ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    NCT FICTION | MARKHYUCK MARKCHAN

    ลำดับตอนที่ #4 : OS | Can't stand it

    • อัปเดตล่าสุด 13 มิ.ย. 60





    CAN’T STAND IT

         


    MARK LEE X LEE DONGHYUCK



     

     



    เสียงของอาจารย์สาวสวยที่กำลังบรรยายเนื้อหาอยู่หน้าชั้นเรียนนั้นดังหึ่งๆเหมือนราวกับเสียงผึ้งบิน และถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะชวนให้เขาง่วงนอนมากขนาดไหน แต่สายตาของดงฮยอกก็ยังคงจดจ่ออยู่ที่หน้ากระดาษอยู่ดี เพราะถ้าหากว่าเขาคลาดสายตาไปเพียงแค่เสี้ยวนาที เขาก็อาจจะไม่เข้าใจเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่เลยก็เป็นได้


    ด้วยเนื้อหาของวิชาสมการเชิงอนุพันธ์ที่สุดแสนจะน่าเบื่อ ทำให้เหล่านักศึกษาในห้องเรียนหลาย ๆ คนเข้าสู่สภาวะทิ้งตัวไหลไปกับโต๊ะเล็กเชอร์ รวมถึงคนที่นั่งข้างๆเขาอย่างเจโน่และแจมินก็ด้วย


    ดงฮยอกเหลือบมองไปยังนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังเหนือกระดาน ตัวเลขของมันบ่งบอกว่าขณะนี้เหลือเวลาอีกแค่เพียงสิบห้านาทีเท่านั้นการเรียนการสอนในคาบนี้ก็จะจบลง แต่ยังไม่ทันได้ละสายตาออกมาจากนาฬิกาเรือนใหญ่ อาจารย์ก็พูดประโยคที่ทำให้ดงฮยอกรู้สึกดีใจขึ้นมา ว่าวันนี้ขอปล่อยก่อนเวลา เนื่องจากมีธุระที่ต้องไปทำ และทันทีที่อาจารย์พูดจบ เพื่อน ๆ ในห้องเรียนที่เมื่อก่อนหน้านี้เห็นว่ากำลังหลับอยู่ก็ตื่นขึ้นอย่างอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าเพื่อนคนอื่น ๆ ในคลาสเรียนเริ่มเก็บข้าวของลงกระเป๋า ดงฮยอกจึงหันไปสะกิดเพื่อนของตนบ้าง


    วันนี้จะไปห้องสมุดรึเปล่าวะดงฮยอก?” นาแจมินถามขึ้นในขณะที่มือก็กำลังเก็บหนังสือที่เพิ่งเอามาเป็นหมอนรองคอลงกระเป๋า ก่อนจะหาวออกมาแบบไม่ปิดปาก


    ไม่ว่ะผมตอบ วันนี้กูกะว่าจะไปทำฟันอ่ะ


    ทำที่ไหนอ่ะ?” เจโน่ที่เก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้วถามขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะเล็กเชอร์แล้วมายืนอยู่ข้าง ๆ ผม


    ทันตะ


    ไปทำฟันหรือไปส่องใครจ๊ะแจมินพูดพร้อมกับส่งสายตาล้อเลียนมาให้  


    ยุ่ง!”  


    ให้ไปเป็นเพื่อนมะเจโน่บอกพร้อมกับมองหน้าผม


    อืม... ก็ดีเหมือนกัน









    หลังจากที่กินข้าวกลางวันกันเสร็จเรียบร้อยแล้วที่คณะของตัวเอง ตอนนี้ดงฮยอกและเจโน่ก็มานั่งรอให้คุณเจ้าหน้าที่ทะเบียนทำบัตรคนไข้ใหม่ให้ อยู่ที่โรงพยาบาลทันตกรรมของมหาวิทยาลัย


    จริง ๆ ดงฮยอกก็เคยจัดฟันมาแล้วในช่วงมัธยมต้น แต่พอจัดฟันเสร็จก็ไม่ค่อยได้ไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพในช่องปากบ่อยเหมือนกับช่วงที่จัดฟันบวกกับความชอบกินขนมของตัวเอง  ดงฮยอกเลยกะว่าจะมาตรวจฟันดู เผื่อว่ามันจะมีฟันผุหรือมีหินปูนให้จัดการ แล้วอีกอย่างก็จะได้เป็นเคสให้พี่ๆนักศึกษาทันตแพทย์ด้วย


    นี่ดงฮยอกไม่ได้ตั้งใจจะมาส่องใครเลยจริงๆนะ!


    ทำไมคณะนี้มีแต่คนสวยๆวะเจโน่พูดแล้วมองไปยังรุ่นพี่ที่อยู่ในชุดกาวน์สั้นที่กำลังยืนคุยอะไรสักอย่างกับพี่เจ้าหน้าที่ คณะเราไม่เห็นมีแบบนี้มั่ง


    ลามิมาได้ยินคงหักคอมึงตายอ่ะเจโน่ผมพูดพร้อมกับขำออกมาหน่อย ๆ อันที่จริงคณะพวกผมมันก็มีคนน่ารักเยอะอยู่นะครับ แต่เพราะว่าคณะของพวกเรามีผู้หญิงน้อยเลยค่อนข้างจะสนิทกันทุกคน ทำให้รู้ธาตุแท้กันหมด แถมพวกนั้นบางทีก็แมนกว่าพวกผมอีก ความน่ารักเลยหดหายไปด้วยนิดหน่อย


    แล้วไอ้พี่มาร์คของมึงนี่อยู่ปีอะไรแล้ววะ?” เจโน่พูดขึ้นเสียงดัง จนทำให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมามองหน้าพวกเรา


    สัส มึงพูดเบา ๆ ดิ


    เออ ขอโทษทีกูลืมตัวมันพูด ว่าแต่อยู่ปีไหน?”


