คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
ทางตอนเหนือของแคว้นหวงหลง
ในช่วงวสันตฤดูที่เหมาะแก่การเบิกบานของมวลผกา ระแวกป่าไม้ที่ควรมากด้วยหลายพรรณกลับมีจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลาง แสงไฟส่องสว่างเป็นประกายแล้วชวนให้ความอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ตามทางเดินจวนนี้ล้วนมีเหล่าสมุนไพรที่ถูกปลูกใส่กระถางตั้งไว้
คืนพระจันทร์เต็มดวงในบริเวณจวนนั้นผู้คนต่างเดินขวักไขว่กันจ้าละหวั่น เพื่อเตรียมโคมแดงแขวนไว้ตามจวนเนื่องด้วยในวันนี้เป็นวันเทศกาลหยวนเซียว[1] แสงไฟในโคมเหล่านั้นต่างทอประกายเป็นสีแดงสดงดงาม
ด้านนอกนั้นว่าชวนอบอุ่นแล้ว ด้านในจวนนั้นยิ่งราวกับแสงของดวงตะวันทามกลางหิมะ สตรีวัยกลางคนที่มีอายุล่วงเลยมาถึงสี่สิบกว่าปีแล้ว ทว่ากลับยังคงงดงามคล้ายกับสาวน้อยวัยแรกแย้ม บนตักของนางมีเด็กสาวตัวเล็กที่อยู่ในวัยประมาณห้าขวบปีนั่งถือขนมทังหยวนเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
"อวี้เอ๋ออย่ากินเร็วสิ ขนมพวกนี้ไม่หนีเจ้าไปไหนหรอก" น้ำเสียงอ่อนโยนราวสายธาร ดวงตานวลนางคล้ายดวงดาวจ้องมองไปยังลูกสาวอย่างมีความสุข
เฟิ่งหงอวี้งับขนมก้อนสุดท้ายเข้าปากทำให้แก้มของนางพองออกมาเหมือนกับซาลาเปาขาวนวลนุ่ม เฟิ่งหลิวจึงอดที่จะยกมือบีบแก้มนุ่มนั้นไม่ได้ ทำให้บุตรีต้องเอ่ยห้ามผู้เป็นมารดาขณะยังเขี้ยวขนมอยู่ "ท่านแม่อย่าบีบแก้มข้าสิ ข้าเจ็บนะ!"
เฟิ่งหลิวแค่นเสียง 'ฮึ' ออกมา แล้วกล่าวว่า "ทีบิดาเจ้ายังจับเจ้าแก้มซาลาเปานี่ได้ เหตุใดพอเป็นมารดาเจ้ากลับบ่นเสียได้" แม้จะพูดเช่นนั้น นางก็ยอมรามือจากแก้มขาวนั่น
"ก็ข้าได้เงินจากท่านพ่อนี่นา แบร่!" เฟิ่งหงอวี้ว่าพลางแลบลิ้นใส่ จากนั้นก็นำมือที่เปื้อนขนมของตนไปเช็ดกระโปรงอย่างลวกๆ แล้วกล่าวถามมารดาอย่างใสซื่อว่า "เหตุใดท่านพ่อยังมิกลับมาอีก ท่านไปจะได้ครบสองชั่วยาม[2]แล้วนะเจ้าคะ"
เฟิ่งหลิวเอ่ยตอบ "บิดาเจ้าไปคุยเรื่องบางอย่าง ไม่นานก็กลับมา" ว่าไปแล้วมือเรียวก็ยกขึ้นลูบผมบุตรสาวอย่างปลอบโยน แม้ในใจจะหวั่นวิตกกังวลเพียงใด 'นางหวังเพียงว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขาก็พอ'
หน้าประตูจวนใหญ่บัดนี้มีร่างบุรุษทรงสง่าด้วยภูมิฐานและสูงศักดิ์สวมผ้าคลุมสีดำเดินย่างกรายเข้ามา ผู้เฝ้าประตูทั้งสองที่เห็นเช่นนั้นก็มองหน้ากัน ไม่นานหนึ่งในนั้นก็เข้าไปถามไถ่ผู้มาเยือน
"ไม่ทราบว่าคุณชายผู้นี้ต้องการมาพบผู้ใดหรือขอรับ"
