ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 11 : เพื่อนที่หายไป
        ส่วนทางด้านสาวเก๋ เมื่อขาดการณ์ติดต่อกับสาวจ้าไปแล้ว ก็กลับเป็นกังวล เพราะเพิ่งรับรู้ว่าสถานการณ์ด้านของตัวเองที่ไม่ค่อยดีนัก มองซ้ายมองขวา ทางมันก็เหมือนๆกันไปหมด ไม่รู้จะไปทางไหนดี  แล้วยังต้องตามหาเจ้าชายคา...คา....อะไรซักอย่างนี่อีก ขืนปล่อยให้บรรดาหนุ่มๆมินิสเกิต (ทหาร) พวกนั้นจับได้ มีหวังโดนเชือดแน่ ไอ้จ้านะไอ้จ้า ไอ้เพื่อนสับปรับหลอกกันได้ หนอย....เรื่องนี้นะพระเอกนางเอกเจอกัน รักกัน แล้วพากันไปเที่ยวทั้งเรื่องขี้โม้นี่หว่า อย่าให้เจอตัวนะ แม่จะจับหักคอจิ้มน้ำพริกซะให้เข็ด สาวเก๋คิดอย่างฉุนๆ พลางวิ่งนำนายไมค์ไปทางที่ไม่ค่อยมีผู้คน
        “א ב ג ד ה ו ז ח ט י ך כ ל ם מ ן”
        แล้วก็มีเสียงตะโกนขึ้นมาเป็นภาษาแปลกๆ ที่สาวเก๋ฟังไม่ออกขึ้นที่มุมตึกที่ดูเหมือนกล่องสีแดงนั้นประหลาดๆนั้น และในนาทีเดียวกันกลุ่มทหารที่ผ้าพันเอวผืนสั้นสีขาวที่ดูเหมือนมินิสเกิต กับแถบสายสะพายสีขาวเหมือนของนางงามที่คาดเฉียงทับไขว้กันสองอัน และผ้าโพกหัวสีขาวที่ทิ้งตัวสะบัดไปมาอยู่เบื้องหลัง สวมรองเท้าสานหุ้มขึ้นมาถึงเข่า ในมือถือหอกกันคนละเล่ม แถมสะพายดาบไว้ที่เอวจนดังแกรกกรากเวลาวิ่ง ต่างพุ่งตรงมาที่เธอพร้อมตะคอกด้วยภาษาแปลกๆนั่นอีก จนเธอต้องวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าพวกเขาวิ่งตามเธอมาทำไม แต่การที่วิ่งตามมาทั้งที่อาวุธมีคมอยู่ในมือเช่นนี้ ต้องเดาไว้ก่อนว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
                  เธอวิ่งเลี้ยวเข้าซอยแคบๆเข้าไปซอยหนึ่งที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน โดยไม่สนใจว่าองครักษ์ของเธอจะวิ่งตามเธอมารึเปล่า แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเพราะมีคนคลุมผ้าสีน้ำเงินเข้มจนมิดทั้งตัวยืนขวางหน้าอยู่ เมื่อคนที่ขวางอยู่ปลดผ้าคลุมลงจนสามารถมองเห็นหน้ากันได้ สาวเก๋ก็พบว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามทีเดียว ตัวสูง ผิวขาว ผมสีน้ำตาลอ่อนๆจนเกือบทอง หน้าสวยยังกะผู้หญิง จนแอบอุทานในใจว่าอุตส่าห์มาเจอฝรั่งหล่อๆในที่แบบนี้ เขาหล่อพอจะเป็นดาราหรือนายแบบได้อย่างสบายๆ แต่แล้วชายคนนั้นก็ขยับปาก พูดออกมาเป็นภาษาแปลกๆ ซึ่งสาวเก๋ฟังไม่ออก 
            “נ ס ע ף פ ץ צ ק ר ש ת װ ױ ע ץ”
        “...............” สาวเก๋ซึ่งฟังไม่ออกก็ได้แต่เงียบไป แล้วก็ทำท่าเลิกลั่ก เมื่อได้ยินเสียงอึกทึกที่ไล่ตามหลังมาพร้อมกับภาษาแปลกๆนั่นอีกแล้ว
        “ב ד ח ך ג ם ש ע נ ק ט”
        ในระหว่างที่สาวเก๋กำลังคิดว่าจะทำยังไงนั่นเอง ก็รู้สึกเหมือนถูกดึงแขนไปด้านหลังอย่างแรงจนหงายหลัง ซึ่งวูบหนึ่งก็ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เพราะชายหน้าสวยคนนั้นดึงเธอลงไปนอนจูบบนพื้นโดยใช้ผ้าคลุมตัวทั้งเขาและเธอเอาไว้จนมิด มันเป็นจูบแรกที่เร่าร้อนรุนแรงในแบบที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต จนทำให้ประสาทในการรับรู้มึนงงไปหมด ทั้งอึดอัด ทั้งน่าตื่นใจจนแยกไม่ถูก
        “เฮ่! มีผู้หญิงวิ่งมาทางนี้ใช่มั้ย มันไปไหนแล้ว !?” เสียงพวกทหารตะคอกถามชายคนที่กำลังล่วงเกินเธออยู่นั้น ทำให้เขาต้องละมือจากเธอชั่วคราว แต่ก็ยังมีกะใจเอื้อมมือมาปิดปากเธอเสียแน่น พร้อมกับขยับตัวบังเธอเอาไว้
        “ผู้หญิง” เขาเอ่ยเบาๆ พลางค่อยๆเลิกผ้าคลุมโผล่หน้าออกไปดู โดยที่มือยังอุดปากสาวเก๋แน่น ก่อนตอบพวกทหารไปว่า
        “ฉันไม่ทันสังเกตด้วยสิ เพราะตอนที่อยู่กับผู้หญิง ฉันไม่มองผู้หญิงอื่นหรอก” ชายคนนั้นเอ่ยออกไปเรียบๆ
        “ทะ...ท่านคาอิล  ทำไมมาอยู่ในที่แบบนี้ล่ะครับ !?” พวกทหารพากันแตกตื่นเมื่อเห็นว่าพวกตนกำลังพูดอยู่กับใคร พลางกล่าวถามบุรุษหน้าสวยอย่างสุภาพ
        “เอ่อ....คือพวกเรากำลังตามหาผู้หญิง....ผู้หญิงที่แต่งตัวแปลกๆวิ่งมาทางนี้....” พวกทหารยังพูดไม่ทันจบก็ถูกพูดแทรกด้วยเสียงที่แสดงว่ากำลังไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ของคนตรงหน้า
        “ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้เรื่อง ฉันกำลังมีความสุขกับผู้หญิงที่เพิ่งจีบมาได้สำเร็จ อย่ามาเกะกะได้มั้ย ไสหัวไปซะ!” ชายหนุ่มตะคอก
        “คะ....ครับ” พวกทหารที่ถูกตะคอกรับคำและวิ่งเผ่นแน่บกันแทบไม่ทันกับคำสั่งประกาศิตนั้น ซึ่งทุกประโยคสาวเก๋ก็ฟังเข้าใจทุกคำด้วยความสับสนว่า จู่ๆตนสามารถฟังออกได้อย่างไร