    ปีห้า


    งี้ก็ได้ลงมาทำคลินิกแล้วอ่ะดิเจโน่พูดแล้วทำตาโต ขอให้มึงได้เป็นคนไข้พี่มาร์ค”u


    คำพูดของอีเจโน่ทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนแปลก ๆ จะบ้าหรอวะ ให้ไปนอนให้คนที่ชอบทำฟันให้นี่มีหวังได้เขินตายพอดี แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หันไปด่ามัน คุณเจ้าหน้าที่ก็เรียกชื่อเขาขึ้นมาเสียก่อน


    หลังจากที่ทำบัตรคนไข้เสร็จเรียบร้อย คุณเจ้าหน้าที่ก็บอกให้ดงฮยอกเดินตามเส้นสีม่วงที่อยู่บนพื้น เพื่อไปตรวจช่องปากที่อีกตึกหนึ่ง พร้อมกับถือแฟ้มคนไข้ไปให้พยาบาลที่อยู่หน้าห้องตรวจด้วย


    เมื่อเดินตามเส้นสีม่วงไปจนถึงอีกตึกหนึ่ง ดงฮยอกก็นำแฟ้มคนไข้ของตัวเองพร้อมด้วยบัตรประจำคนไข้ที่แนบอยู่กับแฟ้มไปให้คุณพยาบาลที่นั่งอยู่หน้าห้องทันตกรรมรวม ก่อนจะมานั่งรอตามที่คุณพยาบาลบอก


    คุณอีดงฮยอกค่ะ


    เสียงใส ๆ ของพี่นักศึกษาทันตแพทย์ที่อยู่ในชุดกาวน์ยาวสีขาวเหมือนกับนักบวชดังขึ้นอยู่ที่หน้าห้องทันตกรรมรวม ในมือของพี่เขามีแฟ้มประวัติที่คาดว่าน่าจะเป็นของเขาอยู่ในมือ ดงฮยอกจึงลุกจากเก้าอี้แล้วฝากกระเป๋าเอาไว้กับเจโน่ก่อนจะเดินไปหาพี่คนนั้น


    น้องคืออีดงฮยอกใช่มั้ยคะ?”


    ครับ


    พี่ชื่อซึลกินะ อยู่ปีหกพี่ซึลกิพูดแล้วยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินนำเขาเข้าไปในห้องทำฟัน วันนี้จะมาตรวจช่องปากใช่มั้ย? งั้นพี่ตรวจให้ทั้งปากเลยนะ


    ได้ครับดงฮยอกตอบพร้อมกับพยักหน้าให้กับพี่หมอหน้าหมวย


    งั้นดงฮยอกนอนรอที่เตียงก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปเรียกอาจารย์แปปนึง


    พี่ซึลกิพูด ก่อนจะเดินไปยังเตียงอีกเตียงหนึ่งซึ่งมีเหล่านักศึกษาทันตแพทย์กำลังยืนมุงเตียงนั้นอยู่ห่างไปไม่ไกล หลังจากที่นอนรออยู่บนเตียงทำฟันซักพักเสียงของพี่ซึลกิก็ดังขึ้นบนหัวของดงฮยอกอีกครั้ง


    น้องเป็นคนไข้ใหม่ค่ะอาจารย์ อายุยี่สิปปี มีประวัติเคยขูดหินปูน อุดฟัน แล้วก็จัดฟันค่ะ ไม่มีโรคประจำตัว ไม่เคยมีอาการแพ้ยาค่ะพี่ซึลกิพูดรัวเร็วจนผมกลัวว่าพี่เขาจะหายใจไม่ทัน


    อืม.. วันนี้คนไข้จะมาทำอะไรล่ะ


    วันนี้มาตรวจช่องปากค่ะ


    ไหนอ้าปากกว้างซิลูกเมื่ออาจารย์พูดจบ ดงฮยอกก็อ้าปากกว้างก่อนที่อาจารย์จะเอาเครื่องมือเข้ามาตรวจในช่องปากของดงฮยอกซักพักแล้วเอาออก ตรวจเลย


    ค่ะ อาจารย์พี่ซึลกิพูดกับอาจารย์ก่อนจะหันมาพูดกับผม พี่จะเอาผ้าปิดตาให้นะคะน้องดงฮยอก


    หลังจากที่พี่ซึลกิเอาผ้ามาปิดตาให้ดงฮยอก เขาก็ได้ยินเสียงพี่ซึลกิจัดนู่นจัดนี่แล้วก็เดินไปเดินมาอีกนิดหน่อย


    อ่าว วันนี้ได้ลงนี่หรอมาร์ค?”


    ดงฮยอกได้ยินเสียงพี่ซึลกิกำลังพูดกับใครสักคนที่ชื่อมาร์ค ว่าแต่มาร์คไหน คณะนี้มันมีมาร์คกี่คน หวังว่าจะไม่ใช่มาร์คที่เขาชอบนะ...


    ครับพี่


    ว่างป่ะ มาช่วยพี่หน่อยสิคนไข้มาตรวจช่องปากอ่ะ


    ได้ ๆ


    ผู้ชายคนนั้นพูด ก่อนที่เขาจะรับรู้ได้ว่ามีบางคนกำลังนั่งลงทางฝั่งซ้ายของเขา พี่ซึลกิเริ่มตรวจฟันของเขาไปเรื่อยๆทุกซี่และทุกด้าน โดยที่มีผู้ชายอีกคนคอยจดอาการต่างให้ๆตามที่พี่ซึลกิบอก ระหว่างที่ตรวจพี่ซึลกิก็มักจะถามเขาไปด้วยทั้ง ๆ ที่เครื่องมือก็ยังอยู่ในปาก


    คือพี่คิดว่าผมจะตอบพี่ได้ยังไงหรอครับ...


    เสร็จแล้วค่ะน้องคนไข้” 


    พี่ซึลกิพูดพร้อมกับเอาผ้าปิดตาออกมาจากหน้าของดงฮยอก เมื่อเอาผ้าออกจากหน้าเขาก็หันไปมองทางฝั่งซ้ายของตัวเองทันที ด้วยความสงสัยว่ามาร์คที่พี่ซึลกิพูดด้วยเนี่ยคือมาร์คไหน 


    ก็มาร์คนั้นนั่นแหละครับ...


