ยาและสมุนไพร - ยาและสมุนไพร นิยาย ยาและสมุนไพร : Dek-D.com - Writer

    ยาและสมุนไพร

    ยาและสมุนไพร ข้าควรให้ใครขอรับ

    ผู้เข้าชมรวม

    22

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    22

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 มิ.ย. 64 / 16:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                       ณ เมือง ธรรมราช เมืองแห่งความยุติธรรม 




          ตุมๆ ตุมๆ เสียงกลองหน้ากรมเมืองดังสนั่นลั้นไปทั่วริเวณกรมเมืองซึ่งเป็นที่ทำการของเจ้าเมืองแห่งนี้ กล้องนี้เป็นกล้องที่ใช้ตีเมื่อยามที่ผู้คนได้ความทุกข์ยาก แต่บันนี้ดูเหมือนผู้คนจะทุกร้อนมากขึ้นทุกวันเนื่องด้วยเพราะโรคระบาดที่กำลังฆ่าชีวิตผู้คนในทุกๆชั้น ซึ่งยังไม่มีใครทราบว่ามันคือโรคอะไร(แต่ความมืดมีดหากมีเสียงสว่างเพียงเล็กน้อยอาจเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน นั้นคือทางนครเทพซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรได้ค้นพบยาและสมุนไพรที่จะยับยั้งโรคร้ายนี้ได้) เสียงกล้องยังดังอยู่ต่อเนื่องเพราะประตูกรมยังไม่มีทีท่าจะเปิดออกซึ่งบันนี้ ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเหล่า กระฎุมพี ไพร์ ทาสและอีกมากมายกำลังยืนรอเข้าพบเจ้าเมืองและทุกคนนั้นต่างมีผ้าปิดใบหน้าครึ่งล้างด้วยกันทั่งสิ้น เวลาผ่านไปจนตะวันตรงหัวและแสงแดดของปลายฝนต้นหนาวไม่ใช่สิ่งผู้คนอยากเผชิญนักโดยฉะเพราะพวกชนชั้นตั่งแต่กระฎุมพีขึ้นไปต่างกลางร้มบดบังแดดกันวุ่นวาย หลังจากรอกันอยู่นานประตูกรมเมืองก็เปิดออกทั่งสองข้างมีทหารยืนเฝ้าอยู่ราวกับว่าจะไปออกรบในวงครามใหญ่ 

    รองเจ้าเมือง “พ่อแม่พี่น้องทั่งหลายที่มากันวันนี้ตัวข้าต้องขออภัยที่ให้ท่าต้องรอนานเนื่องด้วยวันนี้มีงานสำคัญมาก เชิญท่านบอกจุดประสงค์ของการตีกลองมาได้เลย” พูดจบรองเจ้าเมืองก็แสดงท่าทีนอบน้อมอย่างสุดซึ่งต่อหน้าประชาชน

      แต่เมื่อทุกคนเริ่มพยายามจะพูดปัญหาของตัวเองก็ไม่ต่างเสียงผึ้งที่แตกรัง

    รองเจ้าเมือง “เอาละๆ” “หากเป็นเช่นนี้คงหาความไม่ได้แน่ และตัวข้านี้ก็มีงานราชการมากล้น เอาเป็นว่าข้าขอเสนอว่าในเมื่อพวกมากจากหลากหลายชนชั้นจึงอยากให้ส่งตัวแทนของกลุ่มละหนึ่งคนหนึ่งก็แล้วกันเพื่อเข้าไปพบกับข้าที่ด้านในตึกข้าจะรอพวกท่านอยู่ในห้องทำงานข้า”

      หลังจากนั้นเหล่าพ่อแม่พี่น้องก็เริ่มเถียงกันเถียงกันเป็นกลุ่มๆ การสนทนาเริ่มหลากหลายมีตั่งแต่การคุยทับถมกลุ่มอื่นบาง เหยียดพวกไพรทาสบ้าง หรือไม่ก็เถียงกันในกลุ่ม แต่กลุ่มที่ดูจะเรียบร้อยที่สุดกลับเป็นพวกไพร์และทาสไร้การศึกษาที่เป็นกลุ่มใหญ่สุดและหาลือกันอย่างจริงจังสุดและเป็นเรื่องเป็นราวสุดว่าใครในกลุ่มนี้จะเป็นที่มีความรู้มากสุดในการไปคุยกับท่านรองเจ้าเมืองใครพอจะมีไหวพริบปฏิภาณในการนำความทุกร้องของพวกเขาเหล่านี้ไปเสนอต่อท่านรองเจ้าเมืองจนแล้วจนรอดพวกเขาก็ได้ตัวแทนเป็นชายกลางคนที่พออ่านออกเขียนได้เพราะเกิดเป็นลูกเมียทาสในเรือนจึงพอผูกพักลักจำ ซึ่งขณะเดียวกันกลุ่มอื่นๆก็ยังเถียงกันไม่เสร็จสิ้นชายตัวแทนจึงได้รับมอบหมายจากกลุ่มไพร่ทาสให้รีบไปเข้าก่อนจะโดนตัดสิทธิ์เสียก่อนในขณะที่ชายตัวแทนกำลังเดินไปที่ประตูฝูงน้ำลายบินก็โถมเข้าหาเขาจนชายตัวแทนต้องวิ่งเข้าประตูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะได้พอถึงประตูกรมเมืองเดินข้ามผ่านธรณีประตูมาระยะหนึ่งนายทหารผู้หนึ่งก็ยื่นขันใสน้ำสะอาดและผ้าหนึ่งผืน

    นายหทาร “เจ้าไม่ควรเข้ากรมด้วยสภาพทุเรศเช่นนี้รีบจัดการก่อนคนอื่นจะเข้ามาแทนเจ้า”

      หลังจากจัดการเรียบร้อยชายตัวแทนก็เข้าไปในตึกใหญ่ภายในตกแต่งอย่างหรุบหรู่ร่าวกับวิมานในภาพสลักชายตัวแทนถูกพาไปยังห้องทำงานของรองเจ้าเมือง

    รองเจ้าเมือง “อย่างที่บอกกูมีเวลาไม่มาก มีอะไรก็รีบพูด” 

    ชายตัวแทน “ขอรับท่าน คือพวกข้านั้น กำลังจะอดตายกันอยู่แล้วขอรับและโรคระบาดตอนนี้ก็รุนแรงมากขึ้น ยาและสมุนไพร พวกข้าก็ยังมิได้รับเลยนะขอรับ พวกข้าเลยอยากขอให้ท่านช่วยบริจาคข้าวปลาและยาให้พวกข้าได้มีชีวติอยู่ต่อด้วยนะขอรับท่าน พวกข้ากำลังจะอดตายกันอยู่แล้วนะขอรับ” พูดจบชายตัวแทนที่บัดนี้นั่งคุกเข่าอยู่ก็ก้มลงกราบไปเท้าของรองเจ้าเมือง 