บุรุษผู้มาเยือนนิ่งเงียบไม่ตอบสิ่งใด อาภรณ์สีทมิฬที่สวมใส่อยู่บนร่างยิ่งทำให้ดูลึกลับและอันตราย ความเงียบอยู่เพียงชั่วครู่ วาจาเสียงนิ่งประดุจตุ๊กตาไร้อารมณ์ถูกเอ่ยออกมาสั้นๆ ได้ใจความ "เจ้าบ้าน บอกนางว่า มนุษย์ล้วนมีชะตา ต่อให้หลบหนีสุดขอบฟ้า ก็มิอาจเปลี่ยนชะตา"
'เจ้าบ้าน' ที่หมายถึงคือฮูหยินนายท่านของพวกเขา เมื่อรับรู้แล้วผู้คุมประตูจึงเอ่ยปากอย่างนอบน้อมว่า "โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปแจ้งแก่ฮูหยินก่อน" จากนั้นผู้คุมประตูคนนั้นก็เร่งเดินไปหาเฟิ่งฮูหยินทันที
บ่าวชายผู้นี้ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโถงใหญ่ของจวน เขาหยุดอยู่หน้าประตูแล้วประสานมือกล่าวเสียงขึงขังชัดถ้อยชัดคำให้แก่คนที่อยู้ด้านใน "เรียนฮูหยิน มีบุรุษผู้หนึ่งท่าทางลึกลับอยากพบท่านขอรับ! อีกทั้งยังฝากบอกมาว่า มนุษย์ล้วนมีชะตา ต่อให้หลบหนีสุดขอบฟ้า ก็มิอาจเปลี่ยนชะตา"
เฟิ่งหลิวที่กำลังหยอกล้อกับบุตรสาวอยู่จำต้องเงยหน้าขึ้นมา ประจวบกับสายลมวูบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่างดับเทียนเล่มหนึ่งให้มอดดับ นางมองเทียนที่ดับลงด้วยความตื่นตระหนก
บ่าวรับใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ด้านข้างเฟิ่งหลิวนามว่า 'มี่จิว' หันมองผู้เป็นนายพลางกล่าวด้วยเสียงวิตก "นายหญิงจะใช่เขาหรือไม่เจ้าคะ"
เฟิ่งหงอวี้มองผู้ใหญ่สองคนที่กำลังมีท่าทีกังวลใจก็พลันงงงวย ยังไม่ทันที่นางจะได้ถามอะไรเสียงของมารดาก็ดังขึ้นมาก่อน
"เจ้ารีบพาหงอวี้หนีไป หากเป็นเขาจริง...หลบหนีมานานก็ควรจะตัดสินชะตากันได้แล้ว!" เฟิ่งหลิวยกตัวเฟิ่งหงอวี้ขึ้นมอบให้มี่จิว พร้อมกับถอดกำไลหยกฟ้าออก มืออีกข้างก็หงายขึ้นปรากฏลูกแก้วใส นางยัดของทั้งสองสิ่งใส่ที่มือของมี่จิว แล้วพูดสมทบ "เจ้ารู้ว่าควรทำอย่างไร อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง"
"นายหญิง!" มี่จิวรั้งแขนของเฟิ่งหลิวไว้ ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ แต่เมื่อเห็นแววตาอันแสนเด็ดขาดและเย็นชานางจึงจำต้องปล่อยมือ
"ท่านแม่ พี่มี่จิว พวกท่านเป็นอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นหรือ" เฟิ่งหงอวี้หันมองใบหน้าของมารดาด้วยความยากรู้ ทว่าก่อนที่แม่ลูกจะได้พูดคุยกันก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากด้านนอก
เฟิ่งหลิวรีบเอ่ยเร่งสาวใช้คนสนิททันที "รีบไปเร็ว!"
