ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่ามิติทะลุแดนฝัน

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 9 : ออกเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 47


                                                   ผ่ามิติทะลุแดนฝัน

                                                    ตอนที่ 9 : ออกเดินทาง



            วันเสาร์ เวลา 7.30 น. ณ บ้านของสาวจ้า




            “กับข้าวอยู่ในตู้นะ จะกินก็เข้าเวปเอา แล้วอย่าลืมปิดบ้านปิดช่องให้ดีล่ะ เดี๋ยวขโมยขโจรจะขึ้นมาขนของหมดบ้าน แล้วอย่าเอาแต่เล่นคอมล่ะ ลงมากินข้าวบ้าง โรคกะเพราะจะได้ไม่ถามหา แล้วถ้ากับกับข้าวหมดก็หัดออกไปซื้อกินเองข้างนอกนะรู้เปล่า ตลาดก็อยู่หน้าบ้านแท้ๆ ไม่เคยรู้จักหัดออกไปเดินไปเห็นโลกภายนอกมั่งเลย....ฯลฯ บ่น บ่น บ่น” อากง + อาม่า + อากู๋+อาอี้ + ยัยจี๊ด (น้องสาวจ้า) พลัดกันสั่ง พลัดกันสวด และพลัดกันบ่นกันเป็นทอดๆ ไม่มีเว้นวรรคให้สาวจ้าได้พักหูบ้างเลย ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าสาวจ้าจะอดตายคาบ้าน หรือไม่ก็กลัวว่าจะมีโจรผู้ร้ายแอบย่องมาปาดคอ สั่งยาวเป็นชุด ก่อนที่จะยกโขยงกันออกไป ท่ามกลางความโล่งใจและโล่งหูของสาวจ้าและเฟริส



            “ดูท่าทางอาม่ากับอาอี้ จะเป็นห่วงนายหญิงมากเลยนะครับ” เฟริสออกปากทันที ที่เหล่าผู้สูงอายุก้าวออกจากบ้านไป



            “อืม....ก็นะ....ชั้นออกจะน่ารักปานนี้ ใครๆก็ต้องรักต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา” สาวจ้าแกล้งตอบออกไปเวอร์ๆ โดยที่เฟริสพูดอะไรต่อไม่ออกได้แต่แอบทำเบ้หน้า



            “แล้วตกลงนายหญิงจะไปแน่หรือครับ จะไม่ลองคิดทบทวนดูใหม่อีกซักรอบหรือครับ” เฟริสเอ่ยเกลี้ยกล่อมสาวจ้าให้เปลี่ยนใจ เรื่องที่จะออกเดินทางท่องโลกหนังสือเป็นรอบที่ 381 ในรอบ 3 วันมานี้



            “ไม่ล่ะ ชั้นตัดสินใจดีแล้ว อีกอย่างมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้เปลี่ยนใจง่ายๆก็กระไรอยู่ สัมภาระ ข้าวของ อุปกรณ์ ต่างๆก็พร้อมหมดแล้วจะรอก็แต่นังเพื่อน 3 คนนี่แหละ ที่ป่านนี้ยังไม่ยอมมา” สาวจ้าปฏิเสธ พร้อมทั้งร่ายเหตุผลที่ไม่ควรยกเลิกอีกยาว จนเฟริสเถียงไม่ทัน



            .... ผมไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ ไม่มีฤทธิ์เดช ไม่มีราชรถเลิศเลอ แต่ผมมีใจพิเศษ ที่จะพาเธอผ่านคืนนี้ไป ผมเป็น เพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอโอบกอดฉันไว้ หลับตาตามสบายให้สมฤดี เราจะบินหนี ข้ามน้ำทะเลและแดนกว้างใหญ่ ดาวพราวดังฝัน กลางคืนยาวนานรานหัวใจ ปล่อยความเหงาไป ทอดทิ้งใจ รักจะพาแต่เราไปสองคน ....



            เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์แบบพกพารุ่นใหม่แต่ไม่ล่าสุดของสาวจ้าดังขึ้น และคุณเธอก็พยายามควานหาอยู่นานจน เพลงมันดังเกือบจะจบเพลงอยู่แล้วเพิ่งจะหาเจอ เมื่อดูชื่อคนโทรเข้ามาแล้วเห็นว่าเป็นใครก็กดรับทันที



            “ว่าไงเก๋ อยู่ไหนแล้ว ? ”



            “อยู่.....อยู่หน้าบ้านแกมั้ง บ้านแกป่าวล่ะที่ลงประตูเอาไว้น่ะ แล้วเขียนป้ายว่าปิด 2 วัน” เสียงสาวเก๋ถามมาตามสาวโทรศัพท์



            “เออ...ใช่ รอเดี๋ยวนะจะเปิดประตูให้แล้วแป๋มกับส้ม มาด้วยป่ะ” สาวจ้าถามถึงเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก 2 คน



            “เออ มาด้วยกันนั่นแหละ แค่นี้นะเปลือง” ว่าแล้วสาวเก๋ก็ปิดโทรศัพท์ฉับไป



            เมื่อสาวจ้าเปิดประตูต้อนเพื่อนๆเข้ามาแล้ว ก็ลงประตูปิดอย่างรวดเร็ว กันคนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า แล้วพาไปที่ห้องครัวหลังบ้าน หลังจากทักทายเพื่อนๆรวมถึงเหล่าองครักษ์แล้ว



            “ไง....กินข้าวกันมายัง” สาวจ้าเอ่ยถามเพื่อนๆ แต่ปรากฏว่าแต่ละคนล้วนส่ายหน้ากันทั้งนั้น



            “งั้นกินก่อน จะกินนี่หรือจะไปกินข้างนอก” สาวจ้าถามความเป็นเพื่อน



            “เลี้ยงป่าวล่ะ ถ้าเลี้ยงก็กินข้างนอก” สาวแป๋มบอกทีเล่นทีจริง จนสาวจ้าหันไปมองหน้าสบตาตรงๆอย่างประเมิน



            “จริงอ่ะ” สาวจ้าถามอย่างกังขา เห็นตาเพื่อนแต่ละคนมีแวววิบๆ ก็รู้ว่าพวกนี้มันเตรียมกะมาถล่มเน็ทๆ



            “พูดจริงสิ ใครจะมาล้อเล่นเนอะส้ม” สาวเก๋หันไปพยักเพยิดกับสาวส้ม ที่ได้แต่ยืนยิ้มอยู่



            “แต่เราไม่มีตังค์อ่ะ คราวหน้าได้ป่ะ” สาวจ้าเริ่มบ่ายเบี่ยง เมื่อเห็นแววเอาจริงของเพื่อน



            “ไม่ได้ว่ะ แล้วที่แกบอกไม่มีตังค์น่ะโม้แล้ว คราวที่แล้วไปทำวิจัยกับ พริตตี้ น่ะได้มาตั้งหลายหมื่น ไปไหนหมดล่ะ” สาวเก๋ดักคอเพื่อนอย่างรู้ทัน



            “เอาไปซื้อหนังสือหมด” สาวจ้าอุบอิบบอกเสียงเบา



            “ว่าไงนะ ซื้อหนังสืออีกแล้วเหรอ ฮึ่ม...มันน่านัก” สาวส้มตะคอกบ้างอย่างเหลืออด ทั้งๆที่ตนก็เตือนแล้วห้ามแล้ว ว่าอย่าซื้อหนังสือมาก อย่าใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายแต่มันก็ไม่เคยฟัง จนได้ยินเสียงขัดออกมาเบาๆของเฟริส