    รองเจ้าเมือง “พวกมึงนี้มันชอบสร้างปัญหาจริงๆ ตอนเก็บภาษีก็บิดเบี้ยวกันบ่อยนัก พอถึงช่วงเกณฑ์เข้างานก็ชอบหลบนี้ ทีต้องนี้มาเรียกร้องเอาอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เคยสร้างประโยชน์แต่ชอบสร้างปัญหาในข้าลำบากใจ รู้ไหมว่างานราชการมันเหนื่อยขนาดไหน พวกทำไร่ไถนาอย่างพวกมึงจะไปรู้อะไร" เออๆ "เดียวข้าจะแจ้งเจ้าเมืองให้ เพราะแก่พวกมึงที่ร่วมตัวก่อนวันนี้ ระหว่างนี้พวกก็กลับไปรอก่อนได้เรื่องยังไงก็จะส่งคนไปบอก ยังไงก็อย่าสร้างปัญหาให้มากนักละ ไปไหนก็ไปๆ เหม็นกลิ่นโคลนสาปควายจริงๆ"

    ชายตัวแทนก้มลงกราบที่เท้าอีกครั่งและค่อยๆคลานออกจากห้องเดินออกไป เขาเดินกำหมัดแน่นน้ำตาไหลลิ้นทั่งสองข้างได้แต่คิดอยู่ใจว่าทำไมเทวดาทนั้นชอบกลั่นแกล้งแต่พวกเราชาวไพร์ทาส เมื่อไหร่พระผู้โปรดสัตว์จะมาบังเกิดอีกครั่งตามตำนานซักทีนั้นคือสิ่งชายตัวแทนนึกกล่าวโทษ ก่อนออกจากกรมเมืองเขาล้างหน้าล้างตาให้ดูสดชื่นอีกครั่งและวิ่งออกไปด้วยหน้าท่าทีเบิกบานเมื่อถึงหนัาประตูประตูพวกไพร์ทาสเห็นชายตัวแทนวิงออกมาต่างก็ดีอกดีใจและอยากฟังคำตอบของเจ้าเมือง 

    ชายตัวแทน “ท่านรองเจ้าเมืองบอกว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่พวกตามคำข้อทั่งหมด ให้พวกเราไปรอที่บ้านอย่างใจเย็นพวกเราทุกคนและชาวเมืองจะต้องรอด พวกเราจะอิ้มท้อง”

    พวกไพร่ทาสต่างพากันจับไม้จับมือดีอกดีใจกันยกใหญ่ยายเฒ่าลูบหลานปากกระซิปเราจะรอดแล้วลูกๆแม่ลูกอ่อนน้ำตาไหลลิ้นอุ่มลูกด้วยความปราบปลื้มยินดีพ่อพาลูกน้องขี่คอเดินกลับบ้านพี่จูงน้องเดินนั้นคือภาพที่ชายตัวแทนเห็นความสุขในความสิ้นหวังที่เขาได้ัรบ

      ระหว่างที่กลุ่มไพร์ทาสกำลังพากันกลับบ้านก็มีกองทหารกองหนึ่งตะบึงม้าอย่างบ้าคลังไม่สนหน้าอินหน้าพรมใดๆตะโกนสั่งให้คนหลีกทางลูกเด็กเล็กแดงคนฒ่าคนแก่ต่างพากันกลิ่งตกไปข้างทางเพราะกลัวม้าเตะ กองทหารวิ่งผ่านไปฝุ่นตลบและไปหยุดอยู่ที่หน้ากรมเมืองเป็นชั่วเวลาเดียวกับที่กลุ่มพ่อค้าส่งหัวพ่อค้าเป็นแทนและกำลังจะเข้าประตูเหล่าทหารในชุดเกราะเงินขอบแดงนับร้อยลงจากม้าวิ่งเข้าไปในกรมเมืองชักดาบกั้นไม่ให้พ่อค้าหรือใครคนใดเข้าไปในกรมเมืองเหล่าทหารของกรมเมืองต่างพาหลับเข้าไปในตึกกันหมดราวกับพวกมีธุระด่วน ตอนนี้มีเพียงชายในชุดเกราะเงินคาดด้วยผ้าสีเขียวทั่งตัวของชายผู้นี้เตรียมไปด้วยเหรียญตรามากมายซึ่งอาจจะมาเกินไปด้วยซ้ำ ชายผู้นี้ไม่ยอมลงจากม้าแต่กับเดินม้าเข้าผ่านประตูเมืองจนไปถึงด้านในตึกแล้วจึงจะลงจากหลังม้า สิ่งนี้ไม่ค่อยมีใครทำมาก่อนนับตั่งแต่ ก่อตั่งเมือง รองเจ้าเมืองทำได้แต่มองเท่านั้น

    รองเจ้าเมือง “ท่านนายพันให้เกียรติมาเยี่ยมกรมเมืองนับว่าเป็นเกียรติของท่านเจ้าเมืองแล้วขอรับ ไม่ทราบมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้”

    นายพัน “เรียกเจ้าเมืองพาพบข้าที ข้ามีเรื่องจะถกถามเขา” 

    รองเจ้าเมือง “ตอนนี้ท่านเจ้าเมืองไปทำธุระราชการอยู่ขอรับท่าน มีอะไรก็สั่งข้าน้อยได้เลยขอรับ”

    นายพัน “ดีพาข้าไปห้องทำงานเจ้า ข้าต้องความเงียบ"

    รองเจ้าเมือง “ขอรับ เชิญตามข้ามาเลย”

     ณ ห้องทำงาน

    นายพัน บัดนี้เดินเอามือไขว้หลังเดินไปรอบห้องอย่าสนอกสนใจ “ข้าได้ยินมาว่า ยาและสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคระบาด ที่ท่านมหาเสนาบดี ชนอดิน กำลังจะจัดส่งมาใช่ไหม"

    รองเจ้าเมือง “ข้าเองก็ยังไม่ทราบเลยขอรับท่าน”

    นายพัน พอฟังจบก็ชักดาบออกมาจี้ไปคอหอยของรองเจ้าเมืองซึ่งตกใจหน้าซีดเผือก “คิดว่าข้าโง่งั่นหรอ เมื่อครั่งก่อนที่โรคจะระบาดรุนแรง มีการจัดส่งยาและสมุนไพรมาจากนครเทพจำนวนมาก ทำไมข้ายังไม่เห็นมันจะถูกส่งไปให้ทหารของข้า” ทำไม เสียงตะคอก

    รองเจ้าเมืองที่ตอนนี้เหงื่อแตกหน้าซีดกว่าเดิมตอบเสียงตะกุกตะกัก “เราแจกให้ชาวบ้านไพร่ทาสไปหมดแล้วครับท่านและยังพวกขุนนางให้เมืองนี้ แจกหมดแล้วครับ”

