ยอดคนนพเก้า - นิยาย ยอดคนนพเก้า : Dek-D.com - Writer
×

    ยอดคนนพเก้า

    หลายคนที่เคยติดตามอ่านหรือรับชมภาพยนตร์แนวฮีโร่ของค่ายมาเวลอย่างอเวนเจอร์ คงจะมีความคิดฝันอยากให้เมืองไทยเรามีภาพยนตร์ในระดับโลกอย่างนี้บ้าง ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบดูภาพยนตร์แนวฮีโร่ พวกยอดมนุษย์มาก กับ

    ผู้เข้าชมรวม

    107

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    107

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  24 พ.ย. 64 / 20:23 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ยอดคนนพเก้า

    ตอนที่๑,กำเนิดสายลับจับแมวเหมียว

    ในอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล นั้น ยังมีทั้งระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งเป็นแค่ส่วนหนึ่งในกาแลคซี่ แต่หลายกาแลคซี่นั้นก็จะเท่ากับหนึ่งเอกภพ 

    โดยยังมีอีกหลายระบบกาแลคซี่ที่อยู่ห่างจากระบบกาแลคซี่ทางช้างเผือกของโลกมนุษย์เรา

    ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้ว่า โลกธาตุมี๓ระดับ คือโลกธาตุในจักรวาลขนาดเล็กจะมีจักรวาลเพียงหนึ่งพันจักรวาล ซึ่งจะมีโลกธาตุอยู่ในจักรวาลเหล่านั้นหลายร้อยโลกธาตุ

    เช่นระบบกาแลคซี่ทางช้างเผือกของเรา ซึ่งระบบสุริยะจักรวาลของเราก็เป็นส่วนนึงของระบบกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งมีดาวที่มีองค์ประกอบของน้ำ ที่สิ่งมีชีวิตแบบในโลกของเราจะสามารถดำรงชีวิตอยู่อาศัยได้ที่อยู่ใกล้กับระบบสุริยะจักรวาลของเราประมาณ ๓๐๐ดวงเชียวนะ

     

    ส่วนโลกธาตุในจักรวาลขนาดกลาง จะมีจักรวาลเพียงหนึ่งล้านจักรวาล

    ซึ่งจะมีโลกธาตุในจักรวาลขนาดกลางหลายล้านโลกธาตุอย่างมากมาย

     

    ส่วนโลกธาตุในจักรวาลขนาดใหญ่จะมีจักรวาลมากทั้งหมดถึงหนึ่งแสนโกฎจักรวาล

    ก็จะมีโลกธาตุในจักรวาลขนาดใหญ่ หลายล้านพันล้านโลกธาตุ

     

    โดยในแต่ละจักรวาลนั้นก็จะมีมิติโลก นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ มนุษย์ สวรรค์ และพรหมเป็นของตนเองแยกเป็นอิสระจากจักรวาลอื่นอย่างเป็นเอกเทศน์ 

     

    ซึ่งในแต่ละจักรวาลนั้นก็จะมีพระอินทร์เป็นเอกเทศน์ในแต่ละจักรวาลของโลกธาตุนั้นๆในแต่ละจักรวาลไป โดยจะมีโลกธาตุทั้ง๔ทวีป หรือ๔มิติโลกคู่ขนานขนาดใหญ่

    คือ๑.อปรโคยานทวีป

    ๒.ปุพพวิเทหทวีป

    ๓.อุตตรกุรุทวีป

    ๔.ชมพูทวีป

     

    ซึ่งชาวมนุษย์อย่างพวกเราก็อยู่ในมิติโลกชมพูทวีปนะครับ โชคดีจริงๆเลยนะเนี่ยจะบอกให้

     

    แต่ต่อมาหลังจากที่พระพรหมผู้เป็นเจ้าได้ดำริสร้างจักรวาลขึ้นมาใหม่อีกจักรวาลหนึ่งเพื่อกระจายบาปของตนเองไปชดใช้ในมิติของโลกธาตุและภพภูมิต่างๆ

