพ่อและแม่ของฉันด้วยว่าพวกท่านจะอนุญาตมั้ย
หลังจากวางสายของลุงพงษ์เสร็จแล้ว ฉันก็ถือของทุกอย่างที่ซื้อมาเพื่อไปที่สนามบาสที่ประจำของที่นำทัพชอบไปเล่นกับเพื่อนของเขา
ฉันไปบ่อยมาก มากพอ ๆ กับที่เขาไปนั่นแหละ แต่ว่าไม่เคยได้ว่างไปดูตอนเขาแข่งจริงจังสักทีเพราะมันยังไม่มีการแข่งเกิดขึ้นเลยสักครั้ง ได้แต่ฝันว่าสักวันฉันต้องไปดูเขาให้ได้!
"สวัสดีค่ะพี่พี่อาร์มพี่พีร์" เมื่อเข้าไปถึงที่สนามฉันก็เริ่มทักทายพี่คนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นทันที ฉันได้รับรอยยิ้มกลับมาจากผู้ชายที่เพิ่งเรียกชื่อออกไปสองคน ไม่ได้มีเสียงทักทายกลับเพราะดูแล้วพวกเขาคงจะยุ่ง ๆ อยู่ แต่สาเหตุก็ไม่ได้เกิดจากอะไรที่มันใหญ่มากเลย
ฉันเบนสายตามองไปยังผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในสนามก่อนแล้วด้วยความหมั่นไส้แล้วทักทายเธอด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไม่เป็นมิตร "มาเร็วกว่าคนอื่นเขาเลยนะ"
"ไม่ได้อยากมาสักหน่อย" ผู้หญิงคนนั้นว่าด้วยใบหน้าเหมือนไม่พอใจเล็กน้อยพร้อมกับปัดฝ่ามือหนาที่วางทาบอยู่บนศีรษะของเธอออกไปแรง ๆ "นี่ อย่ามาจับนะ"
"พูดเพราะ ๆ กับพี่หน่อยครับ" ผู้ชายตัวสูงกว่าพี่นำทัพพูดพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกแล้วส่ายหน้าไปมาเหมือนกับรับไม่ได้กับพฤติกรรมนี่ของเธอ
ผู้ชายคนนี้คือพี่อาร์มเป็นเพื่อนของพี่นำทัพ ส่วนผู้หญิงที่ฉันทักทายไปชื่อพาย เป็นเพื่อนฉันเองค่ะ
เพื่อนที่รู้จักกันมานานมาก
ชีวิตของมันอ่ะถ้าไม่มีฉันก็มันไม่มีใครเลยนะ ส่วนฉันถ้าไม่มีมันก็เหลือใครแล้วเหมือนกันแหละ เพราะงั้นเราถึงคบกันเป็นเพื่อนได้นานขนาดนี้ไง
แต่ลองคิดในแง่ดีว่ามันเพิ่งเปิดเทอมไง เราเลยยังไม่มีเวลาไปหาเพื่อนใหม่ ต้องคิดเอาไว้แบบนี้!
แต่มีเวลามาหาผู้ชาย?
คนละเรื่องกันแหละ
ช่างมันเถอะ
เอาเป็นว่าฉันเพื่อนพาย พายเพื่อนฉัน พายกับพี่อาร์มเหมือนจะกำลังจีบกันอยู่ พายกับพี่พีร์เป็นพี่น้องกัน พี่พีร์กับพี่อาร์มเป็นเพื่อนของพี่นำทัพจบการบรรยายค่ะ!
"อ่ะ น้ำองุ่น" ฉันยื่นน้ำองุ่นในขวดให้เพื่อนไป
พายเอื้อมมือมารับด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังไม่พอใจสุด ๆ
คู่นี้อยู่ด้วยกันแล้วเป็นแบบนี้ตลอดเลยอ่ะ ขวัญไม่เข้าใจว่าทำไมไม่พูดกันดี ๆ ไม่ดูคู่ของขวัญเป็นตัวอย่างเลย
แต่การพูดด้วยกันดี ๆ ใช่ว่าจะเป็นตัวยืนยันความสัมพันธ์อันดีงามนะ
ก็ยกตัวอย่างคู่ฉันอีกนั่นแหละ
พูดเพราะมากกก พูดด้วยดีมากกก
แต่ประเด็นคือฉันพูดอยู่ฝ่ายเดียว...
