ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 12 : กาสกา
                                                                    ผ่ามิติทะลุแดนฝัน
                                                        Chapter 12 : กาสกา
        ยามเช้าที่อากาศหนาวเหน็บ ไอหมอกลอยล่องวนอยู่บนยอดหญ้าที่มีน้ำค้างเกาะพร่างพราวเป็นประกายระยิบระยับยามต้องแสงแรกของรุ่งอรุณ กลิ่นดอกไม้ป่าหอมกรุ่นไปทั่ว เสียงนกร้องก้องกังวานไพรสลับกับเสียงสัตว์ป่าที่ดังเป็ฯระยะๆราวกับเป็นนาฬิกาธรรมชาติให้กับ 2 หนุ่มสาว ที่นอนขดและเบียดกันจนเป็นก้อนกลมๆอยู่ในเต็นท์สนามหลังกระทัดรัดสีส้มแปร๋น ตัดกับผืนป่าสีเขียวเข้มจนดูน่าประหลาด
        สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนทั้ง 2 ชีวิต ขยับกายตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศที่แสนจะหนาวเหน็บจนร่างทั้ง 2 สั่นสะท้านเมื่อเจออากาศที่เย็นจัดจนบาดผิวเนื้อบางๆนั้นอย่างช่วยไม่ได้
        “อูย~ หนาวชะมัด” เสียงครวญลอยออกมาจากร่างที่ซุกตัวอยู่ในผ้านวมผืนหนา แม้ว่าร่างนั้นจะตื่นขึ้นมาเต็มตาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ยอมลุกออกมาจากที่นอนอันแสนอบอุ่นนั้น
        “นายหญิง ลุกเถอะครับเช้าแล้ว” เสียงทุ้มๆกล่าวปลุก ทั้งๆที่เจ้าตัวก็ยังคงนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างไม่ยอมขยับเขยื่อนเคลื่อนกายไปไหนเช่นกัน
        “นายก็ลุกก่อนสิ” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากร่างที่ถูกพันกระหวัดด้วยผ้าห่มจนเป็นก้อนกลมๆเอ่ยเกี่ยงขึ้นก่อน
        “นายหญิงนั่นแหละลุกก่อน” เสียงทุ้มนั้นยังกล่าวเกี่ยงกลับไป
        “นายแหละลุกก่อน” เสียงที่ฟังดูเล็กกว่าเกี่ยงกลับมาอย่างไม่ลดละ
        “นายหญิงนั่นแหละ” เจ้าของเสียงทุ้มก็โบ้ยกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
        “นายนั่นแหละ” เสียงแหลมๆยิ่งแผดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ
        “นายหญิงนั่นแหละ” เจ้าคนปลุกก่อนยังเกี่ยงไม่เลิก
        “นายนั่นแหละเฟริส ลุกเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่ง!” สาวจ้าที่สุดจะทนก็ระเบิดเสียงออกมาดังลั่น ทำให้นายเฟริสรีบกระเด้งกายขึ้นมาจากที่นอนแทบไม่ทันด้วยความตกใจ
        “โธ่~ นายหญิง แค่นี้ก็ต้องตะคอกด้วย” เฟริสเอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจที่ถูกตะคอก
        “ก็นายเล่นนอนทับแขนชั้นซะจนเป็นเหน็บเลยนี่ เจ็บจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเป็นนายล่ะ นายจะทำยังไงฮะ ตัวก็หนักทับอยู่ได้ แขนชั้นจะหักแหล่มิหักแหล่อยู่แล้ว” สาวจ้าเอ่ยแจงต่อองครักษ์ประจำตัวด้วยเสียงและนัย ตาดุ จนนายเฟริสต้องเบือนสายตาหลบด้วยความสำนึกผิด
        “งั้นก็ขอโทษครับนายหญิง” นายเฟริสกล่าวขอโทษเสียงอ่อย ทันทีที่รู้สาเหตุอารมณ์เสียของนายสาว
        “เออ...ไม่เป็นไร” สาวจ้าตอบกลับอย่างนักเลง
        “แล้ววันนี้เราจะทำยังไงต่อดีล่ะครับนายหญิง” นายเฟริสหันไปถามความคิดเห็นเจ้านายที่นั่งอยู่ข้างๆ
        “ไม่รู้สิ  คงต้องหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยหาทางออกจากป่านี้ให้ได้ก่อนล่ะมั้ง” สาวจ้าตอบไปอย่างใจคิด
        “งั้นเราก็ไปล้างหน้ากันเถอะครับ จะได้หาอะไรทานแล้วรีบเก็บของออกเดินทางกัน” นายเฟริสเอ่ยชวน
        “อยู่แล้วล่ะย่ะ” สาวจ้ากระแทกเสียงใส่ด้วยความหมั่นไส้กลับไป เมื่อลูกน้องคิดจะทำตัวเป็นผู้สั่งการ
        ทันทีที่ทั้งคู่รูดซิปเต็นท์สีส้มแปร๋นนั้นออก ก็ต้องชะงักกึกอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่ยื่นดาบเล่มโตเข้ามาขวางหน้าทันทีที่ทั้งสองยื่นศีรษะผ่านผืนผ้าใบสีส้มออกไป พร้อมกับภาษาประหลาดที่ตะคอกออกมาจากริมฝีปากหนาของชายหัวโล้นคนหนึ่งในบรรดาแก๊งค์โล้นซ่าที่พร้อมใจกันชักดาบเล่มยักษ์ออกมาจ่อแถวๆคอของพวกเขาอยู่
        “zJEณ»คถM7>๏๙”
        สาวจ้าและนายเฟริสนั้นยังคงนั่งนิ่งตะลึงกับภาษาประหลาดที่สูงๆต่ำๆฟังดูวังเวงน่ากลัวเหมือนเสียงสวดมนต์อยู่นั้น ก็ได้นั่งสะดุ้งขึ้นมาอีกรอบ เมื่อเจ้ายักษ์ใหญ่คนเดิมตะคอกซ้ำขึ้นมาอีกรอบ ซึ่งพอทั้ง 2 นายบ่าวตั้งสติได้ ก็ได้แต่มองหน้ากันอยู่ไปมา พลางนั่งเกาหัวอย่างเง็งๆเพราะฟังที่นายนั่นพูดไม่ออกเลยซักคำ
        “ไอ้เถื่อนนั่นมันพูดไรอ่ะ นายฟังออกป่ะ” สาวจ้ากล่าวกระซิบเบาๆกับนายเฟริสด้วยสีหน้าเลิกลั่ก