    นายพัน เก็บดาบเข้าฝักและมองดูท่าทีราวกับจะกินเลือด หึๆ “ท่างั่น ยาและสมุนไพรที่จะมารอบใหม่เจ้าเอาให้กับ ซัก3ส่วนซิ พวกราชการอย่างพวกแกนี้ ดูจะสุขสะบายกันจริง ส่วนพวกทหารอย่างข้าที่ต้องลำบากตรากตรำกันทุกวัน พวกแกรู้ไหมถ้าไม่มีทหารพวกแกจะอยู่กันอย่างสุขสบายเช่นนี้หรือ ประชาชนจะอยู่กันสงบสุขแบบนนี้หรือเปล่า ทหารนั้นสำคัญที่สุดหัดจำใสกระโหลกพวกแกด้วย เข้าใจไหม”

    รองเจ้าเมืองร่างสั่นไปทั่งตัว “แต่จะให้แบ่งสามส่วนมันจะมากเกินหรือขอรับ”

    นายพัน หันไปตบหน้ารองเจ้าเมืองเสียงดังลั้นออกไปนอกห้อง “แหกตาโง่ๆของแกดูเหรียญของฉัน เหรียญเหล่านี้มันบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าข้านั่นคือผู้มีความจงรักภักดีต่อ พระเจ้าฟ้างั่วแถน พระมหาอุปราช บรมเทพ และ ท่านมหาเสนาบดี ชนอดิน เพราะฉนั้น คนอย่างแกไม่ควรตั่งคำถามกับคนเช่นข้า ผู้ที่จงรักภักดี สิ่งที่ข้าทำก็เพื่อความมั่นคงของอาณาจักรแห่งนี้จงจำใสใจไว้ด้วย”

    รองเจ้าเมือง “ขอรับข้าจะรีบแจ้งท่านเจ้าเมืองและกรมพิทักษ์รักษาให้ตามที่ท่านต้องการเลย”

    นายพัน “ดีแบบนี้ซิ” “เกือบลืมไป" "อย่างคิดว่าข้าโง่ ข้ารู้ว่าพวกแก่ทำอะไรกับยาและสมุนไพรที่ส่งมาครั่งก่อน บอกเจ้าเมืองด้วยว่า อย่าให้ข้าออกปาก เพื่อเมื่อข้าออกป้าคือข้าหมดความอดทนและเมื่อความอดทนของข้าหมด เรื่องของพวกเจ้าจะถึงหูท่านมหาเสนาบดีอย่างแน่นอน อะไรที่ข้าควรจะได้ก็รีบจัดการเข้า ข้าจะมีเวลาให้ห้าวันก่อนที่ข้าจะกลับชายแดนตะวันออก”

    รองเจ้าเมือง “ขอรับท่าน” พร้อมกับก้มหน้า 

     หลังจากนั้นรองเจ้าเมืองก็เดินไปส่งนายพันขึ้นม้าทหารของเขาก็เดินออกไปแต่ไม่ไปตัวเปล่าข้าวของมีค่าหลายชิ้นก็อันตรธานไปตามกัน รองเจ้าเมืองนั้นหน้าแดงช้ำไปข้างหนึ่งเขาเอามือจับแก้มที่ปวดร้าวก่อนจะย้ายไปนั่งประจำตำแหน่งที่ห้องพิพากษาซึ่งจะช่วยให้เขาอยู่ห่างจากผู้คนที่จะเข้าพบรายต่อไป ผู้เข้าพบรายต่อนี้วิ่งมาตัดหน้าตัวแทนพ่อค้าที่ถูกทหารชุดแดงขัดขวางก่อนหน้านี้และช่วงที่นายพันออกจากกรม ชายหนุ่มในชุดงามเนื้อผ้าไหมชั้นดีก็ตัดหน้าพ่อค้าเส้นยาแดงผ่าแปด เขาผู้นี้เป็นตัวแทนชนชั้นกระฎุมพี ชื่อ ภู่ เป็นที่คนที่กว้างขวางมากในเมืองนี้

    รองเจ้าเมือง “เชิญท่านภู่ ว่ากล่าวมาได้เลย”

    ภู “ขอบคุณท่านรองเจ้าเมือง ยุธิ ที่กรุณา ข้าได้ยินมาว่าทาง นครเทพกำลังจะจัดส่งยาและสมุนไพรครั่งนี้มากมายนัก มิทราบว่าจริงไหม และก็อีกข้อ เมื่อครั่งก่อนทำไมยาและสมุนไพรที่ท่านแจกจ่ายให้พวกข้านี้มันไม่ตรงกับที่ ทางนครหลวงประกาศ

    รองเจ้าเมือง “งั่นข้าของถามท่าน ภู ว่าท่านเป็นชาวนครเทพหรือเปล่า”

    ภู “ยอมไม่ใช่ ข้าเป็นชาวเมืองนี้ตั่งแต่เกิด ซึ่งเป็นความภูมิใจของข้ายิ่งเพราะการที่ข้าเกิดเป็นคนภาคเดียวกันกับ พระมหาอุปราชเจ้า บรมเทพแทน 

    รองเจ้าเมือง “ท่านไม่คู่ยกตนเสมอท่าน พระอุปราช” 

    ภู “ขอประทานอภัย”

    รองเจ้าเมือง “อยากที่ท่านบอกท่านมิใช่ชาวนครเทพ ท่านก็ควรไม่เรียกร้องอะไรเกินตัว ยาและสมุนไพรชั้นดีนั้น คู่ควรกับชาวนครเทพผู้สูงส่ง ชาวนครเทพเป็นคนจ่ายภาษีเพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเป็นคนเลือกว่าเขาควรจะได้อะไร ส่วนพวกท่านจ่ายภาษีน้อยนิดก็ไม่ควรเรียกนั้นเรียกนี้อย่างชาวนครเทพ แม้แต่ชาวเมืองเหนือหรือเมืองอีสานก็เช่นเดียวกันไม่ควรเรียกร้องอะไร น้ำเสียงเจ้าดุดันขึ้น

    ภู มีสีหน้าแดงขึ้นเพราะความโกรธและพูดด้วยเสียงกังวาน “ทุกคนที่อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน มีสิทธิ์เท่ากันเป็นคนเช่นเดียวกัน คำพูดนี้เป็นคำพูดของ พระมหาอุปราชเจ้า บรมเทพ เมื่อครั่งที่ปลดปล่อย ไพร่และทาสในสงครามพิชัย พระเจ้าฟ้า พลราม และ พระกลาโหม ที่นครเทพ” “และข้านี้ก็ร่ำเรียนเขียนอ่านมาจากนครเทพ ข้ามิใช่ลูกไพร่ทาที่ท่านจะมาดูหมิ่น ถ้านำเรื่องนี้ไปร้องต่อ วังหน้า ท่านก็คิดเอาว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