     เพื่อให้ตนเองที่เคยทำผิดพลาดมาในอดีต ไม่ต้องเป็นผู้รับความทุกข์นั้นเอาไว้เอง เพื่อปรับแต่งระบบของตัวท่านเองด้วย แบบว่าตอนเกิดมาผู้เดียวมันก็เหงาบ้างนะ ก็เลยทดลองสร้างตนเองในแบบต่างๆขึ้นมา ซึ่งตอนแรก ตัวของพระพรหมผู้เป็นเจ้า ตามคติของศาสนาฮินดู ท่านก็ยังไม่ทรงรู้แตกฉานในพลังอำนาจของตนเองในดวงจิตสามประเภทที่มีอยู่ในตนเอง คือดวงจิตที่เป็นฝ่ายกุศล คือบุญ คือความดี คือกรรมขาว 

     กับดวงจิตฝ่ายอกุศล คือบาป คือความชั่ว คือกรรมดำ 

    ซึ่งทั้งดวงจิตแบบกุศลและอกุศลต่างก็มีตัวโปรแกรมอีกตัวหนึ่งที่ทำงานคอยควบคุมดวงจิตทั้งสองประเภทนี้อยู่เหมือนอะตอมของธาตุต่างๆในอวกาศเลย เช่นน้ำเป็นต้น H2o นั่นคือกิเลสและตัณหานั่นเอง 

     ซึ่งท่านก็ยังไม่ทรงค้นพบความจริงของดวงจิตทั้งสองประเภทนี้ดีนัก

     

    โดยพระองค์ก็ยังทรงมีดวงจิตทั้งสองประเภทนี้อยู่มาก แต่มีดวงจิตประเภทกุศลมากกว่าเป็นพิเศษ รองลงมาคือดวงจิตอีกประเภท หรือดวงจิตประเภทที่สามนั่นก็คือ ดวงจิตอัพพยกฤต หรือดวงจิตแห่งความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ความดีและความชั่ว ไม่ใช่กรรมดำ และกรรมขาว เป็นดวงจิตที่เป็นอิสระจากอำนวจของกิเลสและตัณหา ซึ่งท่านก็ยังมีดวงจิตประเภทที่สามมากอยู่ แต่ยังน้อยกว่าดวงจิตฝ่ายกุศล

     

    ซึ่งเมื่อพระองค์ได้แบ่งดวงจิตและกายทิพย์ของตนเองสร้างเป็นสรรพสิ่งต่างๆ ขึ้นมาอย่างมากมาย

     จึงมีทั้งสรรพสิ่งที่เกิดจากดวงจิตฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล

    กับสรรพสิ่งที่เกิดดวงจิตฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศลและฝ่ายบริสุทธิ์ แบบที่ยังมีพลังอยู่ในระดับกลาง

    กับสรรพสิ่งที่เกิดจากดวงจิตฝ่ายกุศล มากกว่าฝ่ายอกุศล และฝ่ายบริสุทธิ์ แบบที่มีพลังระดับสูงขึ้น

    กับสรรพสิ่งที่เกิดจากดวงจิตฝ่ายกุศลมากแต่ยังน้อยกว่าดวงจิตฝ่ายบริสุทธิ์ แต่ก็ยังมากกว่าดวงจิตฝ่ายอกุศล

    และสรรพสิ่งที่เกิดจากดวงจิตฝ่ายอกุศลที่มีมากกว่าดวงจิตฝ่ายกุศล และมากกว่าดวงจิตฝ่ายบริสุทธิ์