        “ผมก็ฟังไม่ออกเหมือนกันครับ” เฟริสกระซิบเสียงเบาไม่แพ้กันตอบออกไป
        “แล้วอย่างนี่จะพูดกันรู้เรื่องเหรอ ?” สาวจ้ากระซิบถามอย่างเป็นกังวล
        “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” เฟริสกระซิบกลับมา พลางเหลือบสายตาไปมองกลุ่มโล้นซ่าอย่างไม่ไว้ใจ
        “แล้วนายเคยรู้อะไรบ้างมั้ยเนี่ย !” สาวจ้าจู่ๆก็เลือดขึ้นหน้าตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออด จนคนทั้งหมดสะดุ้ง ส่วนนายเฟริสที่นอกจากสะดุ้งแล้วยังผวาเข้ามากอดขานายหญิงของเขาแน่น เมื่อเหล่าโล้นซ่าเหล่านั้นถลาเข้ามาล้อมกรอบด้วยดาบอันเงาวับ พร้อมกับท่าเตรียมจู่โจมทันทีที่เหล่าคนแปลกถิ่นขยับกาย
        “เฮ้ย ! เดี๋ยวก่อน ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก่อน อุ๊บ! อึกๆ” สาวจ้าที่อ้าปากโบกมือห้ามเหล่าพี่โล้นซ่าอยู่ไปมาก็ได้แต่ดิ้นขลุกขลัก เมื่อถูกคนกลุ่มนั้นกลุ้มรุมใช้เชือกเส้นใหญ่มัดกายจนกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ แถมริมฝีปากยังถูกพันธนาการไว้ด้วยผ้าผืนโต ที่กลิ่นเหม็นตุๆพร้อมกับนายเฟริสที่นั่งนิ่งให้เหล่าโล้นซ่ามัดแต่โดยดี
          กลุ่มโล้นซ่าที่นุ่งผ้าเตี่ยวกันคนละผืน ได้ช่วยกันแบก 2 หนุ่มสาวที่ถูกมัดแล้วร้อยกับท่อนไม้ราวกับสัตว์ที่ถูกล่ามาได้ ไปตามทางด่านในป่าที่สลับซับซ้อนพร้อมกับซากเต้นท์สีส้มแสบตาที่ขาดวิ่น
        สาวจ้ากับนายเฟริสได้แต่กรอกตากันไปมา มองโน่นมองนี่ไปเรื่อยๆอย่างทำอะไรไม่ได้ ร่างกายก็กระเด้งกระดอนไปตามแรงกระแทกส้นเท้าของชายร่างใหญ่ที่ทำหน้าที่แบกพวกเขา พร้อมกับอาการเจ็บแสบจากการเสียดสีระหว่างผิวเนื้อ,เชือกและท่อนไม้
        ทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสภาพพื้นที่ จากป่าทึบค่อยๆแปรสภาพเป็นป่าเบญจพรรณและทุ่งหญ้าไล่ไปจนถึงเขตชนบทที่มีหมู่บ้านเล็กๆที่สร้างด้วยไม้และฟางเป็นหลัก ชาวบ้านที่ทำกิจวัตรกันไปตามวิถี เริ่มรวมตัวเกาะกลุ่มดูสิ่งประหลาดที่เหล่านักรบในหมู่บ้านได้แบกกลับมาด้วย
        หลังจากที่ 2 ผู้โชคร้ายที่ถูกแขวนห้อยมาเกือบตลอดครึ่งวัน ถูกแบกมาถึงกลางลานกว้าง ทั้ง 2 ก็ถูกโยนตุบลงไปกับพื้นดินแข็งๆอย่างไม่ปรานีปราศรัยนัก ด้านหน้าชายชราที่นั่งเป็นประธานอยู่กลางลานกว้าง
        “zJEณ»คถM7>๏๙” ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มที่จับสาวจ้ากับนายเฟริสมากล่าวกับผู้เฒ่าคนนั้นราวกับกำลังรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
        “zJEณ»คถM7>๏๙” ชายแก่ตอบกลับมาด้วยท่าทางสุขุมมีอำนาจ สายตาจับจ้องอยู่ที่เชลยทั้ง 2 ไม่วางตา แล้วหันไปพูดกับเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างๆ 2-3 คำ เด็กคนนั้นก็วิ่งไปซักพักก็วิ่งกลับมาใหม่พร้อมกับถ้วยใส่น้ำดินเผาใบย่อม ที่ก้าวเข้าไปป้อนถึงปากเชลยทั้ง 2 อย่างหวาดๆ ซึ่งสาวจ้ากับนายเฟริสก็ซดอักๆอย่างกระหาย พลางถอนหายใจอย่างสะดวกขึ้นกว่าเมื่อครู่
        “เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว...นึกว่าจะตายซะแล้ว” สาวจ้ากล่าวออกมาหลังจากซดน้ำไปหลายอึก
        “ เป็นยังไงบ้างครับนายหญิง” นายเฟริสเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วงหลังจากซดน้ำไปอึกใหญ่
        “ยังดีอยู่ แล้วนายล่ะ” สาวจ้าถามกลับ
        “ผมก็เหมือนกันครับ” นายเฟริสตอบกลับมา
        “แล้วเจ้าพวกนี้พาเรามาที่ไหนกันเนี่ย ?” สาวจ้าเอ่ยถามอย่างสงสัย พลางมองภูมิทัศน์โดยรอบรวมถึงฝูงชนที่เข้ามารุมล้อมอย่างแปลกใจ
        “สงสัยจะเป็นหมู่บ้านของพวกเขามั้งครับ” เฟริสเอ่ยสันนิษฐานตามที่เห็น
        “แล้วพวกเขาจับพวกเรามาทำไมล่ะ” สาวจ้าเอ่ยต่ออย่างสงสัย
        “ไม่ทราบครับ” เฟริสกล่าวตอบอย่างสัตย์จริงเป็นที่สุด
        “........-_-|||.......” สาวจ้า
        ในระหว่างที่ทั้ง 2 คุยกันอย่างเมามันอยู่นั้น สรรพสำเนียงโหวกเหวกต่างๆด้วยภาษาแปลกประหลาดที่ดังอยู่ก่อนนั้นก็พลันเงียบลง พร้อมกับสายตาแสดงความฉงนฉงายนับสิบคู่จ้องมองตรงไปยัง 2 หนุ่มสาวที่มัวแต่ปรึกษากันโดยไม่สนใจบุคคลรอบข้าง จนมีเสียงกระแอมกระไอขัดการสนทนาขึ้นมานั่นแหละ สาวจ้ากับนายเฟริสถึงหันไปสนใจต้นเสียง
        “แฮะ แฮ่ม!” เสียงกระแอมกระไอดังขึ้นจากชายชราที่นั่งเป็นประธานอยู่กลางลาน
        “ข้าคิดว่าข้าตอบคำถามของพวกเจ้าได้นะ” ประโยคที่ฟังรู้เรื่องดังออกมาจากท่านผู้เฒ่า ซึ่งเมื่อกี้ยังพูดเป็นภาษาต่างดาวอย่างน่าอัศจรรย์