        “เธอแต่งตัวแปลกจริงๆด้วยสิ เป็นคนของดินแดนไหนล่ะ ไปทำอะไรมาถึงถูกทหารรักษาพระองค์ของราชินีวิ่งไล่ตามเอาแบบนี้ ?” ชายคนนั้นปล่อยสาวเก๋ให้เป็นอิสระ พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย สายตาก็สำรวจเครื่องแต่งตัวที่เป็นเสื้อแบบผู้หญิงรัดรูปตัวเล็กสีแดงเลือดหมู สกีนลายหัวนกอินทรีอันใหญ่สีขาว กับกางเกงเจโนสีขาวเอวต่ำตามสมัยนิยม มองเห็นสะดือที่ถูกเจาะประดับด้วยจิลพลอยอันใหญ่สีชมพูอ่อน กับสีฟ้าอ่อน สวมรองเท้าคัชชูหัวโตเปิดส้นสีขาว เจาะหูขวา 1 รู หูซ้าย 3 รู เครื่องประดับหูที่ใส่ไม่เหมือนกันเลยซักอัน สร้อยที่สวมก็เส้นเล็กมากๆที่มีจี้อันเล็กแปลกๆ (รูปหัวใจ) แหวนและกำไลข้อมือก็เป็นแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ดูมีเสน่ห์เย้ายวนดึงดูดใจ ที่ข้อมือด้านขวาคาดอะไรบางอย่างแปลกๆ(นาฬิกา)  ซึ่งเขาบอกตัวเองว่าผู้หญิงคนนี้แต่งตัวได้แปลกมากๆ และมองเธออย่างประหลาดใจ
        สาวเก๋ ซึ่งกำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ คิดอย่างสับสนว่าอะไรคือทหารรักษาพระองค์ของราชินี มันเกี่ยวอะไรกับเธอ ทำไมถึงต้องไล่จับกัน เธอทำอะไรผิด แล้วผู้ชายคนนี้ช่วยเธอไว้หรือเนี่ย เค้าคือเจ้าชายคาอิลที่ไอ้จ้ามันให้เธอตามหาอย่างนั้นหรือ แต่ยิ่งกว่านั้นทำไมจู่ๆเธอถึงเข้าใจคำพูดของพวกเค้าได้หมดทุกประโยค ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอฟังไม่ออกเลย หรือจะเป็นเพราะจูบเมื่อกี้.......เมื่อคิดถึงตรงนี้สาวเก๋ก็ยกมือขึ้นแตะปากทันทีอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนเจ้าชายที่สังเกตเห็นเข้าก็ยิ้มออกมาบางๆ และพูดออกมาอย่างคะนองปากออกมาว่า
        “หรือว่ากำลังโกรธเรื่องเมื่อกี้....ถ้าไม่พอใจที่ฉันทำครึ่งๆกลางๆ จะต่อให้จบไหมล่ะ พอดีผู้หญิงที่ฉันนัดไว้ก็ดันผิดนัดซะด้วย” เจ้าชายพูดยิ้มๆ
        “เฮ่ เดี๋ยวสิ!!” เจ้าชายรีบเรียกเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันการณ์ เมื่อสาวเก๋ลุกพรวดวิ่งหนีไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขาจบประโยค
        สาวเก๋วิ่งหนีไปด้วยความตกใจอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ กลัวทหารก็กลัว แต่ที่กลัวยิ่งกว่า คือกลัวเจ้าชายบ้านั่นจะตามมาจับตัวเธอไปทำมิดีมิร้ายมากกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สวยหยาดเยิ้มเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่ไหน แต่ก็ยังนับว่าสวยล่ะน่า อย่างน้อยก็พอไปวัดไปวาตอนสายๆได้ไม่อายใคร ผิวเข้ม ตาคม ดูสวยสง่าอย่างสาวใต้ทั่วไป
        ตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลใจที่สุดจริงๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นนายไมค์คู่หูของเธอ ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หลงไปอยู่เสียที่ไหน(หรือไม่เธอนั่นแหละที่หลง) ถ้าตอนนี้อยู่ด้วยกันก็คงช่วยกันหาทางหนีทีไล่ได้บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องวิ่งทะเล่อทะล่าตกเป็นเป้านิ่งอยู่คนเดียว
        แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรออก เส้นผมบังภูเขาเสียจริงเชียว นาฬิกาอย่างไรล่ะ แค่นี้ก็ติดต่อนายไมค์ได้แล้ว บื้อจริงเชียว เธอนึกติหนิตัวเอง พลางยกนาฬิกาขึ้นติดต่อกับคู่หูคู่บารมีทันที และนัดพบเขาให้ออกมาเจอเธอด่วน
        รอไม่นานแค่ชั่วหม้อข้าวเดือด นายไมค์ที่แต่งตัวแปลกๆ วิ่งตรงมาที่เธอในทันที หลังจากที่ซักถามกันได้ชั่วครู่ สาวเก๋ก็คว้าเศษผ้าที่นายไมค์หอบหิ้วมาด้วยนั้นไปแอบเปลี่ยนที่หลังพุ่มไม้ แล้วก้าวออกมาในมาดของสาวโบราณ จนนายไมค์แอบอมยิ้มที่เจ้านายทำตัวได้กลมกลืนดีแท้ๆ (จะว่าน้องเป็นสาวโบราณน่ะสิ : สาวเก๋ พูดแล่งใต้ใส่ / เปล่าครับ ผมพูดด้วยความชื่นชมต่างหากครับ : ไมค์ )
        หลังจากที่ปลอมตัวเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ทำตัวให้กลมกลืนกับผู้คนในเมืองไปได้ไม่ยาก ต่างช่วยกันหาที่พัก โดยการขอไปเป็นคนงานในโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองฮัตตูซา เพื่อแลกกับอาหารและที่พัก ซึ่งเถ้าแก่ก็ใจดีให้ค่าแรงด้วยถึงวันละ 2 ซิลเวอร์ ส่วนพวกทหารก็ยังคงตามหาเธอหัวปั่นต่อไป (ชาตินี้ก็หาไม่เจอ แบร่ : สาวเก๋) เรื่องอะไรเธอจะต้องเดินตามเนื้อเรื่องที่ไอ้จ้ามันเล่าไว้ด้วยล่ะ น้ำเน่า ถึงเจ้าชายนั่นจะหล่อ แต่ก็เจ้าชู้น่าดูแถมขโมยเฟริสคิสของชั้นไปอีกต่างหาก (คนที่จะมาเป็นแฟนชั้นน่ะต้องหนุ่มใต้เท่านั้นย่ะ : สาวเก๋)  แค่นี้ก็เปลืองตัวจะแย่ ชั้นไม่คิดจะเอาความบริสุทธิ์ผุดผ่องมาทิ้งในโลกหนังสือซะหน่อย ตอนนี้ก็คงต้องรอเวลา กับตามหาอัญมณีไปพลางๆก่อนล่ะนะ สาวเก๋คิดอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหลับไปด้วยความเหนื่อยๆล้า ณ ห้องพักคนงานเล็กๆในโรงแรมพร้อมด้วยนายไมค์............
