ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิวาห์รัก (ข้างเดียว) | มี E-Book

    ลำดับตอนที่ #2 : ตกลงสัญญา

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 67


    “อะไรนะคะ แดดดี๊จะให้รีน่าแต่งงานกับลูกอาติน?” หญิงสาวถามบิดาอีกครั้งเผื่อว่าเธออาจจะหูฝาดได้ยินอะไรผิดเพี้ยนไป 

    “ใช่ครับ หนูได้ยินไม่ผิดหรอก ดี๊จะให้หนูแต่งกับพี่คินเขา” 

    ‘อ๋อ ใช่สิ เขาชื่อคิน ว่าแต่ชื่อจริงอะไร อะไร คิโน่ นะ ชั่งเถอะชื่ออะไรก็เรื่องของเขา แล้วทำไมเราต้องแต่งกับเขาด้วย!’

    “รีน่าขอเหตุผลหน่อยค่ะแดดดี๊” 

    “มันเป็นคำสัญญาของแดดดี๊กับอามาร์ติน ว่าจะให้ลูกของเราทั้งคู่แต่งงานกัน แล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องทำตามสัญญากันแล้ว” คุณพ่อคนหล่อเล่าบอกถึงสาเหตุการแต่งงานอย่างใจเย็น 

    “แล้วถ้ารีน่าไม่แต่งล่ะคะ?” ลูกสาวคนสวยอดถามไม่ได้ว่าถ้าเธอปฏิเสธไปจะเกิดอะไรขึ้น

    “ดี๊ก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

    “ยังไงคะ หมายความว่าไง?” เซรีน่าเอ่ยถามด้วยความงงงวยกับประโยคที่ผู้เป็นพ่อพูดจบไว้แค่นั้น

    “คือยังงี้ค่ะคนสวย แดดดี๊กับคุณอาตินเคยให้คำมั่นสัญญานั้นเรื่องที่หนูทราบเมื่อกี้แหละค่ะ แต่ว่าในสัญญามีคำสาบานอยู่ด้วย คือ ถ้าใครทำตามสัญญาไม่ได้จะต้องมีอันเป็นไป” คุณแม่คนสวยไขข้อสงสัยให้กับลูกสาวคนเล็กได้รับรู้

    “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอคะ รีน่าไม่เคยได้ยินเลย ถ้าไม่ทำตามสัญญาจะ..เอ่อ มีอันเป็นไป นี่หมายถึง.. จะ..จากไปหรอคะ?” เสียงท้ายประโยคเอ่ยอย่างแผ่วเบาคล้ายกับไม่แน่ใจในความเข้าใจของตัวเองและเริ่มมีความกังวลแทรกซึมความรู้สึกเข้ามาทีละนิดทั้งที่ตัวเองไม่เคยมีความเชื่อหรือได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน

    “หม่ามี้ไม่แน่ใจนะคะว่าจะเป็นเรื่องจริงไหม แต่ความเชื่อที่ไทยบ้านเกิดหม่ามี้บางคนเขาเชื่อว่าถ้าได้พูดสาบานแล้วทำไม่ได้จะมีอันเป็นไป” รินลดาเอ่ยย้ำอีกครั้ง

    “แต่แดดดี๊ไม่ใช่คนไทยนี่คะ” เซรีน่าเอ่ยแย้งมารดาอย่างอดไม่ได้ที่จะสงสัย

    “แต่ดี๊กับอาตินเอ่ยสาบานกันไว้ตอนอยู่ประเทศไทยครับ”

    “แต่..เฮ้อ ไม่มีทางอื่นแล้วหรอคะ ทำไมรีน่าต้องเป็นคนแต่งล่ะคะ?” จะแย้งไปอีกก็หมดหนทางจะสู้ จึงวนกลับมาถามสิ่งที่ค้างคาใจอีกรอบ

    “หรือหนูจะให้พี่รีย่าเลิกกับแฟนแล้วมาแต่งงานแทนหนูล่ะคะ?” รินลดาเอ่ยถามลูกสาวคนเล็กอย่างดักทาง ซึ่งทางที่เธอดักไว้ได้ผลแน่นอน เพราะสองพี่น้องนี้รักกันมาก อะไรที่อีกฝ่ายเสียใจหรือเป็นทุกข์จะไม่ทำเด็ดขาด

    ‘รีน่าคงไม่มีทางเลือกสินะคะ ก็พี่รีย่ามีแฟนไปแล้ว กว่าจะผ่านแดดดี๊มาจนได้คบและมีความสุขกันจนทุกวันนี้ จะให้เลิกกันพี่รีย่าก็ต้องเสียใจทุกข์ใจ ไม่ได้ รีน่าทำไม่ได้!’