    ในระดับที่ปานกลางจนถึงระดับที่มากสุด

    ซึ่งทำให้เกิดสรรพสิ่งในรูปแบบต่างๆ กันเช่น พรหมแบบต่างๆ

    เทพแบบต่างๆ มาร อสูร ปีศาจ สัตว์ แมลง แร่ธาตุ และพืชพันธ์ต่างๆ

    ซึ่งต่อมาก็เริ่มจัดหมวดหมู่เผ่าพันธ์ขึ้นเป็นระบบภพภูมิอาณาจักรสวรรค์ของสรรพสิ่งที่เรียกว่าพรหมและภพภูมิอาณาจักรสวรรค์ของสรรพสิ่งที่เรียกว่า เทพ มารและอสูรฟ้า

     กับพวกปีศาจ อสูรดิน หรืออสูรบนโลกธาตุ

     

    ซึ่งต่อมาชาวเทพก็มีความซื่อตรงและสวามิภักดิ์ต่อท่านพระพรหมผู้เป็นเจ้าด้วยดี ต่างจากพวกเผ่าอสูรและปีศาจที่คิดร้ายต่อเผ่าพันธ์อื่นๆ โดยเฉพาะมีความคิดร้ายต่อท่านพระพรหมผู้เป็นเจ้า

    “เราจะต้องยึดครองทั้งสามภพให้ได้ สวรรค์และโลกต่างๆจะต้องเป็นของพวกเราชาวอสูร “

    จอมอสูรพูดตะโกนก้องฟ้า จนดังไปถึงหูของพระพรหมผู้สร้างนั่นเอง

     

    จึงเกิดการทำลายล้าง ต่อกันระหว่างเผ่าพันธ์ จนเกิดการสูญสลายของจักรวาลหลายจักรวาลที่มีพวกอสูรและปีศาจคิดการใหญ่ จนเกิดการรบรากันไปทั่วจักรวาล 

     

    จนพระพรหมผู้เป็นเจ้าต้องทำการทดลองการสร้างสรรพสิ่งต่างๆใหม่ในจักรวาลใหม่ๆ แบบมีองค์ความรู้มากขึ้น

     

    โดยได้มีเหล่าเทพและพรหมได้ช่วยกันสร้างสรรค์สรรพสิ่งต่างๆในโลกธาตุต่างๆในจักรวาลครั้งใหม่นี้ด้วย

     

     ทั้งการสร้างสัตว์ พืช แร่ธาตุและการสร้างอมนุษย์อย่างพวกปีศาจ อสูร

    ซึ่งล้วนแล้วเกิดจากการสร้างสรรค์บันดาลของเหล่าเทพพรหม

     

    “อ้าวพวกเราชาวเทพและพรหมจงช่วยกันสร้างสรรค์สรรพสิ่งครั้งใหม่ให้เกิดขึ้นในจักรวาลใหม่ๆเหล่านี้กันเถอะ จะได้ถือโอกาส ชำระสะสางระบบของตนเองครั้งใหม่ด้วย”

     

    เทพองค์หนึ่งได้กล่าวแก่เหล่าชาวเทพ และเสียงดังลั่นไปถึงพิภพแดนพรหมด้วย

     

    “แล้วครั้งนี้เราจะได้ลดละสละกิเลส ตัณหา บาปกรรมในภพชาติก่อน ในจักรวาลก่อนๆ ที่เคยผิดพลาดกันมาให้มาเกิดชดใช้กรรม เป็นสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลใหม่ๆเหล่านี้ เพื่อชดใช้บาปกรรมแทนเรา นะ