มันเจ็บกระดองใจ!
ฉันได้แต่คิดอย่างเจ็บใจ แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็คงต้องยอมรับชะตากรรมที่ใจตัวเองได้เลือกเอาไว้
อย่างน้อยการที่พี่นำทัพไม่ได้มีท่าทีต่อต้านมันก็ชัดเจนแล้วแหละว่าเขาไม่ได้รู้สึกแอนตี้กับตัวตนของฉันน่ะ
มีหวังอยู่หรอก!
"ไอ้ทัพ มึงช้าอ่ะ" พี่พีร์ว่า
สิ้นเสียงของพี่พีร์ทำให้ฉันต้องหันควับไปทางด้านหลังก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสดใสเมื่อเห็นว่าพี่นำทัพมาแล้ว
จากที่รู้สึกเจ็บใจเอย น้อยใจเอย และก็รู้สึกอะไรก็ไม่รู้ตีกันอยู่ในหัวบ้างแหละ แต่พอเห็นหน้านิ่ง ๆ ของพี่นำทัพแล้วมันดีต่อใจจริง ๆ
พี่นำทัพจะเยียวยาทุกสิ่ง
ฉันเดินเข้าไปหาพี่นำทัพด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยประกายวิ้ง ๆ ก่อนจะพูดออกไปกับคนตัวสูง
"มองหน้าขวัญ แล้วขวัญสัญญาว่าจะให้แม่มาขอทันทีที่พี่เป็นแฟนขวัญ"
"......" เขาก้มหน้าลงมามองฉันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ว่า...
"พี่ตกลงหรอ!?" ตีความอย่งเข้าข้างตัวเองแบ้วถามพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้เขา มือบางก็กำชายเสื้อบาสของเขาเอาไว้แน่น "ขวัญจะให้แม่มาขอพี่จริง ๆ นะ!"
"เพ้อเจ้อ" คนตัวสูงว่าพร้อมกับถอยหลังห่าง ฉันเลยต้องปล่อยมือจากชายเสื้อของเขาแล้วเดินขมุบขมิบปากมานั่งบนสแตนเชียร์ข้าง ๆ กับพาย สายนาก็มองไปที่ร่างสูงของพี่นำทัพที่เริ่มวิ่งรอบสนามเพื่อวอร์มร่างกายก่อนเริ่มซ้อม
"พี่ทัพไม่สนใจฉันเลยอ่ะแก ต้องทำยังไงอ่ะ?" ฉันถามพายออกไป ไม่ได้ถามเอาคำตอบหรอกเพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้คำแนะนำอะไรดี ๆ จากเพื่อนคนนี้เลย
ไปบนบ้างล่ะ
แอบดักตีหัวบ้างล่ะ(พฤติกรรมอันตราย ห้ามทำนะคะ)
ใช้น้ำมันพรายบ้างล่ะ
แต่ละอันที่เสนอมา ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ยังคบกันได้ถึงทุกวันนี้อ่ะ
"ก็ไม่ต้องทำดิ" เพื่อนสาวของฉันเสนอออกมา
ได้ยินคำแนะนำของพายทำให้ฉันถึงกับต้องถอนหายใจออกมา
ให้อยู่เฉย ๆ คอยมองพี่นำทัพแบบไม่ลงมือทำอะไรเลยแบบนี้ไม่ได้นะ มองไปทางไหนก็เจอแต่คนที่สนใจเขาอ่ะ ขนาดเขาไม่ค่อยสุงสิงอะไรกับใครแม้แต่เพื่อนตัวเองแล้วก็ชอบหามุมเงียบ ๆ อ่านหนังสือไม่ค่อยได้ไปไหนแท้ ๆ แต่พออยู่ที่สาธารณะก็ยังไม่วายตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นตลอดแบบนี้ได้ยังไงกัน
หรือเพราะแบบนี้นะคนเลยสนใจเขาอ่ะ?