        “แล้วพวกตาจับพวกเรามาทำไมล่ะ?” สาวจ้าถามอย่างสงสัย โดยไม่สนใจปฏิกิริยาที่สะดุ้งโหยงตกใจของผู้คนรอบข้าง และสีหน้าอึ้งๆของผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ตา’เลยซักนิด
        “ว่าไงล่ะตา!” สาวจ้าที่ยังตีหน้าฉงนถามต่อ อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
          “ตาเหรอ....เฮ่อ เฮ่อ เฮ่อ เฮ่อ ดีมากนังหนู ไม่มีใครกล้าเรียกข้าอย่างนี้มาก่อน (แล้วจะใครเรียกพี่รึงายยย : สาวจ้า) เจ้ากล้าหาญดีมาก ข้าชอบ...ที่พวกข้าจับพวกเจ้ามาก็เพราะว่าเจ้ารุกล้ำเข้ามาในเขตแดนกาสกาของเราน่ะสิ พวกเจ้าเป็นคนของฮิทไทต์ใช่มั๊ย?” ชายชราคนนั้นหัวเราะก่อนตอบอย่างอารมณ์ดี แต่น้ำเสียงตอนท้ายติดจะคาดคั้นเอาความแบบตำรวจสอบสวนผู้ร้ายอย่างไรอย่างนั้น เสียแต่ไม่มีไฟมาคอยส่องหน้าผู้ต้องหาอย่างสาวจ้ากับนายเฟริส
        “ไม่ใช่หรอกครับ” นายเฟริสเอ่ยปฏิเสธพร้อมกับส่ายหัวหวืดอย่างเร็ว
        “งั้นพวกเจ้าเป็นคนไมแทนนีรึ ?” ตาเฒ่านั่นยังคงคาดเดาต่อไป
        “ไม่ใช่อ่ะตา” สาวจ้าตอบปฏิเสธบ้าง
        “งั้นก็อียิปต์” ชายชรายังคงถามเดกาสุ่มต่อไป
        “โธ่! ขาวออกพรรค์นี้จะเป็นอียิปต์ได้ไง ถามไม่ดูเลยตานี่” สาวจ้าตอบพลางส่ายหน้ากับลูกมั่วของชายตรงหน้า
        “บาบิโลเนีย.....อัสซีเรีย.....” ชายชรายังร่ายต่อ ซึ่งแต่ละประเทศเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งนั้น ซึ่งสองหนุ่มสาวแปลกหน้าก็พากันส่ายหัวหวืดเหมือนเคย จนชายชราเริ่มออกอาการหงุดหงิด ก่อนที่จะโพล่งถามออกมา
        “แล้วพวกเจ้าเป็นคนของดินแดนไหนกัน” น้ำเสียงหงุดหงิดแกมอยากรู้อยู่ในที
        “จุ๊ จุ๊ ใจเย็นตา หงุดหงิดมากๆเดี๋ยวหัวใจจะวายตายซะก่อนบาปเปล่าๆ พวกชั้นมาจากดินแดนที่ไกลแสนไกลจากทิศตะวันออกทางเอเชียอาคเนโน่นแน่ะ มันไกลมากๆเลยเพราะเป็นประเทศที่ชื่อว่า Thailandจ๊ะ” สาวจ้าจุ๊ปาก ก่อนจะอธิบายอย่างช่างสำบัดสำนวน
        “แล้วพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เฒ่าชราถามอย่างสงสัยในจุดประสงค์ที่พวกสาวจ้าเดินทางมาไกลถึงที่นี่
        “พวกเราเป็นนักศึกษาจ๊ะ พวกเราเดินทางกันมาที่แถบนี้เพื่อศึกษาอารยธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ว่าอยู่กันอย่างไร และศึกษาประวัติชนชาติของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร” สาวจ้าปั้นเรื่องอย่างคล่องวแคล่วโดยยกเอาหัวข้อรายงานที่เพิ่งได้รับเมื่อ 3 วันก่อนมาพูด (อิ อิ มาทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้มหน่อย ได้ทั้งสนุก งานการก็ไม่เสียด้วย : สาวจ้า / ดีมากครับนายหญิง : เฟริส) แต่นั่นก็ไม่ทำให้ชายชราและเหล่านักรบหายระแวง
        “และพวกเพื่อนๆของเราที่มาด้วยกัน ซึ่งนอกจากหนูกับนายคนนี้น่ะได้หายตัวไป พวกเราเลยต้องช่วยกันค้นหาน่ะจ๊ะ แต่ดันมาเจอพวกของตาจับมาซะก่อน ไม่รู้ป่านนี้เพื่อนๆชั้นเป็นยังไงกันบ้างแต่ละคนยิ่งเป็นลูกคุณหนูกันอยู่ด้วย สงสัยป่านนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่งกันเป็นแถวแล้ว” สาวจ้าที่ยังคงปั้นเรื่องต่อไปเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ ส่วนนายเฟริสก็ได้แต่ทำหน้าสลดกับความสามารถที่ไม่น่าชื่นชมให้กับนายหญิงคนนี้
        “เอาล่ะ สรุปว่าพวกเจ้าเป็นนักศึกษามาจากต่างแดนและกำลังตามหาเพื่อนๆของเจ้าอยู่ใช่มั้ย ?” ตาเฒ่าถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่ก่อน
        “จ๊ะ/ครับ” ทั้งสาวจ้าและนายเฟริสตอบพร้อมกันอย่างกระตือรือร้น
        “งั้นพวกเจ้าเป็นอิสระแล้ว เอ้า...อากิตเจ้าไปแก้เชือกทีซิ” ชายชรากล่าวอย่างใจดี และหันไปสั่งเด็กชายที่พักก่อนมาป้อนน้ำให้ไปแก้เชือกให้กับเชลยทั้ง 2
        “ขอบใจจ๊ะ” สาวจ้าหันไปกล่าวขอบใจเด็กชายอากิตที่มาช่วยแก้เชือกให้พร้อมรอยยิ้มหวานจนเด็กชายหน้าแดงเป็นริ้วๆก่อนที่จะวิ่งกลับไปยืนอยู่ข้างๆชายชราเช่นเดิม
        “ข้าชื่อ ลากูร เป็นหมอผีของเผ่ากาสกา แล้วพวกเจ้าล่ะ” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยแนะนำตัวเองก่อนจะถามอดีดเชลยทั้ง 2
        “เออ....หนูชื่อจ้าจ๊ะ ส่วนเพื่อนหนูชื่อเฟริส” สาวจ้าเอ่ยตอบ โดยมีนายเฟริสนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างๆ
        “อืม....เจ้าหนุ่ม เจ้าตอบเองไม่เป็นรึถึงได้ให้นังหนูนี่มันตอบแทนน่ะ” ท่านผู้เฒ่าส่งสายตาไม่ชอบใจส่งไปยังเฟริสผู้น่าสงสารอย่างสมเพชในความไม่มีปากเสียงของหนุ่มน้อย
