คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : OS | Can't stand it
MARK LEE X LEE DONGHYUCK
เสียงของอาจารย์สาวสวยที่กำลังบรรยายเนื้อหาอยู่หน้าชั้นเรียนนั้นดังหึ่งๆเหมือนราวกับเสียงผึ้งบิน
และถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะชวนให้เขาง่วงนอนมากขนาดไหน
แต่สายตาของดงฮยอกก็ยังคงจดจ่ออยู่ที่หน้ากระดาษอยู่ดี เพราะถ้าหากว่าเขาคลาดสายตาไปเพียงแค่เสี้ยวนาที
เขาก็อาจจะไม่เข้าใจเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่เลยก็เป็นได้
ด้วยเนื้อหาของวิชาสมการเชิงอนุพันธ์ที่สุดแสนจะน่าเบื่อ
ทำให้เหล่านักศึกษาในห้องเรียนหลาย ๆ คนเข้าสู่สภาวะทิ้งตัวไหลไปกับโต๊ะเล็กเชอร์
รวมถึงคนที่นั่งข้างๆเขาอย่างเจโน่และแจมินก็ด้วย
ดงฮยอกเหลือบมองไปยังนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังเหนือกระดาน
ตัวเลขของมันบ่งบอกว่าขณะนี้เหลือเวลาอีกแค่เพียงสิบห้านาทีเท่านั้นการเรียนการสอนในคาบนี้ก็จะจบลง
แต่ยังไม่ทันได้ละสายตาออกมาจากนาฬิกาเรือนใหญ่
อาจารย์ก็พูดประโยคที่ทำให้ดงฮยอกรู้สึกดีใจขึ้นมา ว่าวันนี้ขอปล่อยก่อนเวลา
เนื่องจากมีธุระที่ต้องไปทำ และทันทีที่อาจารย์พูดจบ เพื่อน ๆ
ในห้องเรียนที่เมื่อก่อนหน้านี้เห็นว่ากำลังหลับอยู่ก็ตื่นขึ้นอย่างอัตโนมัติ
เมื่อเห็นว่าเพื่อนคนอื่น ๆ ในคลาสเรียนเริ่มเก็บข้าวของลงกระเป๋า
ดงฮยอกจึงหันไปสะกิดเพื่อนของตนบ้าง
“วันนี้จะไปห้องสมุดรึเปล่าวะดงฮยอก?”
นาแจมินถามขึ้นในขณะที่มือก็กำลังเก็บหนังสือที่เพิ่งเอามาเป็นหมอนรองคอลงกระเป๋า
ก่อนจะหาวออกมาแบบไม่ปิดปาก
“ไม่ว่ะ”
ผมตอบ “วันนี้กูกะว่าจะไปทำฟันอ่ะ”
“ทำที่ไหนอ่ะ?”
เจโน่ที่เก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้วถามขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะเล็กเชอร์แล้วมายืนอยู่ข้าง
ๆ ผม
“ทันตะ”
“ไปทำฟันหรือไปส่องใครจ๊ะ”
แจมินพูดพร้อมกับส่งสายตาล้อเลียนมาให้
“ยุ่ง!”
“ให้ไปเป็นเพื่อนมะ”
เจโน่บอกพร้อมกับมองหน้าผม
“อืม...
ก็ดีเหมือนกัน”
หลังจากที่กินข้าวกลางวันกันเสร็จเรียบร้อยแล้วที่คณะของตัวเอง ตอนนี้ดงฮยอกและเจโน่ก็มานั่งรอให้คุณเจ้าหน้าที่ทะเบียนทำบัตรคนไข้ใหม่ให้ อยู่ที่โรงพยาบาลทันตกรรมของมหาวิทยาลัย
จริง ๆ
ดงฮยอกก็เคยจัดฟันมาแล้วในช่วงมัธยมต้น
แต่พอจัดฟันเสร็จก็ไม่ค่อยได้ไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพในช่องปากบ่อยเหมือนกับช่วงที่จัดฟันบวกกับความชอบกินขนมของตัวเอง
ดงฮยอกเลยกะว่าจะมาตรวจฟันดู เผื่อว่ามันจะมีฟันผุหรือมีหินปูนให้จัดการ
แล้วอีกอย่างก็จะได้เป็นเคสให้พี่ๆนักศึกษาทันตแพทย์ด้วย
นี่ดงฮยอกไม่ได้ตั้งใจจะมาส่องใครเลยจริงๆนะ!
“ทำไมคณะนี้มีแต่คนสวยๆวะ”
เจโน่พูดแล้วมองไปยังรุ่นพี่ที่อยู่ในชุดกาวน์สั้นที่กำลังยืนคุยอะไรสักอย่างกับพี่เจ้าหน้าที่
“คณะเราไม่เห็นมีแบบนี้มั่ง”
“ลามิมาได้ยินคงหักคอมึงตายอ่ะเจโน่”
ผมพูดพร้อมกับขำออกมาหน่อย ๆ
อันที่จริงคณะพวกผมมันก็มีคนน่ารักเยอะอยู่นะครับ
แต่เพราะว่าคณะของพวกเรามีผู้หญิงน้อยเลยค่อนข้างจะสนิทกันทุกคน
ทำให้รู้ธาตุแท้กันหมด แถมพวกนั้นบางทีก็แมนกว่าพวกผมอีก
ความน่ารักเลยหดหายไปด้วยนิดหน่อย
“แล้วไอ้พี่มาร์คของมึงนี่อยู่ปีอะไรแล้ววะ?”
เจโน่พูดขึ้นเสียงดัง จนทำให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
หันมามองหน้าพวกเรา
“สัส
มึงพูดเบา ๆ ดิ”
“เออ
ขอโทษทีกูลืมตัว” มันพูด “ว่าแต่อยู่ปีไหน?”