แบบไม่ค่อยได้เห็นเลยรู้สึกว้าวแบบนี้มั้ยอ่ะ?
ถ้าพาเขามาเจอผู้คนบ่อย ๆ คนอาจจะรู้สึกชินชาไปเองก็ได้...
จากที่รู้สึกว้าวก็กลายเป็นรู้สึกเฉยๆ
เออ! ใช่!
แต่ว่า...พี่นำทัพอาจจะไม่ชอบใจก็ได้ ถ้าต้องทำให้เขาทำรู้สึกไม่โอเคกับการกระทำที่ฝืนใจเขาแบบนี้ ฉันปล่อยให้เขาเป็นแบบเดิมต่อไปดีกว่า
เฮ้อ เหนื่อยจิตเหนื่อยใจ
"เสร็จนี่ฉันกับพี่พีร์ว่าจะไปหาไรกินต่ออ่ะ ไปด้วยป่ะ?" พายหันมาถามฉันหลังจากที่เราสองคนเงียบกันไปนานพอสมควร
ฉันเริ่มนั่งคิดแล้วว่าจะไปดีมั้ยเพราะฉันบอกแม่ไปว่าจะรีบกลับบ้านทันที แล้วอีกอย่างฉันก็กลัวว่าลุงพงษ์ต้องรอนานด้วยอ่ะ
แต่ว่าตอนนี้ลุงพงษ์ยังไม่มา...
ถ้าฉันโทรบอกทั้งลุงพงษ์กับแม่ตอนนี้ทุกอย่างอาจจะทันก็ได้
"งั้นเดี๋ยวฉันโทรไปขอแม่ก่อนนะ" ฉันว่าก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาแม่ทันที
การขออนุญาตจากแม่นั้นไม่ได้เป็นเรื่องยากเท่าไหร่เลยเพียงแค่บอกสถานที่ว่าไปที่ไหน บอกว่าไปกับใครและจุดประสงค์คือไปเพื่ออะไรเท่านั้นเอง อาจจะใส่เสียงออดอ้อนเล็กน้อยตามโอกาสต่าง ๆ บ้างเป็นบางที คุณแม่ของฉันก็อนุญาตแล้ว
“ขอบคุณค่ะแม่ เดี๋ยวขวัญรีบกลับนะคะ” ฉันว่าแค่นั้นก่อนจะกดวางสายของแม่ลงแล้วหันไปพยักหน้าให้กับเพื่อนสาวของตัวเอง
“แล้วจะไปร้านไหนอ่ะ?” พายถาม
“อ้าว ฉันนึกว่าแกคิดร้านไว้แล้ว” ฉันรีบหันขวับไปมองเพื่อน
“ก็คิดไว้แล้วอ่ะ แต่ตอนนั้นแกยังไม่ได้บอกว่าจะไปด้วย” พายว่า
“ร้านไหนก็ได้ ไม่ติด” ฉันว่าพร้อมกับยักไหล่ไปด้วย
ฉันน่ะไม่ได้ซีเรียสเรื่องอาหารมากยกเว้นว่าอาหารจานนั้นจะมีกลิ่นที่ค่อนข้างเป็น เช่น ทุเรียนที่หลายคนชอบทานกัน แต่ฉันกลับรู้สึกไม่โอเคกับกลิ่นเฉพาะของมันงี้อ่ะ
ดังนั้นฉันเลยต้องมาดูอีกทีว่าพวกอาหารที่มีกลิ่นเฉพาะของตัวเองเป็นกลิ่นจำพวกไหน
“เค ร้านข้าวต้มนะ”
ฉันได้ยินแบบนั้นก็ทำท่าเอียงคอนึกว่าร้านไหน พอนึกออกแต่ยังไม่ชัวร์เลยถามออกไปเพื่อความแน่ใจ “ร้านเฮียสี่หรอ?”