          <<<<<>>>>><<<<<>>>>><<<<<>>>>>   
          ทางด้านสาวแป๋มกับสาวป๋อมก็ใช่จะสบายนัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดมีทหารไล่กวดเหมือนสาวเก๋ แต่ก็ต้องหลบให้ไกลจากผู้คนเช่นกัน
        “ป๋อม ชั้นกลัวจังเลยล่ะ เราจะทำยังไงต่อไปดี.....” สาวแป๋มพูดอย่างเป็นกังวล พลางเกาะสาวป๋อมแน่นไม่ปล่อย
        “ไม่เป็นไรนะคะ อย่างน้อยเราก็อยู่กันในเมือง ค่อยๆคิดหาหนทางเอาก็ได้ค่ะคุณแป๋ม” สาวป๋อมพูดปลอบอย่างอ่อนโยน
        “แล้วคนที่นี่พูดภาษาอะไรกันก็ไม่รู้ฟังไม่ออก” สาวแป๋มบ่นงึมงำไปตามเรื่องตามราว
        “ดิฉันก็ฟังไม่ออกเหมือนกันค่ะ” สาวป๋อมบอกบ้าง  พลางเอื้อมมือเก็บลูกเบอร์รี่ที่อยู่แถวนั้นให้สาวแป๋ม ซึ่งเธอก็แบ่งให้คนเก็บให้ชิมด้วย แล้วทั้งคู่ก็นั่งกินลูกเบอร์รี่กันอย่างเอร็ดอร่อย
        ในระหว่างที่ทั้งคู่นั่งโซ้ยเบอร์รี่กันอยู่ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งนั้น ก็ปรากฏว่าที่บริเวณใกล้ๆนั้นมีคณะเต้นรำชื่อดังของวาชูกันนีตั้งค่ายพักแรมอยู่พอดี  เมื่อทั้งคู่ลองเข้าไปดูก็ปรากฏว่าสามารถฟังภาษาพวกนั้นออกแล้ว จึงเข้าไปขอสมัครงานกับเจ้าของคณะที่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนหน้าตาหมดจด ซึ่งแม่ครูก็รับทั้งคู่เข้ามาทำงานรับใช้นางรำ ที่เพิ่งได้มาใหม่ ซึ่งทั้งสองคนก็ตกลงเพราะยังไงก็คงดีกว่าเดินเร่รอนไปอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง และทางคณะยังต้องเดินทางไปแสดงยังที่ต่างๆ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้พวกเธอได้ตามหาเพื่อนๆ และอัญมณีที่เหลืออยู่แน่ๆ
        นางรำที่พวกเธอต้องคอยรับใช้นั้นชื่อนารีอา เป็นเด็กสาวอายุประมาณ 15 16 ผิวขาวผ่องนวลเนียน รูปร่างอวบอัดมัดใจชาย กิริยาท่าทางอ่อนช้อยงดงาม เสียงใสกังวานเหมือนระฆังเงิน นับได้ว่าเป็นเด็กสาวที่สวยจริงๆ แถมยังไม่ถือตัว ทำให้สาวป๋อมกับสาวแป๋มเอ็นดูเธออย่างมาก
        “นี่ นี่ พวกพี่ไม่ใช่คนไมแทนนีใช่มั๊ยจ๊ะ มาจากดินแดนไหนน่ะ” สาวน้อยนารีอา เอ่ยถามเสียงใสกับสองสาวที่มาเป็นคนดูแลใหม่
        “พี่มาจากประเทศไทยน่ะ เป็นประเทศที่ไกลจากที่นี่มากๆ พี่ชื่อแป๋มนะ ส่วนพี่คนโน้นชื่อพี่ป๋อม” สาวแป๋มยิ้มแย้มตอบ พร้อมกับแนะนำตัว
        “หนูชื่อนารีอา เป็นนางรำคนใหม่ของคณะจ๊ะ พี่แป๋มจ๋า พี่นี่แต่งตัวแปลกๆนะจ๊ะ” นารีอาเอ่ยทัก พลางมองเสื้อผ้าของสาวแป๋ม และสาวป๋อมอย่างสำรวจ สาวแป๋มอยู่ในชุดเสื้อยืดคอปาดสีเขียวขี้ม้าขนาดพอดีตัว กับกระโปรงยีนสีซีดยาวพอดีเข่า กับรองเท้ารัดส้นสีน้ำตาลนำสมัย ข้อมือคาดนาฬิกาสีเขียวสายยีนเข้ากับชุด ส่วนสาวป๋อม อยู่ในชุดเสื้อแขนกุดสีครีมเนื้อนิ่มมันวาว กับกางเกงผ้าสีดำยาวพอดีตัว สวมรองเท้าหนีบคู่สวยสีขาวดูเข้าชุดกัน และสวมนาฬิกาเหมือนกับของสาวแป๋ม
        “แปลกเหรอ.....งั้นต้องใส่ยังไงล่ะถึงจะไม่แปลก” สาวแป๋มถามขึ้นมาอย่างซื่อๆ ซึ่งนารีอาก็รีบไปค้นๆตามกองเสื้อผ้าพักเดียวก็วิ่งกลับมายื่นเสื้อผ้ามาให้พวกเธอคนละชุด ที่ยืนมองหน้ากันพลางฉวยเอาไปเปลี่ยนหลังฉาก
        “อย่างนี้สิถึงไม่แปลก” นารีอาบอกออกมา พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นสองสาวอายุราวพี่แต่งเครื่องแต่งกายที่เธอหาให้ มันเป็นเสื้อลายดอกตัวยาวถึงข้อเท้า แขนยาวจนต้องจับพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก และผูกเชือกหรือแถบผ้าที่เอวแทนเข็มขัด  เหมือนชุดวันพีชในยุคของเธอ
        “ขอบใจนะจ๊ะ” สาวแป๋มและสาวป๋อมบอกขอบคุณสาวน้อยตรงหน้าในความเอื้ออารี แล้วนั่งลงปักหลักคุยกับสาวน้อยอย่างสนุกสนาน และเริ่มลงมือทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจนหมดวัน และเข้านอนด้วยความสบายใจเหมือนนอนอยู่ที่บ้านตนเอง
          <<<<<<>>>>><<<<<>>>>><<<<<>>>>>
        ณ กลางทะเลทราย ที่เปลี่ยวร้างไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ ยกเว้นสาวส้ม และสาวแคร์ ที่กำลังกางร่มเดินลุยทรายสูงๆต่ำๆ มุ่งหน้าลงใต้หลังจากที่เห็นโอเอซิสอยู่ลิบๆ
        พวกเธอเหงื่อไหลโทรมกายเหมือนเอาน้ำมาราดจนชุ่มเสียทั้งตัว แต่ก็ยังไม่นึกย่อท้อเพราะเห็นว่าสิ่งที่หวังมันอยู่ข้างหน้า โอเอซิสเขียวขจี  ต้นไม้ร่มครึ้มกันแดดร้อนแรง  น้ำเย็นใสดับกระหายคลายร้อน
        พวกเธอเร่งฝีเท้ากันมากขึ้นๆ แต่ดูเหมือนสิ่งที่หวังนั้นไกลความจริงเหลือเกิน เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเสียที แถมระยะทางก็ยิ่งดูเหมือนจะทอดยาวออกไปเป็นเงาตามตัว นี่กระมังภาพมายาแห่งทะเลทราย พวกเธอคงจะโดนเข้าให้แล้ว เคยอ่านหนังสือมาก็ตั้งมาก มีผู้รู้กล่าวเอาไว้ว่าเวลาเดินอยู่ในทะเลทรายนานๆ ทรายมันจะหลอนก่อให้เกิดภาพลวงตาได้......ภาพลวงตาเป็นแบบนี้เอง