“ปีห้า”
“งี้ก็ได้ลงมาทำคลินิกแล้วอ่ะดิ”
เจโน่พูดแล้วทำตาโต “ขอให้มึงได้เป็นคนไข้พี่มาร์ค”u
คำพูดของอีเจโน่ทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนแปลก ๆ จะบ้าหรอวะ ให้ไปนอนให้คนที่ชอบทำฟันให้นี่มีหวังได้เขินตายพอดี แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หันไปด่ามัน คุณเจ้าหน้าที่ก็เรียกชื่อเขาขึ้นมาเสียก่อน
หลังจากที่ทำบัตรคนไข้เสร็จเรียบร้อย
คุณเจ้าหน้าที่ก็บอกให้ดงฮยอกเดินตามเส้นสีม่วงที่อยู่บนพื้น
เพื่อไปตรวจช่องปากที่อีกตึกหนึ่ง
พร้อมกับถือแฟ้มคนไข้ไปให้พยาบาลที่อยู่หน้าห้องตรวจด้วย
เมื่อเดินตามเส้นสีม่วงไปจนถึงอีกตึกหนึ่ง
ดงฮยอกก็นำแฟ้มคนไข้ของตัวเองพร้อมด้วยบัตรประจำคนไข้ที่แนบอยู่กับแฟ้มไปให้คุณพยาบาลที่นั่งอยู่หน้าห้องทันตกรรมรวม
ก่อนจะมานั่งรอตามที่คุณพยาบาลบอก
“คุณอีดงฮยอกค่ะ”
เสียงใส ๆ
ของพี่นักศึกษาทันตแพทย์ที่อยู่ในชุดกาวน์ยาวสีขาวเหมือนกับนักบวชดังขึ้นอยู่ที่หน้าห้องทันตกรรมรวม
ในมือของพี่เขามีแฟ้มประวัติที่คาดว่าน่าจะเป็นของเขาอยู่ในมือ
ดงฮยอกจึงลุกจากเก้าอี้แล้วฝากกระเป๋าเอาไว้กับเจโน่ก่อนจะเดินไปหาพี่คนนั้น
“น้องคืออีดงฮยอกใช่มั้ยคะ?”
“ครับ”
“พี่ชื่อซึลกินะ
อยู่ปีหก” พี่ซึลกิพูดแล้วยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
ก่อนจะเดินนำเขาเข้าไปในห้องทำฟัน “วันนี้จะมาตรวจช่องปากใช่มั้ย?
งั้นพี่ตรวจให้ทั้งปากเลยนะ”
“ได้ครับ”
ดงฮยอกตอบพร้อมกับพยักหน้าให้กับพี่หมอหน้าหมวย
“งั้นดงฮยอกนอนรอที่เตียงก่อนนะ
เดี๋ยวพี่ไปเรียกอาจารย์แปปนึง”
พี่ซึลกิพูด
ก่อนจะเดินไปยังเตียงอีกเตียงหนึ่งซึ่งมีเหล่านักศึกษาทันตแพทย์กำลังยืนมุงเตียงนั้นอยู่ห่างไปไม่ไกล
หลังจากที่นอนรออยู่บนเตียงทำฟันซักพักเสียงของพี่ซึลกิก็ดังขึ้นบนหัวของดงฮยอกอีกครั้ง
“น้องเป็นคนไข้ใหม่ค่ะอาจารย์
อายุยี่สิปปี มีประวัติเคยขูดหินปูน อุดฟัน แล้วก็จัดฟันค่ะ ไม่มีโรคประจำตัว
ไม่เคยมีอาการแพ้ยาค่ะ” พี่ซึลกิพูดรัวเร็วจนผมกลัวว่าพี่เขาจะหายใจไม่ทัน
“อืม..
วันนี้คนไข้จะมาทำอะไรล่ะ”
“วันนี้มาตรวจช่องปากค่ะ”
“ไหนอ้าปากกว้างซิลูก”
เมื่ออาจารย์พูดจบ
ดงฮยอกก็อ้าปากกว้างก่อนที่อาจารย์จะเอาเครื่องมือเข้ามาตรวจในช่องปากของดงฮยอกซักพักแล้วเอาออก
“ตรวจเลย”
“ค่ะ
อาจารย์” พี่ซึลกิพูดกับอาจารย์ก่อนจะหันมาพูดกับผม “พี่จะเอาผ้าปิดตาให้นะคะน้องดงฮยอก”
หลังจากที่พี่ซึลกิเอาผ้ามาปิดตาให้ดงฮยอก
เขาก็ได้ยินเสียงพี่ซึลกิจัดนู่นจัดนี่แล้วก็เดินไปเดินมาอีกนิดหน่อย
“อ่าว
วันนี้ได้ลงนี่หรอมาร์ค?”
ดงฮยอกได้ยินเสียงพี่ซึลกิกำลังพูดกับใครสักคนที่ชื่อมาร์ค
ว่าแต่มาร์คไหน คณะนี้มันมีมาร์คกี่คน หวังว่าจะไม่ใช่มาร์คที่เขาชอบนะ...
“ครับพี่”
“ว่างป่ะ
มาช่วยพี่หน่อยสิคนไข้มาตรวจช่องปากอ่ะ”
“ได้ ๆ”
ผู้ชายคนนั้นพูด
ก่อนที่เขาจะรับรู้ได้ว่ามีบางคนกำลังนั่งลงทางฝั่งซ้ายของเขา
พี่ซึลกิเริ่มตรวจฟันของเขาไปเรื่อยๆทุกซี่และทุกด้าน
โดยที่มีผู้ชายอีกคนคอยจดอาการต่างให้ๆตามที่พี่ซึลกิบอก
ระหว่างที่ตรวจพี่ซึลกิก็มักจะถามเขาไปด้วยทั้ง ๆ ที่เครื่องมือก็ยังอยู่ในปาก
คือพี่คิดว่าผมจะตอบพี่ได้ยังไงหรอครับ...
“เสร็จแล้วค่ะน้องคนไข้”
พี่ซึลกิพูดพร้อมกับเอาผ้าปิดตาออกมาจากหน้าของดงฮยอก เมื่อเอาผ้าออกจากหน้าเขาก็หันไปมองทางฝั่งซ้ายของตัวเองทันที ด้วยความสงสัยว่ามาร์คที่พี่ซึลกิพูดด้วยเนี่ยคือมาร์คไหน
ก็มาร์คนั้นนั่นแหละครับ...
มาร์คลีที่ผมชอบนั่นแหละ...