มี่จิวกล้ำกลืนความโศกเศร้าไว้ภายใน นางรีบอุ้มเฟิ่งหงอวี้ที่กำลังมึนงงและร้องเรียกเฟิ่งหลิวออกไปยังเส้นทางลับห้องโถงใหญ่ที่เชื่อมต่อไปสู่ประตูนอกทางด้านหลังจวนอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเศร้าไหลชโลมอาบแก้ม
หลังจากที่มี่จิวหายลับไปจากสายตาแล้วเฟิ่งหลิวก็สูดหายใจเข้าลึก ร่างงามพลันหันหลังย่างกรายออกไปด้านนอก เสียงกรีดร้องดังระงมอย่างหวาดกลัวของผู้คนดังลั่นทั่วจวน บ่าวรับใช้ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
ดวงตาสีน้ำทะเลลึกกวาดมองลูกธนูสีทมิฬมากมายที่เคลื่อนไหวกระจัดกระจาย แต่ดูเหมือนว่าพวกมันมีดวงตาที่สามารถจับค้นหาเป้าหมายได้ ไม่ว่าบ่าวรับใช้จะวิ่งหนีอย่างไรลูกศรทมิฬเหล่านั้นก็ตามปลิดชีพไม่หยุด มือเรียวของเฟิ่งหลิวยกขึ้นซัดคลื่นพลังสีฟ้าออกไป ลูกศรเหล่านั้นก็ปลิวกระจายไปยังผู้บงการ
ส่วนด้านบุรุษอาภรณ์ทมิฬผู้เป็นคนบงการเพียงใช้นิ้วเดียวก็สามารถหยุดลูกศรมากมายได้ ต่อมาลูกศรทมิฬที่แข็งราวกับเหล็กกล้าก็สลายกลายเป็นควันสีดำ ใบหน้าของคนผู้นี้ไม่หวั่นไหวกับสตรีที่อยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย
"เจ้ามาที่นี่เพื่อต้องการลูกแก้วเซียนใช่หรือไม่" เฟิ่งหลิวถามบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงเย็น สายตาอดไม่ได้ที่จะกวาดมองเหล่าผู้บริสุทธิ์ที่ล้มตายกลายเป็นศพ 'คิดไม่ถึงหนีมาเนิ่นนานไกลขนาดนี้กลับถูกพวกเขาประชิดตัวได้โดยไม่รู้ตัวเช่นนี้ อีกอย่างที่ซ่อนตัวนี้ไม่มีผู้ใดรู้ นอกจากเขาเหตุใด...หรือว่า!'
"ใช่หรือไม่ เจ้าย่อมรู้ดี เจ้าก็รู้ว่าหากท่านผู้นั้นต้องการสิ่งใด ย่อมไม่รอดพ้นมือ" บุรุษอาภรณ์ทมิฬเหลือบตามองทั่วบริเวณ คล้ายจะมองให้ทะลุทุกซอกทุกมุมของจวนใหญ่โตนี้
เฟิ่งหลิวกล่าว "ขอเพียงเจ้าไว้ชีวิตคนในครอบครัวข้าและเหล่าผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ยินดีจะเจรจากับคนผู้นั้น"
"หึ! เจ้าคู่ควรเจรจากับท่านผู้นั้นเหรอ" วาจาเหยีดหยามถูกเปล่งออกมา เขายกมือขึ้นลูกศรทมิฬก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง "น่าเสียดาย...ที่สามีเจ้าถูกคนของข้าไปจัดการแล้ว จะเจรจาเหรอ เกรงว่าคงต้องใช้ชีวิตคนในจวนนี้เป็นราคาต่อรองแล้วกระมัง!"