    รองเจ้าเมืองตกใจในคำกล่างอ้าง ด้วยความที่ตนนั้นมารับตำแหน่งเพียงไม่นานจึงไม่ทราบความเป็นของพวกคนชั่นกระฎุมพีมากหนักว่าใครเป็นใคร เมื่อได้ฟังดังนั้นจึงรู้สึกกัวลขึ้น “ท่านโปรดใจเย็นก่อนที่ข้ากล่าวไปเช่นนั้นเพราะต้องการลองภูมิท่านว่าจะสมคำล่ำลือดังที่เขาว่ากันหรือไม่ว่า ท่านภูนั้นเป็นผู่มีความรู้มาก อันที่จริงแล้ว ยาและสมุนไพรที่ท่านได้รับนั้น เป็นของเพิ่มเติมจากท่านเจ้าเมืองสืบเนื่องจากของที่ส่งมาครั่งก่อนนั้น ไม่เพียงพอ อย่างที่ท่านรู้ว่าพวกไพร่ทาสในเมืองเรานี้มากมาย พวกเหมือเสือหิวไม่รู้จักพอพากันหมุนเวียนกันมารับของแจกจนสุดท้ายก็หมดสิ้น” รองเจ้าเมืองก้มหน้าพร้อมสะอื้นเล็กน้อยและกล่าวต่อ พวกเรากรมเมืองต่างทำงานกันทั่งวันทั่งคืน เพื่อหายาและสมุนไพรที่พอจะมาเทียบเคียงสรรพคุณให้เท่ากับที่ส่งมาจากนครเทพแต่ก็ต้องจนใจเพราะพวกเราก็ทำได้เพียงเท่านั้น พวกเราก็พอจะเดาได้หากความจริงปรากฏพวกเราคงต้องถูกตำหนิหรือลงโทษ แต่เพื่อความปลอดภัยของคนในเมืองพวกเราจนใจต้องยอมทำ” พูดจบรองเจ้าเมืองก็ลุกจากเก้าอี้และก้มลงกราบ ภูชายชนชั้นกระฎุมพี

    ภู พอเห็นภาพก็ตกใจและเกิดเห็นใจรองเจ้าเมืองรีบไปประคองตัวรองเมืองให้ลุกขึ้น “ข้าเข้าใจท่านผิดไป ข้าพอรู้ว่าราชการนั้นเหนื่อยหนักหนา ข้าเสียใจจริงเชียวที่ข้าจะมองไม่เห็นว่าพวกต้องเจออะไรบ้าง จะว่าไปแล้วความจริงพวกไพร่ทาส คือต้นเหตุทั่งหมด มันไม่คู่ควรจะได้รับความช่วยเหลือ เกิดมาเป็นไพร์ทาสก็ควรให้โชดชะตาเป็นตัวลิขิต พอได้รับเช่นนี้แล้วข้าอยากจะถ่มน้ำลายใส่พวกมันจริงๆ ไอพวกเลวๆ พวกอมนุษย์

    รองเจ้าเมือง “ได้โปรดขอท่านอย่าได้ทำเช่นนั้น มันบาป อย่างคำกล่าวของ พระมหาอุปราชเจ้า ใต้พื้นฟ้าเดียวกัน ทุกคนก็คือคนเท่ากัน” พูดจบก็ปราดน้ำตา 

    ภู "พวกมันเป็นสัตว์รับใช่หาใช่คนเช่นเราไม่” "ข้ารู้สึกอยากจะแต่งบทกลอนหลังมาเพื่อเชิดชูความมานะของพวกท่านซะแล้ว" "ข้าขอตัวลาก่อนโปรดรักษาตัวท่าน" พูดจบชายกระฎุมพีก็เดินลักษณะคนผู้มีภมิจนทหารเฝ้าประตูแอบขบขันในใจ

    หลังจากออกไปจากกรมเมือง ภูก็ไปเล่าเรื่องที่เกิดในพวกพ้องฟังราวกับว่าเป็นมหากาพย์แต่การเล่าของภูเล่านั้นคือฟังหนึ่งเล่าสิบเหล่าชาวกระฎุมพีแต่พากันยกย่องในความสามารถของภู่กันยกใหญ่แต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ไฟแห่งชนชั้นก็ถูกสุมให้ร้อนแรงดุจไฟนรกการทำร้ายไพร์ตามท้องถนนก็มากขึ้นการใช่งานทาสให้หนักกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นและมากขึ้น บทเพลงและกลอนที่ส่งเสริมความคนเป็นก็มีมากขึ้นขับร้องกันเป็นสนุกแต่ทุกบันเพลงรั้วแต่ไม่ให้ค่าไพร่ทาสเป็นคนแม้แต่บทเพลงเดียว

       หลังถูกตัดหน้าไปถึงสองครั่งสองครา ครั่งนี้หัวพ่อค้าจึงยอมจ่ายเงินให้ทหารในกรมไปไม่น้อยเขาจึงได้การดูแลเป็นพิเศษและเดินเข้าไปพบรองเจ้าเมืองอยากภาคภูมิใจว่าตัวตนใหญ่โตกว่าพวกกระฎุมพีที่ต้องเดินเข้าไปเอง 

    หัวหน้าพ่อค้า “ขอคารวะท่านรองเจ้าเมือง ข้าน้อย…..

    รองเจ้าเมือง “อยู่ต่อหน้าข้าทำไมไม่คุกเข่า บังอาจมากนะเจ้าพ่อหน้าเลือด”

    หัวหน้าพ่อค้า “ข้าน้อยขอประทานอภัยด้วย ข้าเป็นตัวแทนพ่อค้าเล็กถึงกลาง พวกข้าน้อยมิได้สนใจเรื่องยาและสมุนไพรเหมือนกับพวกนั้นหรอกขอรับ แต่เพียงอยากทราบว่าเมื่อไหร่พวกจะให้เปิดการค้าขายกันอย่างเดิม ท่านเจ้าเมืองสั่งปิดเมืองมาห้าเดือนแล้วพวกข้าขาดทุน ไหนจะต้องจ่ายภาษีเข้านำ ภาษีการค้า ภาษีลูกจ้าง ภาษีบำรุงเมือง ที่จัดเก็บรายเดือนแต่ท่านให้พวกข้าน้อยปิดร้าน ข้าน้อยมีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับพวกข้าน้อยจะเจ๊งอยู่แล้ว" น้ำเสียงครวญคราง "เลย…..

    รองเจ้าเมืองตะโกนแทรกขึ้นมา เออๆ “รีบพูดให้มันจบจะซะทีว่าต้องการอะไร แค่ภาษีเท่านี้ยังจะบ่ายเบียงที่จะจ่าย ภาษีเท่านี้มันหนักมากหนักหรือไง รู้ไหมว่าราชการนอกจากทำงานหนักหนาแล้วยังต้องค่อยตวรจนับภาษีของพวกเจ้าหากไม่ครบก็จะเกิดเรื่องยุกยากมากมายคิดว่ามันง่ายหนักหรือหะ” "จ่ายภาษีก็เพื่อความเจริญก้าวหน้าของเมืองนี้ หรือพวกแกคิดเป็นแต่เรื่องผลกำไร" 

    หัวหน้าพ่อค้า “เอาเป็นว่าขอท่านช่วยพวกข้าน้อยได้เปิดกิจการไวๆจะได้จ่ายภาษีตรงตามกำหนดดีไหมขอรับ”