“นี่มันเลยสี่โมงแล้วอ่ะ
น้องดงฮยอกกลับได้เลยนะ เดี๋ยวพี่เอาแฟ้มไปคืนให้” พี่ซึลกิพูดกับผม
หลังจากที่หันไปเก็บเครื่องมือทำฟันจนเสร็จเรียบร้อย
ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งทำตัวไม่ถูกอยู่บนเตียงทำฟัน
ยิ่งตอนที่ผมลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองหน้าพี่มาร์ค
ก่อนจะพบว่าพี่เขากำลังส่งยิ้มให้ผมนี่ยิ่งทำตัวไม่ถูก
ตอนนี้รู้สึกว่าสติของผมมันไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วครับ
ฮือ เจโน่ช่วยดงฮยอกด้วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
วันนี้ดงฮยอกต้องมาที่คณะทันตแพทยศาสตร์อีกแล้ว!
ก็เพราะว่าเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
หลังจากที่พี่ซึลกิบอกว่าเขาจะต้องขูดหินปูนและอุดฟันอีกหนึ่งซี่
นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วให้ดงฮยอกกลับบ้านได้เลย
ดงฮยอกก็เดินออกมาจากห้องตรวจทันทีโดยลืมไปเลยว่ายังไม่ได้เอาบัตรประจำตัวคนไข้คืน
ถ้าไม่มีบัตรประจำตัวคนไข้
ดงฮยอกก็จะมาทำฟันอีกไม่ได้เพราะก่อนทำฟันทุกครั้งจะต้องยื่นบัตรเสียก่อน
ดงฮยอกเลยกะว่าจะมาถามที่เคาท์เตอร์ดูก่อนว่าพี่ซึลกิได้เอาบัตรของเขามาฝากไว้ไหมตามที่พี่แจฮยอนที่เป็นพี่ชายข้างบ้านของดงฮยอกซึ่งเรียนอยู่คณะนี้เหมือนกันบอกมา
แต่ถ้าพี่ซึลกิไม่ได้ฝากไว้ดงฮยอกก็จะได้ไปทำบัตรใหม
แต่หลังจากที่หาอยู่นานสองนานแล้วก็พบว่าไม่มี...
ไม่มีบัตรของอีดงฮยอกอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์เลยแม้แต่ใบเดียว
พี่ซึลกิไม่ได้เอาบัตรของดงฮยอกมาฝากไว้หรอ
แต่ไม่เป็นไรหรอกเพราะทำบัตรใหม่เสียตังค์แค่สิบบาทเอง
ดงฮยอกหันไปบอกเจโน่ให้ไปที่อีกตึกหนึ่งเพื่อที่เขาจะได้ไปทำบัตรใหม่
แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูออกไป เขาก็เจอเข้ากับร่างสูงของคนที่ได้เห็นฟันของเขาไปแล้วทั้งสามสิบสองซี่
พร้อมกับเพื่อนของพี่เขาอีกคน
และก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว
ให้ดงฮยอกคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีพี่มาร์คอาจจะเห็นบัตรของเขาบ้างก็ได้
เพราะพี่มาร์คก็อยู่ในวันนั้นเหมือนกัน
“เอ่อ
พี่ครับ” ดงฮยอกพูดขึ้น “ค..
คือพี่เห็นบัตรคนไข้ผมมั้ย”
“อ๋อ
คือบัตรคนไข้เราอยู่กับพี่อ่ะ” พี่มาร์คพูดขึ้นก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาเพื่อหาบัตรในกระเป๋า
อย่างนี้ก็ได้หรอวะ
เอาบัตรคนไข้ไว้ในกระเป๋าเงินตัวเองแบบนี้ก็ได้หรอวะ
“พี่ไม่ได้เอามาด้วยอ่ะ
มันอยู่ที่หอ” พี่มาร์คบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นมาตรงหน้าผม
“พี่ขอเบอร์เราหน่อยสิ เดี๋ยวพี่จะได้โทรบอกตอนจะเอาไปคืน”
ทันทีที่พี่มาร์คพูดจบ
ผม เจโน่ และเพื่อนของพี่มาร์คก็ได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ
โดยมีเพื่อนของพี่มาร์คที่มองหน้าผมสลับกับมองหน้าพี่มาร์คแล้วขำๆ
แค่จะเอาบัตรมาคืน นี่ต้องโทรนัดกันเลยหรอวะครับพี่มาร์ค
“มุกพี่มาร์คแม่งได้ว่ะ”
หลังจากไปตามหาบัตรคนไข้กันที่คณะทันตแพทยศาสตร์
เขาและเจโน่ก็กลับมาที่คณะของตัวเองอีกครั้งเพื่อเรียนต่อในช่วงบ่าย โดยมีนาแจมิน
และลามิรออยู่ที่คณะเพราะยังเขียนรายงานแลปที่ต้องส่งในคาบบ่ายไม่เสร็จ และเมื่อแจมินได้ฟังเรื่องราวในช่วงพักกลางวันที่ผ่านมาจากปากของลีเจโน่จนจบ
มันก็ตบเข่าฉาดใหญ่แล้วหันมาพูดกับผม
“ดีจังวะ
คนที่ชอบมาขอเบอร์เองเลย”
“ดีเชี่ยอะไรล่ะ
พี่เขาก็บอกอยู่ว่าแค่จะเอาบัตรมาคืน”
“อ่าว ไอนี่หนิ”
แจมินพูดแล้วผลักไหล่ผมเบาๆ “มึงควรดีใจดิ ชอบพี่เขามาตั้งเป็นปีแล้วไม่ใช่รึไง”
“ก็... แล้วไงวะ”
ดงฮยอกพูดเสียงเบาเมื่อเห็นว่าอาจารย์ประจำวิชาของคาบบ่ายเดินเข้ามาในห้องตามด้วยลามิเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มที่รีบวิ่งเข้ามานั่งโต๊ะข้างๆเขา
เขาจึงหยิบหนังสือประจำวิชาของขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
ที่บอกว่าดงฮยอกชอบมาร์คลีมาเป็นปีน่ะก็ถูกแล้วแหละครับ
เพราะเขาไปดันแอบชอบพี่มาร์คตั้งแต่เจอกันแรก ๆ ในหอสมุดตอนที่เข้าปีหนึ่งมาใหม่ ๆ
แล้ว
ตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย
รุ่นพี่หลายคนมักจะชอบบอกกับเขาว่าหอสมุดสุดหรูหราของมหาวิทยาลัยน่ะดีมากเพราะแอร์ก็เย็น
Wi-Fiก็เร็ว มีโซนที่เปิดแบบยี่สิบสี่ชั่วโมง(แต่ปิดแอร์ตอนห้าทุ่ม)
หรือถ้าอยากอ่านหนังสือแบบเงียบ ๆ นั่งแยกใครแยกมันไม่มีคนมารบกวน ก็มีโซนแบบนั้นไว้ให้
และด้วยความที่กลับหอไปเขาก็ไม่มีอะไรจะทำนอกจากการเล่นเกมส์โทรศัพท์กับดูการ์ตูน
ดงฮยอกเลยเลือกที่จะอยู่หอสมุดต่อหลังจากเลิกเรียนไปจนถึงช่วงหัวค่ำแล้วค่อยกลับหอ
จากจุดประสงค์ในการเข้าห้องสมุดตอนแรกที่แค่ไม่อยากรีบกลับหอ
แต่พอดงฮยอกได้เจอกับผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งซึ่งมักจะมาพร้อมกับเป้ใบหนา แว่นตาทรงสี่เหลี่ยมสีดำ
และเสื้อฮู้ดสีกรมท่าตัวใหญ่ จุดประสงค์ของเขาก็เบี่ยงเบนไป
เป็นประจำทุกครั้งที่ไปหอสมุด
ร่างสูงในชุดนักศึกษาทันตแพทย์คนนั้นมักจะโผล่หน้ามาให้เขาเห็นหน้าด้วยการมานั่งข้างกันในห้องอ่านหนังสือแบบเดี่ยวที่ห้ามส่งเสียงดัง
ไม่ว่าเขาจะนั่งอยู่ตรงไหนในห้องนี้ หมอนั่นก็จะตามมานั่งข้างกันทุกวัน จนพักหลัง
ๆ ดงฮยอกก็เลือกห้องนั้นเป็นห้องที่นั่งประจำไปเสียแล้ว
แต่อย่าคิดเลยนะครับว่าการที่เรานั่งข้างกันทุกวันแบบนั้นแล้วผมกับพี่เขาจะได้คุยกัน
อย่างมากก็ทำได้แค่ส่งยิ้มให้กันเท่านั้นแหละ เพราะผมน่ะขี้อายเกินไปเลยไม่กล้าที่จะทำความรู้จักก่อน
และพอพยายามทำใจกล้าจะลองชวนคุย แต่หันไปอีกทีพี่เขาก็หลับคาชีทเรียนกองหนาไปเสียแล้ว
ที่รู้ชื่อกับชั้นปีของพี่เขามาได้เนี่ย เพราะแอบมองชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อกาวน์ของพี่เขาล้วนๆ
และจากที่แค่ชอบแอบมองหน้าแล้วอิจฉาในความหน้าตาดีของผู้ชายคนนี้
(ดงฮยอกคิดว่าหล่อน้อยกว่าเขานิดนึงล่ะ) ดงฮยอกก็ต้องใจเต้นตึกตัก เมื่อเขาและแจมินชวนกันไปหาของกินที่ตลาดของมหาวิทยาลัย
แล้วบังเอิญสบตาเข้ากับพี่มาร์คที่กำลังยืนกินลูกชิ้นจนแก้มตุ่ยอยู่ที่หน้าร้านขายลูกชิ้น
คนบ้าอะไรวะ!! แค่กินลูกชิ้นยังน่ารักเลยอ่ะ นี่ชอบจนไม่รู้จะชอบยังไงแล้วนะเนี่ย!!
ครืด... ครืด...
แรงสั่นสะเทือนของเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเรียกสติของดงฮยอกให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง เขาเอื้อมมือขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้นไม่ได้มีการบันทึกชื่อเอาไว้
ดงฮยอกมองเพื่อน ๆ ที่กำลังเดินออกจากห้องเลคเชอร์เมื่ออาจารย์บอกเลิกคาบ
ก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีครับ”
“น้องดงฮยอกใช่มั้ยครับ? นี่พี่มาร์คนะ” คนในสายพูดก่อนจะเว้นช่วงไปสักพัก “คนที่ขอเบอร์เราไปเมื่อตอนกลางวันน่ะ”
“อ๋อ ...ครับ”
“คือพี่จะถามว่าวันพรุ่งนี้ตอนเย็น
ๆ เราว่างหรือเปล่าอะ?” เสียงทุ้มสุภาพที่ตอบกลับมาผ่านสายโทรศัพท์นั้นทำให้ดงฮยอกอดที่จะอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้
เขาจึงทำได้เพียงก้มหน้าจนคางแทบชิดอกมองโต๊ะเลคเชอร์อยู่อย่างนั้น “พอดีว่าพี่จะเอาบัตรไปคืน”
“ก็... ว่างครับ”
“งั้นวันพรุ่งนี้เจอกันที่ร้าน
Coffe Der La ตอนห้าโมงได้มั้ยอะ?”
“ได้ครับ”
ดงฮยอกพูดพลางยิ้มกับตัวเอง แต่อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมองอยู่ เขาจึงเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเลคเชอร์
แล้วก็พบว่าเป็นสายตาของเพื่อนรักทั้งสามคนอย่างแจมิน เจโน่ และลามิที่มองหน้าผมอย่างสงสัย
“โอเค ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
“ครับ”
ผมตอบแล้วกดวางสายไป ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วมองหน้าพวกมันทีละคน
“ใครโทรมาอ่ะ?” ลามิถามขึ้น แล้วมองหน้าผมด้วยสายตาอยากรู้เต็มที
“ไม่บอกเว้ย” ผมบอกพวกมันแบบเน้นทีละคำ
ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะเลคเชอร์แล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย ตอนนี้เพื่อนในเซคชั่นออกจากห้องเรียนกันไปหมดแล้ว
เหลือแค่เพียงผม แจมิน เจโน่และลามิที่ยังนั่งกันอยู่ที่เดิม
“อ่าว ไอ้นี่” เจโน่พูดแล้วมองหน้าผมอย่างหาเรื่อง
“เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนหรอ?”