    เพื่อพวกเราจะได้ยังคงเสวยสุขกันในแดนสวรรค์กันต่อไปอย่างยาวนาน

    เพราะองค์พระพุทธเจ้าในจักรวาลอื่นๆได้ทรงค้นพบสัจจธรรมความจริงที่องค์พระพรหมผู้สร้างก็ยังไม่เคยรู้มาก่อน ท่านนะสร้างเก่ง แต่ไม่ได้รู้แจ้งไปซะทุกอย่างในสิ่งที่ท่านสร้าง ก็เลยมีเหตุผิดพลาดเกิดขึ้นกันได้อย่างมากมาย เหมือนๆกับพวกเรานะแหละที่ผิดพลาดอย่างมากมายอยู่เหมือนกันนะ แต่ดีมีบุญกุศลเยอะเลยได้มาเกิดเป็นเทวดา เลยสบายหน่อย แถมเมื่อได้รู้ธรรมะจากองค์พระตถาคต เราก็เลยนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตัวเราได้มาก จนกว่าเราจะละสละดวงจิตฝ่ายกุศลและอกุศลไปได้หมดไม่ยึดติด ไม่มีกิเลสและตัณหามาครอบงำอีก พวกเราจึงจะได้ไปอยู่ในดินแดนแห่งความสุขที่เป็นอมตะ เหมือนกับความพอเพียงในภาษาของชาวมนุษย์ในยุคอนาคตกาลประมาณช่วงปี หลังพระพุทธเจ้าโคดมปรินิพพานไปแล้วในปีพ.ศ.๒๕๕๙ ไปแล้วนั่นแหละที่ชาวมนุษย์จึงจะประจักษ์แจ่มแจ้งต่อหลักคำสอนของความพอเพียง ที่เปรียบประดุจดังวิถีชีวิตของเหล่าพระอรหันต์ในแดนนิพพาน

    เอาล่ะพวกเราเหล่าเทพทั้งหลาย ใครมีหน้าที่ต้องไปสร้างสรรค์สรรพสิ่งในส่วนใดของจักรวาลและโลกธาตุดวงใดก็จงพยายามทำกันเข้าอย่างขยัน มีความเพียร อย่าได้ขี้เกียจและมีความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัวนะ นี่เป็นโอกาสใหม่ของพวกเราชาวเทพกันแล้วล่ะ “

    “เฮๆๆ “

     

    เหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างได้ยินได้ฟังแล้วก็ต่างดีใจ และเร่งกันช่วยสร้างสรรค์สรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลใหม่ๆเหล่านี้ 

    โดยเฉพาะการสร้างสรรค์สรรพสิ่งต่างๆให้มีขึ้นบนโลกธาตุต่างๆที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบด้วย

     

     

    บ้างก็ใช้วิธีการแบ่งภาคกายแบ่งภาคจิต มาเกิดเป็นสรรพสิ่งต่างๆเช่นเกิดเป็นแร่เหล็กไหล เกิดเป็นแร่อัญมณี เช่นแก้วขนเหล็ก แก้วไหมเงิน แก้วไหมทอง และอัญมณีต่างๆ

    ส่วนจิตที่เป็นบาปภายในร่างของเหล่าเทพพรหมก็มากลายเป็นปีศาจ เป็นสัตว์ เป็นอสูร เพื่อชดใช้กรรมชั่วในอดีตที่เคยอยู่ในโลกธาตุณจักรวาลอื่นๆ 

     

    ซึ่งใช้ร่างแยก จิตที่แยกไปเกิดเป็นพืช เป็นสัตว์เป็นอสูร ปีศาจ เป็นแร่ธาตุต่างๆเพื่อรับกรรมแทนเหล่าเทพพรหมองค์จริงบนแดนสวรรค์พรหม เพื่อไม่ต้องมารับกรรมบนโลกในจักรวาลต่างๆ

     

     

     

    บางเทวดาก็มีวิมานอยู่บนดวงดาวต่างๆ มียานพาหนะและวิมานเป็นดวงดาวต่างๆ

     

    “ท่านอสูร วันนี้ท่านจะขับวิมานบนดาวหางของท่านไปเที่ยวจักรวาลไหนเนี่ย เห็นซิ่งไปทั่วเลยนะ จะไปเข้าแก๊งค์กับเด็กแว๊นชาวอสูรของจักรวาลใดล่ะ ”

    ท่านเทพแห่งดวงจันทร์ในอีกระบบจักรวาลหนึ่งพูดแซวท่านอสูรตนหนึ่ง ที่มีอิสระจากโลกธาตุ อิ่มทิพย์ได้แบบเทพ และดูดซับพลังงานแสงจากยานวิมานทิพย์คือดวงอาทิตย์ขององค์สุริยะเทพในอีกจักรวาลหนึ่ง