    “รีน่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วใช่ไหมคะ?” ถามย้ำอีกครั้งอย่างปลงตก

    “มีแค่สองทางเท่านั้นครับ ทางที่หนึ่งแต่ง ได้ทำตามสัญญาของแดดดี๊กับอาติน หรือสอง ไม่แต่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแดดดี๊หรือเปล่า หนูเลือกได้เลยครับคนสวย”

    ‘โธ่ ดี๊! รีน่าเลือกได้ที่ไหนกันเล่า ถ้าไม่แต่งแล้วเกิดดี๊เป็นอะไรขึ้นมาถึงรีน่าจะไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เถอะแต่ใช่ว่าโอกาสที่เกิดขึ้นจะไม่มี ถ้าแดดดี๊เป็นอะไรไปรีน่าต้องรู้สึกผิดและเสียใจมากๆแน่’ หญิงสาวทำได้แค่โอดครวญในใจทำได้แค่ตอบกลับไปว่า

    “ขอเวลารีน่าตัดสินใจก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้รีน่ามาให้คำตอบอีกที ขอตัวก่อนนะคะ ฝันดีนะคะแดดดี๊ หม่ามี้” พูดจบก็เดินมุ่งหน้าขึ้นชั้นสองทันที เป้าหมายคือห้องนอนส่วนตัวของตัวเองเวลานี้เธออยากอยู่กับตัวเองมากที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องให้เวลาตัวเองได้คิดไตร่ตรองทบทวนให้ดี จะบอกว่าคิดไตร่ตรองก็ไม่ถูกเพราะเธอไม่มีทางเลือกเลย เรียกว่าให้เวลากับตัวเองจะดีกว่า 

            คนเป็นพ่อและแม่ก็ทำได้แค่มองตามหลังบางของลูกสาวอย่างปวดใจแต่ก็ต้องใจแข็งเข้าไว้ เพราะการที่จะได้คนดี คนที่รักลูกสาวของตนจากใจจริงนั้นหาได้ยากมาก คนโตก็หายห่วงไปแล้วเพราะรู้ว่าเขตแดนลูกเขยคนโตนั้นรักและจริงใจ ดูแลเซรีย่าได้ ทำได้ดีด้วย ส่วนของเซรีน่า ที่เห็นจะเป็นแบบเขตแดนได้ จะบอกว่า เป็นแบบก็ไม่ได้ เพราะรายนั้นยิ่งกว่าอีก ทั้งรักทั้งหลง ยอมหมดทุกอย่าง ก็คงจะมีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ คนที่เหมาะสมและคู่ควรที่จะอยู่เคียงข้างลูกสาวคนเล็กของพวกเขาได้ก็คือ มาร์คิโน่ อลอนโซ่ นิรัชกุล คนเดียวเท่านั้น ครบทุกคุณสมบัติจบในคนเดียวขนาดนี้ใครจะปล่อยหลุดมือ

                

             ผ่านไปหนึ่งคืนกับการใช้เวลาจัดการความรู้สึกของตัวเองที่กำลังจะต้องกลายเป็นคนที่มีพันธะ อิสระในชีวิตของเธอที่กำลังจะหายไป ทำให้หญิงสาวค่อนข้างอึดอัด ชีวิตทั้งชีวิตไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีใคร ที่ผ่านมาก็ทุ่มเมให้กับการเรียน อยู่กับเพื่อน เรียนจบก็ทุ่มเทให้กับแบรนด์ตัวเองแบบเต็มตัวจากที่ตอนเรียนอยู่มีมารดาเข้ามาดูแลช่วย แต่อีกไม่นานเธอกำลังจะแต่งงานมีสามี แค่คิดก็อึดอัดแล้ว 