“ไม่มีไรหรอกหน่า กูกลับแล้วนะ” ผมตอบแล้วเหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นบ่าเมื่อเห็นว่าทีเอเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะเดินนำพวกมันสามคนออกจากห้องเลคเชอร์ไป
หลังจากที่นัดแนะกับพี่มาร์คเป็นที่เรียบร้อยว่าพวกเราจะไปเจอกันที่ร้าน Coffee Der La (อ่านว่าคอฟฟี่เด้อหล่า) เช้าวันต่อมาดงฮยอกก็ต้องสะดุ้งตื่นก่อนเวลาปกติถึงสองชั่วโมง (อันที่จริงก็แทบไม่ได้นอน) ดงฮยอกเริ่มค้นตู้เสื้อผ้าของตัวเอง หยิบเอาเสื้อผ้าที่แทบไม่ค่อยได้ให้สนใจขึ้นมาดู เขาหยิบเสื้อเชิ้ตลายกราฟฟิกที่เพิ่งซื้อมาใหม่มาทาบเข้ากับตัวเองแล้วมองเข้าไปในกระจก ก่อนจะส่ายหน้าไปมาแล้วโยนมันลงกับเตียง แล้วหยิบเอาเสื้อยืดสีขาวที่มีข้อความภาษาอังกฤษสีชมพูมาลองทาบกับตัวเองดูบ้าง ก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง
ดงฮยอกยังคงหยิบเอาเสื้อตัวนั้นตัวนี้มาลองอยู่เรื่อย
ๆ จนต้องอุทานออกมาเป็นคำหยาบเมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง แล้วพบว่าภายในสิบห้านาทีนี้ถ้าเขายังแต่งตัวไม่เสร็จ
เขาจะต้องเข้าเรียนสายแน่ ๆ
ตั้งสติไว้ก่อนนะดงฮยอก
พี่เขาแค่จะเอาบัตรคนไข้มาคืน!!
ดงฮยอกสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่
ก่อนจะเลือกหยิบเอาเสื้อฮู้ดที่ด้านบนเป็นสีกรมท่าแต่ด้านล่างเป็นสีเทากับกางเกงยีนส์สีเข้มตัวเก่งขึ้นมาสวมใส่
พรมน้ำหอมเล็กน้อย แล้วจัดทรงผมสีน้ำตาลแดงของตัวเองให้ลงมาปรกหน้า หมุนซ้ายหมุนขวาสำรวจตัวเองเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจึงรีบวิ่งไปหยิบเป้ที่อยู่บนเตียงกับรองเท้าสีแดงมาใส่
ก่อนจะออกจากห้องไป
“แหม วันนี้แต่งตัวซะหล่อเชียว”
แจมินเป็นคนแรกที่เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามาในห้องเรียน
มันมองหน้าผมแล้วยิ้มแบบแทบจะเห็นฟันครบทั้งสามสิบสองซี่ แล้วเอานิ้วมาจิ้ม ๆ
กับไหล่ผม
“หูยยยยย
มีความเซตผมอีกต่างหาก” เจโน่พูดบ้าง “จะไปไหนกับใครหรอครับคุณดงฮยอก”
“เสือก” ผมตอบ
แล้วกรอกตาใส่พวกมัน
“อย่าล้อดงฮยอกดิ
พวกแกเนี่ย” ลามิพูดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งในที่นั่งถัดจากผม “ฉีดน้ำหอมด้วยนะเนี่ย จะไปกับพี่หมอฟันคนนั้นใช่ป่ะล่ะ?”
อ้าวลามิ
ทำไมทำแบบนี้อ่ะ...
ผมหันไปถลึงตาใส่ลามิ
แต่แล้วก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเพียงเท่านั้น
ยัยนั่นทำเป็นไม่สนใจผมก่อนจะเปิดแฟ้มมายเมโลดี้ที่เพิ่งจะเถียงกับผมไปเมื่อวานว่าควรจะมันซื้อดีมั้ย
(ลามิบอกว่าจะซื้อมาใช้ในวันที่มีเรียนน้อย แต่ผมบอกว่าคณะเราไม่มีเรียนน้อยสักวัน
และจบลงด้วยการที่ลามิทุบไหล่ผม ) แล้วหยิบลิปสติกขึ้นมาทาปาก
ดงฮยอกเลือกที่จะมารอที่ร้านก่อนเวลานัดเล็กน้อย
เพราะไม่อยากให้คนนัดต้องเป็นฝ่ายรอนาน ดงฮยอกเลือกที่จะสั่งชาเขียวเย็นแบบกลับบ้าน
ก่อนจะมานั่งรอที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน เขาคิดว่าพี่มาร์คอาจจะแค่นัดเอาบัตรมาคืนหลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป
“มารอนานยังอ่ะ?”
แรงสะกิดจากทางด้านหลังเรียกให้ดงฮยอกที่กำลังคนแก้วชาเขียวหันกลับไปมอง
พี่มาร์คในชุดนักศึกษาทันตแพทย์ที่กำลังยืนยิ้มให้เขาอยู่ ดงฮยอกจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะก้มหัวทักทายคนอายุมากกว่า
“ไม่ครับ” ผมตอบพร้อมกับส่งยิ้มกลับไป
“ผมเพิ่งมาก่อนพี่แค่แปปเดียวเอง”
“อ่า...” มาร์คลีพยักหน้าแล้วเกาท้ายทอยของตัวเอง
ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาแล้วยื่นบัตรคนไข้ของผมส่งคืนมาให้ “นี่บัตรเรา”
“ขอบคุณครับ”
ดงฮยอกก้มหัวขอบคุณแล้วส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“เราจะกลับเลยหรอ?” พี่มาร์คพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าผมหันไปหยิบแล้วน้ำและเป้ของตัวเอง
ก่อนจะเอามือมาจับต้นแขนของผมไว้ “อยู่ก่อนดิ เดี๋ยวพี่เลี้ยง”
“ม ...ไม่เป็นไรพี่
ผมเกรงใจ” ผมส่ายหัวแรง ๆ กลับไป แต่พี่มาร์คกลับส่งยิ้มมาให้และเปลี่ยนตำแหน่งมือจากแขนมาเป็นที่ข้อมือ
ก่อนจะเอาเป้ของผมวางลงที่เดิม
“ไม่ต้องเกรงใจ
มาเลือกเร็ว” ไม่ว่าเปล่า
แต่มีการดึงแขนของเขาให้ตามไปยังหน้าตู้โชว์ซึ่งมีเค้กหลายแบบวางโชว์อยู่
พอเขาปฏิเสธมาก ๆ เข้า เจ้าตัวก็ดันหันมาพูดกับเขาว่า
“อย่าดื้อดิ” ประโยคนั้นทำเอาผมเหวอไปหลายนาทีแต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดกลับไป
แต่หัวใจน่ะเต้นแรงเหมือนมันจะหลุดออกมาเลยล่ะ...