        แล้วจู่ๆสาวส้มก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น เนื่องจากเกิดหน้ามืดขึ้นมากะทันหันจนแคร์ ต้องรีบมาดูแลเฝ้าประคองแก้ไขอยู่นานพอสมควร ปกติเธอก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่แล้ว ออกจะขี้โรคด้วยซ้ำไป เป็นอะไรแต่ละทีต้องขนหมอมารักษาเกือบทั้งโรงพยาบาลก็บ่อยไป แต่นี้.....ต้องมาเดินสมบุกสมบันกลางทะเลทรายไปครึ่งค่อนวันอย่างนี้ อย่าว่าแต่เธอเลย คนที่ว่าแข็งแรงๆก็คงทรุดเหมือนกัน
        “คุณ(ท่าน)ไหวรึเปล่าคะ พักซักหน่อยไหม ถ้าไม่ไหวจริงๆเดี๋ยวแคร์กางเต็นท์ให้ดีไหมคะ” สาวแคร์ถามนายสาวอย่างเป็นห่วง พลางเอ่ยถามความเห็น สาวส้มซึ่งหมดแรงข้าวต้มไปแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างอ่อนแรง สาวแคร์จึงเรียกเต้นท์หลังใหญ่ออกมากาง พลางค่อยๆพยุงร่างนายสาวเข้าไปพักในเต็นท์ที่มีขนาดใหญ่พอๆกับเต็นท์บัญชาการทหาร แต่เย็นฉ่ำไปด้วยเจ้าเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานโดยไม่สะทกสะท้านไอร้อนที่พยายามชอนไชเข้ามา จนคนที่ร้อนๆอยู่เข้ามาเจอเกิดอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาทันที
        “มีของดีอย่างนี้ทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่แรกเล่า” สาวส้มที่อาการเริ่มดีขึ้น ถามบอดี้การ์ดฉุนๆแกมสงสัย
        “ก็คุณยังไม่มีคำสั่งเลยนี่คะ” สาวแคร์ตอบหน้าตาย แต่สาวส้มมองว่าหน้าอย่างนี้กวนอวัยวะเบื้องต่ำมากกว่า
        “เออ ชั้นผิดเองที่ไม่บอกก่อน ถ้าคราวหลังมีอะไรก็พูดได้ เสนอความคิดได้นะ ชั้นไม่กัดเธอหรอกรู้มั้ย” สาวส้มบอกเสียงดุ
        “รับทราบค่ะ” สาวแคร์รับคำด้วยกริยาเงียบเฉยเช่นเดิม
        “หิวแล้วล่ะ หาอะไรกินกันดีกว่า นี่ก็บ่ายแก่ๆจวนจะเย็นแล้วแสบท้องชะมัด ดีนะเมื่อเช้าให้ไอ้จ้ามันซื้อข้าวมาเก็บไว้หลายห่อ เออ.....เธอต้องกินข้าวด้วยใช่มั้ยเป็นคนแล้วนี่  เอ้ากินซะ” สาวส้มบ่นไปเรื่อยอย่างโมโหหิว พลางกดนาฬิกาเอาข้าวที่เก็บไว้ขึ้นมา 2 ห่อ แล้วยื่นให้สาวแคร์ห่อหนึ่ง กับน้ำอีก 1 ขวด ซึ่งทั้งคู่ก็ได้แต่นั่งกินข้าวด้วยกันอย่างเงียบๆ
        “นี่ทำไงก่อไปดีล่ะ ?” สาวส้มเปรยขึ้นมาเบาๆ หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่นาน
        “ก็ท่านผู้นั้นบอกแล้วไงคะ ว่าให้หาที่พักหรือไม่ก็เดินทางท่องเที่ยวไปก่อน ควบคู่กับการตามหาอัญมณีทั้ง 4 เม็ด แล้วท่านจะเป็นฝ่ายมาตามหาเราเอง” แคร์ทวนประโยคที่สาวจ้าได้บอกไว้ ให้สาวส้มฟังอีกรอบ เธอ ป๋อม และไมค์ มักจะกล่าวแทนตัวสาวจ้าว่า ‘ท่านผู้นั้นเสมอ’แทนคำว่า ‘นายใหญ่’ เพื่อไม่ให้นายของตนรู้สึกไม่ดี และมักจะเรียกสาวจ้าตรงๆว่า ‘นายท่าน’ เวลาสนทนากัน เนื่องจากถือว่าสาวจ้าเป็นเจ้านายสูงสุดซึ่งใหญ่กว่านายของตน เพราะเป็นเจ้านายโดยตรงของท่านเฟริส ที่เป็นตัวต้นแบบระดับสูงนั่นเอง
        “อันนั้นชั้นก็เข้าใจนะ แล้วจะเอาไงกันดีล่ะ จะเร่ร่อนอย่างนี้ตลอดไปก็ไม่ได้ซะด้วย แถมตอนนี้ยังมีแค่ทรายกับทราย ทำอะไรไม่ได้เลย” สาวส้มบ่น พร้อมทั้งถามความเห็น แต่เมื่อเห็นสาวแคร์ยังเงียบอยู่ก็ได้แต่ปลง ที่เธอเป็นหุ่นที่ไม่ค่อยช่างจ้อเท่าไหร่แถมยังออกจะเก็บตัวด้วยซ้ำ บางครั้งสาวส้มก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าตอนสร้างหล่อนขึ้นมา เธอคงป้อนข้อมูลอะไรผิดพลาดไปบางประการแน่ๆ แคร์ถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้
        “นี่ก็เย็นแล้วชั้นออกไปเดินเล่นหน่อยก็แล้วกันนะ” สาวส้มหันไปบอกคนสนิทที่นั่งเงียบอยู่ พลางสาวเท้าออกไปนอกเต้น แต่ยังไม่ทันถึง 10 นาทีเธอก็เดินกลับเข้ามาพร้อมทั้งลากอะไรบางอย่างที่ดูสกปรกกลับมาด้วยอย่างทุลักทุเล พลางโยนตุบลงไปบนพื้นอย่างหมดแรง ซึ่งเห็นได้ว่าไอ้เจ้ากองที่ดูมอมๆนั้น เป็นเด็กตัวไม่โตนัก น่าจะอายุประมาณ 12 13 ปี แต่ก็มองไม่ออกว่าเป็นเพศอะไร
        “แคร์ช่วยหน่อย ชั้นไปเจอเขานอนสลบอยู่แถวเต็นท์น่ะ รู้สึกจะยังไม่ตายนะ รักษาเขาหน่อย” สาวส้มบอกอย่างร้อนรน กลัวว่าเจ้าเด็กที่เธออุตส่าห์ลากมาตั้งไกลจะตายซะก่อน เหม็นเต็นท์เปล่าๆ
        สองสาวช่วยกันค่อยๆป้อนน้ำให้ร่างเล็กๆนั้น แล้วจัดการลอกคราบเจ้าเด็กมอมแมมนั่น(ถึงรู้ว่าเค้าเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาดีเหมือนกัน) แล้วลงมือเอาผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามตัวจนดูสะอาดขึ้นและหาชุดมาเปลี่ยนให้ หลังจากที่เด็กคนนั้นฟื้นแล้ว พวกเธอก็พบว่าไม่สามารถสื่อสารกับเด็กคนนั้นได้ เลยตัดสินใจใช้ภาษาใบ้สื่อสารกันเสียเลย และรับเด็กคนนั้นให้พักแรมด้วยกัน (เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปปล่อยทิ้งไว้ตรงไหนดี มีแต่ทรายเหมือนๆกันไปหมด) แล้วพวกเธอก็เข้านอนกันอย่างไม่ค่อยสงบสุขนัก เพราะต้องผวาตื่นขึ้นมาเกือบทั้งคืน เพราะเสียงละเมอของเจ้าหนูน้อย และเสียงเห่าหอนของสัตว์กลางคืนที่พวกเธอไม่กล้าย่างเท้าออกไปดู.