        “ตอบเป็นครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะแทรกตรงไหนดี” เฟริสตอบชายชรา พลางเหล่สายตาไปทางนายสาวเป็นทำนองว่าไม่ใช่ความผิดของผม ทำให้สาวจ้าต้องส่งสายตาเขียวปัดมากำหลาบ ทำให้นายเฟริสเหวอไปในทันที (สายตาพิฆาตน่ะรู้จักมะ : สาวจ้า / นายหญิงอ่ะ ทุกทีเลยงอนแล้วด้วย : เฟริส / เป็นผู้ชายซะเปล่า เชิญงอนไปตามสบายเลยย่ะ ไม่ง้อหรอกแบร่~ : สาวจ้า / นายหญิงอ่ะ ใจร้าย~ เค้าร้องแล้วน้า แง้ๆๆๆ : เฟริส / -_-||| : สาวจ้า)
        “งั้นรึ เฮ่อ เฮ่อ เฮ่อ งั้นก็เชิญพวกเจ้าพักที่นี่กันก่อนแล้วกัน” พ่อเฒ่ากล่าวอย่างใจดี
        “ขอบคุณค่ะ/ครับ” สาวจ้ากับนายเฟริสกล่าวอย่างดีใจ อย่างน้อยพวกเขาก็มีที่พักในเวลานี้ ไม่ต้องระเหเร่ร่อนกลางป่าตามลำพัง
        “ไม่เป็นไร งั้นพวกเจ้าก็พักที่บ้านลูกชายข้าก็แล้วกัน เขาเป็นพ่อของอากิตหลานข้า” พ่อเฒ่าเสนอแกมบังคับ
        “จะดีหรือพ่อ” เสียงชายหัวล้านหน้าเหี้ยมที่เป็นคนจับตัวสาวจ้ากับนายเฟริสเอ่ยขัดด้วยสีหน้าลำบากใจ
        “ดีสิ ก็เจ้าเป็นคนเอาตัว 2 คนนี้มานะมาไซ ดังนั้นเจ้าต้องเป็นคนรับผิดชอบ” พ่อเฒ่ากล่าวพร้อมกับทำหน้าดุๆใส่ลูกชาย
        “ครับ ท่านพ่อ เอ้า! พวกเจ้าตามข้ามาสิ มัวแต่นั่งคุยกันอยู่ได้” มาไซ นักรบหัวล้านหน้าเหี้ยมชาวกาสกาหันมาดุ 2 หนุ่มสาวจากต่างแดน ก่อนที่จะเดินนำแหวกฝูงชนไปยังที่พัก ซึ่งสาวจ้ากับนายเฟริสก็โค้งลาพ่อเฒ่าอย่างมารยาทดี
        สาวจ้ากับนายเฟริสเดินตามนักรบหัวล้านที่ชื่อมาไซไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับฝูงชนที่เริ่มจะสลายตัวไปทำกิจกรรมอันที่ควรจะเป็นกันตามปกติ จนกระทั่งถึงบ้านที่หลังค่อนข้างใหญ่กว่าบ้านของคนในหมู่บ้านเล็กน้อย ที่สร้างด้วยวัสดุธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยไม้และหญ้าแฝกมุงหลังคา
        สาวจ้ามองดูบ้านไม้ชั้นเดียวที่ปูไม้กระดานอย่างทึ่งๆ เพราะถึงแม้ว่ามันจะดูง่ายๆ แต่ก็ดูดีทีเดียวอย่างกับรีสอร์ทเชิงอนุรักษ์ รอบตัวบ้านมีแปลงปลูกผักและเล้าไก่เล็กๆดูน่ารักผิดกับเจ้าของบ้านลิบลับ
        “โห...สวยจัง นี่บ้านลุงเหรอ ?” สาวจ้าอุทานด้วยความประหลาดใจแกมชื่นชม จนหันไปถามชายหัวล้านที่เป็นคนพามา
        “ใช่ นี่แหละบ้านข้า” มาไซกล่าวอย่างหยิ่งๆแกมภูมิใจเล็กๆที่นานทีปีหนจะมีคนมาชมบ้านของตนซักที พลางตะโกนเรียกภรรยาซะดังลั่นบ้าน
        “มีอา....มีอา....ออกมานี่หน่อยสิ”
        เมื่อสิ้นสียงเรียกก็ปรากฏว่ามีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีรีบออกมาตามเสียงเรียก ก่อนที่จะเหล่มองมาทางหนุ่ม-สาวที่แต่งกายประหลาด
        “มีอะไรหรือจ๊ะพี่ แล้วนี่ใครกันเนี่ย ?” ล่าวถามอย่างสงสัย พลางจ้องมองสาวจ้ากับนายเฟริสตาไม่กระพริบ
        “อ๋อ....นี่เป็นคนที่ไปจับมาได้น่ะ แต่พ่อกลับปล่อยเจ้าพวกนี้แถมบังคับให้ข้ารับมาดูแลอีก” มาไซตอบภรรยา พลางตีสีหน้าไม่ค่อยชอบใจเท่าไร
        “เอาน่าพี่ ก็ถือซะว่าได้คนมาช่วยงานแล้วกัน ตัวแค่นี้เองคงกินกันไม่เท่าไหร่หรอกน่า” หญิงที่ชื่อมีอากล่าว พลางมองสองหนุ่มสาวอย่างพิจารณา
        “เอ้า ! พวกเจ้าตามข้าเข้ามาซี่ ยืนอยู่นั่นแหละจะได้กินข้าวกินปลากัน” มีอากล่าวก่อนจะเดินนำเข้าไปในบ้าน
        สาวจ้ากับนายเฟริสจึงเดินตามเข้าไป ทั้งหมดร่วมกันรับประทานอาหารซึ่งนั่นทำให้มีอาเปลี่ยนทัศนคติอย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นสองหนุ่มสาวต่างมิติกินข้าวเหมือนยัดนุ่น และคาดว่าข้าวที่พอกินตลอดปีคงจะเหลือกินได้ไม่เกินครึ่งปีแน่หากทั้งคู่ยังอยู่ด้วย ส่วนมาไซได้แต่กุมขมับว่าไม่น่าจับตัวพวกเขามาเลย และเด็กชายอากิตก็ได้มองอย่างทึ่งๆที่เห็นคนต่างถิ่น 2 คน สามารถยัดอาหารลงกระเพาะได้เยอะและเร็วถึงเพียงนี้
        ทั้งคู่อาศัยอยู่ในเผ่ากาสกาอย่างสนุกสนาน และได้รับการต้อนรับจากคนในเผ่าเป็นอย่างดี โดยทำงานเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนซึ่งทั้งมีอาและมาไซก็ต้องนับว่าพอทนกับ 2 หนุ่มสาวได้ เมื่อเทียบกับแรงงานที่ได้ไม่ว่าจะเป็นล่าสัตว์, ผ่าฟืน, ตักน้ำหรือทำไร่ ที่ดูจะเสร็จเร็วและได้ผลผลิตที่ดีขึ้น แต่ 2 หนุ่มสาวก็ยังไม่รู้อยู่ดีแหละว่าพวกเขาอยู่ส่วนไหนในหนังสือ จะรู้ก็เพียงแต่เป็นเผ่ากาสกาของชูวา ลูกสมุนตัวร้ายของพระราชินีนาเกียเท่านั้นเอง
                                                                                                                To be connext - - >>   
April 1,2005
April 2,2005