            “เออ....คุณส้มครับ อย่าไปว่านายหญิงเลยครับ ที่จริงก็ยังไม่หมดซะทีเดียว ยังเหลืออีกตั้ง 70,000 กว่าน่ะครับ นายหญิงเพิ่งจะใช้ไป 20,000 นิดๆเอง แล้วยังไปซื้อหนังสือที่ลด 50 % ด้วย ฉะนั้นผมขอรับรองครับว่ายังไม่หมด” เฟริสที่พยายามแก้ตัวให้นายหญิงของเขา โดยที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองได้โยนระเบิดที่วางไว้ใส่เจ้านายเต็มๆ กล่าวกับอีก 3 สาวอย่างสุภาพ ในขณะที่สาวจ้าได้แต่นั่งหน้าซีด เหมือนจะทำนายอนาคตอันใกล้ได้ (เฟริส นายจะหัดหุบปากบ้างได้ไหม เห็นมะพวกมันเลยมาถล่มชั้นได้เลย : สาวจ้า / ขอโทษครับนายหญิง : เฟริส / ไม่ให้อภัยย่ะ คราวนี้มันต้องเอาจนหมดตัวแน่ ไปบอกพวกมันทำไมว่าเหลืออีกเท่าไหร่ คราวนี้ได้หมดจริงๆ.....บ่น บ่น บ่น : สาวจ้า / ขอโทษจริงๆครับผมไม่รู้ ฮึกๆ T^T : เฟริส / เชอะ ขี้แยซะไม่มีชั้นไม่สงสารนายหรอกนะ อย่างมาเล่นมุขนี้ซะให้ยาก : สาวจ้า / โฮ โฮ โฮ ToT นายหญิงใจร้าย : เฟริส / (-_-;;) : สาวจ้า)



            “ไอ้จ้า ไหนแกว่าหมดแล้วไง ไม่ต้องเลยวันนี้แกเลี้ยง เอ้อ.....วันนี้ต้องออกเดินทางใช่มั้ย งั้นซื้อเสบียงตุนไปด้วยเลยละกัน แกจ่าย” สาวเก๋พูดสรุปเสร็จสรรพ โดยที่อีก 2 สาวพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง จนสาวจ้าพูดอะไรไม่ออกได้แต่คว้ากระเป๋าสตางค์เดินก้มหน้างุดๆออกไปกับเพื่อนๆ ให้เพื่อนผลาญธนบัตรที่มียู่น้อยนิดเล่น (ที่เหลือฝากธนาคารไว้ ใครจะพกเดินไปเดินมา)



            เมื่อทานข้าว เตรียมเสบียง และข้าวของอื่นๆเข้าไปเก็บไว้ในนาฬิกาของใครของมันแล้ว สาวจ้าก็นำเพื่อนๆให้ขึ้นไปบนห้องอย่างรวดเร็ว ซึ่งห้องจากที่เดิมก็คับแคบไปด้วยชั้นและกองหนังสืออยู่แล้ว ก็กลับคับแน่นลงกว่าเดิมจนแทบไม่เหลือที่ให้เดินผ่าน



            “ทำไมห้องมันแคบนักล่ะ” สาวเก๋ถามเจ้าของห้อง ในขณะที่สาวแป๋มมองสำรวจไปเรื่อยๆ และสาวส้มหันไปสนใจกับกองหนังสือที่มีปริมาณพอๆกับห้องสมุดย่อมๆ ส่วน 3 องครักษ์ก็แยกไปสนทนากับเฟริสที่มุมหนึ่ง



            “อ๋อ....ก็ห้องมันของเยอะน่ะสิถึงได้แคบ” สาวจ้าตอบกลับไป โดยที่ผู้ถามก็ยังไม่ได้รับความกระจ่างอีกเช่นเคยไปกว่าที่ตาเห็น



            “เออ...ไม่น่าถามมันเลย” สาวเก๋บ่นเบาๆ



            “เอาล่ะ......จะไปเรื่องไหนเลือกเอา” สาวจ้าถามพร้อมกับยกกองหนังสือตั้งใหญ่มาวางตรงหน้าเพื่อนๆ ที่นั่งล้อมกันเป็นวงกลม ซึ่งมีหนังสือหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน นวนิยาย วรรณกรรมเยาวชน หรือวรรณคดีไทย