    ‘เป็นไปได้มั้ยที่เรามีข้อเงื่อนไขแล้วไปคุยตกลง และจะขอความร่วมมือจากเขา?’ เซรีน่าคิดในใจพลางขาเรียวก็ก้าวเดินวนกลับไปกลับมาภายในห้องตั้งแต่เช้า เพราะยังไม่พร้อมลงไปให้คำตอบกับบิดา 

    “เขาต้องเข้าใจเราสิ เขาคงไม่เต็มใจแต่งแบบเราแน่ๆ ไหนๆ ก็มีชะตาร่วมกันแล้ว ทำข้อตกลงกันสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง” พูดกับตัวเองจบมือเรียวสวยก็จับลูกบิดเปิดประตูห้องนอนพร้อมแบบไม่พร้อมเดินไปให้คำตอบกับบิดาชั้นล่าง โดยไม่รู้เลยว่าความเป็นจริงนั้นผิดเพี้ยนสวนทางกับความคิดของเธอไปคนละทาง 

     

    วันต่อมา

    “น้องตอบตกลงแล้วนะ แต่น้องขออาซานเลื่อนงานแต่งไปปีหน้าหลังจากเปิดตัวคอลเล็กชันใหม่ของแบรนด์” มาร์ติโน่เอ่ย

    “แล้วอาซานว่ายังไงครับ?” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงปกติ แต่สายตากลับลุ้นระทึกกับคำตอบ

    “อาซานบอกว่า ให้ได้มากสุดแค่สามเดือน เพราะจะครบกำหนดสัญญากลัวผิดคำสาบาน” หนุ่มใหญ่ว่าอย่างกลั้นขำกับคำโกหกคำโตของเพื่อนรักของตน คิดได้ยังไง เอาความตายมากดดันขนาดนั้น ลูกที่ไหนจะไปยอมได้

    “ครับ? สาบานอะไรแด๊ด ทำไมผมไม่รู้” 

    “ไม่มีหรอกสาบานอะไร ไอ้ซานมันกุเรื่อง ถ้าไม่ทำแบบนี้น้องคงไม่ยอม” 

    “น้องไม่เต็มใจหรอครับ” ถามอย่างหงอย ๆ อดใจเสียไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าแม่ยอดดวงใจนั้นไม่ได้คิดเหมือนเขา จะบอกว่าเธอเกลียดก็ไม่ใช่ เธอไม่สนใจเขาต่างหาก

    “แกจะถามให้ตัวเองเจ็บเล่นทำไม ถึงน้องไม่เต็มใจแต่ง แต่หลังจากแต่งกันไปแล้ว แกก็ทำให้น้องเต็มใจได้ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ที่น้องใจตรงกับแก แกจะขอน้องแต่งอีกรอบก็ไม่มีอะไรเสียหาย คิดซะว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นการสร้างโอกาสให้แกได้ใกล้ชิด ได้ดูแล และพิสูจน์ความรักความจริงใจให้น้องได้เห็น”

    “ครับแด๊ด ผมจะคิดแบบนั้นก็ได้ ผมจะพยายามสุดความสามารถ จะดูแลทุ่มเทความรักให้น้องทุกวัน น้ำหยดลงหินทุกวัน หินต้องเห็นความรักของน้ำ”

    “จ๊ะ พ่อน้ำของหม่ามี้” มาริษาเดินเข้ามาได้ยินก็อดขำประโยคสุดท้ายของลูกชายไม่ได้ เปลี่ยนคำซะเกือบหมดประโยคเลย เพี้ยนจากเดิมแทบไม่เหลือโครงเดิม

    “แบบนี้แดดดี๊ หม่ามี้ อาซาน และน้าลดาก็ต้องรีบจัดงานแล้วแหละค่ะ เหลือเวลาอีก 3 เดือนแล้ว การแต่งงานระหว่างทายาทคนโตธุรกิจหมื่นล้านกับทายาทคนเล็กธุรกิจขนส่งทั่วประเทศ โอ้วว ยิ่งใหญ่” เมริต้าเอ่ยขึ้นหลังจากที่ตั้งใจฟังเรื่องราวมาเงียบ ๆ ตั้งนาน