    รองเจ้าเมือง “นี้แกกล้าต่อรองกับข้างั่นหรอ” เสียงตะโกน “หรือพวกเจ้าไม่ต้องจ่ายก็ได้ แต่ข้าไม่รับประกันความปลอดภัยของชีวิตแก ทรัพย์สินหรืออะไรตามที่พวกพ่อค้าอย่างพวกแกครบตรอง จะเอาแบบนั้นไหม พูดสีหน้าไม่พอใจ

    หัวหน้าพ่อค้า ก้มหัวอยู่หลายทีเหมือนเป็นการขอขมา “ข้าน้อยขออภัยแต่โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเถอะท่านรองเจ้าเมือง ด้วยความเมตตาของท่านขอท่านนั้นได้เป็นเจ้าเมือง มิใช่ๆแต่ต้องได้เป็นท่านออกพระตรวจการแผ่นดิน หรือ พระยากรมใหญ่ แน่ขอรับ” พูดจบหัวหน้าพ่อก็ยื่นถุงใบใหญ่ให้รองเจ้าเมือง

    รองเจ้าเมือง ค่อยมีท่าทีเบิกบานขึ้นเพราะแผ่นทองในถุงและคำยกยอของหัวหน้าพ่อค้าและมโนภาพของตัวชุดพระยามหาดไทย เสนาบดีฝ่ายซ้าย “มิต้องยกยอข้าเดียวหัวข้าจะหลุดก่อน เอาเป็นว่าข้าจะรับปากว่าจะเสนอต่อท่านเจ้าเมืองให้สั่งเปิดกิจการร้านค้าให้ได้อย่างปกติตามเดิมให้เร็วที่สุด สิ่งที่ข้าพอจะทำได้ก็เท่านี้ละ” 

    หัวหน้าพ่อค้า “ขอบคุณท่านรองเจ้าเมือง” แต่สีหน้าของหัวหน้าพ่อดูจะผิดหวังเล็กน้อยกับคำตอบ เพราะคำตอบที่เป็นการให้ความหวังมากการยืนยันแน่ล่ะสำหรับพ่อค้าเท่ากับเป็นตอบปฏิเสธแต่นั้นก็เป็นที่ต้องจำใจยอมรับและหวังถุงทองคำที่มอบให้จะทำหน้าที่ของพวกมัน หัวหน้าพ่อค้าเดินออกจากกรมคอตกและเมื่อพบกับเหล่าสมาคมพ่อค้าสิ่งที่หัวพ่อค้าทำได้คือส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง 

    หัวหน้นพ่อค้า “การไปนครเทพอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีสุดของพวกเราก็ได้นะทุกท่าน” เป็นเสียงบ่นเบาๆ

        หลังจากพบหัวพ่อค้าเสร็จรองเจ้าเมืองก็สั่งพักและอีกหนึ่งชั่วโมงค่อยให้เข้าพบเนื่องด้วยกรามที่ปวดจากการตบของนายพันและยิ่งปวดมากขึ้นรองเจ้าเมืองก็ยิ่งแค้นแต่ก็อยากที่จะเอาคืนเพราะนายพันผู้นี้เป็นทหารในสังกัดของ มหาเสนาบดี ยิ่งยากที่จะต่อแย่ 

    หมอหลวงใหญ่ “ใครกันที่กล้าทำร้ายรองเจ้าเมืองผู้จงรักภักดี”

    รองเจ้าเมือง “มิใช่เรื่องของท่าน” “ว่าแต่อาการป่วยของท่านเจ้าเมืองเป็นเช่นไรบ้าง”

    หมอหลวงใหญ่ เห้อๆ “อาการท่านมิใช่เรื่องใหญ่ยาและสมุนไพรที่ได้มาครั่งก่อนช่วยรักษาท่านให้หายดีได้แต่ปัญหาไม่ใช่เรื่องซิ” 

    รองเจ้าเมือง “มีปัญหาอะไรอีก”

    หมอหลวงใหญ่ “ปัญหาคือ ท่านเจ้าเมืองเอาโรคไปแพร่ให้คนอื่นต่อ เมียท่านทั่งเมียหลวงเมียน้อยกว่าสามสีบคนติดกันหมดลูกท่านอีกห้าสิบคนก็ติดและยังไม่นับรวมบ่าวไพร่ข้าทาสติดกันทั่งหมดโชดดีที่ยาและสมุนไพรที่ส่งมาครั่งล่าสุดมีพอรักษาคนหลักพันไม่งั่นเรื่องใหญ่” เห้อๆ “ทั่งที่ข้าเตือนพวกทั่งแล้วว่าอยากไปเทียวที่ซ่องนั้นมันเสี่ยง”

    รองเจ้าเมือง “ก็ท่านบ่นว่าเครียด อยากไปพักผ่อน อีกอย่างสาวๆที่นั้นงามเหลือเกิน และใครจะรู้ละว่า สาวน้อยทั่งห้าคนที่ท่านเรียกเข้าห้องจะติดโรคนี้ ก็อีแม่เล้า มันนั้นบอกเองว่าเด็กห้าคนนี้พึ่งมาใหม่ไม่เคยใช้งาน ดอกไม้แรกบานสีบสามสีบสี่เท่านั้น ข้าก็เชื่อใจ เลยตามเลยไป”

    หมอหลวงใหญ่ “พวกท่านก็เอาแต่หมกมุ่นแต่เรื่องพวกนี้ หากทางนครเทพรู้เข้ามีหวังหัวหลุดกันเป็นแถว”

    รองเจ้าเมือง “ไม่ต้องห่วงคนตายไม่เผลยความลับหรอกนะ” พร้อมหัวเราะเบาๆ

    หมอหลวงใหญ่ “พวกท่านนี้จริงๆเลย แต่ก็ดีหัวหลุดละนะ” พูดจบทั่งคู่ก็พากันหัวเราะ

    รองเจ้าเมือง “ว่าแต่ท่านก็ไม่เบาได้ข่าวท่านได้สุขสมกับหมอหญิงนักพูดคนนั้นแล้วนิ เป็นยังไงบ้าง” 

    หมอหลวงใหญ่ “ท่านพูดอะไร ข้ามิคุยด้วยแล้ว” พูดด้วยเสียงเขินอาย

    รองเจ้าเมือง “ข้าไม่บอกเมียท่านหรอกน่า” พูดลากเสียง ฮาๆ

     ในหระว่างที่ทั่งคู่กำลังสนทนนากันอย่างรื่นรมย์ก็มีเสียงของทหารตะโกนเข้า

    ทหาร “รายงานๆ ตอนมีกลุ่ม แม่บ้านราชการทหารพลเรือน และ บัณฑิตมารอเข้าพบท่านขอรับ”

    รองเจ้าเมือง “ก็ไปเชิญพวกเขาเข้าซิ เจ้าโง่”