April 14,2005
April 15,2005  -->> JAJA: Writer
                                                        Chapter 12 : กาสกา
        ยามเช้าที่อากาศหนาวเหน็บ ไอหมอกลอยล่องวนอยู่บนยอดหญ้าที่มีน้ำค้างเกาะพร่างพราวเป็นประกายระยิบระยับยามต้องแสงแรกของรุ่งอรุณ กลิ่นดอกไม้ป่าหอมกรุ่นไปทั่ว เสียงนกร้องก้องกังวานไพรสลับกับเสียงสัตว์ป่าที่ดังเป็ฯระยะๆราวกับเป็นนาฬิกาธรรมชาติให้กับ 2 หนุ่มสาว ที่นอนขดและเบียดกันจนเป็นก้อนกลมๆอยู่ในเต็นท์สนามหลังกระทัดรัดสีส้มแปร๋น ตัดกับผืนป่าสีเขียวเข้มจนดูน่าประหลาด
        สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนทั้ง 2 ชีวิต ขยับกายตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศที่แสนจะหนาวเหน็บจนร่างทั้ง 2 สั่นสะท้านเมื่อเจออากาศที่เย็นจัดจนบาดผิวเนื้อบางๆนั้นอย่างช่วยไม่ได้
        “อูย~ หนาวชะมัด” เสียงครวญลอยออกมาจากร่างที่ซุกตัวอยู่ในผ้านวมผืนหนา แม้ว่าร่างนั้นจะตื่นขึ้นมาเต็มตาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ยอมลุกออกมาจากที่นอนอันแสนอบอุ่นนั้น
        “นายหญิง ลุกเถอะครับเช้าแล้ว” เสียงทุ้มๆกล่าวปลุก ทั้งๆที่เจ้าตัวก็ยังคงนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างไม่ยอมขยับเขยื่อนเคลื่อนกายไปไหนเช่นกัน
        “นายก็ลุกก่อนสิ” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากร่างที่ถูกพันกระหวัดด้วยผ้าห่มจนเป็นก้อนกลมๆเอ่ยเกี่ยงขึ้นก่อน
        “นายหญิงนั่นแหละลุกก่อน” เสียงทุ้มนั้นยังกล่าวเกี่ยงกลับไป
        “นายแหละลุกก่อน” เสียงที่ฟังดูเล็กกว่าเกี่ยงกลับมาอย่างไม่ลดละ
        “นายหญิงนั่นแหละ” เจ้าของเสียงทุ้มก็โบ้ยกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
        “นายนั่นแหละ” เสียงแหลมๆยิ่งแผดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ
        “นายหญิงนั่นแหละ” เจ้าคนปลุกก่อนยังเกี่ยงไม่เลิก
        “นายนั่นแหละเฟริส ลุกเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่ง!” สาวจ้าที่สุดจะทนก็ระเบิดเสียงออกมาดังลั่น ทำให้นายเฟริสรีบกระเด้งกายขึ้นมาจากที่นอนแทบไม่ทันด้วยความตกใจ
        “โธ่~ นายหญิง แค่นี้ก็ต้องตะคอกด้วย” เฟริสเอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจที่ถูกตะคอก
        “ก็นายเล่นนอนทับแขนชั้นซะจนเป็นเหน็บเลยนี่ เจ็บจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเป็นนายล่ะ นายจะทำยังไงฮะ ตัวก็หนักทับอยู่ได้ แขนชั้นจะหักแหล่มิหักแหล่อยู่แล้ว” สาวจ้าเอ่ยแจงต่อองครักษ์ประจำตัวด้วยเสียงและนัย ตาดุ จนนายเฟริสต้องเบือนสายตาหลบด้วยความสำนึกผิด
        “งั้นก็ขอโทษครับนายหญิง” นายเฟริสกล่าวขอโทษเสียงอ่อย ทันทีที่รู้สาเหตุอารมณ์เสียของนายสาว
        “เออ...ไม่เป็นไร” สาวจ้าตอบกลับอย่างนักเลง
        “แล้ววันนี้เราจะทำยังไงต่อดีล่ะครับนายหญิง” นายเฟริสหันไปถามความคิดเห็นเจ้านายที่นั่งอยู่ข้างๆ
        “ไม่รู้สิ  คงต้องหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยหาทางออกจากป่านี้ให้ได้ก่อนล่ะมั้ง” สาวจ้าตอบไปอย่างใจคิด
        “งั้นเราก็ไปล้างหน้ากันเถอะครับ จะได้หาอะไรทานแล้วรีบเก็บของออกเดินทางกัน” นายเฟริสเอ่ยชวน
        “อยู่แล้วล่ะย่ะ” สาวจ้ากระแทกเสียงใส่ด้วยความหมั่นไส้กลับไป เมื่อลูกน้องคิดจะทำตัวเป็นผู้สั่งการ
        ทันทีที่ทั้งคู่รูดซิปเต็นท์สีส้มแปร๋นนั้นออก ก็ต้องชะงักกึกอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่ยื่นดาบเล่มโตเข้ามาขวางหน้าทันทีที่ทั้งสองยื่นศีรษะผ่านผืนผ้าใบสีส้มออกไป พร้อมกับภาษาประหลาดที่ตะคอกออกมาจากริมฝีปากหนาของชายหัวโล้นคนหนึ่งในบรรดาแก๊งค์โล้นซ่าที่พร้อมใจกันชักดาบเล่มยักษ์ออกมาจ่อแถวๆคอของพวกเขาอยู่
        “zJEณ»คถM7>๏๙”
        สาวจ้าและนายเฟริสนั้นยังคงนั่งนิ่งตะลึงกับภาษาประหลาดที่สูงๆต่ำๆฟังดูวังเวงน่ากลัวเหมือนเสียงสวดมนต์อยู่นั้น ก็ได้นั่งสะดุ้งขึ้นมาอีกรอบ เมื่อเจ้ายักษ์ใหญ่คนเดิมตะคอกซ้ำขึ้นมาอีกรอบ ซึ่งพอทั้ง 2 นายบ่าวตั้งสติได้ ก็ได้แต่มองหน้ากันอยู่ไปมา พลางนั่งเกาหัวอย่างเง็งๆเพราะฟังที่นายนั่นพูดไม่ออกเลยซักคำ
        “ไอ้เถื่อนนั่นมันพูดไรอ่ะ นายฟังออกป่ะ” สาวจ้ากล่าวกระซิบเบาๆกับนายเฟริสด้วยสีหน้าเลิกลั่ก
        “ผมก็ฟังไม่ออกเหมือนกันครับ” เฟริสกระซิบเสียงเบาไม่แพ้กันตอบออกไป
        “แล้วอย่างนี่จะพูดกันรู้เรื่องเหรอ ?” สาวจ้ากระซิบถามอย่างเป็นกังวล
