คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : #คับฟ้าพาฝัน:: 01[อัปครบ]
หลายปีผ่านไป
"คุณคับฟ้าคะ มื้อเช้าเสร็จแล้วค่ะ" เสียงคุ้นหูที่คอยเรียกชื่อผมเวลาเดิมและต่อท้ายด้วยประโยคเดิมๆ ดังขึ้นทำผมเริ่มขยับตัวเปลี่ยนท่านอน
แน่นอนว่าผมตื่นก่อนที่เจ้าของเสียวนี้จะเดินเข้ามาปลุกผม แต่ว่าเพราะนั่นเป็นหน้าที่ที่ผมได้มอบหมายให้เธอ ถ้าเธอไม่ได้ทำตามหน้าที่ทั้งหมดผมคงเสียดายค่าจ้างที่จ้างเธอเอาไว้หลายบาทต่อเดือนแน่ๆ
แต่เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมเท่าไหร่
"ถ้าคุณคับฟ้าไม่ลุกตอนนี้กาแฟจะเย็นหมดนะคะ" เธอยังคงพูดต่อแม้ว่าปฏิกิริยาทั้งหมดที่ผมมีให้จะเป็นการขยับตัวเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่เธอก็รู้ดีว่าทำยังไงผมถึงจะยอมลุกจากเตียง "ถ้าลุกช้ากว่านี้ซอสมะเขือเทศที่หนูราดบนไข่ดาวจะแห้งหมดนะคะ"
ผมรีบลุกขึ้นนั่งโดยที่ไม่ต้องรอให้เธอคนนั้นพูดขู่อะไรมากไปกว่านี้
"คุณคับฟ้าเหมือนเด็กเลยนะคะ" เธอว่าพร้อมกับจัดหมอนให้เข้าที่ก่อนจะดึงผ้าห่มออกจากตัวของผมทำให้ผมต้องหันไปมองใบหน้าไร้เดียงสาของเด็กที่ตัวเองไปเก็บมาเมื่อหลายปีก่อน
แต่จะบอกว่าเก็บมาคงไม่ถูก งั้นเรียกว่าไปรับมาดูแลน่าจะเหมาะกว่า
ตั้งแต่วันนั้นเธอก็อาศัยอยู่กับผมมาตลอดตามที่ผมยื่นข้อเสนอให้ ส่วนความสัมพันธ์ของเราสองคนนั้นแน่ชัดอยู่แล้วว่าเราไม่ได้มีความรู้สึกในเชิงชู้สาวต่อกันและกันเลยเพราะเงื่อนไขที่ผมให้ไป...มันชัดเจนแล้วว่าผมแค่อยากได้คนใช้และผู้หญิงที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม แล้วเด็กคนนี้ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาโดยตลอดด้วยและตอนนี้คงถึงเวลาที่ผมจะให้เธอเริ่มหน้าที่ใหม่ได้แล้ว
"บอกแล้วไงว่าไม่ชอบซอสมะเขือเทศ" ผมว่าพร้อมกับลุกขึ้นจากเตียงแล้วยืดเส้นยืดสายเพื่อไล่อาการปวดเมื่อยหลังจากนอนค้างท่าเดิมนานๆ
"หนูเตรียมชุดทำงานไว้ให้แล้ว ถ้าคุณคับฟ้าจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วรีบออกไปทานข้าวนะคะ"
"อืม เธอเองก็ด้วย" ผมว่าแล้วหันไปมองหน้าของเด็กคนนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินแยกตัวออกมาตากครงนั้นเพื่อเข้าห้องน้ำ แต่ว่าก่อนจะได้ไปไหนไกล "พาฝัน" ปากผมก็ขยับเรียกชื่อของเด็กคนนั้นแล้วหันหน้าไปมองเธอที่กำลังจัดเตียงให้ผมอยู่
คนตัวเล็กหันมาพร้อมกับแสดงสีหน้าเหมือนกำลังคาดหวังอะไรจากผม
แน่นอนว่าผมรู้...
และเพราะว่าผมรู้ ผมเลยต้องพูดทุกวัน...