    ทหาร “คือว่า เนื่องด้วย กลุ่มแม่บ้านมาช้ากว่า พวกบัณฑิตหนุ่ม ชาวนา และอื่นเลยต้องรอตามลำดับ แต่ในกลุ่มแม่บ้านนั้น มีแม่ของท่านรองเจ้าเมือง หมอหลวงใหญ่และขุนนางท่านอื่นรวมอยู่ด้วย ควรจะทำเช่นไรดีขอรับท่าน จะเข้ามาก่อนหรือให้รอต่อไปขอรับท่าน”

    หมอหลวงใหญ่ “ถ้าตัดเหล่าหน้าพวกบัณฑิตหัวรุนแรง คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่แต่จะปล่อยพวกแม่ๆรอต่อไปก็คงจะไม่ดี จริงไหมท่านรอง”

    รองเจ้าเมือง “มันก็จริงละ เอาไงดีละ” ผ่านชั่วครู่ “ข้าคิดออกแล้วให้พวกเขาไปเข้าประตูหลังอย่างเคยแต่ครั่งนี้ทำให้รอบครอบหน่อยข้าจะสั่งปิดกรม แล้วเจ้าทหารเจ้าจงไปแต่งตัวเป็นชาวบ้านไปและไปกระซิปกับแม่ของข้าให้พากันมาที่ประตูหลังอย่าให้มีพิรุธเป็นอันขาด เข้าใจไหม”

    ทหาร “ขอรับท่าน”

     หลังจากถ่ายทอดคำสั่งปิดกรมผู้คนที่รอก็พากันโวยวายกันยกใหญ่พวกบัณฑิตถึงกับด่าทอไม่เป็นศัพท์ส่วนเหลากลุ่มแม่บ้านเมื่อได้ฟังเสียงกระซิปก็พากันหัวกันยกใหญ่เพราะพวกตนได้อภิสิทธิ์ในเข้าพบและเย้ยหยันพวกที่โวยวายอยู่หน้าประตู เหล่ากลุ่มแม่บ้านส่วนใหญ่ส่วมชุดสีเหลืองมีฟ้าบ้างเขียวอ่อนบ้างแต่จะไม่ส่วมผ้าสีแดงหรือสีส้มเพราะ เป็นสีอัปมงคลตามความเชื่อของเขา ส่วนใหญ่จะเน้นเหลือเพราะเหลือเป็นสีแห่งการล้างบาปปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เหล่าแม่บ้านพากันเดินเข้าประตูหลังพอมาถึงหน้าตึกก็พากันอวดนั้นนี้ที่ตนบริจาคแต่ก็มีงงบ้างว่าของตนบริจาคนั้นหายไปหรือไม่ได้ตั่งอยู่ในที่ตนกล่าวอ้าง จนถูกพูดแดกดันจากคนกลุ่มบ้างเหล่าแม่บ้านหลายคนแต่งตัวด้วยเครื่องประดับอลังการเพราะต่างก็ตั่งใจจะข่มอีกฝ่ายให้ดูด๋อยค่ากว่าตน พอมาถึงด้านในตึกรองเจ้าเมืองและหมอหลวงใหญ่ต่างเดินต้อนรับเดียวตนเองด้วยอารมณ์ชื่นมื่น

    รองเจ้าเมือง “กราบคุณแม่ๆทั่งหลาย ต้องขอโทษที่ให้เข้าประตูหลังวันนี้วุ่นวายเหลือเกิน”

    หมอหลวงใหญ่ “วันนี้ทั่งวันเลยผู้คนเข้ามาไม่หยุดหย่อน กระผมยังเหนื่อยแทนรองเจ้าเมืองเลย”

    หนึ่งกลุ่มแม่บ้าน “คุณนี้น่าได้ลูกดีอายุเท่านี้ได้เป็นถึงรองเจ้าเมือง” เห้อๆ ลูกอิฉันซิ เป็นเพียงนายพัน อยู่ชายแดนลำบากลำบนแท้ อยากให้สุขสบายแบบนี้บ้างเช่นเดียวกับลูกคุณพี่ท่าน” พูดสีหน้าเอ็นดู

    แม่รองเจ้าเมือง “คุณพี่ก็พูดไป ลูกอีฉันดื้อจะตาย กว่าเคี้ยวเข็นให้ได้ เห็นอย่างเช่นนี้เลือดตาแทบกระเด็นดีที่เขาคบหาลูกพี่ ศรี เป็นเพื่อนรัก ดูซิตอนนี้ได้เป็นหมอหลวงใหญ่รับใช้ใกล้ชิด องค์ เจ้าฟ้า เจ้าแผ่น” (พูดพร้อมยกมือพนมขึ้นหัว)

    คุณหญิงศรี “คุณน้องก็เด็กมันรักดีกันทั่งคู่จริงไหมพ่อพรายทั่งสอง” 

    รองเจ้าเมือง ได้แต่ยิ้มตอบ “เชิญเหลาแม่ๆ ไปห้องรับรองใหญ่ก่อน ยืนๆนานจะปวดเมื่อยเอา”

      ทั่งหมดไปยังห้องรับรองใหญ่ที่นี้เย็นสบายอากาศปลอดโปร่งตกแต่งอย่างหรูหรา นั่งไปได้ไม่เหงื่อแห้งก็มีพนักงานมาเสริมเครื่องดื่มและลองว่างทุกรสชาติไร้ที่ติเหล่าแม่บ้านคุยกันอย่างเพลิดเพลินออกรสอกชาติ

    รองเจ้าเมือง “ว่าแต่คุณแม่ๆนอกจากมาเยียมลูกแล้วมีธุระประการใดอีกหรือ”

    แม่รองเจ้าเมือง “คุณหญิงนาคคะเชิญทางนี้คะ” “คุณหญิงนาคเป็นประธานสมาคมหัวหน้าแม่ข้าราชการ ทหาร พลเรือน และ บัณฑิต”

    รองเจ้าเมือง “กราบคุณหญิงป้า”

    คุณหญิงนาค “อิฉันคิดว่า คุณหญิงท่านจะมิแนะนำให้อิฉันได้รู้จักลูกคุณเสียแล้วซะอีก” น้ำเสียงประชด

    แม่เจ้าเมือง “คุณหญิงพี่ก็ชอบล้อเล่น” น้ำเสียงแดกดัน

    คุณหญิงนาค “คือเช่นนี้หลานป้า คือว่าป้านนั้นได้ข่าวมาว่า จะมียาและสมุนไพรจะถูกส่งมาเมืองนี้ สิ่งที่อยากจะบอกคือจะเป็นได้ไหมว่า ท่านเจ้าเมืองจะช่วยแบ่งมาให้ทางสมาคมแม่บ้านบ้าง เพราะหากเกิดเหตุร้ายขึ้นจะช่วยเหลือกันทันท่วงที สืบเนื่องมาลูกคนเล็กของป้าเป็น เจ้าเมือง นครธรรมนอก ทางหัวทักษิณส่งข่าวมาแจ้งป้า เกิดการระบาดใหม่ขึ้นและตอนนี้ดูท่า ยาและสมุนไพรจะขาดแคลน พวกป้าก็เลยอยากขอแบ่งซักส่วนหนึ่งเพื่อช่วยแบ่งภาระของราชการหากเกิดการะบาดในเมือง” 