    มาร์คลีที่ผมชอบนั่นแหละ...

     

    นี่มันเลยสี่โมงแล้วอ่ะ น้องดงฮยอกกลับได้เลยนะ เดี๋ยวพี่เอาแฟ้มไปคืนให้พี่ซึลกิพูดกับผม หลังจากที่หันไปเก็บเครื่องมือทำฟันจนเสร็จเรียบร้อย ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งทำตัวไม่ถูกอยู่บนเตียงทำฟัน ยิ่งตอนที่ผมลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองหน้าพี่มาร์ค ก่อนจะพบว่าพี่เขากำลังส่งยิ้มให้ผมนี่ยิ่งทำตัวไม่ถูก ตอนนี้รู้สึกว่าสติของผมมันไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วครับ

     

    ฮือ เจโน่ช่วยดงฮยอกด้วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย 









    วันนี้ดงฮยอกต้องมาที่คณะทันตแพทยศาสตร์อีกแล้ว!

     

    ก็เพราะว่าเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว หลังจากที่พี่ซึลกิบอกว่าเขาจะต้องขูดหินปูนและอุดฟันอีกหนึ่งซี่ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วให้ดงฮยอกกลับบ้านได้เลย ดงฮยอกก็เดินออกมาจากห้องตรวจทันทีโดยลืมไปเลยว่ายังไม่ได้เอาบัตรประจำตัวคนไข้คืน


    ถ้าไม่มีบัตรประจำตัวคนไข้ ดงฮยอกก็จะมาทำฟันอีกไม่ได้เพราะก่อนทำฟันทุกครั้งจะต้องยื่นบัตรเสียก่อน ดงฮยอกเลยกะว่าจะมาถามที่เคาท์เตอร์ดูก่อนว่าพี่ซึลกิได้เอาบัตรของเขามาฝากไว้ไหมตามที่พี่แจฮยอนที่เป็นพี่ชายข้างบ้านของดงฮยอกซึ่งเรียนอยู่คณะนี้เหมือนกันบอกมา แต่ถ้าพี่ซึลกิไม่ได้ฝากไว้ดงฮยอกก็จะได้ไปทำบัตรใหม


    แต่หลังจากที่หาอยู่นานสองนานแล้วก็พบว่าไม่มี...


    ไม่มีบัตรของอีดงฮยอกอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์เลยแม้แต่ใบเดียว พี่ซึลกิไม่ได้เอาบัตรของดงฮยอกมาฝากไว้หรอ แต่ไม่เป็นไรหรอกเพราะทำบัตรใหม่เสียตังค์แค่สิบบาทเอง


    ดงฮยอกหันไปบอกเจโน่ให้ไปที่อีกตึกหนึ่งเพื่อที่เขาจะได้ไปทำบัตรใหม่ แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูออกไป เขาก็เจอเข้ากับร่างสูงของคนที่ได้เห็นฟันของเขาไปแล้วทั้งสามสิบสองซี่ พร้อมกับเพื่อนของพี่เขาอีกคน


    และก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว ให้ดงฮยอกคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีพี่มาร์คอาจจะเห็นบัตรของเขาบ้างก็ได้  เพราะพี่มาร์คก็อยู่ในวันนั้นเหมือนกัน


    เอ่อ พี่ครับดงฮยอกพูดขึ้น ค.. คือพี่เห็นบัตรคนไข้ผมมั้ย


    อ๋อ คือบัตรคนไข้เราอยู่กับพี่อ่ะพี่มาร์คพูดขึ้นก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาเพื่อหาบัตรในกระเป๋า


    อย่างนี้ก็ได้หรอวะ เอาบัตรคนไข้ไว้ในกระเป๋าเงินตัวเองแบบนี้ก็ได้หรอวะ


    พี่ไม่ได้เอามาด้วยอ่ะ มันอยู่ที่หอพี่มาร์คบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นมาตรงหน้าผม พี่ขอเบอร์เราหน่อยสิ เดี๋ยวพี่จะได้โทรบอกตอนจะเอาไปคืน


    ทันทีที่พี่มาร์คพูดจบ ผม เจโน่ และเพื่อนของพี่มาร์คก็ได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ โดยมีเพื่อนของพี่มาร์คที่มองหน้าผมสลับกับมองหน้าพี่มาร์คแล้วขำๆ


    แค่จะเอาบัตรมาคืน นี่ต้องโทรนัดกันเลยหรอวะครับพี่มาร์ค








    “มุกพี่มาร์คแม่งได้ว่ะ”


    หลังจากไปตามหาบัตรคนไข้กันที่คณะทันตแพทยศาสตร์ เขาและเจโน่ก็กลับมาที่คณะของตัวเองอีกครั้งเพื่อเรียนต่อในช่วงบ่าย โดยมีนาแจมิน และลามิรออยู่ที่คณะเพราะยังเขียนรายงานแลปที่ต้องส่งในคาบบ่ายไม่เสร็จ และเมื่อแจมินได้ฟังเรื่องราวในช่วงพักกลางวันที่ผ่านมาจากปากของลีเจโน่จนจบ มันก็ตบเข่าฉาดใหญ่แล้วหันมาพูดกับผม


    “ดีจังวะ คนที่ชอบมาขอเบอร์เองเลย”


    “ดีเชี่ยอะไรล่ะ พี่เขาก็บอกอยู่ว่าแค่จะเอาบัตรมาคืน”


    “อ่าว ไอนี่หนิ” แจมินพูดแล้วผลักไหล่ผมเบาๆ “มึงควรดีใจดิ ชอบพี่เขามาตั้งเป็นปีแล้วไม่ใช่รึไง”


    “ก็... แล้วไงวะ” ดงฮยอกพูดเสียงเบาเมื่อเห็นว่าอาจารย์ประจำวิชาของคาบบ่ายเดินเข้ามาในห้องตามด้วยลามิเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มที่รีบวิ่งเข้ามานั่งโต๊ะข้างๆเขา เขาจึงหยิบหนังสือประจำวิชาของขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ


    ที่บอกว่าดงฮยอกชอบมาร์คลีมาเป็นปีน่ะก็ถูกแล้วแหละครับ เพราะเขาไปดันแอบชอบพี่มาร์คตั้งแต่เจอกันแรก ๆ ในหอสมุดตอนที่เข้าปีหนึ่งมาใหม่ ๆ แล้ว


    ตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย รุ่นพี่หลายคนมักจะชอบบอกกับเขาว่าหอสมุดสุดหรูหราของมหาวิทยาลัยน่ะดีมากเพราะแอร์ก็เย็น Wi-Fiก็เร็ว มีโซนที่เปิดแบบยี่สิบสี่ชั่วโมง(แต่ปิดแอร์ตอนห้าทุ่ม) หรือถ้าอยากอ่านหนังสือแบบเงียบ ๆ นั่งแยกใครแยกมันไม่มีคนมารบกวน ก็มีโซนแบบนั้นไว้ให้ และด้วยความที่กลับหอไปเขาก็ไม่มีอะไรจะทำนอกจากการเล่นเกมส์โทรศัพท์กับดูการ์ตูน ดงฮยอกเลยเลือกที่จะอยู่หอสมุดต่อหลังจากเลิกเรียนไปจนถึงช่วงหัวค่ำแล้วค่อยกลับหอ


    จากจุดประสงค์ในการเข้าห้องสมุดตอนแรกที่แค่ไม่อยากรีบกลับหอ แต่พอดงฮยอกได้เจอกับผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งซึ่งมักจะมาพร้อมกับเป้ใบหนา แว่นตาทรงสี่เหลี่ยมสีดำ และเสื้อฮู้ดสีกรมท่าตัวใหญ่ จุดประสงค์ของเขาก็เบี่ยงเบนไป


    เป็นประจำทุกครั้งที่ไปหอสมุด ร่างสูงในชุดนักศึกษาทันตแพทย์คนนั้นมักจะโผล่หน้ามาให้เขาเห็นหน้าด้วยการมานั่งข้างกันในห้องอ่านหนังสือแบบเดี่ยวที่ห้ามส่งเสียงดัง ไม่ว่าเขาจะนั่งอยู่ตรงไหนในห้องนี้ หมอนั่นก็จะตามมานั่งข้างกันทุกวัน จนพักหลัง ๆ ดงฮยอกก็เลือกห้องนั้นเป็นห้องที่นั่งประจำไปเสียแล้ว


    แต่อย่าคิดเลยนะครับว่าการที่เรานั่งข้างกันทุกวันแบบนั้นแล้วผมกับพี่เขาจะได้คุยกัน อย่างมากก็ทำได้แค่ส่งยิ้มให้กันเท่านั้นแหละ เพราะผมน่ะขี้อายเกินไปเลยไม่กล้าที่จะทำความรู้จักก่อน และพอพยายามทำใจกล้าจะลองชวนคุย แต่หันไปอีกทีพี่เขาก็หลับคาชีทเรียนกองหนาไปเสียแล้ว ที่รู้ชื่อกับชั้นปีของพี่เขามาได้เนี่ย เพราะแอบมองชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อกาวน์ของพี่เขาล้วนๆ


    และจากที่แค่ชอบแอบมองหน้าแล้วอิจฉาในความหน้าตาดีของผู้ชายคนนี้ (ดงฮยอกคิดว่าหล่อน้อยกว่าเขานิดนึงล่ะ) ดงฮยอกก็ต้องใจเต้นตึกตัก เมื่อเขาและแจมินชวนกันไปหาของกินที่ตลาดของมหาวิทยาลัย แล้วบังเอิญสบตาเข้ากับพี่มาร์คที่กำลังยืนกินลูกชิ้นจนแก้มตุ่ยอยู่ที่หน้าร้านขายลูกชิ้น


    คนบ้าอะไรวะ!! แค่กินลูกชิ้นยังน่ารักเลยอ่ะ นี่ชอบจนไม่รู้จะชอบยังไงแล้วนะเนี่ย!!


    ครืด... ครืด...


    แรงสั่นสะเทือนของเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเรียกสติของดงฮยอกให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง เขาเอื้อมมือขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้นไม่ได้มีการบันทึกชื่อเอาไว้ ดงฮยอกมองเพื่อน ๆ ที่กำลังเดินออกจากห้องเลคเชอร์เมื่ออาจารย์บอกเลิกคาบ ก่อนจะกดรับสาย


    “สวัสดีครับ”


    “น้องดงฮยอกใช่มั้ยครับ? นี่พี่มาร์คนะ” คนในสายพูดก่อนจะเว้นช่วงไปสักพัก “คนที่ขอเบอร์เราไปเมื่อตอนกลางวันน่ะ”


    “อ๋อ ...ครับ”


    “คือพี่จะถามว่าวันพรุ่งนี้ตอนเย็น ๆ เราว่างหรือเปล่าอะ?” เสียงทุ้มสุภาพที่ตอบกลับมาผ่านสายโทรศัพท์นั้นทำให้ดงฮยอกอดที่จะอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงก้มหน้าจนคางแทบชิดอกมองโต๊ะเลคเชอร์อยู่อย่างนั้น “พอดีว่าพี่จะเอาบัตรไปคืน”


    “ก็... ว่างครับ”


    “งั้นวันพรุ่งนี้เจอกันที่ร้าน Coffe Der La ตอนห้าโมงได้มั้ยอะ?


    “ได้ครับ” ดงฮยอกพูดพลางยิ้มกับตัวเอง แต่อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมองอยู่ เขาจึงเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเลคเชอร์ แล้วก็พบว่าเป็นสายตาของเพื่อนรักทั้งสามคนอย่างแจมิน เจโน่ และลามิที่มองหน้าผมอย่างสงสัย


    “โอเค ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”


    “ครับ” ผมตอบแล้วกดวางสายไป ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วมองหน้าพวกมันทีละคน


    “ใครโทรมาอ่ะ?” ลามิถามขึ้น แล้วมองหน้าผมด้วยสายตาอยากรู้เต็มที


    “ไม่บอกเว้ย” ผมบอกพวกมันแบบเน้นทีละคำ ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะเลคเชอร์แล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย ตอนนี้เพื่อนในเซคชั่นออกจากห้องเรียนกันไปหมดแล้ว เหลือแค่เพียงผม แจมิน เจโน่และลามิที่ยังนั่งกันอยู่ที่เดิม


    “อ่าว ไอ้นี่” เจโน่พูดแล้วมองหน้าผมอย่างหาเรื่อง “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนหรอ?