    “แล้วเมื่อไหร่จะมีข่าวทายาทคนเล็กธุรกิจหมื่นล้านบ้างล่ะ หม่ามี้อยากเห็นจังเลย จะมีโอกาสได้เห็นไหมคะ?” คุณแม่คนสวยอดที่จะแหย่ลูกสาวคนเล็กไม่ได้ อายุก็ยี่สิบหกแล้ว ยังไม่มีหวี่แววว่าจะได้แต่งงานเลย ไม่รู้จะรอให้ถึงสามสิบก่อนหรือยังไง

    “ริต้าไม่รีบค่ะ ให้พี่คินไปก่อนเลย” คนอายุน้อยที่สุดในบ้านว่าด้วยน้ำเสียงสดใส

    “หึ” มาร์คิโน่หัวเราะในลำคอ ‘เดี๋ยวได้รู้เรื่องยัยตัวแสบ ยังไม่ถึงเวลา’ มีแค่เขากับบิดาเท่านั้นแหละที่รู้ว่าอะไรคืออะไร  แต่ตอนนี้เขาต้องเอาเรื่องของตัวเองก่อน อดกังวลไม่ได้ว่าจะเริ่มยังไงกับแม่ยอดดวงใจดี บอกไปตั้งแต่แรกเลยไหมว่าเขารักเธอ ถ้าบอกไปแล้วเธอนิ่งเฉยล่ะ? เขาจะทำยังไงต่อ ‘เฮ้ออ’ 

     

                

            จากที่คิดไว้ว่าจะกลับมาพักผ่อนอยู่ที่บ้านสักสองสามวันก็มีอันต้องพับเก็บความคิดนั้นไป เพราะมีเรื่องเข้ามารบกวนให้ชวนปวดหัวมากกว่าเดิมเสียอีก เซรีน่าจึงตัดสินใจที่จะไปพักผ่อนสมองแบบโนสนโนแคร์ไม่ต้องคิดอะไร ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงให้ลืมทุกสิ่งที่วุ่นวายอยู่รอบ ๆ ตัว หนึ่งในบ้านพักตากอากาศของครอบครัวที่หญิงสาวเลือกไปคือ กรานาดา

            เมืองกรานาดาอยู่ทางตอนใต้สุดของสเปน เป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมโดดเด่น เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ในช่วงยุคกลางของสเปนได้อย่างดี กรานาดาอยู่ห่างจากกรุงมาดริด 420 กิโลเมตร การเดินทางด้วยเครื่องบินจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ 

                

            เซรีน่าใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมงบินตรงจากกรุงมาดริดมาถึงกรานาดา เท้าเหยียบสนามบินกรานาดาได้ไม่ถึง 5 นาที สายเรียกเข้าในมือถือเครื่องหรูก็ดังขึ้น   

    ‘Daddy’ ติ๊ด

    “ค่ะ แดดดี๊”

    (“รีน่า หนูอยู่ไหนลูก กลับออฟฟิศแล้วหรอครับ?”)

    “คิกคิก ทีละคำถามได้ไหมคะดี๊ รีน่าตอบไม่ทัน”

    (“หนูกลับออฟฟิศหรอครับ?”)

    “เปล่าค่ะ ตอนนี้รีน่ามาพักผ่อน”

    (“ตอนนี้หนูอยู่ไหนครับ ทำไมจะไปพักไม่บอกดี๊ล่ะ ดี๊จะได้จัดการให้”)

    “อยู่กรานาดาค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอกดี๊กับหม่ามี้นะคะ รีน่านึกอยากมาก็มาเลย ส่วนเรื่องจัดการติดต่อทางนี้ รีน่าจัดการก่อนขึ้นเครื่องแล้วค่ะ เดี๋ยวลุงเจโลให้คนขับรถมารับรีน่าที่สนามบินค่ะ”

    (“โอเคครับ งั้นพักผ่อนให้สบายใจ เที่ยวให้สนุกที่สำคัญดูแลตัวเองด้วยนะลูก ดี๊กับหม่ามี้เป็นห่วง”)

    “รับทราบค่ะ รักแดดดี๊กับหม่ามี้นะคะ”