    ที่อยู่ใกล้ๆกับระบบสุริยะจักรวาลของมนุษย์เรา

     

    “ ออก็คงไปเที่ยวจักรวาลทางช้างเผือกและอีกสองจักรวาล สักสองสามวันนะท่านเทพ ก็รอผมกลับมาละกัน คงจะเหงาไปบ้างล่ะท่าน ขาดคนถูกคอมาคุยด้วย “

     

    อสูรผู้มีธรรมและเป็นอิสระจากโลกธาตุได้กล่าวกับท่านเทพแห่งดวงจันทร์

    “ก็ขอให้ท่านอสูรโชคดีละกัน อย่าไปหลงติดสุขบนดาวโลกนะ “

    เทพแห่งดาวจันทร์กล่าว

    “บายๆ ไปก่อนล่ะ “

    อสูรกล่าวกับเทพแห่งพระจันทร์

     

    ในขณะนั้นเอง ดาวโลกก็เกิดมีง้วนดินใต้โลกที่มีกลิ่นหอมหวลน่ารับประทานและมีรสอร่อย ซึ่งต่อมาก็มีเหล่าพรหมอภัสสร ได้เหาะลงมาท่องเที่ยวบนดาวโลก และได้กลิ่นหอมของง้วนดิน

     จึงลงมาแหวกแผ่นดินหยิบง้วนดินขึ้นมาเสพกินง้วนดินเหล่านั้น ด้วยความหลนกลิ่นหอมและหลงใหลในรสอร่อย

    “หอมและสวยงามเหลือเกิน นี่มันคืออะไรนี่ เทพหรือพรหมองค์ใดเป็นสร้างสรรค์ขึ้นมานะเนี่ย มันเป็นรสชาตที่เราไม่เคยได้รับมาก่อนจากอาหารทิพย์บนสวรรค์พรหมของเรามาก่อนเลย “

    พรหมองค์หนึ่งกล่าวกับเหล่าเพื่อนชาวพรหมด้วยกัน ที่กำลังเที่ยวชมสรรพสิ่งต่างๆบนโลก ที่เพิ่งได้ถูกเหล่าทวยเทพและพรหมทั้งหลายช่วยกันใช้ฤทธิ์อำนาจที่มีเนรมิตบันดาลสร้างสรรค์สรรพสิ่งต่างๆอย่างวิจิตรพิสดารอย่างมากมาย แม้จะมีบางสรรพสิ่งที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวอยู่บ้างก็ตาม แต่ยังน้อยกว่าสรรพสิ่งที่ดูสวยงาม หอมหวลเหล่านี้

     

    “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมร่างกายของเราจึงเปลี่ยนไปแบบนี้ “

    นางพรหมอภัสสรตนหนึ่งร้องตกใจที่เกิดมีผิวหนังแบบอินทรีย์สารวัตถุของสรรพสิ่งในพิภพที่ต่ำกว่า เกิดขึ้นมาห่อหุ้ม ร่างกายอันเป็นทิพย์ของพรหมขึ้นมาอย่างฉับพลัน

    “ มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา “

    ทันใดนั้น เทพพระแม่ธรณีผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษาธาตุพิภพของโลก

    ก็ได้ปรากฎกายขึ้นในฉับพลัน และกล่าวแก่เหล่าพรหมอภัสสรทั้งหลาย

    “ ช้าก่อนท่านพรหมผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อท่านได้เสพดื่มกินในสรรพสิ่งบนปฐพีธาตุบนดาวโลก ล้วนมีอำนาจวิเศษทั้งสิ้น เพื่อการเป็นไปแก่ชาวโลกในดาวโลกธาตุแห่งนี้”

     