                                                  โปรดติดตามตอนต่อไป
           
        “א ב ג ד ה ו ז ח ט י ך כ ל ם מ ן”
        แล้วก็มีเสียงตะโกนขึ้นมาเป็นภาษาแปลกๆ ที่สาวเก๋ฟังไม่ออกขึ้นที่มุมตึกที่ดูเหมือนกล่องสีแดงนั้นประหลาดๆนั้น และในนาทีเดียวกันกลุ่มทหารที่ผ้าพันเอวผืนสั้นสีขาวที่ดูเหมือนมินิสเกิต กับแถบสายสะพายสีขาวเหมือนของนางงามที่คาดเฉียงทับไขว้กันสองอัน และผ้าโพกหัวสีขาวที่ทิ้งตัวสะบัดไปมาอยู่เบื้องหลัง สวมรองเท้าสานหุ้มขึ้นมาถึงเข่า ในมือถือหอกกันคนละเล่ม แถมสะพายดาบไว้ที่เอวจนดังแกรกกรากเวลาวิ่ง ต่างพุ่งตรงมาที่เธอพร้อมตะคอกด้วยภาษาแปลกๆนั่นอีก จนเธอต้องวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าพวกเขาวิ่งตามเธอมาทำไม แต่การที่วิ่งตามมาทั้งที่อาวุธมีคมอยู่ในมือเช่นนี้ ต้องเดาไว้ก่อนว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
                  เธอวิ่งเลี้ยวเข้าซอยแคบๆเข้าไปซอยหนึ่งที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน โดยไม่สนใจว่าองครักษ์ของเธอจะวิ่งตามเธอมารึเปล่า แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเพราะมีคนคลุมผ้าสีน้ำเงินเข้มจนมิดทั้งตัวยืนขวางหน้าอยู่ เมื่อคนที่ขวางอยู่ปลดผ้าคลุมลงจนสามารถมองเห็นหน้ากันได้ สาวเก๋ก็พบว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามทีเดียว ตัวสูง ผิวขาว ผมสีน้ำตาลอ่อนๆจนเกือบทอง หน้าสวยยังกะผู้หญิง จนแอบอุทานในใจว่าอุตส่าห์มาเจอฝรั่งหล่อๆในที่แบบนี้ เขาหล่อพอจะเป็นดาราหรือนายแบบได้อย่างสบายๆ แต่แล้วชายคนนั้นก็ขยับปาก พูดออกมาเป็นภาษาแปลกๆ ซึ่งสาวเก๋ฟังไม่ออก 
            “נ ס ע ף פ ץ צ ק ר ש ת װ ױ ע ץ”
        “...............” สาวเก๋ซึ่งฟังไม่ออกก็ได้แต่เงียบไป แล้วก็ทำท่าเลิกลั่ก เมื่อได้ยินเสียงอึกทึกที่ไล่ตามหลังมาพร้อมกับภาษาแปลกๆนั่นอีกแล้ว
        “ב ד ח ך ג ם ש ע נ ק ט”
        ในระหว่างที่สาวเก๋กำลังคิดว่าจะทำยังไงนั่นเอง ก็รู้สึกเหมือนถูกดึงแขนไปด้านหลังอย่างแรงจนหงายหลัง ซึ่งวูบหนึ่งก็ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เพราะชายหน้าสวยคนนั้นดึงเธอลงไปนอนจูบบนพื้นโดยใช้ผ้าคลุมตัวทั้งเขาและเธอเอาไว้จนมิด มันเป็นจูบแรกที่เร่าร้อนรุนแรงในแบบที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต จนทำให้ประสาทในการรับรู้มึนงงไปหมด ทั้งอึดอัด ทั้งน่าตื่นใจจนแยกไม่ถูก
        “เฮ่! มีผู้หญิงวิ่งมาทางนี้ใช่มั้ย มันไปไหนแล้ว !?” เสียงพวกทหารตะคอกถามชายคนที่กำลังล่วงเกินเธออยู่นั้น ทำให้เขาต้องละมือจากเธอชั่วคราว แต่ก็ยังมีกะใจเอื้อมมือมาปิดปากเธอเสียแน่น พร้อมกับขยับตัวบังเธอเอาไว้
        “ผู้หญิง” เขาเอ่ยเบาๆ พลางค่อยๆเลิกผ้าคลุมโผล่หน้าออกไปดู โดยที่มือยังอุดปากสาวเก๋แน่น ก่อนตอบพวกทหารไปว่า
        “ฉันไม่ทันสังเกตด้วยสิ เพราะตอนที่อยู่กับผู้หญิง ฉันไม่มองผู้หญิงอื่นหรอก” ชายคนนั้นเอ่ยออกไปเรียบๆ
        “ทะ...ท่านคาอิล  ทำไมมาอยู่ในที่แบบนี้ล่ะครับ !?” พวกทหารพากันแตกตื่นเมื่อเห็นว่าพวกตนกำลังพูดอยู่กับใคร พลางกล่าวถามบุรุษหน้าสวยอย่างสุภาพ
        “เอ่อ....คือพวกเรากำลังตามหาผู้หญิง....ผู้หญิงที่แต่งตัวแปลกๆวิ่งมาทางนี้....” พวกทหารยังพูดไม่ทันจบก็ถูกพูดแทรกด้วยเสียงที่แสดงว่ากำลังไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ของคนตรงหน้า
        “ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้เรื่อง ฉันกำลังมีความสุขกับผู้หญิงที่เพิ่งจีบมาได้สำเร็จ อย่ามาเกะกะได้มั้ย ไสหัวไปซะ!” ชายหนุ่มตะคอก
        “คะ....ครับ” พวกทหารที่ถูกตะคอกรับคำและวิ่งเผ่นแน่บกันแทบไม่ทันกับคำสั่งประกาศิตนั้น ซึ่งทุกประโยคสาวเก๋ก็ฟังเข้าใจทุกคำด้วยความสับสนว่า จู่ๆตนสามารถฟังออกได้อย่างไร
        “เธอแต่งตัวแปลกจริงๆด้วยสิ เป็นคนของดินแดนไหนล่ะ ไปทำอะไรมาถึงถูกทหารรักษาพระองค์ของราชินีวิ่งไล่ตามเอาแบบนี้ ?” ชายคนนั้นปล่อยสาวเก๋ให้เป็นอิสระ พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย สายตาก็สำรวจเครื่องแต่งตัวที่เป็นเสื้อแบบผู้หญิงรัดรูปตัวเล็กสีแดงเลือดหมู สกีนลายหัวนกอินทรีอันใหญ่สีขาว กับกางเกงเจโนสีขาวเอวต่ำตามสมัยนิยม มองเห็นสะดือที่ถูกเจาะประดับด้วยจิลพลอยอันใหญ่สีชมพูอ่อน กับสีฟ้าอ่อน สวมรองเท้าคัชชูหัวโตเปิดส้นสีขาว เจาะหูขวา 1 รู หูซ้าย 3 รู เครื่องประดับหูที่ใส่ไม่เหมือนกันเลยซักอัน สร้อยที่สวมก็เส้นเล็กมากๆที่มีจี้อันเล็กแปลกๆ (รูปหัวใจ) แหวนและกำไลข้อมือก็เป็นแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ดูมีเสน่ห์เย้ายวนดึงดูดใจ ที่ข้อมือด้านขวาคาดอะไรบางอย่างแปลกๆ(นาฬิกา)  ซึ่งเขาบอกตัวเองว่าผู้หญิงคนนี้แต่งตัวได้แปลกมากๆ และมองเธออย่างประหลาดใจ