    (“ดี๊กับมี้ก็รักหนูครับ งั้นดี๊วางสายนะครับ หนูไปพักผ่อนเถอะ”)

    “ค่ะ บ๊ายบายค่ะแดดดี๊” หลังจากบิดาวางสายเสร็จ เซรีน่าก็ก้าวเดินออกไปยังด้านหน้าสนามบินเพื่อรอรถมารับไปยังบ้านพักของครอบครัวที่อยู่ในตัว เมืองกรานาดา

                

            บ้านพักหรูขนาดปานกลางรองรับการพักผ่อนสำหรับครอบครัวใหญ่ได้อย่างสบาย รูปแบบการสร้างสไตล์การตกแต่งกลืนกินไปกับอาคารรอบข้างได้อย่างลงตัว ด้วยความต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่ต้องการโดดเด่นให้เป็นที่แปลกตาสำหรับคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมความสวยงามของเมืองกรานาดาตลอดทั้งปี เซรีน่าเลือกมาที่แห่งนี้เพราะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะและเธอเองก็อยากมาดูเทศกาล Bienal de Flamenco (เทศกาลดนตรีฟลาเมงโก) อีกด้วย

    “คุณหนูจะพักที่นี่กี่วันครับ” เจโล ชายสูงอายุที่ดูแลบ้านพักแห่งนี้เอ่ยถามเจ้านายสาว

    “อื้มม รีน่าไม่แน่ใจค่ะ น่าจะสักสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ เผื่อคิดงานออกด้วย รบกวนลุงเจโลสักระยะนะคะ” ถึงจะอยู่ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างแต่เซรีน่ายังให้ความเคารพกับผู้ที่มีอายุมากกว่าเสมอ

    “ได้เสมอครับคุณหนู อยู่ถึงกี่วันกี่เดือนก็ตามสบายเลยครับ มีอะไรให้ลุงรับใช้เรียกใช้ได้ตลอดนะครับ”

    “เดี๋ยวถ้ามีเรื่องรบกวนจริงๆ เดี๋ยวรีน่าบอกนะคะลุงเจโล”

    “ครับ แม่บ้านจะมาทำความสะอาดวันเว้นวันนะครับ มีเรื่องอะไร หรือจะฝากซื้อฝากทำอะไรก็บอกแม่บ้านได้เลยครับ”

    “ได้ค่ะ”

    “แล้วมีแพลนไปเที่ยวที่ไหนบ้างครับ จะให้ลุงเตรียมรถให้ไหมครับ”

    “ก็ว่าจะไป อาลัมบรา มหาวิหาร ย่าน Albaicin โบสถ์หลวง ย่าน Sacromonte ที่คิดไว้มีประมาณนี้ค่ะ อาจจะได้ไปที่อื่นนอกเหนือจากที่แพลนไว้ ส่วนเรื่องรถเอาไว้วันไหนไปไกลจากที่บ้านรีน่าจะบอกอีกทีนะคะ ที่แน่ๆ พรุ่งนี้ไปใกล้ๆ บ้านค่ะ คิก” บอกแผนการเที่ยวของตัวเองจบก็ตบท้ายเสียงหัวเราะสดใส

    “ได้ครับ จะใช้รถวันไหนก็บอกลุงนะครับ งั้นลุงขอตัวก่อนนะครับ คุณหนูพักผ่อนเถอะครับ อาหารกลางวันลุงให้แม่บ้านจัดให้แล้ว ส่วนของอาหารเย็นแม่บ้านจะตั้งโต๊ะทุ่มครึ่งนะครับ” ในสเปนโดยปกติจะมีวัฒนธรรมการรับประทานอาหาร 5 มื้ออาหาร มีมื้อเช้า มื้อเบรกตอนสาย มื้อกลางวัน มื้อเบรกช่วงเย็น และมื้อเย็น แต่ในครอบครัวของเซรีน่า ด้วยเพราะมีแม่เป็นคนไทยจะชินกับการรับประทาน 3 มื้ออาหารเป็นหลัก อาจจะมีมื้ออื่น ๆ บ้างแล้วแต่โอกาส