หลังจากที่ชักชวนกึ่งบังคับให้เขาต้องเลือกเค้กมาหนึ่งชิ้นแล้ว
พี่มาร์คก็ยังบังคับให้ผมอยู่ต่อพร้อมกับหาเรื่องนู่นนี่สารพัดมาชวนคุย
จากมาร์คลีคนที่นั่งเงียบ ๆ ในห้องสมุด ผมก็ได้รู้ในวันนี้นี่แหละว่าจริง
ๆเจ้าตัวก็พูดมากไม่ใช่เล่น แถมยังชอบมองหน้าคนอื่นอีกต่างหาก
ดงฮยอกแกล้งทำเป็นไม่สนใจสายตาของมาร์คลีที่กำลังมองมาในขณะที่เขากำลังตักเค้กเข้าปาก
แล้วมองไปรอบ ๆ ร้านราวกับว่ามันมีอะไรให้น่าสนใจหนักหนา แต่แล้วเขาก็ต้องมองออกไปนอกร้านเมื่อได้ยินเสียงของสายฝนที่กำลังตกลงมา
ให้ตายดิ เขาไม่ได้พกร่มมาซะด้วย
“ฝนตกซะแล้ว”
พี่มาร์คพูดทั้งๆที่สายตายังคงมองออกไปด้านนอกร้าน ก่อนจะหันกลับมาพูดกับผม “ว่าแต่เรากลับบ้านยังไงอ่ะ?”
“เดี๋ยวฝนหยุดตกแล้วจะเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินอะครับ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
คำพูดของพี่มาร์คทำให้ผมหยุดมือที่กำลังจะจ้วงเค้กแล้วหันไปมองหน้าพี่เขาอย่างงง
ๆ แต่ก่อนที่จะได้ปฏิเสธอะไรกลับไป พี่มาร์คก็ดันพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ห้ามปฏิเสธด้วยนะ”
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ดงฮยอกต้องมาที่คณะทันตแพทยศาสตร์ หลังจากที่ไม่ได้มานานถึงสามสัปดาห์ ดงฮยอกมองบัตรคนไข้ของตัวเองที่ด้านหลังเขียนเอาไว้ว่าวันนี้ตอนบ่ายโมงตรงเขามีนัดต้องมาเอ็กซเรย์ฟันที่นี่ และโชคดีที่วันนี้เป็นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันเดียวที่เขาไม่มีเรียนตอนบ่าย
ดงฮยอกเดินไปยื่นบัตรกับเจ้าหน้าที่ทะเบียนที่หน้าห้องเวชระเบียน ก่อนจะมานั่งเล่นมือถือรอเรียกชื่ออยู่ที่หน้าห้องนั้น แต่รอเพียงไม่นานคุณเจ้าหน้าที่ก็เรียกชื่อเขาและบอกให้นำแฟ้มไปยื่นไว้ที่หน้าห้องเอ็กซเรย์
“คุณอีดงฮยอกครับ”
เสียงเรียกชื่อที่ดังมาจากหน้าห้องเอ็กซเรย์ทำให้ดงฮยอกกดพอสเกมส์เอาไว้
แล้วเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ พี่มาร์คในชุดกาวน์ของนักศึกษาทันตแพทย์แบบยาวที่กำลังถือแฟ้มประวัติคนไข้กำลังยืนมองหน้าเขาอยู่
“หวัดดี” พี่มาร์คพูดก่อนจะดึงหน้ากากอนามัยลงมาไว้ที่คาง
แล้วส่งยิ้มให้ผม “วันนี้มาคนเดียวหรอเรา”
“ครับ”
ผมตอบแล้วพยักหน้ากลับไป
“หมอเขาส่งมาให้เอ็กซเรย์สองฟิล์มเนอะ”
พี่มาร์คพูดพลางอ่านแฟ้มไปด้วย ก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในห้องเอ็กซเรย์ “เดี๋ยวนั่งรอพี่อยู่หน้าห้องนี้ก่อนนะ”
พี่มาร์คชี้ไปที่เก้าอี้หน้าห้องเอ็กซเรย์
ก่อนจะก้มลงเขียนอะไรบางอย่างในสมุดที่วางอยู่หน้าห้องนั้น สักพักพี่เขาก็เดินหายเข้าไปในห้องเอ็กซเรย์
“เข้ามาเลยได้เลย”
ดงฮยอกลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตามพี่มาร์คเข้าไปในห้องที่มีเครื่องเอ็กซเรย์ตั้งอยู่
พี่มาร์คเดินนำเขาเข้าไปที่หน้าเครื่อง
ก่อนจะเริ่มอธิบายว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในขณะที่เครื่องกำลังทำงาน
เมื่ออธิบายจนเสร็จเรียบร้อยพี่มาร์คก็ถามเขาอีกครั้งว่าเข้าใจในสิ่งที่พูดไหม
เมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้ากลับไปพี่มาร์คก็เดินออกไปนอกห้อง ปล่อยให้เครื่องเอ็กซเรย์ทำงานแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อเครื่องทำงานเสร็จก่อนจะพาเขาไปยังเครื่องเอ็กซเรย์อีกแบบหนึ่ง
พี่มาร์คจับให้ผมไปยืนอยู่ระหว่างเครื่องเอ็กซเรย์หน้าตาประหลาดแล้วปรับระดับของเครื่องให้มาอยู่ประมาณคางของเขา
ก่อนจะประคองใบหน้าของดงฮยอกเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ
“มองตาพี่นะครับ”
ร่างสูงพูดก่อนจะจ้องเข้ามาในตาของเขา
พี่มาร์คจับใบหน้าของเขาให้พอดีกับเครื่องมือทั้ง ๆ ที่สายตาก็ยังไม่ละไปไหน
จนดงฮยอกเองที่ทนไม่ไหวจนต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน
และเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้หน้าของเขามันจะแดงขนาดไหนในเมื่อเขารู้สึกร้อนไปหมดทั้งใบหน้าแบบนี้
“...เดี๋ยว”
พี่มาร์คพูดทั้ง ๆ ที่ตาก็กำลังจ้องผมอยู่ “ดงฮยอกกัดอันนี้เอาไว้แล้วต้องอยู่นิ่ง
ๆ นะ ไม่ต้องเกร็ง เดี๋ยวเครื่องนี้มันจะหมุนรอบๆ”
ดงฮยอกพยักหน้าแล้วเอาฟันคาบสิ่งนั้นเอาไว้ตามที่พี่มาร์คบอก
ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกไปนอกห้องแล้วปล่อยให้เครื่องเอ็กซเรย์ทำงาน
รอเพียงไม่นานพี่มาร์คก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“เสร็จแล้ว เดี๋ยวไปรอที่หน้าห้องได้เลยนะครับ”
ดงฮยอกเดินออกนั่งรอหน้าห้องเอ็กซเรย์ทันทีที่มาร์คลีพูดจบ
เขายืนกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้ก่อนจะหายใจเข้าออกช้า ๆ เหมือนกับว่ากำลังเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนมา
รอเพียงไม่นานคุณป้าพยาบาลที่นั่งอยู่หน้าห้องก็บอกให้เขานำแฟ้มไปจ่ายเงิน
ครืด... ครืด...