"วันนี้เก่งมาก"
หลังจากได้ยินคำชมที่เรียบนิ่งและออกจะธรรมดาจากปากของผม คนตัวเล็กก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับแสดงท่าทางดีใจให้ผมเห็นได้ชัดด้วยการเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยของเธอก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ภาพที่เธอยิ้มยังคงเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับผมเมื่อเทียบกับการพบกันครั้งแรกของเราที่เธอกำลังพยายามจะทิ้งชีวิตตัวเองลงไปในแม่น้ำ
จะว่าแปลกตาก็คงไม่ใช่เพราะทุกครั้งที่ผมชมเธอ เธอจะยิ้มแล้วก็ดีใจแบบนี้ตลอด มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่เรามาอยู่ด้วยกันแล้ว
เด็กคนนี้น่ะ ไม่ได้ตามผมมาเพราะว่าคาดหวังเงินเดือนหลักหมื่นหลักแสนหรอกนะ เธอแค่ตามผมมาเพราะว่าผมเห็นว่าเธอมีประโยชน์ก็แค่นั้น
แม่เธอบอกว่าเธอเป็นภาระ...เท่าที่อยู่ด้วยกันมา เธอไม่เคยเรียกร้องหรือต้องการอะไรไปมากกว่าคำชมเลย สมัยมัธยมเธอใช้เงินน้อยมากจนผมนึงสงสัยว่าเธอไม่ได้ไปเที่ยวเล่นไหนบ้างหรอ แต่ก็พอจะรู้คำตอบเพราะว่าเลิกเรียนเธอก็ตรงกลับมาที่ห้องเลย
แต่ยังดีที่แม่ของเธอมีความคิดที่ส่งลูกสาวเรียนอยู่ เพราะว่าการเรียนเธอนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งของสายชั้น แต่เท่าที่ผมดู...มันก็ไม่ได้แย่ เพราะเธอสอบเข้ามหา'ลัยดีๆ ได้ คะแนนเธอสามารถเข้าคณะที่มันเข้ายากๆ ได้ แต่เอาจริงๆ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะตอนเธออยู่ม.6 ผมนั่งหาคอร์สติวเข้ามหา'ลัยให้เธอด้วยนั่นแหละ
แต่ก็นั่นแหละ การที่แม่เธอส่งเธอเรียนได้ถึงม.ต้นก็ถือว่าดีแล้ว
และวันนี้เด็กคนนั้นก็เริ่มเรียนมหา'ลัยวันแรกด้วย แต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ทุกอย่างของเธอได้ดีเหมือนเดิมโดยไม่มีอาการตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนใหม่เลย
แม่เธอบอกว่าเธอไร้ประโยชน์...แต่เท่าที่ผมเห็นเธอสามารถทำงานบ้านได้ทุกอย่างโดยใช้เวลาไม่นานเลย แม้ว่าบางเรื่องผมจะบอกเธอไปแล้วว่าไม่ต้องทำ แต่พาฝันก็ทำเองหมดทุกอย่างโดยไม่มีการบ่นอิดออดอะไรเลย
เด็กคนนี้แค่อยากมีประโยชน์ในสายตาของคนอื่นบ้างก็เท่านั้นเอง
และใช่...ตอนแรกที่ผมช่วยเธอเป็นเพราะว่าผมรู้สึกสงสาร แต่ว่าที่ผมตัดสินใจเลี้ยงดูเธอมาก็เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ก็เท่านั้นเอง
ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านี้เลย
จบบทบรรยาย:: คับฟ้า
ภายในรถยนต์คันหรูที่เปิดแอร์ค่อนข้างเย็นของคุณคับฟ้าคนที่บอกว่าจะให้ชีวิตใหม่แก่ฉันวันนี้ค่อนข้างแปลกไปกว่าเดิม มันต่างจากทุกวันที่เขาไปส่งฉันที่โรงเรียน แต่ความรู้สึกไม่ต่างกันมากเมื่อเทียบกันตอนที่ย้ายโรงเรียนใหม่เพราะวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของมหา'ลัยของฉันเองค่ะ แล้วตอนนี้ฉันก็ตื่นเต้นมากด้วย แต่ว่าไม่กล้าแสดงออกมาเกินไปเพราะกลัวว่าคุณคับฟ้าจะไม่ชอบใจเอาเลยได้แค่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวพลางเปิดดูแชทในมือถือที่รุ่นพี่ในคณะเป็นคนสร้างเอาไว้ให้น้องใหม่ได้ทำความรู้จักกันก่อน