            “มีอะไรมั่งเนี่ย ขุนช้างขุนแผน, รามเกียรติ์, อารินสตอรี่, ไวท์โรด, ตะวันรักที่ปลายฟ้า, ฮิคารุเซียนโกะ, แฮรี่ พอตเตอร์, เดอะลอร์ด ออฟ เดอะริง, ปลายเทียน, นิราศสองภพ, เพชรพระอุมา, หุบเขากินคน เฮ้ย! ทำไมมันมีแต่อะไรก็ไม่รู้วะ” สาวเก๋ที่นั่งไล่อ่านทีละเรื่อง โวยวายเมื่อเห็นแต่ละเรื่องที่เพื่อนเลือกมา



            “นั่นดิ หาเรื่องที่มันธรรมดาๆ ไม่ได้รึไง” สาวแป๋มถามบ้าง



            “.............” สาวส้มไม่พูดอะไร แค่พิจารณาหนังสือแต่ละเรื่องอย่างสนใจ



            “ก็เราชอบนี่ อยากไป แต่เราก็เอามาให้เลือกแล้วนะ” สาวจ้าบอกอย่างกล้าๆกลัวๆ



            “เรื่องจักรๆวงศ์ๆ ตัดทิ้งไปได้เลย มันพูดเป็นคำราชาศัพท์ทั้งเรื่อง ขี้เกียจ” สาวเก๋รีบบอก



            “ตัดขุนช้างขุนแผนไปด้วย เดี๋ยวเข้าไปแล้วต้องไปเป็นเมียขุนแผนอีกคนล่ะยุ่งเลย รามเกียรติ์ก็ไม่เอา ไม่อยากโดนสมุนยักษ์ของทศกัณฐ์ไล่จับกินเป็นอาหาร ปลายเทียนก็ไม่เอา มันเล่นขับเสภากันทั้งเรื่อง แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเพชรกล้าจะทนความสวยของเราไหวมั้ย ถ้าโดนอย่างเกาลัดล่ะแย่เลย” สาวแป๋มพูดบ้าง ก่อนลงท้ายประโยคที่เรียกเสียงแหวะของเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี



            “มากไปแป๋ม อย่างพี่เพชรกล้าน่ะ เขามองเราเว้ย” สาวจ้าเอ่ยขัดคอ เป็นผลให้เพื่อนๆพากันส่งเสียงโห่กันอีกรอบ



            “จ้าเพชรพระอุมาไม่เอานะเดี๋ยวได้วิ่งกันตับแล่บ ทั้งเสือ ทั้งผี ทั้งกระทิง คนป่า ไดโนเสาร์” สาวส้มพูดบ้าง หลังจากนั่งเงียบๆ คัดเรื่องที่เพื่อนๆไม่เอาออก แล้วพูดร่ายต่อ



            “หุบเขากินคนก็ไม่เอา เสี่ยงอันตรายเกินไป นิราศสองภพด้วย มันกำลังมีสงครามเดี๋ยวได้โดนฟันเหวะ เดอะลอร์ด ออฟ เดอะริง ก็ไม่ดีมีแต่ตัวประหลาดน่ากลัว แฮรี่พอตเตอร์เหมือนกัน เดี๋ยวได้โดนสาปเป็นอะไรแปลกๆ แม้ว่าเธอจะคลั่งมัลฟอยก็เหอะ” ประโยคหลังสาวส้มหันไปพูดกับสาวเจ้าของห้องที่นั่งทำหน้าเหวออยู่ที่หนังสือโดนคัดออกเกือบหมดกอง



            “ ไวท์โรดก็ไม่เอา เชิญเธอไปตะลุยอวกาศคนเดียวเหอะ ส่วนฮิคารุเซียนโกะ กับตะวันรักที่ปลายฟ้าเราไม่เคยอ่าน ไหนลองเล่าซิ” สาวส้มร่ายจนจบแล้วปิดท้ายด้วยคำถาม พลางมองทอดสายตามาอย่างตั้งใจฟังพร้อมกับสาวเก๋และสาวแป๋ม