        “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” เฟริสกระซิบกลับมา พลางเหลือบสายตาไปมองกลุ่มโล้นซ่าอย่างไม่ไว้ใจ
        “แล้วนายเคยรู้อะไรบ้างมั้ยเนี่ย !” สาวจ้าจู่ๆก็เลือดขึ้นหน้าตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออด จนคนทั้งหมดสะดุ้ง ส่วนนายเฟริสที่นอกจากสะดุ้งแล้วยังผวาเข้ามากอดขานายหญิงของเขาแน่น เมื่อเหล่าโล้นซ่าเหล่านั้นถลาเข้ามาล้อมกรอบด้วยดาบอันเงาวับ พร้อมกับท่าเตรียมจู่โจมทันทีที่เหล่าคนแปลกถิ่นขยับกาย
        “เฮ้ย ! เดี๋ยวก่อน ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก่อน อุ๊บ! อึกๆ” สาวจ้าที่อ้าปากโบกมือห้ามเหล่าพี่โล้นซ่าอยู่ไปมาก็ได้แต่ดิ้นขลุกขลัก เมื่อถูกคนกลุ่มนั้นกลุ้มรุมใช้เชือกเส้นใหญ่มัดกายจนกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ แถมริมฝีปากยังถูกพันธนาการไว้ด้วยผ้าผืนโต ที่กลิ่นเหม็นตุๆพร้อมกับนายเฟริสที่นั่งนิ่งให้เหล่าโล้นซ่ามัดแต่โดยดี
          กลุ่มโล้นซ่าที่นุ่งผ้าเตี่ยวกันคนละผืน ได้ช่วยกันแบก 2 หนุ่มสาวที่ถูกมัดแล้วร้อยกับท่อนไม้ราวกับสัตว์ที่ถูกล่ามาได้ ไปตามทางด่านในป่าที่สลับซับซ้อนพร้อมกับซากเต้นท์สีส้มแสบตาที่ขาดวิ่น
        สาวจ้ากับนายเฟริสได้แต่กรอกตากันไปมา มองโน่นมองนี่ไปเรื่อยๆอย่างทำอะไรไม่ได้ ร่างกายก็กระเด้งกระดอนไปตามแรงกระแทกส้นเท้าของชายร่างใหญ่ที่ทำหน้าที่แบกพวกเขา พร้อมกับอาการเจ็บแสบจากการเสียดสีระหว่างผิวเนื้อ,เชือกและท่อนไม้
        ทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสภาพพื้นที่ จากป่าทึบค่อยๆแปรสภาพเป็นป่าเบญจพรรณและทุ่งหญ้าไล่ไปจนถึงเขตชนบทที่มีหมู่บ้านเล็กๆที่สร้างด้วยไม้และฟางเป็นหลัก ชาวบ้านที่ทำกิจวัตรกันไปตามวิถี เริ่มรวมตัวเกาะกลุ่มดูสิ่งประหลาดที่เหล่านักรบในหมู่บ้านได้แบกกลับมาด้วย
        หลังจากที่ 2 ผู้โชคร้ายที่ถูกแขวนห้อยมาเกือบตลอดครึ่งวัน ถูกแบกมาถึงกลางลานกว้าง ทั้ง 2 ก็ถูกโยนตุบลงไปกับพื้นดินแข็งๆอย่างไม่ปรานีปราศรัยนัก ด้านหน้าชายชราที่นั่งเป็นประธานอยู่กลางลานกว้าง
        “zJEณ»คถM7>๏๙” ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มที่จับสาวจ้ากับนายเฟริสมากล่าวกับผู้เฒ่าคนนั้นราวกับกำลังรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
        “zJEณ»คถM7>๏๙” ชายแก่ตอบกลับมาด้วยท่าทางสุขุมมีอำนาจ สายตาจับจ้องอยู่ที่เชลยทั้ง 2 ไม่วางตา แล้วหันไปพูดกับเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างๆ 2-3 คำ เด็กคนนั้นก็วิ่งไปซักพักก็วิ่งกลับมาใหม่พร้อมกับถ้วยใส่น้ำดินเผาใบย่อม ที่ก้าวเข้าไปป้อนถึงปากเชลยทั้ง 2 อย่างหวาดๆ ซึ่งสาวจ้ากับนายเฟริสก็ซดอักๆอย่างกระหาย พลางถอนหายใจอย่างสะดวกขึ้นกว่าเมื่อครู่
        “เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว...นึกว่าจะตายซะแล้ว” สาวจ้ากล่าวออกมาหลังจากซดน้ำไปหลายอึก
        “ เป็นยังไงบ้างครับนายหญิง” นายเฟริสเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วงหลังจากซดน้ำไปอึกใหญ่
        “ยังดีอยู่ แล้วนายล่ะ” สาวจ้าถามกลับ
        “ผมก็เหมือนกันครับ” นายเฟริสตอบกลับมา
        “แล้วเจ้าพวกนี้พาเรามาที่ไหนกันเนี่ย ?” สาวจ้าเอ่ยถามอย่างสงสัย พลางมองภูมิทัศน์โดยรอบรวมถึงฝูงชนที่เข้ามารุมล้อมอย่างแปลกใจ
        “สงสัยจะเป็นหมู่บ้านของพวกเขามั้งครับ” เฟริสเอ่ยสันนิษฐานตามที่เห็น
        “แล้วพวกเขาจับพวกเรามาทำไมล่ะ” สาวจ้าเอ่ยต่ออย่างสงสัย
        “ไม่ทราบครับ” เฟริสกล่าวตอบอย่างสัตย์จริงเป็นที่สุด
        “........-_-|||.......” สาวจ้า
        ในระหว่างที่ทั้ง 2 คุยกันอย่างเมามันอยู่นั้น สรรพสำเนียงโหวกเหวกต่างๆด้วยภาษาแปลกประหลาดที่ดังอยู่ก่อนนั้นก็พลันเงียบลง พร้อมกับสายตาแสดงความฉงนฉงายนับสิบคู่จ้องมองตรงไปยัง 2 หนุ่มสาวที่มัวแต่ปรึกษากันโดยไม่สนใจบุคคลรอบข้าง จนมีเสียงกระแอมกระไอขัดการสนทนาขึ้นมานั่นแหละ สาวจ้ากับนายเฟริสถึงหันไปสนใจต้นเสียง
        “แฮะ แฮ่ม!” เสียงกระแอมกระไอดังขึ้นจากชายชราที่นั่งเป็นประธานอยู่กลางลาน
        “ข้าคิดว่าข้าตอบคำถามของพวกเจ้าได้นะ” ประโยคที่ฟังรู้เรื่องดังออกมาจากท่านผู้เฒ่า ซึ่งเมื่อกี้ยังพูดเป็นภาษาต่างดาวอย่างน่าอัศจรรย์
        “แล้วพวกตาจับพวกเรามาทำไมล่ะ?” สาวจ้าถามอย่างสงสัย โดยไม่สนใจปฏิกิริยาที่สะดุ้งโหยงตกใจของผู้คนรอบข้าง และสีหน้าอึ้งๆของผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ตา’เลยซักนิด