        สาวเก๋ ซึ่งกำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ คิดอย่างสับสนว่าอะไรคือทหารรักษาพระองค์ของราชินี มันเกี่ยวอะไรกับเธอ ทำไมถึงต้องไล่จับกัน เธอทำอะไรผิด แล้วผู้ชายคนนี้ช่วยเธอไว้หรือเนี่ย เค้าคือเจ้าชายคาอิลที่ไอ้จ้ามันให้เธอตามหาอย่างนั้นหรือ แต่ยิ่งกว่านั้นทำไมจู่ๆเธอถึงเข้าใจคำพูดของพวกเค้าได้หมดทุกประโยค ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอฟังไม่ออกเลย หรือจะเป็นเพราะจูบเมื่อกี้.......เมื่อคิดถึงตรงนี้สาวเก๋ก็ยกมือขึ้นแตะปากทันทีอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนเจ้าชายที่สังเกตเห็นเข้าก็ยิ้มออกมาบางๆ และพูดออกมาอย่างคะนองปากออกมาว่า
        “หรือว่ากำลังโกรธเรื่องเมื่อกี้....ถ้าไม่พอใจที่ฉันทำครึ่งๆกลางๆ จะต่อให้จบไหมล่ะ พอดีผู้หญิงที่ฉันนัดไว้ก็ดันผิดนัดซะด้วย” เจ้าชายพูดยิ้มๆ
        “เฮ่ เดี๋ยวสิ!!” เจ้าชายรีบเรียกเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันการณ์ เมื่อสาวเก๋ลุกพรวดวิ่งหนีไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขาจบประโยค
        สาวเก๋วิ่งหนีไปด้วยความตกใจอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ กลัวทหารก็กลัว แต่ที่กลัวยิ่งกว่า คือกลัวเจ้าชายบ้านั่นจะตามมาจับตัวเธอไปทำมิดีมิร้ายมากกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สวยหยาดเยิ้มเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่ไหน แต่ก็ยังนับว่าสวยล่ะน่า อย่างน้อยก็พอไปวัดไปวาตอนสายๆได้ไม่อายใคร ผิวเข้ม ตาคม ดูสวยสง่าอย่างสาวใต้ทั่วไป
        ตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลใจที่สุดจริงๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นนายไมค์คู่หูของเธอ ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หลงไปอยู่เสียที่ไหน(หรือไม่เธอนั่นแหละที่หลง) ถ้าตอนนี้อยู่ด้วยกันก็คงช่วยกันหาทางหนีทีไล่ได้บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องวิ่งทะเล่อทะล่าตกเป็นเป้านิ่งอยู่คนเดียว
        แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรออก เส้นผมบังภูเขาเสียจริงเชียว นาฬิกาอย่างไรล่ะ แค่นี้ก็ติดต่อนายไมค์ได้แล้ว บื้อจริงเชียว เธอนึกติหนิตัวเอง พลางยกนาฬิกาขึ้นติดต่อกับคู่หูคู่บารมีทันที และนัดพบเขาให้ออกมาเจอเธอด่วน
        รอไม่นานแค่ชั่วหม้อข้าวเดือด นายไมค์ที่แต่งตัวแปลกๆ วิ่งตรงมาที่เธอในทันที หลังจากที่ซักถามกันได้ชั่วครู่ สาวเก๋ก็คว้าเศษผ้าที่นายไมค์หอบหิ้วมาด้วยนั้นไปแอบเปลี่ยนที่หลังพุ่มไม้ แล้วก้าวออกมาในมาดของสาวโบราณ จนนายไมค์แอบอมยิ้มที่เจ้านายทำตัวได้กลมกลืนดีแท้ๆ (จะว่าน้องเป็นสาวโบราณน่ะสิ : สาวเก๋ พูดแล่งใต้ใส่ / เปล่าครับ ผมพูดด้วยความชื่นชมต่างหากครับ : ไมค์ )
        หลังจากที่ปลอมตัวเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ทำตัวให้กลมกลืนกับผู้คนในเมืองไปได้ไม่ยาก ต่างช่วยกันหาที่พัก โดยการขอไปเป็นคนงานในโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองฮัตตูซา เพื่อแลกกับอาหารและที่พัก ซึ่งเถ้าแก่ก็ใจดีให้ค่าแรงด้วยถึงวันละ 2 ซิลเวอร์ ส่วนพวกทหารก็ยังคงตามหาเธอหัวปั่นต่อไป (ชาตินี้ก็หาไม่เจอ แบร่ : สาวเก๋) เรื่องอะไรเธอจะต้องเดินตามเนื้อเรื่องที่ไอ้จ้ามันเล่าไว้ด้วยล่ะ น้ำเน่า ถึงเจ้าชายนั่นจะหล่อ แต่ก็เจ้าชู้น่าดูแถมขโมยเฟริสคิสของชั้นไปอีกต่างหาก (คนที่จะมาเป็นแฟนชั้นน่ะต้องหนุ่มใต้เท่านั้นย่ะ : สาวเก๋)  แค่นี้ก็เปลืองตัวจะแย่ ชั้นไม่คิดจะเอาความบริสุทธิ์ผุดผ่องมาทิ้งในโลกหนังสือซะหน่อย ตอนนี้ก็คงต้องรอเวลา กับตามหาอัญมณีไปพลางๆก่อนล่ะนะ สาวเก๋คิดอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหลับไปด้วยความเหนื่อยๆล้า ณ ห้องพักคนงานเล็กๆในโรงแรมพร้อมด้วยนายไมค์............