ตอนแรกเพื่อนๆ ก็ไม่มีใครกล้าส่งอะไรหากันหรอกค่ะ แต่พอผ่านไปได้วันสองวันทุกคนก็เริ่มพูดคุยกันในกลุ่มมากขึ้น มีการสร้างกลุ่มแยกห้องตามรหัสนักศึกษาอีกด้วย จนตอนนี้ฉันเริ่มจำชื่อเพื่อนได้บ้างแล้ว แต่ว่าจำหน้าไม่ค่อยได้หรอกนะเพราะบางคนใช้รูปโปรไฟล์เป็นน้องหมาน้องแมวงี้ แต่พอเจอตัวจริงเดี๋ยวก็ได้รู้จักกันมากกว่าเดิมเองแหละค่ะ
ฉันนั่งยิ้มหลังจากที่เห็นเพื่อนบางคนส่งเข้าไปในกลุ่มบอกว่าถึงตึกเรียนแล้วและมีเพื่อนบางส่วนเริ่มมากันแล้วพร้อมกับส่งโลเคชั่นของตึกที่เรียนวันนี้มาให้ด้วยเผื่อเพื่อนบางคนหาไม่เจอ ฉันเลยส่งเข้าไปว่ากำลังจะถึงแล้วหลังจากนั้นก็คว่ำหน้าโทรศัพท์ลงไว้แล้วมองดูทางไปมหา'ลัยของตัวเองเผื่อว่ามันข้างหน้าฉันจะมาเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งคุณคับฟ้าคอยไปรับไปส่งให้ลำบาก
ฉันน่ะ...ไม่อยากเป็นภาระของคุณคับฟ้าเลยจริงๆ
"เวลาเรียนปิดโทรศัพท์ไว้ด้วย" หลังจากที่ภายในรถเงียบมาตั้งแต่ออกจากคอนโดเสียงของคุณคับฟ้าก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบทำให้ฉันต้องละสายตาจากถนนแล้วหันไปมองเขาโดยอัตโนมัติแล้วได้แต่พยักหน้าตามที่เขาสั่งก่อนจะส่งเสียงออกไป
"ค่ะ"
"ถ้ามีกิจกรรมอะไรหรือมีค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ก็บอก อย่าเก็บเงียบคนเดียว" เขาพูดต่ออีก
"รุ่นพี่บอกว่าปี1 มีกิจกรรมค่อนข้างเยอะค่ะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายหนูมีเก็บไว้เองอยู่ คงไม่รบกวนคุณคับฟ้าหรอกค่ะ" ฉันบอกไปพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้เขาแม้ว่าเขาจะไม่ได้หันมามองเลยก็ตาม
ชีวิตใหม่ที่คุณคับฟ้าให้ฉันคือการพามาอยู่ที่ใหม่ ในสังคมใหม่และให้ฉันทำงานเพื่อตอบแทนเขา แต่จะว่าทำงานตอบแทนก็ไม่ใช่เพราะเขาให้ค่าแรงฉันด้วยทุกเดือนๆ มาทั้งรูปแบบเงินสดและการโอนเข้าบัญชีที่เขาไปเปิดให้
ซึ่งเอาจริงๆ ฉันยังไม่เคยไปถอนออกมาใช้เลยสักบาท
เงินสดที่คุณคับฟ้าให้มาส่วนหนึ่งฉันแบ่งเก็บไว้ให้ตัวเอง อีกส่วนฉันส่งให้แม่ของฉันตามที่ท่านได้บอกเอาไว้เมื่อเกือบ 3 ปีก่อนที่ว่าอย่าลืมส่งเงินไปให้ท่านด้วยฉันก็ไม่ลืม... ยังทำทุกอย่างเหมือนเดิมแบบไม่ขาดตกบกพร่องเผื่อว่าวันหนึ่งท่านอยากจะให้ฉันกลับไปหา กลับไปอยู่กับท่านเหมือนเดิม แต่ผ่านมาหลายปีแล้วท่านก็ยังคงรับไปแค่เงินเท่านั้น
ไม่เคยเอ่ยถามถึงฉันเลย...
พอคิดมาถึงจุดนี้แล้วฉันก็เริ่มคิดได้ว่าจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงเป็นลูกที่ไม่มีประโยชน์อยู่สินะ แม่ถึงยังไม่ต้องการฉันน่ะ
แล้วฉันต้องพยายามแค่ไหนล่ะ...