    “โอเคค่ะลุงเจโล งั้นรีน่าขอตัวไปพักก่อนนะคะ ส่วนอาหารกลางวันเดี๋ยวรีน่าลงมาอุ่นกินได้ค่ะ” ว่าจบก็ยิ้มหวานตบท้ายและก้าวเดินไปยังห้องนอนส่วนตัวของตัวเองเพื่อพักผ่อนเติมแรงพร้อมที่จะออกไปท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้

                

          วันแรกของการพักผ่อนแต่ไม่หย่อนกายสักเท่าไหร่ เซรีน่าตื่นมาช่วงเช้าจัดการอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่าย ทะมัดทะแมงแต่ยังคงความเป็นตัวของตัวเองอยู่ด้วย สถานที่แรกของการเที่ยวชมเมืองคือ อาลัมบรา

            พระราชวังอาลัมบรา เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่บนเนินเขา al-Sabika ฝั่งซ้ายของแม่น้ำ Darro ทางทิศตะวันตกของเมืองกรานาดา ถือเป็นพระราชวังและป้อมปราการที่อยู่บนจุดยุทธศาสตร์สำคัญ สามารถมองเห็นเมืองได้ทั้งเมืองสุดลูกหูลูกตา 

            ตัวพระราชวังถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะมุสลิมอย่างวิจิตร แบ่งออกเป็นสี่ส่วน ได้แก่ Alcazaba ป้อมปราการสไตล์มัวร์ เป็นจุดที่เก่าแก่ที่สุดในพระราชวัง ส่วนที่สองคือ Nasrid Palace ตัวพระราชวังหลักที่กษัตริย์ชาวมัวร์เคยพำนัก ด้านในตบแต่งอย่างสวยงาม ส่วนที่สามคือ Palace of Charles V เป็นพระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิแห่งสเปน และส่วนที่สี่ส่วนสุดท้ายคือ Generalife สวนสไตล์มัวร์ที่สวยงดงาม สามารถมองเห็นภูเขาล้อมรอบเมืองได้จากจุดนี้ 

           เซรีน่าใช้เวลากับการเยี่ยมชมความงามเกือบชั่วโมงเห็นจะได้ ด้วยเป็นคนที่ชื่นชอบความงามอยู่แล้ว จึงใช้เวลาเสพศิลปะความงามของสิ่งก่อสร้างตรงหน้าพอสมควรทั้งหยุดดูอย่างพินิจพิจารณาและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ชื่นชมกับความสวยทั้งทางธรรมชาติและความงามจากสิ่งก่อสร้างที่อลังการตรงหน้าแล้ว ก็เตรียมตัวไปสถานที่ต่อไป 

                

            เซรีน่าเพลินเพลิดไปกับการเที่ยวชมเมืองตลอดทั้งช่วงบ่าย ถึงจะไม่ใช่การมาเที่ยวชมครั้งแรกแต่ก็อดทึ่งกับความงดงามตรงหน้าไม่ได้ ทั้งอาคารสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างและธรรมชาติสร้างขึ้นเป็นศิลปะที่เข้ากันอย่างลงตัว อย่างย่าน Sacromonte เป็นย่านที่ชาวยิปซีอาศัยอยู่มาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16 ตัวอาคารบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยเซรามิกสีฉูดฉาดเป็นศิลปะที่ต่างจากศิลปะของสเปนทั่วไป

           และย่าน Albaicin เป็นย่านที่เก่าแก่ที่สุดในกรานาดาและเคยมีชาวอาหรับเคยอาศัยอยู่ มีสิ่งปลูกสร้างสวยงามมากมายอายุหลายร้อยปี เช่น Church of San Nicolas โบสถ์สมัยศตวรรษที่ 16 ที่เป็นศูนย์กลางของย่าน Church of San Salvador โบสถ์ที่สร้างด้วยศิลปะแบบคริสเตียนที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะแบบมุสลิม และ Carrera del Darro ถนนที่เก่าที่สุดสายหนึ่งในกรานาดา และเป็นจุดที่สามารถชมตัวพระราชวังอาลัมบราได้ดีที่สุดจุดหนึ่งด้วย 

                