          <<<<<>>>>><<<<<>>>>><<<<<>>>>>   
          ทางด้านสาวแป๋มกับสาวป๋อมก็ใช่จะสบายนัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดมีทหารไล่กวดเหมือนสาวเก๋ แต่ก็ต้องหลบให้ไกลจากผู้คนเช่นกัน
        “ป๋อม ชั้นกลัวจังเลยล่ะ เราจะทำยังไงต่อไปดี.....” สาวแป๋มพูดอย่างเป็นกังวล พลางเกาะสาวป๋อมแน่นไม่ปล่อย
        “ไม่เป็นไรนะคะ อย่างน้อยเราก็อยู่กันในเมือง ค่อยๆคิดหาหนทางเอาก็ได้ค่ะคุณแป๋ม” สาวป๋อมพูดปลอบอย่างอ่อนโยน
        “แล้วคนที่นี่พูดภาษาอะไรกันก็ไม่รู้ฟังไม่ออก” สาวแป๋มบ่นงึมงำไปตามเรื่องตามราว
        “ดิฉันก็ฟังไม่ออกเหมือนกันค่ะ” สาวป๋อมบอกบ้าง  พลางเอื้อมมือเก็บลูกเบอร์รี่ที่อยู่แถวนั้นให้สาวแป๋ม ซึ่งเธอก็แบ่งให้คนเก็บให้ชิมด้วย แล้วทั้งคู่ก็นั่งกินลูกเบอร์รี่กันอย่างเอร็ดอร่อย
        ในระหว่างที่ทั้งคู่นั่งโซ้ยเบอร์รี่กันอยู่ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งนั้น ก็ปรากฏว่าที่บริเวณใกล้ๆนั้นมีคณะเต้นรำชื่อดังของวาชูกันนีตั้งค่ายพักแรมอยู่พอดี  เมื่อทั้งคู่ลองเข้าไปดูก็ปรากฏว่าสามารถฟังภาษาพวกนั้นออกแล้ว จึงเข้าไปขอสมัครงานกับเจ้าของคณะที่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนหน้าตาหมดจด ซึ่งแม่ครูก็รับทั้งคู่เข้ามาทำงานรับใช้นางรำ ที่เพิ่งได้มาใหม่ ซึ่งทั้งสองคนก็ตกลงเพราะยังไงก็คงดีกว่าเดินเร่รอนไปอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง และทางคณะยังต้องเดินทางไปแสดงยังที่ต่างๆ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้พวกเธอได้ตามหาเพื่อนๆ และอัญมณีที่เหลืออยู่แน่ๆ
        นางรำที่พวกเธอต้องคอยรับใช้นั้นชื่อนารีอา เป็นเด็กสาวอายุประมาณ 15 16 ผิวขาวผ่องนวลเนียน รูปร่างอวบอัดมัดใจชาย กิริยาท่าทางอ่อนช้อยงดงาม เสียงใสกังวานเหมือนระฆังเงิน นับได้ว่าเป็นเด็กสาวที่สวยจริงๆ แถมยังไม่ถือตัว ทำให้สาวป๋อมกับสาวแป๋มเอ็นดูเธออย่างมาก
        “นี่ นี่ พวกพี่ไม่ใช่คนไมแทนนีใช่มั๊ยจ๊ะ มาจากดินแดนไหนน่ะ” สาวน้อยนารีอา เอ่ยถามเสียงใสกับสองสาวที่มาเป็นคนดูแลใหม่
        “พี่มาจากประเทศไทยน่ะ เป็นประเทศที่ไกลจากที่นี่มากๆ พี่ชื่อแป๋มนะ ส่วนพี่คนโน้นชื่อพี่ป๋อม” สาวแป๋มยิ้มแย้มตอบ พร้อมกับแนะนำตัว
        “หนูชื่อนารีอา เป็นนางรำคนใหม่ของคณะจ๊ะ พี่แป๋มจ๋า พี่นี่แต่งตัวแปลกๆนะจ๊ะ” นารีอาเอ่ยทัก พลางมองเสื้อผ้าของสาวแป๋ม และสาวป๋อมอย่างสำรวจ สาวแป๋มอยู่ในชุดเสื้อยืดคอปาดสีเขียวขี้ม้าขนาดพอดีตัว กับกระโปรงยีนสีซีดยาวพอดีเข่า กับรองเท้ารัดส้นสีน้ำตาลนำสมัย ข้อมือคาดนาฬิกาสีเขียวสายยีนเข้ากับชุด ส่วนสาวป๋อม อยู่ในชุดเสื้อแขนกุดสีครีมเนื้อนิ่มมันวาว กับกางเกงผ้าสีดำยาวพอดีตัว สวมรองเท้าหนีบคู่สวยสีขาวดูเข้าชุดกัน และสวมนาฬิกาเหมือนกับของสาวแป๋ม
        “แปลกเหรอ.....งั้นต้องใส่ยังไงล่ะถึงจะไม่แปลก” สาวแป๋มถามขึ้นมาอย่างซื่อๆ ซึ่งนารีอาก็รีบไปค้นๆตามกองเสื้อผ้าพักเดียวก็วิ่งกลับมายื่นเสื้อผ้ามาให้พวกเธอคนละชุด ที่ยืนมองหน้ากันพลางฉวยเอาไปเปลี่ยนหลังฉาก
        “อย่างนี้สิถึงไม่แปลก” นารีอาบอกออกมา พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นสองสาวอายุราวพี่แต่งเครื่องแต่งกายที่เธอหาให้ มันเป็นเสื้อลายดอกตัวยาวถึงข้อเท้า แขนยาวจนต้องจับพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก และผูกเชือกหรือแถบผ้าที่เอวแทนเข็มขัด  เหมือนชุดวันพีชในยุคของเธอ
        “ขอบใจนะจ๊ะ” สาวแป๋มและสาวป๋อมบอกขอบคุณสาวน้อยตรงหน้าในความเอื้ออารี แล้วนั่งลงปักหลักคุยกับสาวน้อยอย่างสนุกสนาน และเริ่มลงมือทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจนหมดวัน และเข้านอนด้วยความสบายใจเหมือนนอนอยู่ที่บ้านตนเอง
          <<<<<<>>>>><<<<<>>>>><<<<<>>>>>
        ณ กลางทะเลทราย ที่เปลี่ยวร้างไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ ยกเว้นสาวส้ม และสาวแคร์ ที่กำลังกางร่มเดินลุยทรายสูงๆต่ำๆ มุ่งหน้าลงใต้หลังจากที่เห็นโอเอซิสอยู่ลิบๆ
        พวกเธอเหงื่อไหลโทรมกายเหมือนเอาน้ำมาราดจนชุ่มเสียทั้งตัว แต่ก็ยังไม่นึกย่อท้อเพราะเห็นว่าสิ่งที่หวังมันอยู่ข้างหน้า โอเอซิสเขียวขจี  ต้นไม้ร่มครึ้มกันแดดร้อนแรง  น้ำเย็นใสดับกระหายคลายร้อน
        พวกเธอเร่งฝีเท้ากันมากขึ้นๆ แต่ดูเหมือนสิ่งที่หวังนั้นไกลความจริงเหลือเกิน เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเสียที แถมระยะทางก็ยิ่งดูเหมือนจะทอดยาวออกไปเป็นเงาตามตัว นี่กระมังภาพมายาแห่งทะเลทราย พวกเธอคงจะโดนเข้าให้แล้ว เคยอ่านหนังสือมาก็ตั้งมาก มีผู้รู้กล่าวเอาไว้ว่าเวลาเดินอยู่ในทะเลทรายนานๆ ทรายมันจะหลอนก่อให้เกิดภาพลวงตาได้......ภาพลวงตาเป็นแบบนี้เอง