    “ไม่มีไรหรอกหน่า กูกลับแล้วนะ” ผมตอบแล้วเหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นบ่าเมื่อเห็นว่าทีเอเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะเดินนำพวกมันสามคนออกจากห้องเลคเชอร์ไป  








    หลังจากที่นัดแนะกับพี่มาร์คเป็นที่เรียบร้อยว่าพวกเราจะไปเจอกันที่ร้าน Coffee Der La (อ่านว่าคอฟฟี่เด้อหล่า) เช้าวันต่อมาดงฮยอกก็ต้องสะดุ้งตื่นก่อนเวลาปกติถึงสองชั่วโมง (อันที่จริงก็แทบไม่ได้นอน) ดงฮยอกเริ่มค้นตู้เสื้อผ้าของตัวเอง หยิบเอาเสื้อผ้าที่แทบไม่ค่อยได้ให้สนใจขึ้นมาดู เขาหยิบเสื้อเชิ้ตลายกราฟฟิกที่เพิ่งซื้อมาใหม่มาทาบเข้ากับตัวเองแล้วมองเข้าไปในกระจก ก่อนจะส่ายหน้าไปมาแล้วโยนมันลงกับเตียง แล้วหยิบเอาเสื้อยืดสีขาวที่มีข้อความภาษาอังกฤษสีชมพูมาลองทาบกับตัวเองดูบ้าง ก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง


    ดงฮยอกยังคงหยิบเอาเสื้อตัวนั้นตัวนี้มาลองอยู่เรื่อย ๆ จนต้องอุทานออกมาเป็นคำหยาบเมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง แล้วพบว่าภายในสิบห้านาทีนี้ถ้าเขายังแต่งตัวไม่เสร็จ เขาจะต้องเข้าเรียนสายแน่ ๆ


    ตั้งสติไว้ก่อนนะดงฮยอก พี่เขาแค่จะเอาบัตรคนไข้มาคืน!!


    ดงฮยอกสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่ ก่อนจะเลือกหยิบเอาเสื้อฮู้ดที่ด้านบนเป็นสีกรมท่าแต่ด้านล่างเป็นสีเทากับกางเกงยีนส์สีเข้มตัวเก่งขึ้นมาสวมใส่ พรมน้ำหอมเล็กน้อย แล้วจัดทรงผมสีน้ำตาลแดงของตัวเองให้ลงมาปรกหน้า หมุนซ้ายหมุนขวาสำรวจตัวเองเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจึงรีบวิ่งไปหยิบเป้ที่อยู่บนเตียงกับรองเท้าสีแดงมาใส่ ก่อนจะออกจากห้องไป


    “แหม วันนี้แต่งตัวซะหล่อเชียว”


    แจมินเป็นคนแรกที่เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามาในห้องเรียน มันมองหน้าผมแล้วยิ้มแบบแทบจะเห็นฟันครบทั้งสามสิบสองซี่ แล้วเอานิ้วมาจิ้ม ๆ กับไหล่ผม


    “หูยยยยย มีความเซตผมอีกต่างหาก” เจโน่พูดบ้าง “จะไปไหนกับใครหรอครับคุณดงฮยอก”


    “เสือก” ผมตอบ แล้วกรอกตาใส่พวกมัน


    “อย่าล้อดงฮยอกดิ พวกแกเนี่ย” ลามิพูดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งในที่นั่งถัดจากผม  “ฉีดน้ำหอมด้วยนะเนี่ย จะไปกับพี่หมอฟันคนนั้นใช่ป่ะล่ะ?


    อ้าวลามิ ทำไมทำแบบนี้อ่ะ...


    ผมหันไปถลึงตาใส่ลามิ แต่แล้วก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเพียงเท่านั้น ยัยนั่นทำเป็นไม่สนใจผมก่อนจะเปิดแฟ้มมายเมโลดี้ที่เพิ่งจะเถียงกับผมไปเมื่อวานว่าควรจะมันซื้อดีมั้ย (ลามิบอกว่าจะซื้อมาใช้ในวันที่มีเรียนน้อย แต่ผมบอกว่าคณะเราไม่มีเรียนน้อยสักวัน และจบลงด้วยการที่ลามิทุบไหล่ผม ) แล้วหยิบลิปสติกขึ้นมาทาปาก


    ดงฮยอกเลือกที่จะมารอที่ร้านก่อนเวลานัดเล็กน้อย เพราะไม่อยากให้คนนัดต้องเป็นฝ่ายรอนาน ดงฮยอกเลือกที่จะสั่งชาเขียวเย็นแบบกลับบ้าน ก่อนจะมานั่งรอที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน เขาคิดว่าพี่มาร์คอาจจะแค่นัดเอาบัตรมาคืนหลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป


    “มารอนานยังอ่ะ?