        “ว่าไงล่ะตา!” สาวจ้าที่ยังตีหน้าฉงนถามต่อ อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
          “ตาเหรอ....เฮ่อ เฮ่อ เฮ่อ เฮ่อ ดีมากนังหนู ไม่มีใครกล้าเรียกข้าอย่างนี้มาก่อน (แล้วจะใครเรียกพี่รึงายยย : สาวจ้า) เจ้ากล้าหาญดีมาก ข้าชอบ...ที่พวกข้าจับพวกเจ้ามาก็เพราะว่าเจ้ารุกล้ำเข้ามาในเขตแดนกาสกาของเราน่ะสิ พวกเจ้าเป็นคนของฮิทไทต์ใช่มั๊ย?” ชายชราคนนั้นหัวเราะก่อนตอบอย่างอารมณ์ดี แต่น้ำเสียงตอนท้ายติดจะคาดคั้นเอาความแบบตำรวจสอบสวนผู้ร้ายอย่างไรอย่างนั้น เสียแต่ไม่มีไฟมาคอยส่องหน้าผู้ต้องหาอย่างสาวจ้ากับนายเฟริส
        “ไม่ใช่หรอกครับ” นายเฟริสเอ่ยปฏิเสธพร้อมกับส่ายหัวหวืดอย่างเร็ว
        “งั้นพวกเจ้าเป็นคนไมแทนนีรึ ?” ตาเฒ่านั่นยังคงคาดเดาต่อไป
        “ไม่ใช่อ่ะตา” สาวจ้าตอบปฏิเสธบ้าง
        “งั้นก็อียิปต์” ชายชรายังคงถามเดกาสุ่มต่อไป
        “โธ่! ขาวออกพรรค์นี้จะเป็นอียิปต์ได้ไง ถามไม่ดูเลยตานี่” สาวจ้าตอบพลางส่ายหน้ากับลูกมั่วของชายตรงหน้า
        “บาบิโลเนีย.....อัสซีเรีย.....” ชายชรายังร่ายต่อ ซึ่งแต่ละประเทศเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งนั้น ซึ่งสองหนุ่มสาวแปลกหน้าก็พากันส่ายหัวหวืดเหมือนเคย จนชายชราเริ่มออกอาการหงุดหงิด ก่อนที่จะโพล่งถามออกมา
        “แล้วพวกเจ้าเป็นคนของดินแดนไหนกัน” น้ำเสียงหงุดหงิดแกมอยากรู้อยู่ในที
        “จุ๊ จุ๊ ใจเย็นตา หงุดหงิดมากๆเดี๋ยวหัวใจจะวายตายซะก่อนบาปเปล่าๆ พวกชั้นมาจากดินแดนที่ไกลแสนไกลจากทิศตะวันออกทางเอเชียอาคเนโน่นแน่ะ มันไกลมากๆเลยเพราะเป็นประเทศที่ชื่อว่า Thailandจ๊ะ” สาวจ้าจุ๊ปาก ก่อนจะอธิบายอย่างช่างสำบัดสำนวน
        “แล้วพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เฒ่าชราถามอย่างสงสัยในจุดประสงค์ที่พวกสาวจ้าเดินทางมาไกลถึงที่นี่
        “พวกเราเป็นนักศึกษาจ๊ะ พวกเราเดินทางกันมาที่แถบนี้เพื่อศึกษาอารยธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ว่าอยู่กันอย่างไร และศึกษาประวัติชนชาติของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร” สาวจ้าปั้นเรื่องอย่างคล่องวแคล่วโดยยกเอาหัวข้อรายงานที่เพิ่งได้รับเมื่อ 3 วันก่อนมาพูด (อิ อิ มาทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้มหน่อย ได้ทั้งสนุก งานการก็ไม่เสียด้วย : สาวจ้า / ดีมากครับนายหญิง : เฟริส) แต่นั่นก็ไม่ทำให้ชายชราและเหล่านักรบหายระแวง
        “และพวกเพื่อนๆของเราที่มาด้วยกัน ซึ่งนอกจากหนูกับนายคนนี้น่ะได้หายตัวไป พวกเราเลยต้องช่วยกันค้นหาน่ะจ๊ะ แต่ดันมาเจอพวกของตาจับมาซะก่อน ไม่รู้ป่านนี้เพื่อนๆชั้นเป็นยังไงกันบ้างแต่ละคนยิ่งเป็นลูกคุณหนูกันอยู่ด้วย สงสัยป่านนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่งกันเป็นแถวแล้ว” สาวจ้าที่ยังคงปั้นเรื่องต่อไปเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ ส่วนนายเฟริสก็ได้แต่ทำหน้าสลดกับความสามารถที่ไม่น่าชื่นชมให้กับนายหญิงคนนี้
        “เอาล่ะ สรุปว่าพวกเจ้าเป็นนักศึกษามาจากต่างแดนและกำลังตามหาเพื่อนๆของเจ้าอยู่ใช่มั้ย ?” ตาเฒ่าถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่ก่อน
        “จ๊ะ/ครับ” ทั้งสาวจ้าและนายเฟริสตอบพร้อมกันอย่างกระตือรือร้น
        “งั้นพวกเจ้าเป็นอิสระแล้ว เอ้า...อากิตเจ้าไปแก้เชือกทีซิ” ชายชรากล่าวอย่างใจดี และหันไปสั่งเด็กชายที่พักก่อนมาป้อนน้ำให้ไปแก้เชือกให้กับเชลยทั้ง 2
        “ขอบใจจ๊ะ” สาวจ้าหันไปกล่าวขอบใจเด็กชายอากิตที่มาช่วยแก้เชือกให้พร้อมรอยยิ้มหวานจนเด็กชายหน้าแดงเป็นริ้วๆก่อนที่จะวิ่งกลับไปยืนอยู่ข้างๆชายชราเช่นเดิม
        “ข้าชื่อ ลากูร เป็นหมอผีของเผ่ากาสกา แล้วพวกเจ้าล่ะ” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยแนะนำตัวเองก่อนจะถามอดีดเชลยทั้ง 2
        “เออ....หนูชื่อจ้าจ๊ะ ส่วนเพื่อนหนูชื่อเฟริส” สาวจ้าเอ่ยตอบ โดยมีนายเฟริสนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างๆ
        “อืม....เจ้าหนุ่ม เจ้าตอบเองไม่เป็นรึถึงได้ให้นังหนูนี่มันตอบแทนน่ะ” ท่านผู้เฒ่าส่งสายตาไม่ชอบใจส่งไปยังเฟริสผู้น่าสงสารอย่างสมเพชในความไม่มีปากเสียงของหนุ่มน้อย