ครานี้ดูเหมือนลูกศรทมิฬจะรวดเร็วยิ่งขึ้น มันพุ่งไปคร่าชีวิตบ่าวรับใช้ที่มีชีวิตอยู่อย่างเลือดเย็น เฟิ่งหลิวเห็นเช่นนั้นก็สร้างแท่งน้ำแข็งต่อกรกับลูกศรทมิฬ ร่างนางเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงตัวของบุรุษผู้นั้น ในมือของนางปรากฏกระบี่ยาวที่สร้างขึ้นจากน้ำแข็งหมายจะแทงไปที่คนตรงหน้า
ทว่า...
มุมปากของบุรุษผู้มาเยือนยกยิ้มขึ้น วงแหวนเวทย์อาคมใต้เท้าของเขาก็เปล่งประกายสีดำแฝงไปด้วยความชั่วร้ายและหนาวเย็น ชั่วพริบตาตัวตนของเขาก็พลันหายไปจากวงเวทย์นั้นพร้อมกับผู้มาใหม่ทั้งห้าที่ปรากฏประจำตำแหน่งตามอักษรวงเวทย์
"ค่ายกลปราบเซียน!" เสียงประสานดังก้องกังวาน
ร่างของเฟิ่งหลิวคล้ายถูกภูเขาไท่ซานทับไว้ ประกายแสงสีดำรอบภายในค่ายกลหลอมรวมเป็นเข็มนับหมื่นแสนเล่มพุ่งเข้าโจมตีใส่เฟิ่งหลิว ครั้นเมื่อนางจะเคลื่อนตัวหลบหนีกลับมิอาจมีพยุงตัวขึ้นเลยสักนิด ร่างกายคล้ายกับถูกสูบพลังออกไป
'หรือว่านี่จะเป็นมรรคามาร!'
บุรุษสูงศักดิ์ราวกับล่วงรู้ความคิดของนางได้ จึงกล่าวขึ้นว่า "ถูกต้อง! ธาตุของข้าคือความมืด ถูกจัดอยู่ในจำพวกธาตุมรรคามาร อีกอย่างค่ายกลนี้ท่านผู้นั้นรู้ดีว่าความห่างชั้นระหว่างเซียนกับมหาจักรพรรดิต่างกันแค่ไหน จึงได้สร้างค่ายกลระดับเซียนนี้มาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ"
เฟิ่งหลิวขบฟันแน่นเพื่อทนรับต่อความเจ็บปวดที่เข็มมากมายแทงเข้ามา ไอความเย็นแผ่ซ่านออกจากตัวบังเกิดเป็นม่านพลังใสคุ้มกันกาย ดวงตาของนางกวาดมองเหล่าผู้มาใหม่ทั้งห้า ความสามารถของพวกเขานั้นล้วนอยู่ในระดับมหาจักรพรรดิทั้งสิ้น แม้นางจะอยู่ในระดับเซียนทว่าก็เป็นเพียงเซียนขั้นต้นเท่านั้น เดิมเพียงมหาจักรพรรดิห้าคนก็สามารถต่อกรกับระดับเซียนขั้นต้นได้แล้ว แต่ยังมีบุรุษผู้นั้นที่ใช้พลังสายมารอยู่ คิดจะหนีย่อมไม่พ้นแน่!