“อ่า” พายว่า
ร้านข้าวต้มชื่อเฮียสี่ คนทำไม่ได้ชื่อสี่ แต่เป็นคุณพ่อของคนทำซึ่งตอนนี้ท่านเสียไปแล้วเมื่อเกือบ ๆ สองปีก่อน ซึ่งฉันรู้เรื่องนี้เพราะเคยมากินกับพายแล้วก็พี่พีร์บ่อย ๆ จนรู้ว่าเมนูไหนของร้านนี้เพราะร้านเฮียแกเนี่ยไม่ได้มีแต่ข้าวต้มอย่างเดียว แต่มีอาหารตำสั่งที่มันหลากหลายด้วย
ฉันพยักหน้าหลายๆ รอบก่อนจะเงียบไป แต่นั่นคงทำให้พายคิดว่าฉันไม่โอเคเธอเลยถามขึ้นมา “อยากเปลี่ยนม่ะ?”
“ไม่อ่ะ อยากกินผัดผักบุ้งพอดี” ฉันรีบว่าพร้อมกับพูดชื่อเมนูออกไป
ความจริงร้านของเฮียสี่เนี่ยแก
“พาไปร้านข้าวต้ม แต่อยากกินผัดผักบุ้ง” พายว่าด้วยน้ำเสียงที่ดูเอือมเล็กน้อยก่อนจะสายหน้าไปมาให้ฉันเหมือนกับว่ามันรับไม่ได้กับเรื่องที่ฉันพูดออกไปงั้นแหละ
“ทำไมอ่า! ไปแต่ละครั้งแกก็ไม่เคยสั่งข้าวต้มหรอก!” ฉันลุกขึ้นว่าพร้อมกับยกมือเท้าเอวเหมือนคนแก่ขี้บ่น
“ก็ฉันไม่ได้อยากกินข้าวต้มนี่!” พายเงยหน้าขึ้นมา
“นั่นไง! ฉันก็ไม่ได้อยากกินข้าวต้มเหมือนกันไง!”
“เออ! นั่งลง!”
“เออ!” แล้วก็นั่งลงกอดอกทำหน้ามุ้ยหลังจากเกิดการมีปากมีเสียงกันเมื่อกี้ ฉันเอาศอกของตัวเองไปชนหลังของยัยพายเบา ๆ คล้ายกับการสะกิดก่อนจะส่งเสียงออกไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันไม่พอใจหน่อย ๆ “ชิ!”
“ไม่ต้องมาชิเลยนะ” ยัยพายว่าพร้อมกับดันหลังของฉันคืนแล้วพูดต่ออีกประโยค ซึ่งเป็นปนะโยคที่ทำให้หูของฉันผึ่งเลยทีเดียว “ตอนแรกว่าจะให้พี่พีร์ชวนเพื่อนมาด้วย แต่เปลี่ยนใจละ ไม่ให้ชวนแล้ว”
ฉันได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องหันไปกอดแขนเพื่อนสนิทของตัวเองเอาไว้พร้อมกับพูดออกมาเสียงอ้อน
“เมื่อกี้ขอโทษนะแกที่เสียงดังไปนิดหน่อยอ่า ขอโทษน้า” ว่าเสร็จก็ผละออกมาแล้วใช้มือบีบ ๆ ที่ไหล่ของยัยพายไปด้วยก่อนจะพูดต่ออีก “ปวดไหล่มั๊ยแก เดี๋ยวฉันนวดให้”
“ตรงนั้นแหละ” นางว่าก่อนจะแสดงท่าทีเหมือนผู้ชนะออกมา ฉันมองบนให้ท่าทางแบบนั้นก่อนจะบรรจงนวดไหล่ให้ยัยพายไป แต่ได้ไม่นานเท่าไหร่ฉันก็ผละออกแล้วพูดเสียงเรียบออกไป
“ฉันขอโทษแกแล้ว ไหล่ก็นวดให้แล้ว ดังนั้นให้พี่พีร์ชวนพี่นำทัพไปด้วยเดี๋ยวนี้!”
ความคิดเห็น