จากที่เมื่อกี้ยังรู้สึกตื่นเต้นกับเปิดเรียนอยู่แท้ๆ กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ฉันกลับมานั่งเงียบซึมใบหน้าไร้รอยยิ้มแทน
"ฉันสั่งให้บอก" คุณคับฟ้าพูดขึ้นมาหลังจากที่ฉันเงียบไป "มีอะไรให้บอก อย่าเก็บไว้คนเดียว ระบายมันออกมา"
"เอางั้นก็ได้ค่ะ" ฉันว่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปยิ้มอีกครั้ง
ตั้งแต่มาอยู่กับคุณคับฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำคือการบอกฉันว่า 'อยากพูดอะไรก็พูด ระบายออกมาให้หมด' วันนั้นฉันได้ทำตามที่เขาบอก ฉันระบายความอัดอั้นในใจออกไปจนเกือบหมด อะไรที่เหมือนกับมันหนักอยู่ในอกก็ถูกยกออกไปจนรู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง แต่ตัวฉันเดิมทียังเป็นคนที่ไม่ชอบเปิดเผยเรื่องของตัวเองออกไปให้ใครรู้อยู่แล้วเลยรู้สึกโล่งแค่ไม่เท่าไหร่ ส่วนปัจจุบันเขาก็ยังคงให้ฉันทำแบบนั้นอยู่เหมือนเดิมเพราะกลัวว่าฉันจะเก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตไปคิดมากอีก
แต่ก็อย่างที่พูดมานั่นแหละ...เรื่องบางเรื่องฉันพูดออกไปไม่ได้
เพราะเราตกลงกันชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างเราเด็ดขาด...
ใช่...เพราะฉันตกลงกับเขาแล้ว
และเมื่อเราขับรถมาถึงที่ตึกที่ฉันต้องไปเรียน คุณคับฟ้าก็เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง "เลิกเรียนแล้วโทรบอก ไม่ก็ถ้าได้ตารางเรียนแล้วก็ส่งมาให้ฉันเลย เข้าใจนะ?"
"ค่ะ"
"ถ้าจะรอก็มารอตรงนี้ เดี๋ยวจะมารับเอง"
"ค่ะ"
"......" แล้วคุณคับฟ้าที่คอยชี้แจงคำสั่งก็เงียบไปจนฉันต้องหันไปมองเขา และตอนที่ดวงตาของเราสบประสานกัน ฝ่ามือหนาของคุณคับฟ้าก็วางลงบนกลางศีรษะของฉันด้วยแรงระดับหนึ่งก่อนจะเริ่มพูดต่อ "ตั้งใจเรียน อย่าตื่นเต้น รุ่นพี่หรืออาจารย์แนะนำอะไรก็เชื่อฟัง"
ฉันพยักหน้าให้เขาไปก่อนจะค่อยๆ ผุดรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
"เดี๋ยวมื้อเย็นฉันจะทำอาหารให้เนื่องในวันเปิดเทอมดีไหม?"
"อื้ม! ดีค่ะ ดีมากๆ เลย" ฉันตอบเขาไปด้วยใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มแจ่มใสมาก
เชื่อไหมว่าคุณคับฟ้าน่ะทำอาหารอร่อยมากเลยนะ แต่ว่าฉันเพิ่งเคยได้ทานฝีมือเขาแค่ไม่กี่ครั้งเองเพราะว่าหลังจากคุ้นชินกับห้องครัวที่คอนโดก็เป็นฉันเองที่เริ่มลงมือทำอาหารทุกมื้อให้เขาน่ะ อาจจะดูโอเว่อร์ แต่ว่ารสชาติมันยังติดลิ้นฉันอยู่เลยนะ...
อร่อย อยากกินอีก
"ไปได้แล้ว"
"ไปแล้วนะคะ" ลาเขาจบฉันก็ยกมือขึ้นไหว้ตามปกติก่อนจะรีบลงจากรถไป
เปิดเทอมวันแรกเท่าที่ดูตามตารางวันนี้มีแค่ปฐมนิเทศน์ในช่วงเช้าโดยจะมีการแนะนำเกี่ยวคณะ แนะนำอาจารย์ประจำวิชา จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพบปะกับอาจารย์ที่ปรึกษาของแต่ละห้อง แล้วตอนบ่ายรุ่นพี่จะพาลงทะเบียนเรียน ซึ่งอันนี้ดูใหม่สำหรับฉันมากเพราะปกติตอนสมัยเรียนมัธยมเราจะได้ตารางเรียนของแต่ละห้องมาเลย แต่นี่ต้องมาเลือกเองแล้วก็จัดตารางเองอีก...