บุรุษปริศนามองไปที่ม่านพลังเกราะน้ำแข็ง ดวงตาพลันหรี่ลงพลังมารสายหนึ่งวิ่งแล่นเข้าสู่มือของเขาแล้วซัดออกไปยังม่านพลังนั้นจนเกิดรอยร้าว
เฟิ่งหลิวเพิ่มพลังขึ้นให้กับม่านพลัง บงกชแก้วทั้งเก้าปรากฏขึ้นรอบกายของนาง มือเรียวประสานด้วยท่าทางประหลาดคล้ายกับสัญลักษณ์ของเทพ ไม่นานบงกชแก้วทั้งเก้าก็พลันส่องแสงเปล่งประกายสีทองพุ่งออกไปจากม่านใสทันที
"นี่มัน! รีบถอย" บุรุษอาภรณ์ทมิฬสั่งเสียงกร้าว ร่างของเขารีบหลบหนีออกจากขอบเขตการโจมตีของบงกชแก้วด้วยความเร็ว
ผู้มาใหม่ทั้งห้าเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบถอยออกจากวงเวทย์ พลางมองไปที่บงกชที่เปล่งประกายเจิดจรัสตรงกลางนั่น
ในขณะที่เหล่ามหาจักรพรรดิกำลังเคลื่อนตัวออกจากวงเวทย์ เฟิ่งหลิวก็จ้องมองไปยังหนึ่งในมหาจักรพรรดิทั้งห้าที่เคลื่อนไหวช้าที่สุด ในมือปรากฏแส้ที่สร้างจากพลังตวัดไปที่ตัวของคนผู้นั้นกระชากกลับเข้ามาในวงล้อมอย่างไม่ทันตั้งตัว เป็นเวลาเดียวกับที่บงกชสีทองรวมตัวกันระเบิดออกเป็นหนามน้ำแข็งราวกับฝนห่าใหญ่ตกลงมา
พลังมหาศาลปะทะเข้ากับร่างของมหาจักรพรรดิที่ถูกลากเข้ามา หนามน้ำแข็งนับหมื่นก็กระหน่ำแทงเข้าสู่ร่างของมันจนบิดเบี้ยวคล้ายอสูรกายก็มิปาน การโจมตีนี้ทำให้เกิดคลื่นพลังพัดกระจายซัดจวนนี้พังทลายลงในพริบตา ป่าไม้รอบข้างเองก็ล้มระเนระนาดไม่เป็นระเบียบ
ฝุ่นควันจากการพังทลายคละคลุ้งไปหมด มีเพียงร่างของเฟิ่งหลิวที่ยืนอยู่ท่ามเศษไม้ที่ล้มทับลงมา อาภรณ์ของนางโชกไปด้วยเลือดจากการถูกโจมตีในค่ายกล สีหน้าของนางเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็ง
บุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นหัวหน้าของมหาจักรพรรดิทั้งห้ามองการทำลายล้างเบื้องหน้า มือเขากำหมัดขึ้นมาจนเส้นเลือดปูด "เจ้าถึงขนาดต้องใช้บงกชแก้วที่เปรียบเสมือนพลังในตัวของเจ้ากำจัดค่ายกลระดับเซียน ทั้งยังลากมหาจักรพรรดิข้าไปตายด้วย...เกรงว่าพลังของเจ้าในตอนนี้คงเหลือเพียงน้อยนิดแล้วสินะ"
เฟิ่งหลิวหยัดกายผึ่งผายทำให้ผู้คนอดหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้ นางจับกระบี่ตวัดสายตาขึ้นมองกลุ่มคนเบื้องหน้า ความโกรธแผ่ซ่านเต็มดวงตาจนแดงก่ำ เสียงหวานคำรามขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว "ในวันนี้แม้ข้าตายก็มิยินยอมให้พวกเจ้าได้ลูกแก้วเซียนไปจากข้าเป็นอันขาด!"
อกซ้ายของเฟิ่งหลิวเปล่งประกายขึ้น คลื่นพลังสีฟ้าหลอมรวมเป็นเปลวเพลิงแผดเผาร่างของตน เหตุการณ์นี้ทำให้บุรุษทั้งห้าที่ยืนอยู่ต้องเบิกตากว้างขึ้น หนึ่งในนั้นรีบประสานมือกล่าวกับบุรุษอาภรณ์ดำทันที "นายท่านหากปล่อยไปเช่นนี้ เกรงว่าลูกแก้วเซียนในกายนางจะสลายไปด้วย!"
ดวงตาของบุรุษสูงศักดิ์เพียงหนึ่งหรี่ตาลงความอันตรายแผ่กระจายรอบตัวเขาขึ้นทันใด ร่างสูงเดินย่างกรายอย่างเชื่องช้า เพียงไม่กี่ก้าวกลับประชิดถึงตัวของเฟิ่งหลิวได้อย่างรวดเร็ว "เจ้าคิดจะทำลายร่างไปพร้อมกับลูกแก้วเซียนงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!"