            ในช่วงเวลาที่ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าแสงสว่างสีทองสาดเป็นสายรอดส่องแทรกตัวไปกับกลุ่มปุยเมฆสีขาวค่อย ๆ เคลื่อนตัวหายไปและถูกความมืดเข้ามาแทนที่ ดวงไฟตามทางเดินถูกเปิดเพื่อให้แสงสว่างแทนแสงจากดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลาลับขอบฟ้าไปไม่นาน เป็นสิ่งย้ำเตือนให้คนที่ทำงานมาทั้งวันและคนที่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินเที่ยวมาทั้งวันกลับที่พักไปพักร่างกายอย่างที่ควรจะเป็น

            แต่กลับไม่ใช่สำหรับสาวร่างบางสมส่วนผมบลอนซ์หน้าสวยอย่างเซรีน่า หญิงสาวตั้งใจจะไปดูการแสดงดนตรีฟลาเมงโกที่จัดการเป็นแสดงเล็ก ๆ ในบริเวณที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่อยู่ปัจจุบัน ใช้เวลาเดินเท้าไม่นานก็มาถึงลานที่มีการแสดง บริเวณโดยรอบล้อมรอบไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาหลากหลายช่วงอายุคละเคล้ากันไป อีกทั้งบางคนยืนดูด้วยความตื่นเต้น หรือบางคนก็สนุกสนานให้ความร่วมมือมีส่วนร่วมกับการแสดงตรงหน้าด้วยการปรบมือเข้าจังหวะดนตรี

           ฟลาเมงโก (Flamenco) เป็นชื่อแนวดนตรี และการเต้นรำประเภทหนึ่งจากแคว้นอันดาลูเซียทางตอนใต้ของสเปน ประกอบด้วย การร้อง การเล่นเครื่องดนตรีโดยส่วนใหญ่จะเป็นการเล่นกีตาร์ การเต้นระบำ และการปรบตบไปตามจังหวะ ฟลาเมงโกได้รับความนิยมไปทั่วโลกและได้รับการสอนในหลายประเทศด้วยจังหวะการเต้นที่เร้าใจและสนุกสนาน รวมไปถึงเครื่องแต่งกายสีสันจัดจ้านสวยงามของเหล่านักเต้นทำให้เกิดเป็นเสน่ห์ของระบำฟลาเมงโกที่ชวนหลงใหล และในปี 2010 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ประกาศให้ฟลาเมงโกเป็นหนึ่งในงานชิ้นเอกของมรดกมุขปาฐะและมรดกที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ 

             เซรีน่ายกมือถือเครื่องหรูขึ้นเก็บภาพบรรยากาศตรงหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส ถ่ายรูปเก็บความประทับใจจนพอใจแล้วก็เดินเข้าไปร่วมวงปรบมือเข้าจังหวะอย่างสนุกสนานยิ้มกับคนนั้นทีคนนี้ทีราวกับรู้จักกันมานาน

                

                

            การแสดงที่กินเวลาไปหลายชั่วโมงกำลังจะจบลง ข้อมือเรียวยกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นมาดูเวลา แต่แล้วหญิงสาวลูกครึ่งหน้าสวยก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าตอนนี้คือเวลาที่ดึกพอสมควร คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ 

    “แล้วจะกลับยังไงเนี่ย” พูดพึมพำกับตัวเองด้วยความวิตก ก่อนจะถอนหายใจยาวให้กับตัวเองด้วยความชะล่าใจและสนุกเพลิดเพลินจนหลงลืมไปว่าไม่ได้ขับรถมาเอง มือเรียวสวยจัดการหยิบมือถือเครื่องหรูในกระเป๋าแบรนด์เนมที่ไม่ได้จับมาหลายชั่วโมงเพราะมัวแต่สนุกสนานกับบรรยากาศรอบข้างก่อนหน้าขึ้นมาโทรหาลุงเจโลทันทีด้วยบรรยากาศรอบ ๆ ตัวตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยจางหายไปทีละคนสองคน เซรีน่าหันมองซ้ายมองขวาด้วยความระแวง รู้สึกเหมือนถูกใครสักคนมองอยู่ตลอดทั้งวันที่เดินเที่ยว แต่หันไปทางไหนก็ไม่เจอใครสักคนที่ว่า 

    ‘หรือจะเป็นคนของแดดดี๊นะ?’ หญิงสาวคิดในใจ 

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×