แอบกลัวจัดตารางชนกันจังเลย...
แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...รุ่นพี่คงมาช่วยจัดให้มันเข้าที่เองแหละ
แต่ตอนนี้ฉันต้องรีบไปที่ห้องประชุมที่อยู่ชั้น3 ของตึกเพื่อไปเข้าพิธีปฐมนิเทศน์ก่อน เดี๋ยวเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที เพราะแบบนั้นฉันเลยรีบเดิมจ้ำอ้าวเข้าตึกคณะของตัวเองไปด้วยความไม่รู้เรื่องอะไร หวังแค่ว่าจะไปเจอคนที่พอจะถามทางได้ในนั้นเอาไว้ก่อน
แล้วฉันก็เจอนักศึกษาชายคนหนึ่งที่แต่งตัวถูกระเบียบซึ่งตอนนี้เขากำลังยืนก้มๆ เงยๆ อยู่ที่หน้าลิฟท์เพียงคนเดียว
แบบนั้นเรียกว่าก้มเงยไหมนะ เหมือนจะเป็นการเขย่งปลายเท้าขึ้นลงมากกว่า ดูคล้ายกับว่าเขากำลังรีบอยู่
แต่เพราะบริเวณนี้ฉันเห็นแค่เขาคนนี้ ฉันเลยตรงไปยังนักศึกษาคนนั้นก่อนจะสะกิดที่หลังของเขาเบาๆ เป็นการเรียกอีกฝ่ายให้หันมามอง
ผู้ชายตรงหน้าที่มีท่าทางเร่งรีบหันควับมามองฉันด้วยท่าทีตกใจก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นฉันที่สะกิดเขา
คนตัวสูง แต่ดูไม่เก้ก้างใส่ชุดนักศึกษาถูกระเบียบ ทรงผมถูกเซ็ทขึ้นไปเปิดให้เห็นหน้าผากกว้างและใบหน้าที่ดูเนียนใสของผู้ขายตรงหน้าทำให้ฉันไม่มั่นใจว่าเขาเป็นรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่ แต่ว่าหลังจากเสียมารยาทพิจารณาใบหน้าและการแต่งตัวของอีกฝ่ายไปได้สักพักเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น
"ครับ?" อีกฝ่ายส่งเสียงพร้อมกับจับกระเป๋าสะพายของตัวเองเอาไว้
ฉันรีบส่ายหน้าเพราะลืมไปว่าจุดประสงค์ของตัวเองคืออะไรก่อนจะเริ่มพูดออกไป "ขอโทษนะคะ คือสถานที่ปฐมนิเทศน์ของคณะอักษรศาสตร์ใช่ชั้น 3 ตึกนี้รึเปล่าคะ?"
"ใช่ครับ อยู่ปี 1 ใช่ไหม?" เขาตอบและถามออกมา
ฉันพยักหน้าให้ก่อนจะถามกลับไป "อยู่ปี 1 เหมือนกันรึเปล่าคะ?"
"อ่า..."
'ติ้ง!'
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบคำถามของฉันดีๆ ลิฟท์ที่ถูกเรียกเอาไว้ก็มาพอดี ทำให้ทั้งฉันและเขาคนนั้นต้องขึ้นไปยืนอยู่ภายในตัวลิฟท์เงียบๆ ทั้งสองคน
แม้ว่าภายในลิฟท์จะเงียบ แต่ในจิตใจฉันจากที่มันตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนใหม่อยู่แล้ว ตอนนี้มีแต่คำถามที่อยากถามเขาคนนี้ออกไปมากเลย ทั้ง 'อยู่ปีไหน?' 'เป็นเพื่อนห้องไหน?' 'สาขาไหน?' มันอยากถามเยอะแยะไปหมด แต่ฉันก็ไม่กล้าถามออกไปอยู่ดีเลยปล่อยให้ลิฟท์เงียบมาจนถึงชั้น 3 ตามที่ต้องการ
เราเดินออกจากลิฟท์มาด้วยความเงียบ แต่จังหวะที่ก้าวเท้าเดินออกจากลิฟท์ตามร่างสูงนั้น อยู่ๆ เขาก็หันมาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้ฉันพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรต่างจากที่ได้พูดคุยกันตอนแรกว่า
"ยินดีต้อนรับน้องใหม่เข้าสู่คณะศึกษาศาสตร์นะครับ"
ฉันเลยได้รู้ว่าคนๆ นี้เขาคือรุ่นพี่นั่นเอง...
กิจกรรมวันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น ฉันได้รู้จักเพื่อนเยอะขึ้น ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นทั้งเพื่อนชายและเพื่อนหญิง ตอนนี้เพื่อนที่สนิทยังไม่มีเพราะนี่เพิ่งจะเป็นวันแรกเอง อาจจะต้องดูๆ กันไปอีกก่อนว่าใครอยากจะเข้ามาสนิทกับฉันบ้าง แล้วก็นอกจากจะมีการทำความรู้จักกับเพื่อนแล้วนักศึกษาใหม่ยังได้รู้จักรุ่นพี่อีกด้วย แน่นอนว่าพี่คนที่ฉันเจอก็อยู่ในกลุ่มที่มาแนะนำตัวเช่นกัน
หลังจากทำกิจกรรมที่หอประชุมเสร็จนักศึกษาใหม่ก็ถูกรุ่นพี่พาไปลงทะเบียนเรียน เพราะว่ายังอยู่ปี 1 อยู่เลยยังไม่ต้องแยกห้องหรือสาขาเพราะบางวิชาสามารถสอนด้วยกันได้ แต่ว่าพอขึ้นปี 2 ไปอาจจะแยกไปเป็นสาขาและแยกย่อยเป็นห้องไปอีก
แล้วตอนนี้ฉันก็ได้ตารางเรียนมาแล้วเรียบร้อย
ถึงจะดูไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมไม่ได้เรียนเต็มวันเหมือนสมัยที่เรียนมัธยมหรือประถม แต่ว่ารุ่นพี่บอกว่าแต่ละวิชามันหนักมาก ฉันเลยแอบคิดเอาเองว่าเพราะมันเรียนหนักกว่า บางวันเลยได้เรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมงนั่นเอง
เอ แล้วแบบนี้จะไม่เปลืองน้ำมันรถไปกลับรึไงนะ...
เฮ้อ ต่อไปคงต้องลองนั่งรถโดยสารมาเองแล้วแหละ จะได้ลดค่าน้ำมันลง
ฉันเดินออกมาที่หน้าตึกคณะหลังจากที่โทรบอกคุณคับฟ้าว่าเรียบร้อยแล้ว เขาเลยบอกให้ฉันออกมารอที่หน้าตึกคณะตามที่เราตกลงกันเอาไว้แล้วยืนยิ้มให้คนที่หมือนจะคุ้นหน้าที่เดินผ่านไปมาอย่างเป็นมิตร
จากที่พยายามจะจำชื่อเพื่อนให้ได้ วันนี้ได้เจอเพื่อนแบบตัวเป็นๆ ครั้งแรกกลับกลายเป็นว่าฉันสลับชื่อเพื่อนมั่วไปหมดเลย แต่เพื่อนทุกคนก็ไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่ แต่ว่ารุ่นพี่บอกว่าเดี๋ยวจะมีป้ายชื่อมาให้ใส่ไว้ในช่วงแรกเพราะทุกคนจะได้รู้จักกันไวๆ ซึ่งฉันมองว่าเป็นเรื่องดีมากเลยแหละที่ทำแบบนั้น
"ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะพาฝัน" เสียงใสของเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านซ้ายของฉัน ทำให้ฉันที่กำลังมองกลุ่มนักศึกษาชั้นปีอื่นที่เดินไปเดินมารีบหันกลับมามองเจ้าของเสียงอย่างตกใจก่อนจะยิ้มให้แล้วกล่าวประโยคคล้ายๆ กันกับเธอ
"ไว้เจอกันนะ..." แล้วชะงักไปพลางพยายามนึกว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร
ผู้หญิงตรงหน้าฉันมีความสูงไม่ต่างจากฉันมากเท่าไหร่ แต่งหน้าบางๆ และมีรอยยิ้มที่ทั้งสดใสและจริงใจจนฉันนึกอิจฉาที่รอยยิ้มของเธอทำนั้นทำให้ใครหลายๆ คนเผลอยิ้มตามออกมาโดยไม่รู้ตัว
มาถึงตรงนี้ก็เริ่มจำได้แล้วว่าเพื่อนชื่ออะไร...
"นับดาว"
"โห เรานี่แอบลุ้นไปด้วยเลยนะเนี่ย" นับดาวว่าพลางหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย
เป็นอีกครั้งที่ฉันมีปฏิกิริยากับการแสดงออกของเธอ...