        “ตอบเป็นครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะแทรกตรงไหนดี” เฟริสตอบชายชรา พลางเหล่สายตาไปทางนายสาวเป็นทำนองว่าไม่ใช่ความผิดของผม ทำให้สาวจ้าต้องส่งสายตาเขียวปัดมากำหลาบ ทำให้นายเฟริสเหวอไปในทันที (สายตาพิฆาตน่ะรู้จักมะ : สาวจ้า / นายหญิงอ่ะ ทุกทีเลยงอนแล้วด้วย : เฟริส / เป็นผู้ชายซะเปล่า เชิญงอนไปตามสบายเลยย่ะ ไม่ง้อหรอกแบร่~ : สาวจ้า / นายหญิงอ่ะ ใจร้าย~ เค้าร้องแล้วน้า แง้ๆๆๆ : เฟริส / -_-||| : สาวจ้า)
        “งั้นรึ เฮ่อ เฮ่อ เฮ่อ งั้นก็เชิญพวกเจ้าพักที่นี่กันก่อนแล้วกัน” พ่อเฒ่ากล่าวอย่างใจดี
        “ขอบคุณค่ะ/ครับ” สาวจ้ากับนายเฟริสกล่าวอย่างดีใจ อย่างน้อยพวกเขาก็มีที่พักในเวลานี้ ไม่ต้องระเหเร่ร่อนกลางป่าตามลำพัง
        “ไม่เป็นไร งั้นพวกเจ้าก็พักที่บ้านลูกชายข้าก็แล้วกัน เขาเป็นพ่อของอากิตหลานข้า” พ่อเฒ่าเสนอแกมบังคับ
        “จะดีหรือพ่อ” เสียงชายหัวล้านหน้าเหี้ยมที่เป็นคนจับตัวสาวจ้ากับนายเฟริสเอ่ยขัดด้วยสีหน้าลำบากใจ
        “ดีสิ ก็เจ้าเป็นคนเอาตัว 2 คนนี้มานะมาไซ ดังนั้นเจ้าต้องเป็นคนรับผิดชอบ” พ่อเฒ่ากล่าวพร้อมกับทำหน้าดุๆใส่ลูกชาย
        “ครับ ท่านพ่อ เอ้า! พวกเจ้าตามข้ามาสิ มัวแต่นั่งคุยกันอยู่ได้” มาไซ นักรบหัวล้านหน้าเหี้ยมชาวกาสกาหันมาดุ 2 หนุ่มสาวจากต่างแดน ก่อนที่จะเดินนำแหวกฝูงชนไปยังที่พัก ซึ่งสาวจ้ากับนายเฟริสก็โค้งลาพ่อเฒ่าอย่างมารยาทดี
        สาวจ้ากับนายเฟริสเดินตามนักรบหัวล้านที่ชื่อมาไซไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับฝูงชนที่เริ่มจะสลายตัวไปทำกิจกรรมอันที่ควรจะเป็นกันตามปกติ จนกระทั่งถึงบ้านที่หลังค่อนข้างใหญ่กว่าบ้านของคนในหมู่บ้านเล็กน้อย ที่สร้างด้วยวัสดุธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยไม้และหญ้าแฝกมุงหลังคา
        สาวจ้ามองดูบ้านไม้ชั้นเดียวที่ปูไม้กระดานอย่างทึ่งๆ เพราะถึงแม้ว่ามันจะดูง่ายๆ แต่ก็ดูดีทีเดียวอย่างกับรีสอร์ทเชิงอนุรักษ์ รอบตัวบ้านมีแปลงปลูกผักและเล้าไก่เล็กๆดูน่ารักผิดกับเจ้าของบ้านลิบลับ
        “โห...สวยจัง นี่บ้านลุงเหรอ ?” สาวจ้าอุทานด้วยความประหลาดใจแกมชื่นชม จนหันไปถามชายหัวล้านที่เป็นคนพามา
        “ใช่ นี่แหละบ้านข้า” มาไซกล่าวอย่างหยิ่งๆแกมภูมิใจเล็กๆที่นานทีปีหนจะมีคนมาชมบ้านของตนซักที พลางตะโกนเรียกภรรยาซะดังลั่นบ้าน
        “มีอา....มีอา....ออกมานี่หน่อยสิ”
        เมื่อสิ้นสียงเรียกก็ปรากฏว่ามีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีรีบออกมาตามเสียงเรียก ก่อนที่จะเหล่มองมาทางหนุ่ม-สาวที่แต่งกายประหลาด
        “มีอะไรหรือจ๊ะพี่ แล้วนี่ใครกันเนี่ย ?” ล่าวถามอย่างสงสัย พลางจ้องมองสาวจ้ากับนายเฟริสตาไม่กระพริบ
        “อ๋อ....นี่เป็นคนที่ไปจับมาได้น่ะ แต่พ่อกลับปล่อยเจ้าพวกนี้แถมบังคับให้ข้ารับมาดูแลอีก” มาไซตอบภรรยา พลางตีสีหน้าไม่ค่อยชอบใจเท่าไร
        “เอาน่าพี่ ก็ถือซะว่าได้คนมาช่วยงานแล้วกัน ตัวแค่นี้เองคงกินกันไม่เท่าไหร่หรอกน่า” หญิงที่ชื่อมีอากล่าว พลางมองสองหนุ่มสาวอย่างพิจารณา
        “เอ้า ! พวกเจ้าตามข้าเข้ามาซี่ ยืนอยู่นั่นแหละจะได้กินข้าวกินปลากัน” มีอากล่าวก่อนจะเดินนำเข้าไปในบ้าน
        สาวจ้ากับนายเฟริสจึงเดินตามเข้าไป ทั้งหมดร่วมกันรับประทานอาหารซึ่งนั่นทำให้มีอาเปลี่ยนทัศนคติอย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นสองหนุ่มสาวต่างมิติกินข้าวเหมือนยัดนุ่น และคาดว่าข้าวที่พอกินตลอดปีคงจะเหลือกินได้ไม่เกินครึ่งปีแน่หากทั้งคู่ยังอยู่ด้วย ส่วนมาไซได้แต่กุมขมับว่าไม่น่าจับตัวพวกเขามาเลย และเด็กชายอากิตก็ได้มองอย่างทึ่งๆที่เห็นคนต่างถิ่น 2 คน สามารถยัดอาหารลงกระเพาะได้เยอะและเร็วถึงเพียงนี้
        ทั้งคู่อาศัยอยู่ในเผ่ากาสกาอย่างสนุกสนาน และได้รับการต้อนรับจากคนในเผ่าเป็นอย่างดี โดยทำงานเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนซึ่งทั้งมีอาและมาไซก็ต้องนับว่าพอทนกับ 2 หนุ่มสาวได้ เมื่อเทียบกับแรงงานที่ได้ไม่ว่าจะเป็นล่าสัตว์, ผ่าฟืน, ตักน้ำหรือทำไร่ ที่ดูจะเสร็จเร็วและได้ผลผลิตที่ดีขึ้น แต่ 2 หนุ่มสาวก็ยังไม่รู้อยู่ดีแหละว่าพวกเขาอยู่ส่วนไหนในหนังสือ จะรู้ก็เพียงแต่เป็นเผ่ากาสกาของชูวา ลูกสมุนตัวร้ายของพระราชินีนาเกียเท่านั้นเอง
                                                                                                                To be connext - - >>   
April 1,2005
April 2,2005
April 14,2005
April 15,2005  -->> JAJA: Writer
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น