    เมื่อเหล่านางพรหมได้ยินดังนั้นต่างก็ตกใจ และรู้ว่าตนเองจะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกธาตุแห่งนี้ไปเสียแล้ว เพราะด้วยฤทธิ์อำนาจอันวิเศษของสรรพสิ่งบนโลกธาตุนี้

    จะปรุงแต่งกายของเหล่านางพรหมให้กลายเป็นชาวโลกใปในที่สุด

    เพราะจะเกิดร่างอินทรีย์สารวัตถุห่อหุ้มร่างกายทิพย์ของพรหมทั้งหลาย

    ที่เสพกินสรรพสิ่งของโลกธาตุนี้

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราคงต้องติดอยู่ที่โลกธาตุแห่งนี้ไปเสียแล้ว ขอให้เหล่าสหายชาวพรหมทั้งหลาย จงอย่าได้เสพสัมผัสกับสรรพสิ่งต่างๆบนโลกธาตุแห่งนี้เลย “

     

    เมื่อนางพรหมพูดจบก็เกิดความโศกเศร้า เพราะรู้ว่าตนเองคงจะเหาะกลับแดนพรหมไม่ได้เสียแล้ว

    นางได้พยายามกระโดดลอยตัวขึ้นไปในอากาศ แม้จะกระโดดลอยตัวขึ้นไปได้สูงจนสุดชั้นฟ้าของโลก

     

    แต่ก็ทยานลอยตัวออกไปจากชั้นบรรยากาศของโลกไม่ได้ ต่างจากเหล่าสหายพรหมตนอื่นๆที่สามารถเหาะลอยออกไปจากชั้นบรรยากาศของโลกแล้วเหาะหายเข้าไปในมิติของแดนพรหมได้อย่างฉับพลัน

     

    แต่ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงดังกึกก้องฟ้าไปทั่วโลก ทำให้เหล่าพรหมอภัสสรที่มีกายเนื้อห่อหุ้มกายทิพย์ของพรหมอยู่ภายนอก

    ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก

     

    โดยเฉพาะในดินแดนของทวีปแอฟริกา ในปัจจุบันที่เคยเป็นใจกลางของดาวโลกในยุคที่เปลือกโลกยังไม่แยกตัวออกไปเป็นทวีปน้อยใหญ่อย่างในปัจจุบันนี้

     

    “ดูก่อนเหล่าพรหมทั้งหลาย เมื่อพวกท่านได้เสพสรรพสิ่งบนโลกนี้ที่ไม่ใช่สิ่งที่มีความนึกคิด เป็นเพียงแต่ธาตุอินทรีย์สารอันวิเศษแต่ไร้ชีวิต ย่อมไม่เป็นการกระทำอันชั่วร้าย แต่อย่างใด 

    ซึ่งแม้ว่าพวกท่านจะมีกายเนื้อของธาตุบนโลกธาตุแห่งนี้ห่อหุ้มกายพรหมอยู่ภายนอกก็ตาม “

     

    “ แต่ตราบใดที่พวกท่านยังตั้งมั่นอยู่ในพรหมวิหาร๔และกุศลกรรมบทสิบ โดยเฉพาะยังตั้งมั่นอยู่ในฌานสมาบัติ ละนิวรณ์๕ และมีสติอยู่ในอริยะสัจ๔

     

    ขององค์พระพุทธเจ้า “

     

    “ หรือท่านยังมีจิตแห่งการแผ่เมตตาจิตอยู่เป็นนิจ ท่านก็จะสามารถคืนกลับสู่แดนพรหมได้ หลังจากท่านสิ้นอายุขัยบนโลกธาตุแห่งนี้

    หรือเมื่อพวกท่านบำเพ็ญฌานสมาบัติจนถึงระดับฌาน๔ ท่านก็ย่อมเดินทางกลับสู่แดนพรหมได้ดังเดิม “

     