    แม่ของหมอหลวงใหญ่ “ลูกๆลองคิดดูซิ ถ้าพวกแม่ๆติดโรคร้ายขึ้นมาจะกลายเป็นภาระให้ลูกต้องกังวล นั้นคงจะไม่ดีใช้ไหม การป้องกันยอมดีกว่ามิใช่หรือ ลูกทั่งสองคิดซิว่าพวกแม่พูดถูกหรือเปล่า”

    หนึ่งในกลุ่มแม่ “หลานทั่งสองลองคิดดูซิ การช่วยเหล่าแม่ๆ ก็เหมือนสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น เป็นการกตัญญูต่อ บิดามารดา ผลบุญจะส่งให้ลูกได้ขึ้นสวรรค์นะลูก” 

    หมอหลวงใหญ่ “และพวกบัณฑิต ชาวนา ไพร่ทาส พ่อค้าและคนอื่นๆล่ะ หากแบ่งให้พวกท่านเขาจะเอาอะไรรักษาตัว”

    คุณหญิงนาค “คนพวกนั้นชอบแหกกฎเป็นประจำ พวกไพร์ทาสพวกนั้นหนังเหนียวตายยากอีกอย่าพวกนี้ก็ผลิดเหล่ากอเก่งอยู่แล้วจะสนพวกมันทำไม”

    แม่ของหมอหลวงใหญ่ “ลูกของแม่ชังเป็นคนดีสมกับที่แม่เลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี แม่ภูมิใจนตัวลูกจริงๆ แต่ ถ้าแม่ติดโรคร้ายขึ้น น้องสาวแก น้าและป้าของแกละ ถ้าพวกเขาตายขึ้น ลูกเห็นคนอื่นดีกว่าคนครอบครัวไม่ได้นะ” ทั่งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงออกขึ้นธาตุของตัว พูดจบกลับรู้สึกถึงพลังงานรอบตัว “คือแม่หมายถึงว่า ลูกควรช่วยครอบและผู้คนในยาน ทองเท ก่อนเป็นอันดับแรกเพราะพวกเราทุกคนต่างก็เป็นมารดาของคนสำคัญๆในเมืองนี้” 

    รองเจ้าเมือง “กระผมเองก็ไม่สิทธิ์ไม่ตัดสินใจแทนเจ้าเมืองด้วยแต่ก็จะเรียนให้ท่านทราบถึงความทุกข์ใจของพวกท่าน” 

     ระหว่างนั้นเองเหล่าแม่ๆก็มีท่าประหลาดพากันสกินคนนู้นทีคนนี้ที ต่างก็พูด “เธอถามซิ” “คุณนั้นต้องถามก็คุณอยากรู้” “คุณละ” 

    รองเจ้าเมือง “มีอะไรหรือเปล่าครับ” 

    คุณหญิงนาค อ๋อๆ “คือว่า…..คือว่า….จะพูดยังไงดีละ คือ แหม่มันก็นะ คือพวกแม่ได้ข่าวลือมาว่า ท่าเจ้าเมืองติดโรดร้ายมาจาก วงพนัน จระๆ จริงหรือเปล่าหลานป้า พวกป้าไม่เอาไปบอกใครหรอกจ๊ะ”

    ทั่งหมอและรองเจ้าเมืองรู้สึกตกใจและพูดพร้อมกัน “ไม่จริงเลยขอรับ”

    หมอหลวงใหญ่ “มันก็แค่ข่าวเล่า ข่าวลือ” 

    รองเจ้าเมือง “ท่านไปทำธุระราชการอยู่”

    คุณหญิง แสดงสีหน้าสงสัย “เช่นนี้เองหรือ แหม่ๆ อย่างว่าข่าวเล่าข่าวลือใครจะเล่าลือก็ได้ละนะ” พูดจบคุณหญิงก็ยกกระเช้าใหญ่ยื่นให้รองเจ้าเมือง “ใบนี้เป็นของท่านเจ้าเมืองเป็นพวกช้าชั้นดีจากทางเหนือ” พูดจบก็ยหกระเช้าอีกใบซึ่งเล็กกว่าใบแรกพอควร “ส่วนใบนี้เป็นของฝากจากพวกแม่ๆให้ท่ทนเจ้าเมืองและหมอหลวงใหญ่ เป็นผลไม้รสดีจากแดนใต้” “ครบถ้วน พวกเราเหล่าแม่บ้านก็เป็นดังช้างเท้าหลังบางทีก็อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระลูกผัว ยังไงๆพวกลูกทั่งสองก็ช่วยพูดกับท่านเจ้าเมืองด้วย ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วเห็นทีจำต้องกลับก่อน” พูดจบคุณหญิงนาคก็ลุกขึ้น เหล่าแม่บ้านทั่งหลายพากันเดินออกจากห้องรับรอง รั้งท้ายคือแม่ของหมหลวงใหญ่กับแม่รองเจ้าเมือง

    แม่รองเจ้าเมือง “แม่พึ่งเห็นทำไมลูกหน้าแดงช้ำขนาดดี”

    รองเจ้าเมือง “คือว่า ลูกกลัวหลับระหว่างคำฟังคำร้องทุกข์เลยค่อยเอามือตบหน้าตัวเองเพื่อเตือนสติ”

    แม่รองเจ้าเมือง โถ่ “พ่อคุณของแม่” และทั่งสองก็เดินจากไปด้วยความอาลัยลูก ตอนนี้เป็นเวลาใกล้เย็นทั่งหมอหลวงใหญ่และรองเจ้าตกลงกันจะไปดื่มก่อนกลับ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเสียงโวยวายก็ดังไปทั่วจากเดิมมีเสียงการต่อสู่กัน รองเจ้าเมืองรับวิ่งไปดูพบว่า เหล่าบัณฑิต ชาวบ้านกำลังทำร้ายทหารยามที่ถือกระบอก นายทหารสั่งเรียกคนมาเพิ่มทุกนายถือกระบอกและกันทุบตีประชาชนรองเจ้าเห็นภาพดังกลับยิ้มด้วยสะใจจนเลือดนองพื้นเต็มไปหมดส่วนหมอหลวงใหญ่ยืนแอบดูเหตุการณ์เช่นแต่เหมือนว่าภาพคนบาดเจ็บตรงหน้าจะไม่ทำให้ความไม่ได้ปลุกสัญชาตญาณความเป็นหมอของตัวเขาเลย

    รองเจ้าเมือง “หยุดบัดเดี๋ยวนี้” “พวกมีสิทธิ์ไปทุบตีพ่อแม่พี่น้องที่มาร้องทุกข์”

    นายทหาร “คือพวกเขาจะบุกเข้ามาขอรับ” พูดจบนายทหารก็ถูกตบหน้ามากว่าสามที

    รองเจ้าเมือง “บัดซบจริงๆ ทำร้ายแม้กระทั่งประชาชน” “มิทราบว่าพวกท่านเหตุอันใดถึงบุกเข้ามาในกรมแบบนี้”