แรงสั่นสะเทือนของเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเรียกให้สติดงฮยอกให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง
ดงฮยอกหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะพบกับข้อความที่ถูกส่งผ่านแอพพลิเคชั่นแชทยอดฮิตของเกาหลีจากคนที่ยังอยู่ในห้องเอ็กซเรย์
Mark : รอก่อนนะ
Mark : เดี๋ยวกลับพร้อมกัน
ดงฮยอกหลุดยิ้มให้กับข้อความนั้นแล้วจะกดส่งสติ้กเกอร์โอเคกลับไป
ก่อนจะเดินไปหาที่นั่งรออีกฝ่าย หลังจากวันที่พวกเรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟวันนั้น
เขาและพี่มาร์คก็มีโอกาสได้คุยกันมากขึ้น ทั้งพี่มาร์คที่แอดไอดีคาโอะของเขามาและทักมาคุยกันทุกวัน
หรือบางเวลาที่เราเจอกันที่หอสมุดพี่มาร์คมักจะอาสาขับรถมาส่งเขาที่คอนโด จนเหมือนจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว
ดงฮยอกเล่นเกมส์รออยู่สักพัก
พี่มาร์คที่เปลี่ยนมาอยู่ในชุดสั้นก็เดินมาสะกิดแขนเขา แล้วพาเดินนำไปยังลานจอดรถของคณะ
แต่เมื่อเดินไปถึงรถของพี่มาร์คก็บังเอิญเจอเข้ากับพี่ซึลกิที่เคยตรวจฟันให้เขา
“อ้าวน้องคนไข้”
“สวัสดีครับ” ดงฮยอกยิ้มให้พี่ซึลกิ
ก่อนจะก้มหัวทักทายตามมารยาท
“สวัสดี” พี่ซึลกิยิ้มกว้างกลับมาแล้วจับไหล่เขา
ก่อนหันไปพูดกับพี่มาร์ค ”แหมมาร์ค ที่วันนั้นบอกจะเอาแฟ้มไปเก็บให้ฉัน นี่เพราะอย่างนี้เองหรอยะ”
“อะไรเจ๊” พี่มาร์คถลึงตาใส่พี่ซึลกิ
“เจ๊พูดไรเนี่ย เงียบ ๆ ไปเลยนะ”
“จ้าไอ้น้องมาร์ค
ระวังมันจะล่อลวงเอานะน้องดงฮยอก” พี่ซึลกิพูดกระแทกเสียงเชิงล้อเลียนใส่พี่มาร์ค ก่อนจะหันมากระซิบกับหูเขาแล้วส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือบ๊ายบายให้
แล้วขึ้นรถของตัวเองไป
ดงฮยอกหันไปมองหน้ารุ่นพี่ต่างคณะ
แต่มาร์คลีทำแค่เพียงส่งยิ้มมาให้แล้วดันไหล่เขาเข้าไปในรถแล้ววิ่งไปนั่งที่ฝั่นคนขับ
“เราหิวป่ะ” คนที่นั่งอยู่หน้าพวงมาลัยถามขึ้น
“ไม่ค่อยอ่ะ
พี่หิวหรอ” ดงฮยอกหันไปถามและก็ได้คำตอบกลับมาคือการพยักหน้า “งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนก็ได้”
เหลือเวลาอีกเพียงแค่สองสัปดาห์ก็จะถึงเวลาของการสอบกลางภาค
ดงฮยอกตัดสินใจว่าเขาจะเริ่มเตรียมตัวอ่านหนังสือตั้งแต่เนิ่น ๆ
จะได้ไม่ต้องเครียดเมื่อใกล้ถึงวันสอบ และไม่ต้องใช้วิธีการ one night genius แบบที่เคยทำในเทอมที่ผ่าน ๆ มา
โดยแจมิน เจโน่ และลามิก็เห็นด้วย เขาและเพื่อน ๆ
เลยมักจะนัดรวมกลุ่มและติวให้กันประมาณสองถึงสามชั่วโมงในช่วงเวลาเลิกเรียน
ส่วนกับพี่มาร์ค
พวกเรายังคงได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิม บางทีอาจจะบ่อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่เพิ่มสถานที่นิดหน่อย...
ก็คอนโดของเขาน่ะแหละ
“พี่จะกินอะไรป่ะ? เดี๋ยวผมไปทำให้”
ดงฮยอกละสายตาจากชีทเรียนที่อยู่ในมือแล้วหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นในคอนโดของเขา หลังจากที่พักหลัง ๆ
อีกฝ่ายมักจะมาส่งเขาทุกวัน
จนเขาถือโอกาสชวนอีกคนขึ้นมาเล่นบนห้องเพื่อที่จะได้ทำอาหารให้ทานเป็นการตอบแทน
จากนั้นก็กลายเป็นแขกประจำไปเลย...