เพียงสะบัดมือขึ้นบนฟ้าหลุมมิติดำก็ปรากฏขึ้นด้านบน วงเวทย์ใต้ฝ่าเท้าทั้งสองพลันเปล่งแสงขึ้นเพื่อดูดกลืนพลังจากร่างของเฟิ่งหลิว สายฟ้าสีดำจากหลุมมิติฟาดเข้าใส่ร่างของเฟิ่งหลิวจนเกิดเสียงกัมปนาท เลือดสีแดงสดถูกพ่นออกมาจากปากของผู้เป็นสตรี ในขณะที่นางกำลังทรมานก็ไม่วายมีเสียงเย้ยหยันดังข้างหู
"หึ! ช่างน่าสังเวชนัก หากไม่ใช่เพราะเจ้าบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อห้าปีก่อน คงไม่ต้องหลบหนีมาไกลถึงขนาดนี้ ถ้าเช่นนั้นให้ข้าปลดปล่อยเจ้าเถอะ!" ว่าแล้ว มือของบุรุษผู้นั้นก็จ้วงแทงทะลุเข้าอกซ้ายของเฟิ่งหลิวด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า แล้วควักเอาลูกแก้วเซียนที่อยู่ภายในหัวใจของสตรีเบื้องหน้าออกมาอย่างเลือดเย็น เลือดสีแดงกระฉูดสาดทอกระทบแสงจันทร์ ประกายอำมหิตแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขาทำให้มหาจักรพรรดิทั้งสี่ต่างหวาดกลัวจนถอยหลัง
"อ๊าก!!" ความเจ็บปวดนี้ราวกับโดนลูกศรนับหมื่นปักเข้าสู่หัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาของเฟิ่งหลิวเบิกโพลง อกด้านซ้ายกลวงโบ๋กลายเป็นวงรูขนาดใหญ่ที่แทบจะมองเห็นทัศนียภาพผ่านทะลุไปยังด้านหลังได้ เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของเฟิ่งหลิวดังสะท้อนก้องผืนป่า จากนั้นไม่นานจึงมีเพียงร่างไร้วิญญาณที่ค่อยๆ สลายกลายเป็นธุลี พร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงเผาะลงสู่พื้น
ทางด้านมี่จิวที่อุ้มเฟิ่งหงอวี้หนีออกมาจากจวนได้นานแล้ว นางมองไปยังจวนขนาดใหญ่ที่พังทลายลงทำให้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ น้ำตาของนางรินไหลลงมาคล้ายสายธารที่ไม่มีวันหมด เช่นเดียวกับเฟิ่งหงอวี้ที่กรีดร้องกับภาพเบื้องหน้าอันสยดสยองห่างไกลออกไปที่ผู้เป็นแม่ได้รับ
มี่จิวรีบปิดปากของเฟิ่งหงอวี้เพื่อไม่ให้ส่งเสียง นางกอดคุณหนูของตนไว้แน่นอย่างปลอบโยน เฟิ่งหงอวี้ในตอนนี้แทบจะรู้สึกว่าตนนั้นไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดเท่านี้มาก่อน ดวงตาของนางชุ่มไปด้วยน้ำตาจนเปียก
มีเพียงความหวาดกลัวและเศร้าโศกเท่านั้นที่กัดกินหัวใจนางไม่เลิกรา...
..........................
[1] เทศกาลหยวนเซียว คือ เทศกาลฉลองในวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นสัญลักษณ์ของวันสุดท้ายในการฉลองเทศกาลปีใหม่ของจีนตามปฏิทินทางจันทรคติ เป็นวันส่งท้ายวันตรุษจีนเป็นวันส่งท้ายวันตรุษจีน ซึ่งในวันนั้นจะมีการแขวนโคมไฟจึงทำให้มีอีกชื่อเรียกว่า วันลอยโคม
[2] เป็นการนับเวลาแบบจีนโบราณ ซึ่งหนึ่งชั่วยามมีสองชั่วโมง สองชั่วยามจึงนับเป็นสี่ชั่วโมง
ความคิดเห็น