            “ฮิคารุน่ะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกีฬาหมากล้อม ก็เป็นเรื่องของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ไปเจอกระดานหมากล้อมเปื้อนเลือดที่มีวิญญาณของนักเล่นโกะที่เก่งมากๆสิงอยู่ หลังจากนั้นเด็กคนนั้นก็ค่อยๆหันมาเล่นโกะจนอยู่ในระดับชั้นแนวหน้าอ่ะ เรื่องย่อๆมันก็ประมาณนี้ แต่สนุกนะ ส่วนตะวันรักที่ปลายฟ้า ตะก่อนมันชื่อสวรรค์ลำน้ำแดง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศตุรกีโบราณ คือมีเด็กสาวคนหนึ่งชื่อยูริ หลงเข้าไปในอดีต เจอเจ้าชายของอาณาจักรฮิตไทต์ แล้วก็ได้รับความช่วยเหลือจนรักกัน และได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่อาณาจักรไมแทนนี ของแถบเมโสโปเตเมียโบราณ แล้วก็อาณาจักรอียิปต์ที่มี ปีรามิด แล้วก็สฟิงค์น่ะ” สาวจ้าเล่าไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆเริ่มขมวดคิ้วตอนที่เล่าเรื่องฮิคารุเซียนโกะ จึงคาดว่าเรื่องนี้น่าจะปิ๋วอีก เรื่องสุดท้ายเลยเล่าเรื่องผิดความจริงไปจนเพื่อนๆ เริ่มสนใจ (เรื่องไรจะเล่าว่านางเอกจริงๆแล้วโดยจับตัวไปเป็นเครื่องสังเวยบูชายัญ ทั้งยังจะโดนลอบฆ่าเกือบตายหลายหน แล้วก็มีสงคราม    เสียเกือบตลอดทั้งเรื่องให้โง่ ก็เรื่องนี้เรื่องสุดท้ายแล้วนี่นา : สาวจ้า)



            “อืม....เรื่องสุดท้ายน่าสนนะ งั้นเอาเรื่องนี้แล้วกัน” สาวเก๋สรุป เพราะได้เรื่องแนวประวัติศาสตร์ที่คุณเธอชอบ



            “แล้วไงต่อล่ะ” สาวแป๋มซักต่อ ว่าจะทำอะไรต่อไปยังไง



            “ต้องทำพิธีก่อน  ตอนทำพิธีนะก็นั่งล้อมกันแบบนี้แหละจับมือกัน เราจะท่องมนต์เอง ให้พวกหนุ่มๆสาวๆยืนอยู่ข้างหลังเรา เอาตำราสุริยจันทรกาลไว้กลางวงบนหนังสือที่ต้องการไปแค่นี้  พอตอนขากลับก็ให้หาอัญมณีที่มุมหนังสือนี่เห็นมั้ย ที่เป็นรูปหยดน้ำสี เหลือง แดง เขียว น้ำเงิน มาเรียงกันเป็นรูปดอกไม้สี่ทิศ แล้วทำพิธีแค่เนี้ย” สาวจ้าอธิบายพร้อมชี้ตัวอย่างในตำราสุริยจันทรกาลให้ดูทีละสเตปตามที่อธิบายไว้ในตำรา



            “อืม.....แล้วถ้าหาอัญมณีไม่เจอล่ะ” สาวแป๋มถามขึ้นมาอย่างกังวล



            “เจออยู่แล้ว ใช้ดาวเทียมในนาฬิกาค้นหาง่ายจะตาย” สาวจ้าตอบง่ายๆ จนเพื่อนๆค่อยคลายกังวล



            “เฮ้อ.....เอาไงก็เอากัน มาด้วยกัน ไปด้วยกัน เลือดสุ..... (ชื่อมหาวิทยาลัย) เอ๋ย” สาวเก๋ร้องบอกอย่างคะนอง