อันที่จริงดงอยอกก็ไม่ค่อยกล้าเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่ว่าที่พี่มาร์คมักจะมาส่งเขาทุกวัน
โทรมาปลุกกันทุกเช้า
หรือชอบส่งข้อความชวนหน้าร้อนมาให้เนี่ยมีจุดประสงค์อะไรกันแน่
จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเจ้าตัวลงรูปที่แอบถ่ายเขาตอนกำลังกินข้าว
พร้อมกับแคปชั่น ‘จีบคนนี้อยู่คนเดียวครับ’
เนี่ยแหละ
ไม่ต้องพูดถึงวันต่อมาเลยนะว่าเป็นยังไง
นอกจากจะโดนไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสามคนล้อไปเป็นอาทิตย์น่ะ เขาจะบ้าตาย
“ยังไม่ค่อยหิวอ่ะ”
พี่มาร์คตอบกลับมาทั้ง
ๆ ที่มือยังไถโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนจากนั่งหลังตรงมาเป็นซบเข้ากับไหล่ซ้ายของเขา
แล้วเอาหูฟังมาเสียบเข้ากับหูข้างซ้ายของตัวเอง ส่วนอีกข้างก็เอามาใส่เข้ากับหูข้างขวาของดงฮยอก
“นี่เพลงนี้น่ารักนะ”
Baby , I love you
I never want to let you go
The more I think about,
The more I want to let you know :
That everything you do,
Is super fu*king cute
And I can’t stand it
I've been searching for
A girl that's just like you
Cause I know
That your heart is true
เสียงดนตรีที่กระทบเข้ามาในโสตประสาทนั้นฟังดูน่ารัก
แต่สิ่งที่ทำให้ดงฮยอกหลุดยิ้มออกมากลับไม่ใช่เนื้อเพลง แต่เป็นคนที่เอาหน้าซุกไหล่เขาอยู่
ฝ่ามือหนาที่วางอยู่นิ่ง ๆ บนหน้าตักเปลี่ยนมาเป็นกอบกุมมือของเขาเอาไว้
Baby, I love you
I never want to let you go
The more I think about,
The more I want to let you know:
That everything you do,
Is super duper cute
And I can't stand it
Let's sell all our shit,
And run away
To sail the ocean blue
Then you'll know,
That my heart is true
ดงฮยอกไม่ค่อยแน่ใจว่าตอนนี้หน้าของเขากำลังแดงขนาดไหน
ในเมื่อตอนนี้เขารู้สึกเห่อร้อนไปทั้งหน้า โดยเฉพาะตอนที่หันไปสบตากับคนข้าง ๆ
“หูแดงหมดแล้ว” ไม่ว่าเปล่าแต่อีกคนยังเอานิ้วมาจับหูของเขา จนเขาต้องหดคอหนีเพราะทนความรู้สึกจั๊กจี๊ไม่ไหว
สายตาที่ถูกส่งมาจากคนที่เอาคางวางบนไหล่ทำให้ดงฮยอกรู้สึกร้อนวูบโหวงไปทั่วช่องท้อง
ความรู้สึกที่ตีรวนกันนั้นทำให้เขาอยากจะหันหน้าหนี แต่ยังไม่ทันได้หันหน้าไปไหนเขาก็โดนอีกคนประคองใบหน้าให้หันกลับมาทางเก่า
ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยใกล้ขนาดนี้มาก่อนเลยนะ...
ดงฮยอกแทบกลั้นหายใจในตอนที่รู้สึกว่าใบหน้าของพวกเรานั้นกำลังเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อย
ๆ จนเขาต้องปิดเปลือกตาลงพร้อมกับช่องว่างระหว่างเราที่ลดลงจนเขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก
รู้แค่เพียงสัมผัสบางเบาที่ริมฝีปาก...
สัมผัสบางเบาที่ริมฝีปากนั้นทำให้ดงฮยอกหัวสมองว่างเปล่า
เราแค่เพียงสัมผัสกันเบา ๆ ไม่มีการรุกล้ำใด ๆ ไม่กี่นาทีก่อนจะผละออก ดงฮยอกค่อย
ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะรู้สึกอยากระเบิดตัวตายเมื่อได้เห็นสายตาที่ของอีกฝ่าย
“เป็นแฟนกันนะ” พี่มาร์คพูดแล้วยื่นหน้าเข้ามาจูบซับตรงมุมปากย้ำ
ๆ จนเขาต้องเบี่ยงหน้าหนี “ว่าไงครับ?”
“อือ...”
“อือ นี่คืออะไรอะ” รอยยิ้มแป้นแล้นของอีกคนทำให้ดงฮยอกรู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะลองปล่อยหมัดใส่ดูสักครั้ง
แต่ตอนนี้แค่เรี่ยวแรงจะผลักอีกฝ่ายออกเขายังไม่มี
“พี่ไม่รู้เลยอ่ะ จริง
ๆ นะ”
“อือ ก็คือเป็นไง” ดงฮยอกอยากจะทึ่งหัวตัวเอง
ทำไมเสียงเขาถึงได้สั่นขนาดนี้วะ
“เป็นอะไรครับ?”
“เป็นแฟนพี่มาร์คครับ
พอใจรึยัง” ดงฮยอกพูดกระแทกเสียงก่อนจะพยายามดันตัวเองออกจากคนตรงหน้า
“พอใจแล้วครับ” พี่มาร์คพูดก่อนจะกดจูบที่ริมฝีปากของเขาแรง
ๆ แล้วเอามือมารวบเอวเขาเข้าหาตัวเอง “พี่จูบอีกได้มั้ยอ่ะ?”
.
.
.
“อื้อ”
END.
จบแล้วเด้ออิหล่า จบแบบไม่มีสาระและแก่นสารใด ๆ ทั้งนั้น
มาต่อแล้วหลังจากที่ดองเค็มมานาน คึคึ
ขอบคุณทุกคนที่ทนอ่านงานเขียนกาก ๆ นี้จนจบนะคะ ฮ่า ๆ
*คัมแบคครั้งนี้น้องดงหล่อจัง ความเป็นเมนมาร์คของเรานี่สั่นคลอนไปหมดเลย*
ความคิดเห็น