    แรงสะกิดจากทางด้านหลังเรียกให้ดงฮยอกที่กำลังคนแก้วชาเขียวหันกลับไปมอง พี่มาร์คในชุดนักศึกษาทันตแพทย์ที่กำลังยืนยิ้มให้เขาอยู่ ดงฮยอกจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะก้มหัวทักทายคนอายุมากกว่า


    “ไม่ครับ” ผมตอบพร้อมกับส่งยิ้มกลับไป “ผมเพิ่งมาก่อนพี่แค่แปปเดียวเอง”


    “อ่า...” มาร์คลีพยักหน้าแล้วเกาท้ายทอยของตัวเอง ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาแล้วยื่นบัตรคนไข้ของผมส่งคืนมาให้ “นี่บัตรเรา”


    “ขอบคุณครับ” ดงฮยอกก้มหัวขอบคุณแล้วส่งยิ้มให้อีกฝ่าย


    “เราจะกลับเลยหรอ?” พี่มาร์คพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าผมหันไปหยิบแล้วน้ำและเป้ของตัวเอง ก่อนจะเอามือมาจับต้นแขนของผมไว้ “อยู่ก่อนดิ เดี๋ยวพี่เลี้ยง”


    “ม ...ไม่เป็นไรพี่ ผมเกรงใจ” ผมส่ายหัวแรง ๆ กลับไป แต่พี่มาร์คกลับส่งยิ้มมาให้และเปลี่ยนตำแหน่งมือจากแขนมาเป็นที่ข้อมือ ก่อนจะเอาเป้ของผมวางลงที่เดิม


    “ไม่ต้องเกรงใจ มาเลือกเร็ว” ไม่ว่าเปล่า แต่มีการดึงแขนของเขาให้ตามไปยังหน้าตู้โชว์ซึ่งมีเค้กหลายแบบวางโชว์อยู่ พอเขาปฏิเสธมาก ๆ เข้า เจ้าตัวก็ดันหันมาพูดกับเขาว่า


    “อย่าดื้อดิ” ประโยคนั้นทำเอาผมเหวอไปหลายนาทีแต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดกลับไป


    แต่หัวใจน่ะเต้นแรงเหมือนมันจะหลุดออกมาเลยล่ะ...


    หลังจากที่ชักชวนกึ่งบังคับให้เขาต้องเลือกเค้กมาหนึ่งชิ้นแล้ว พี่มาร์คก็ยังบังคับให้ผมอยู่ต่อพร้อมกับหาเรื่องนู่นนี่สารพัดมาชวนคุย จากมาร์คลีคนที่นั่งเงียบ ๆ ในห้องสมุด ผมก็ได้รู้ในวันนี้นี่แหละว่าจริง ๆเจ้าตัวก็พูดมากไม่ใช่เล่น แถมยังชอบมองหน้าคนอื่นอีกต่างหาก


    ดงฮยอกแกล้งทำเป็นไม่สนใจสายตาของมาร์คลีที่กำลังมองมาในขณะที่เขากำลังตักเค้กเข้าปาก แล้วมองไปรอบ ๆ ร้านราวกับว่ามันมีอะไรให้น่าสนใจหนักหนา แต่แล้วเขาก็ต้องมองออกไปนอกร้านเมื่อได้ยินเสียงของสายฝนที่กำลังตกลงมา


    ให้ตายดิ เขาไม่ได้พกร่มมาซะด้วย


    “ฝนตกซะแล้ว” พี่มาร์คพูดทั้งๆที่สายตายังคงมองออกไปด้านนอกร้าน ก่อนจะหันกลับมาพูดกับผม “ว่าแต่เรากลับบ้านยังไงอ่ะ?


    “เดี๋ยวฝนหยุดตกแล้วจะเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินอะครับ”


    “งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”


    คำพูดของพี่มาร์คทำให้ผมหยุดมือที่กำลังจะจ้วงเค้กแล้วหันไปมองหน้าพี่เขาอย่างงง ๆ แต่ก่อนที่จะได้ปฏิเสธอะไรกลับไป พี่มาร์คก็ดันพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน


    “ห้ามปฏิเสธด้วยนะ”








    วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ดงฮยอกต้องมาที่คณะทันตแพทยศาสตร์ หลังจากที่ไม่ได้มานานถึงสามสัปดาห์ ดงฮยอกมองบัตรคนไข้ของตัวเองที่ด้านหลังเขียนเอาไว้ว่าวันนี้ตอนบ่ายโมงตรงเขามีนัดต้องมาเอ็กซเรย์ฟันที่นี่ และโชคดีที่วันนี้เป็นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันเดียวที่เขาไม่มีเรียนตอนบ่าย


    ดงฮยอกเดินไปยื่นบัตรกับเจ้าหน้าที่ทะเบียนที่หน้าห้องเวชระเบียน ก่อนจะมานั่งเล่นมือถือรอเรียกชื่ออยู่ที่หน้าห้องนั้น แต่รอเพียงไม่นานคุณเจ้าหน้าที่ก็เรียกชื่อเขาและบอกให้นำแฟ้มไปยื่นไว้ที่หน้าห้องเอ็กซเรย์


    “คุณอีดงฮยอกครับ”


    เสียงเรียกชื่อที่ดังมาจากหน้าห้องเอ็กซเรย์ทำให้ดงฮยอกกดพอสเกมส์เอาไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ พี่มาร์คในชุดกาวน์ของนักศึกษาทันตแพทย์แบบยาวที่กำลังถือแฟ้มประวัติคนไข้กำลังยืนมองหน้าเขาอยู่


    “หวัดดี” พี่มาร์คพูดก่อนจะดึงหน้ากากอนามัยลงมาไว้ที่คาง แล้วส่งยิ้มให้ผม “วันนี้มาคนเดียวหรอเรา”


    “ครับ” ผมตอบแล้วพยักหน้ากลับไป


    “หมอเขาส่งมาให้เอ็กซเรย์สองฟิล์มเนอะ” พี่มาร์คพูดพลางอ่านแฟ้มไปด้วย ก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในห้องเอ็กซเรย์ “เดี๋ยวนั่งรอพี่อยู่หน้าห้องนี้ก่อนนะ”


    พี่มาร์คชี้ไปที่เก้าอี้หน้าห้องเอ็กซเรย์ ก่อนจะก้มลงเขียนอะไรบางอย่างในสมุดที่วางอยู่หน้าห้องนั้น สักพักพี่เขาก็เดินหายเข้าไปในห้องเอ็กซเรย์


    “เข้ามาเลยได้เลย”


    ดงฮยอกลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตามพี่มาร์คเข้าไปในห้องที่มีเครื่องเอ็กซเรย์ตั้งอยู่ พี่มาร์คเดินนำเขาเข้าไปที่หน้าเครื่อง ก่อนจะเริ่มอธิบายว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในขณะที่เครื่องกำลังทำงาน เมื่ออธิบายจนเสร็จเรียบร้อยพี่มาร์คก็ถามเขาอีกครั้งว่าเข้าใจในสิ่งที่พูดไหม เมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้ากลับไปพี่มาร์คก็เดินออกไปนอกห้อง ปล่อยให้เครื่องเอ็กซเรย์ทำงานแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อเครื่องทำงานเสร็จก่อนจะพาเขาไปยังเครื่องเอ็กซเรย์อีกแบบหนึ่ง


    พี่มาร์คจับให้ผมไปยืนอยู่ระหว่างเครื่องเอ็กซเรย์หน้าตาประหลาดแล้วปรับระดับของเครื่องให้มาอยู่ประมาณคางของเขา ก่อนจะประคองใบหน้าของดงฮยอกเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ


    “มองตาพี่นะครับ”


    ร่างสูงพูดก่อนจะจ้องเข้ามาในตาของเขา พี่มาร์คจับใบหน้าของเขาให้พอดีกับเครื่องมือทั้ง ๆ ที่สายตาก็ยังไม่ละไปไหน จนดงฮยอกเองที่ทนไม่ไหวจนต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน และเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้หน้าของเขามันจะแดงขนาดไหนในเมื่อเขารู้สึกร้อนไปหมดทั้งใบหน้าแบบนี้


    “...เดี๋ยว” พี่มาร์คพูดทั้ง ๆ ที่ตาก็กำลังจ้องผมอยู่ “ดงฮยอกกัดอันนี้เอาไว้แล้วต้องอยู่นิ่ง ๆ นะ ไม่ต้องเกร็ง เดี๋ยวเครื่องนี้มันจะหมุนรอบๆ”


    ดงฮยอกพยักหน้าแล้วเอาฟันคาบสิ่งนั้นเอาไว้ตามที่พี่มาร์คบอก ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกไปนอกห้องแล้วปล่อยให้เครื่องเอ็กซเรย์ทำงาน รอเพียงไม่นานพี่มาร์คก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง


    “เสร็จแล้ว เดี๋ยวไปรอที่หน้าห้องได้เลยนะครับ”


    ดงฮยอกเดินออกนั่งรอหน้าห้องเอ็กซเรย์ทันทีที่มาร์คลีพูดจบ เขายืนกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้ก่อนจะหายใจเข้าออกช้า ๆ เหมือนกับว่ากำลังเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนมา รอเพียงไม่นานคุณป้าพยาบาลที่นั่งอยู่หน้าห้องก็บอกให้เขานำแฟ้มไปจ่ายเงิน


    ครืด... ครืด...


    แรงสั่นสะเทือนของเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเรียกให้สติดงฮยอกให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ดงฮยอกหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะพบกับข้อความที่ถูกส่งผ่านแอพพลิเคชั่นแชทยอดฮิตของเกาหลีจากคนที่ยังอยู่ในห้องเอ็กซเรย์


    Mark : รอก่อนนะ


    Mark : เดี๋ยวกลับพร้อมกัน


    ดงฮยอกหลุดยิ้มให้กับข้อความนั้นแล้วจะกดส่งสติ้กเกอร์โอเคกลับไป ก่อนจะเดินไปหาที่นั่งรออีกฝ่าย หลังจากวันที่พวกเรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟวันนั้น เขาและพี่มาร์คก็มีโอกาสได้คุยกันมากขึ้น ทั้งพี่มาร์คที่แอดไอดีคาโอะของเขามาและทักมาคุยกันทุกวัน หรือบางเวลาที่เราเจอกันที่หอสมุดพี่มาร์คมักจะอาสาขับรถมาส่งเขาที่คอนโด จนเหมือนจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว


    ดงฮยอกเล่นเกมส์รออยู่สักพัก พี่มาร์คที่เปลี่ยนมาอยู่ในชุดสั้นก็เดินมาสะกิดแขนเขา แล้วพาเดินนำไปยังลานจอดรถของคณะ แต่เมื่อเดินไปถึงรถของพี่มาร์คก็บังเอิญเจอเข้ากับพี่ซึลกิที่เคยตรวจฟันให้เขา


    “อ้าวน้องคนไข้”


    “สวัสดีครับ” ดงฮยอกยิ้มให้พี่ซึลกิ ก่อนจะก้มหัวทักทายตามมารยาท


    “สวัสดี” พี่ซึลกิยิ้มกว้างกลับมาแล้วจับไหล่เขา ก่อนหันไปพูดกับพี่มาร์ค ”แหมมาร์ค ที่วันนั้นบอกจะเอาแฟ้มไปเก็บให้ฉัน นี่เพราะอย่างนี้เองหรอยะ”


    “อะไรเจ๊” พี่มาร์คถลึงตาใส่พี่ซึลกิ “เจ๊พูดไรเนี่ย เงียบ ๆ ไปเลยนะ”


    “จ้าไอ้น้องมาร์ค ระวังมันจะล่อลวงเอานะน้องดงฮยอก” พี่ซึลกิพูดกระแทกเสียงเชิงล้อเลียนใส่พี่มาร์ค ก่อนจะหันมากระซิบกับหูเขาแล้วส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือบ๊ายบายให้ แล้วขึ้นรถของตัวเองไป


    ดงฮยอกหันไปมองหน้ารุ่นพี่ต่างคณะ แต่มาร์คลีทำแค่เพียงส่งยิ้มมาให้แล้วดันไหล่เขาเข้าไปในรถแล้ววิ่งไปนั่งที่ฝั่นคนขับ


    “เราหิวป่ะ” คนที่นั่งอยู่หน้าพวงมาลัยถามขึ้น


    “ไม่ค่อยอ่ะ พี่หิวหรอ” ดงฮยอกหันไปถามและก็ได้คำตอบกลับมาคือการพยักหน้า “งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนก็ได้”




     

     

     

     

     

    เหลือเวลาอีกเพียงแค่สองสัปดาห์ก็จะถึงเวลาของการสอบกลางภาค ดงฮยอกตัดสินใจว่าเขาจะเริ่มเตรียมตัวอ่านหนังสือตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่ต้องเครียดเมื่อใกล้ถึงวันสอบ และไม่ต้องใช้วิธีการ one night genius แบบที่เคยทำในเทอมที่ผ่าน ๆ มา โดยแจมิน เจโน่ และลามิก็เห็นด้วย เขาและเพื่อน ๆ เลยมักจะนัดรวมกลุ่มและติวให้กันประมาณสองถึงสามชั่วโมงในช่วงเวลาเลิกเรียน


    ส่วนกับพี่มาร์ค พวกเรายังคงได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิม บางทีอาจจะบ่อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่เพิ่มสถานที่นิดหน่อย...