    บัณฑิต “ตอนพวกเรากำลังจะกลับเหล่าพ่อแม่น้องทั่งหลายเห็นพวกป้าชุดเหลืองมากันออกมาจากรมเมืองทั่งหัวเราะเย้าะ พูดจาดูถูกพวกเราอีก” “เพราะอะไรคนกลุ่มนั้นถึงได้เข้าไปในกรมทั่งมาหลังพวกเราที่กันมาครึ่งวัน” 

    รองเจ้าเมือง เหงงื่อกแตกเนื่องจากตนลืมสนิทว่ามีคนอยู่ที่ด้านประตูหน้า “คือต้องเรียนให้ทราบเช่นนี้ คนกลุ่มนั้นเป็นผู้จัมาบริจาดสิ่งของให้กับกรมเมืองเพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชน” “ตัวข้านั้นเห็นเป็นเรื่องสำคัญเพราะทางกรมก็ขาดแคลนสิ่งของเหล่านั้น เลยให้พวกเข้าทางประตูหลังเพราะอยู่ใกล้คลังเมือง” “แต่เพราะเรื่องเป็นเหตุให้พวกท่านทั่งหลายหมองใจ ข้าก็ขอกราบข้อโทษพวกท่านด้วย” พูดจบก็ล้มตัวลุกเข่ากราบเหล่าพ่อแม่พี่น้องที่เลือดท้วมตัวบางพกช้ำดำเขียวบาง ผู้ประท้วงได้แต่ยืนงงและอึ่งกับภาพที่เห็น

    บัณทิต “ถ้างั่นข้าอยากจะถามท่านรอง ว่าในพรุ่งนี้กองเกวียนที่มาจากนครเทพขนยาและสมุนไพรมา ท่านจะแจกจ่ายเช่นไร”

    ชาวนา “ใช่ ตอนนี้โรดระบาดหนักคนในหมู่บ้านตายกันทุกวัน แล้วก็ ภาษีนา สวน น้ำ ทั่งยังจะจัดเก็บอยู่อีกหรอ พวกข้าจะอดตายกันอยู่แล้ว”

    แม่ค้า “เมื่อไหร่ทานจะสั่งให้เปิดตลาด ยาและสมุนไพรครั่งก่อนหายไปไหน”

    บัณทิฑ “ยาและสมุนไพรเป็นพวกเราเหล่าบัณฑิตรวบรวมรายชื่อถวายฎีกาต่อ เจ้าฟ้าวังหน้า ท่านถึงพระราชทาน ยาและสมุนไพรแตพอข้าไปสอบที่โรงหมอกับไม่มี เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”  

       และหลังจากนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นอีกครั่งตัวรองเจ้าเมืองเลิกบีบน้ำตาแล้วพยายามหาทางจะหลบออกจานลานหน้าตึกแต่ก็ถูกคนนั้นกระชากทีคนนี้กระชากทีในขนาดความวุ่นวายเริ่มหนักข้อขึ้น “เพ่ง  เพ่ง เพ่ง” ทุกคนหัดไปมองที่ต้นเสียงเห็นชายคนหนึ่งกำลังทุมแจกันอยู่ชายคนนั้นมิใช่ใครอื่นเขาคือหมอหลวงใหญ่ซึ่งอุ่มแจกันใบยักษ์เตรียมจะทุ่มกับพื้นและพอทุกหันไปมองเขาจึงค่อยๆว่างมันลง

    หมอหลวงใหญ่ “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเราข้าราชการทำงานหนักกันขนาดไหน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ แม้ตอนข้าหลับข้ายังฝันว่าทำงานอยุ่เลย พวกไม่เห็นใจพวกเราบางหรือ ยาและสมุนไพรครั่งก่อน ข้าเป้นสั่งให้หมอได้ใช้เอง เพราะฐานะหัวหน้าหมอหลวงประจำเมืองนี้ ตัวขำเป็นต้องปกป้องคนของข้าเพื่อที่พวกเขาจะได้ออกไปช่วยเหลือพวกท่าน” พูดพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นน้ำตาของหมอหลวงใหญ่ไหลออกมาทั่งสองทางไม่ขาดสาย  ไม่เคยมีใครเห้นหมอหนุ่มผู้เสียสระผู้หลั่งน้ำตามาก่อน หมอผู้นี้ตั่งเข้ารับตำแหน่งก็ช่วยเหลือผู้คนมากมายซึ่งเป็นสิ่งชาวเมืองได้ฟังมาจากพวกกระฎุมพีและพวกขุนนางถึงคุณงามความของหมอหลวงใหญ่ผู้นี้ ความวุ่นวายสงบลงด้วยเจรจาของทั่งสองฝ่ายรองเจ้ารับเมืองรับเรื่องร้องเรียกซึ่งยาวจนต้องใช้เลขาห้าคนในการจดบันทึกและความสงบก็กลับสู่กรมเมืองอีกครั่งพร้อมกับความเงียบในยามค่ำคืน 

         ในเวลาใกล้ย่ำรุ่งเสียงเกวียนและม้ากว่าร้อยเกวียนดังไปตามถนนหลวงถนนเสียงจะมุ่งสู่เมืองธรรมราชเมืองแห่งความยุติธรรมแต่แทนที่เกวียนเหล่าจะมุ่งเข้าเมืองมันกลับไปด้านตะวันออกของเมืองโดยมีผู้นำทางจนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ใกล้ตีนเขาที่นั้นมีโกดังใหญ่อยู่เหล่าเจ้าหาทีตรวจนับสิ่งของที่บรรทุกมาเพื่อส่งต่อกรมพิทักษ์รักษาดูแลต่อ

    รองเจ้าเมือง “ท่านเจ้าเมืองเชิญท่านตรวจสอบขอรับ”

    เจ้าเมือง “ท่านหมอ รบกวนท่านแล้ว”

    หมอหลวงใหญ่ “ขอรับท่าน” หลังตรวจเช็ดพอเป็นพิธี “เรียบร้อยขอรับท่าน”

    เจ้าเมือง “เอานี้ถือซะว่าเป็นน้ำใจ ตอนนี้ในเมืองกำลังระบาดทางที่ดีพวกควรรับก่อนจะติดโรคท่านหัวหมื่น” พูดจบก็โยนถุงทองไปให้หัวหมื่นซึงเป็นหัวหน้าผู้ดูแลการจัดส่งครั่งนี้

    หัวหมื่น ตรวจนับทองแผ่นในถุงอยู่ครู่ก็ยิ้มอย่างพอใจและก้มลงเล็กน้อยแทนการขอบคุณและกล่าวลา

    แต่คำพูดส่งท้ายของหัวหมื่นเป็นเข็มที่แทงหัวใจของคนทั่งสี่ “ยาและสมุนไพรข้าควรให้ใคร”  





    นำตัวละคร / ทักทายผู้อ่าน / เขียนตามใจชอบ พิมพ์ตรงนี้ได้เลย...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×