"ขอโทษนะ" ฉันว่าพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ไปเพราะเมื่อกี้นึกชื่อเพื่อนไม่ออก
"ไม่เป็นไรๆ วันนี้จำยังไม่ได้เดี๋ยววันหน้าก็จำได้แม่นเองแหละ" เธอว่าแล้วยิ้มอีกครั้ง
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ฉันเชื่อแล้วว่าไม่เป็นไรจริงๆ ฉันเลยยิ้มกลับ
เราสองคนคุยไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเพราะว่าที่บ้านของนับดาวมารับไปก่อน ส่วนฉันหลังจากที่นับดาวกลับไปฉันรอคุณคับฟ้าไม่นานเท่าไหร่เขาก็มารับกลับ
บทบรรยาย:: คับฟ้า
"มหาลัยเป็นยังไงบ้าง?" ผมถามคนตัวเล็กที่นั่งเงียบอยู่บนรถหลังจากที่ผมเพิ่งรับกลับมาจากมหาลัยเสียงเรียบ
"วันนี้ยังไม่เริ่มเรียนเลยค่ะ มีแค่ปฐมนิเทศแล้วก็แนะนำเรื่องทั่วไปแค่นั้นเอง" พาฝันตอบผมเสียงใสเป็นจังหวะตอนที่รถกำลังติดไฟแดงพอดีเลยทำให้ผมมีโอกาสได้หันไปมองใบหน้าของคนที่เพิ่งตอบคำถามของผมเมื่อกี้
ได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและชื่นชมผมจากใจจริงของเธอทำให้ผมต้องละสายตากลับมามองถนนเหมือนเดิม
"แล้วเป็นยังไงบ้าง? มีเพื่อนบ้างรึยัง?" ผมถามไปอีกรอบ
ทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกันมักจะมีความเงียบเข้าครอบงำบริเวณที่เราอยู่ตลอด
พาฝันค่อนข้างมีความเกรงใจผมอยู่มาก แต่ในขณะเดียวกันบางครั้งเธอก็พยายามจะพูดคุยกับผมอยู่เช่นเมื่อเช้านี้เป็นต้น เรียกได้ว่าแทบจะทุกเช้านั่นแหละ ดังนั้นเพราะเราเงียบเกินไป หลายครั้งผมต้องเป็นคนเริ่มบทสนทนาขึ้น
"ได้เห็นหน้าเพื่อนร่วมห้องแล้วค่ะ มีแต่คนน่ารัก ๆ เลย เมื่อเช้าอุตส่าห์นั่งจำชื่อเพื่อนให้ได้แล้ว แต่ก็ยังทักผิดอยู่ อายมากเลยค่ะ" เธอว่าพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อยให้กับเรื่องที่ตัวเองเล่า แม้ตอนนี้จะไม่ได้มองหน้าเธอแล้ว แต่ก็พอจะนึกได้อยู่ว่าตอนนี้คนตัวเล็กกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่
"เจอกันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็จำได้เอง"
"ค่ะ" เธอรับคำก่อนที่บนรถจะเงียบไป
เมื่อมาถึงคอนโดเราก็ตรงมาที่ห้องเลย เธอเดินตามผมมาเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จาเช่นเดิม เมื่อเข้ามาถึงห้องแล้วผมก็ให้พาฝันเข้าไปเปลี่ยนชุดอาบน้ำรอทานข้าวเย็น ปกติหน้าที่นี้จะเป็นหน้าที่ของเธอ แต่เมื่อเช้าผมบอกเธอว่าผมจะเป็นคนทำอาหารเย็นเองเนื่องจากเธอเปิดเทอมวันแรกเพราะงั้นเลยได้ให้เธอไปอาบน้ำแล้วรออย่างเดียว
พาฝันไม่มีเมนูที่ชอบเป็นพิเศษ เธอเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย อะไรก็ได้ การเลือกเมนูที่จะทำเลยเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับผมมาก เพราะงั้นเมนูวันนี้ผมเลือกอะไรที่ไม่ค่อยได้ทำ
'ครืด ๆ'
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรสักอย่างโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมก็สั่นขึ้นมา
มือล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ใบหน้าของผมก็ตึงไปชั่วขณะ
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็กดรับสายไปอยู่ดี
"ครับ...พ่อ"
ความคิดเห็น