        แล้วจู่ๆสาวส้มก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น เนื่องจากเกิดหน้ามืดขึ้นมากะทันหันจนแคร์ ต้องรีบมาดูแลเฝ้าประคองแก้ไขอยู่นานพอสมควร ปกติเธอก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่แล้ว ออกจะขี้โรคด้วยซ้ำไป เป็นอะไรแต่ละทีต้องขนหมอมารักษาเกือบทั้งโรงพยาบาลก็บ่อยไป แต่นี้.....ต้องมาเดินสมบุกสมบันกลางทะเลทรายไปครึ่งค่อนวันอย่างนี้ อย่าว่าแต่เธอเลย คนที่ว่าแข็งแรงๆก็คงทรุดเหมือนกัน
        “คุณ(ท่าน)ไหวรึเปล่าคะ พักซักหน่อยไหม ถ้าไม่ไหวจริงๆเดี๋ยวแคร์กางเต็นท์ให้ดีไหมคะ” สาวแคร์ถามนายสาวอย่างเป็นห่วง พลางเอ่ยถามความเห็น สาวส้มซึ่งหมดแรงข้าวต้มไปแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างอ่อนแรง สาวแคร์จึงเรียกเต้นท์หลังใหญ่ออกมากาง พลางค่อยๆพยุงร่างนายสาวเข้าไปพักในเต็นท์ที่มีขนาดใหญ่พอๆกับเต็นท์บัญชาการทหาร แต่เย็นฉ่ำไปด้วยเจ้าเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานโดยไม่สะทกสะท้านไอร้อนที่พยายามชอนไชเข้ามา จนคนที่ร้อนๆอยู่เข้ามาเจอเกิดอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาทันที
        “มีของดีอย่างนี้ทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่แรกเล่า” สาวส้มที่อาการเริ่มดีขึ้น ถามบอดี้การ์ดฉุนๆแกมสงสัย
        “ก็คุณยังไม่มีคำสั่งเลยนี่คะ” สาวแคร์ตอบหน้าตาย แต่สาวส้มมองว่าหน้าอย่างนี้กวนอวัยวะเบื้องต่ำมากกว่า
        “เออ ชั้นผิดเองที่ไม่บอกก่อน ถ้าคราวหลังมีอะไรก็พูดได้ เสนอความคิดได้นะ ชั้นไม่กัดเธอหรอกรู้มั้ย” สาวส้มบอกเสียงดุ
        “รับทราบค่ะ” สาวแคร์รับคำด้วยกริยาเงียบเฉยเช่นเดิม
        “หิวแล้วล่ะ หาอะไรกินกันดีกว่า นี่ก็บ่ายแก่ๆจวนจะเย็นแล้วแสบท้องชะมัด ดีนะเมื่อเช้าให้ไอ้จ้ามันซื้อข้าวมาเก็บไว้หลายห่อ เออ.....เธอต้องกินข้าวด้วยใช่มั้ยเป็นคนแล้วนี่  เอ้ากินซะ” สาวส้มบ่นไปเรื่อยอย่างโมโหหิว พลางกดนาฬิกาเอาข้าวที่เก็บไว้ขึ้นมา 2 ห่อ แล้วยื่นให้สาวแคร์ห่อหนึ่ง กับน้ำอีก 1 ขวด ซึ่งทั้งคู่ก็ได้แต่นั่งกินข้าวด้วยกันอย่างเงียบๆ
        “นี่ทำไงก่อไปดีล่ะ ?” สาวส้มเปรยขึ้นมาเบาๆ หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่นาน
        “ก็ท่านผู้นั้นบอกแล้วไงคะ ว่าให้หาที่พักหรือไม่ก็เดินทางท่องเที่ยวไปก่อน ควบคู่กับการตามหาอัญมณีทั้ง 4 เม็ด แล้วท่านจะเป็นฝ่ายมาตามหาเราเอง” แคร์ทวนประโยคที่สาวจ้าได้บอกไว้ ให้สาวส้มฟังอีกรอบ เธอ ป๋อม และไมค์ มักจะกล่าวแทนตัวสาวจ้าว่า ‘ท่านผู้นั้นเสมอ’แทนคำว่า ‘นายใหญ่’ เพื่อไม่ให้นายของตนรู้สึกไม่ดี และมักจะเรียกสาวจ้าตรงๆว่า ‘นายท่าน’ เวลาสนทนากัน เนื่องจากถือว่าสาวจ้าเป็นเจ้านายสูงสุดซึ่งใหญ่กว่านายของตน เพราะเป็นเจ้านายโดยตรงของท่านเฟริส ที่เป็นตัวต้นแบบระดับสูงนั่นเอง
        “อันนั้นชั้นก็เข้าใจนะ แล้วจะเอาไงกันดีล่ะ จะเร่ร่อนอย่างนี้ตลอดไปก็ไม่ได้ซะด้วย แถมตอนนี้ยังมีแค่ทรายกับทราย ทำอะไรไม่ได้เลย” สาวส้มบ่น พร้อมทั้งถามความเห็น แต่เมื่อเห็นสาวแคร์ยังเงียบอยู่ก็ได้แต่ปลง ที่เธอเป็นหุ่นที่ไม่ค่อยช่างจ้อเท่าไหร่แถมยังออกจะเก็บตัวด้วยซ้ำ บางครั้งสาวส้มก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าตอนสร้างหล่อนขึ้นมา เธอคงป้อนข้อมูลอะไรผิดพลาดไปบางประการแน่ๆ แคร์ถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้
        “นี่ก็เย็นแล้วชั้นออกไปเดินเล่นหน่อยก็แล้วกันนะ” สาวส้มหันไปบอกคนสนิทที่นั่งเงียบอยู่ พลางสาวเท้าออกไปนอกเต้น แต่ยังไม่ทันถึง 10 นาทีเธอก็เดินกลับเข้ามาพร้อมทั้งลากอะไรบางอย่างที่ดูสกปรกกลับมาด้วยอย่างทุลักทุเล พลางโยนตุบลงไปบนพื้นอย่างหมดแรง ซึ่งเห็นได้ว่าไอ้เจ้ากองที่ดูมอมๆนั้น เป็นเด็กตัวไม่โตนัก น่าจะอายุประมาณ 12 13 ปี แต่ก็มองไม่ออกว่าเป็นเพศอะไร
        “แคร์ช่วยหน่อย ชั้นไปเจอเขานอนสลบอยู่แถวเต็นท์น่ะ รู้สึกจะยังไม่ตายนะ รักษาเขาหน่อย” สาวส้มบอกอย่างร้อนรน กลัวว่าเจ้าเด็กที่เธออุตส่าห์ลากมาตั้งไกลจะตายซะก่อน เหม็นเต็นท์เปล่าๆ
        สองสาวช่วยกันค่อยๆป้อนน้ำให้ร่างเล็กๆนั้น แล้วจัดการลอกคราบเจ้าเด็กมอมแมมนั่น(ถึงรู้ว่าเค้าเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาดีเหมือนกัน) แล้วลงมือเอาผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามตัวจนดูสะอาดขึ้นและหาชุดมาเปลี่ยนให้ หลังจากที่เด็กคนนั้นฟื้นแล้ว พวกเธอก็พบว่าไม่สามารถสื่อสารกับเด็กคนนั้นได้ เลยตัดสินใจใช้ภาษาใบ้สื่อสารกันเสียเลย และรับเด็กคนนั้นให้พักแรมด้วยกัน (เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปปล่อยทิ้งไว้ตรงไหนดี มีแต่ทรายเหมือนๆกันไปหมด) แล้วพวกเธอก็เข้านอนกันอย่างไม่ค่อยสงบสุขนัก เพราะต้องผวาตื่นขึ้นมาเกือบทั้งคืน เพราะเสียงละเมอของเจ้าหนูน้อย และเสียงเห่าหอนของสัตว์กลางคืนที่พวกเธอไม่กล้าย่างเท้าออกไปดู.
                                                  โปรดติดตามตอนต่อไป
           
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น