            “งั้นเริ่มล่ะนะ” สาวจ้าบอกอย่างกระตือรือร้น แล้วก็นำหนังสือการ์ตูนเรื่องตะวันรักที่ปลายฟ้ามาหนึ่งตั้ง (28 เล่มจบ) กองไว้ตรงกลาง แล้วนำตำราสุริยจันทรกาลมากองไว้ด้านบน ซึ่งก็คือหนังสือเล่มขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คหุ้มปกอย่างดี ด้านหน้าปกเคลือบทองสลักลายประดับด้วยอัญมณีหลากชนิดดูสวยงามมากด้วยคุณค่าเล่มที่สาวจ้าเคยซื้อเมื่อตอนไป J.J. ครั้งสุดท้ายด้วยกันนั่นเอง



                 หลังจากที่ทั้งหมดนั่งล้อมกันเป็นวงกลมแล้วสาวจ้า ก็นำจี้ห้อยคอแปลกๆขนาดเล็กกว่าฝ่ามือหน่อยนึง เป็นรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์ซ้อนกันประดับด้วยอัญมณี มีรัศมี 12 แฉก ที่มีเลขไทยสลักไว้คล้ายกับนาฬิกา มาสวมเข้าที่คอของตน พลางจับมือเพื่อนๆเป็นวงกลม โดยมีองครักษ์ของตนคอยคุมอยู่ด้านหลัง แล้วบอกให้ทุกคนทำใจให้สงบแล้วเริ่มท่องมนตราด้วยเสียงช้า ชัด เข้ม ขลัง



            \"นโม... เวลายะ กาลายะ สุริยะ จันทระ อิมิเน มะหัง ดาราจักร / นโม... เวลายะ กาลายะ สุริยะ จันทระ อิมิเน มะหัง ดาราจักร / นโม... เวลายะ กาลายะ สุริยะ จันทระ อิมิเน มะหัง ดาราจักร - โอม...สุริยจันทรกาล จงพาข้าผู้ถือคัมภีร์แห่งกาลเวลาเข้าสู่ห้วงเวลาที่ข้าต้องการ ณ บัดนี้\"



             เมื่อท่องมนต์จบ สาวจ้าก็รู้สึกร้อนวูบที่ระหว่างอกที่ห้อยจี้สุริยจันทรกาล แล้วคลื่นความร้อนก็ดูเหมือนจะแผ่ขจายออกไปยังคนที่อยู่ทางซ้ายมือเรื่อยไปถึงคนขวามือเหมือนโดมิโนที่เรียงตัวแล้วพากันล้มอิงกันเป็นทอดๆ



                    จี้ที่สวมห้อยอยู่ระหว่างอก ก็ส่งแสงสีขาวเรืองๆออกมาครอบคลุมรอบกายของทุกคนในห้องเหมือนเปล่งรัศมีดูงดงามกระจ่างตา ตำราสุริยจันทรกาลก็ปรากฏแสงสีขาวพุ่งขึ้น สาดส่องไปทั่วอาณาบริเวณ ก่อให้เกิดความพร่ามัวแม้จะหลับตาอยู่ก็ตาม แล้วทุกคนก็สัมผัสถึงความว่างเปล่าที่บังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน คลื่นลมแรงเร็วประมาณพายุเฮอร์ริเคน พัดกระหน่ำเข้าใส่กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่หลงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้มือที่พยายามเกาะเกี่ยวกันอย่างสุดชีวิตแยกออกจากกัน อย่างสุดที่จะไขว่คว้ากันและกันไว้ได้ ตามด้วยเสียงหวีดร้องอย่างโหยหวน ตกใจในสิ่งที่ได้เผชิญอยู่ในขณะนี้ของสี่สาว ที่พวกเธอไม่อาจคาดเดาถึงชะตากรรมของตนได้.





                                                           โปรดติดตามตอนต่อไป



    16.9.47

    20.13น.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×