    “จึงอย่าได้หวาดหวั่น พรั่นพรึง วิตกกังวลกลัวไปเลย “

    “ก็ขอให้พวกท่านทั้งหลายจะอย่าได้ไปเสพในสิ่งที่มีความคิดจิตใจ หรือมีสติปัญญาดุจดังเหล่าเทพพรหม หรือสิ่งที่มีปัญญาคล้ายดั่งพวกเรา

    โดยเฉพาะสิ่งที่มีจิตวิญญาณของอสูรและปีศาจมาเกิด เป็นสัตว์ต่างๆ

    จงเสพกินดำรงชีพเพียงแต่ง้วนดินรสเลิศพืชผลและเสพพลังแสงแห่งอาทิตย์เสพน้ำและลมแห่งโลกธาตุนี้

    ท่านก็จะสามารถดำรงชีพอยู่ต่อไปอย่างบริสุทธิ์ และกลับคืนสู่สภาวะพรหมได้”

     

    เมื่อเหล่าพรหมทั้งหลายผู้มีกายเนื้อห่อหุ้มกายพรหมแล้ว พอได้ยินทางรอด ก็ต่างยิ้มแย้มชื่นชมยินดีต่อคำแนะนำขององค์พระอรหันต์ที่ได้ โปรดสัตว์ผู้ด้อยปัญญาและความสามารถ

     

    จนเหล่ามนุษย์พรหมกลุ่มแรกก็ได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข แต่ยังมีแสงสว่างรัศมีแผ่ออกมาจากกายอยู่เสมอ และเดินทางไปด้วยการกระโดดทะยานไปในที่ต่างๆของโลกอย่างเร็วไวดุจดังการเหาะเหินเดินอากาศ

    และใช้อำนาจฤทธิ์บันดาลสร้างเป็นมิติลับแลแอบซ่อนตัวอาศัยอยู่ในภูเขาเทือกเขาป่าเขาต่างๆ เพื่อดำรงชีพแบบมนุษย์ผู้มีกายเนื้อ แต่กลับถือศีลกินเจ กินมังสังวิรัติ บำเพ็ญเพียรภาวนา บำเพ็ญฌานสมาบัติ ดุจดังพระฤาษี ชีปะขาวและพระธุดงค์ ที่จาริกแสวงบุญอยู่ในป่าเขาดงดอย อย่างสงบไม่ยุ่งวุ่นวายกับการปกครองโลก หรือแก่งแย่งชิงดีกับสรรพสิ่งใดๆในโลก

    เพื่อหวังให้ได้กลับสู่ความเป็นพรหม หรือได้เป็นพระอริยะเจ้าต่อไป

    ทำให้เหล่ามนุษย์พรหมกลุ่มนี้ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือครอบครองโลกมนุษย์ เหมือนกับพวกมนุษย์พรหมกลุ่มที่ได้กินเนื้อสัตว์ จนมีสภาพร่างกายเปลี่ยนไปไม่เหมือนมนุษย์พรหมดังเดิมอีกแล้ว 

    แต่กลายเป็นมนุษย์ที่คล้ายกับพวกสัตว์อย่างลิง ค่างบ่างชะนีมากกว่า หรือคล้ายพวกอสูรกลุ่มยักษ์ ที่ชอบกินเนื้อสัตว์เป็นหลัก

     

    มนุษย์พรหมกลุ่มนี้จึงมีจิตของปีศาจและอสูรแอบแฝงอยู่ในจิตใจของมนุษย์กลุ่มใหม่

     

    ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นมนุษย์สปีชีส์โฮโมเซเปี้ยน ที่มีการผสมพันธ์กับมนุษย์สายพันธ์อื่นๆทั้งสายพันธ์เดิมบนโลกอย่างนีแอนเดอร์ทัลและผสมกับเหล่ามนุษย์จากดาวดวงอื่นในระบบจักรวาลอื่นๆ ที่มีสงครามกันในอวกาศ แล้วมีบางพวกก็หนีภัยมาซ่อนตัวอยู่บน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น