    ก็คอนโดของเขาน่ะแหละ


    “พี่จะกินอะไรป่ะ? เดี๋ยวผมไปทำให้”


    ดงฮยอกละสายตาจากชีทเรียนที่อยู่ในมือแล้วหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นในคอนโดของเขา หลังจากที่พักหลัง ๆ อีกฝ่ายมักจะมาส่งเขาทุกวัน จนเขาถือโอกาสชวนอีกคนขึ้นมาเล่นบนห้องเพื่อที่จะได้ทำอาหารให้ทานเป็นการตอบแทน


    จากนั้นก็กลายเป็นแขกประจำไปเลย...


    อันที่จริงดงอยอกก็ไม่ค่อยกล้าเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่ว่าที่พี่มาร์คมักจะมาส่งเขาทุกวัน โทรมาปลุกกันทุกเช้า หรือชอบส่งข้อความชวนหน้าร้อนมาให้เนี่ยมีจุดประสงค์อะไรกันแน่


    จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเจ้าตัวลงรูปที่แอบถ่ายเขาตอนกำลังกินข้าว พร้อมกับแคปชั่น จีบคนนี้อยู่คนเดียวครับ เนี่ยแหละ


    ไม่ต้องพูดถึงวันต่อมาเลยนะว่าเป็นยังไง นอกจากจะโดนไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสามคนล้อไปเป็นอาทิตย์น่ะ เขาจะบ้าตาย


    “ยังไม่ค่อยหิวอ่ะ”


    พี่มาร์คตอบกลับมาทั้ง ๆ ที่มือยังไถโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนจากนั่งหลังตรงมาเป็นซบเข้ากับไหล่ซ้ายของเขา แล้วเอาหูฟังมาเสียบเข้ากับหูข้างซ้ายของตัวเอง ส่วนอีกข้างก็เอามาใส่เข้ากับหูข้างขวาของดงฮยอก


    “นี่เพลงนี้น่ารักนะ”

     

    Baby , I love you
    I never want to let you go
    The more I think about,
    The more I want to let you know :
    That everything you do,
    Is super fu*king cute
    And I can’t stand it



    I've been searching for
    A girl that's just like you
    Cause I know
    That your heart is true



    เสียงดนตรีที่กระทบเข้ามาในโสตประสาทนั้นฟังดูน่ารัก แต่สิ่งที่ทำให้ดงฮยอกหลุดยิ้มออกมากลับไม่ใช่เนื้อเพลง แต่เป็นคนที่เอาหน้าซุกไหล่เขาอยู่ ฝ่ามือหนาที่วางอยู่นิ่ง ๆ บนหน้าตักเปลี่ยนมาเป็นกอบกุมมือของเขาเอาไว้



    Baby, I love you
    I never want to let you go
    The more I think about,
    The more I want to let you know:
    That everything you do,
    Is super duper cute
    And I can't stand it



    Let's sell all our shit,
    And run away
    To sail the ocean blue
    Then you'll know,
    That my heart is true


     

    ดงฮยอกไม่ค่อยแน่ใจว่าตอนนี้หน้าของเขากำลังแดงขนาดไหน ในเมื่อตอนนี้เขารู้สึกเห่อร้อนไปทั้งหน้า โดยเฉพาะตอนที่หันไปสบตากับคนข้าง ๆ


    “หูแดงหมดแล้ว” ไม่ว่าเปล่าแต่อีกคนยังเอานิ้วมาจับหูของเขา จนเขาต้องหดคอหนีเพราะทนความรู้สึกจั๊กจี๊ไม่ไหว


    สายตาที่ถูกส่งมาจากคนที่เอาคางวางบนไหล่ทำให้ดงฮยอกรู้สึกร้อนวูบโหวงไปทั่วช่องท้อง ความรู้สึกที่ตีรวนกันนั้นทำให้เขาอยากจะหันหน้าหนี แต่ยังไม่ทันได้หันหน้าไปไหนเขาก็โดนอีกคนประคองใบหน้าให้หันกลับมาทางเก่า


    ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยใกล้ขนาดนี้มาก่อนเลยนะ...


    ดงฮยอกแทบกลั้นหายใจในตอนที่รู้สึกว่าใบหน้าของพวกเรานั้นกำลังเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาต้องปิดเปลือกตาลงพร้อมกับช่องว่างระหว่างเราที่ลดลงจนเขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก


    รู้แค่เพียงสัมผัสบางเบาที่ริมฝีปาก...


    สัมผัสบางเบาที่ริมฝีปากนั้นทำให้ดงฮยอกหัวสมองว่างเปล่า เราแค่เพียงสัมผัสกันเบา ๆ ไม่มีการรุกล้ำใด ๆ ไม่กี่นาทีก่อนจะผละออก ดงฮยอกค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะรู้สึกอยากระเบิดตัวตายเมื่อได้เห็นสายตาที่ของอีกฝ่าย


    “เป็นแฟนกันนะ” พี่มาร์คพูดแล้วยื่นหน้าเข้ามาจูบซับตรงมุมปากย้ำ ๆ จนเขาต้องเบี่ยงหน้าหนี  “ว่าไงครับ?


    “อือ...”


    “อือ นี่คืออะไรอะ” รอยยิ้มแป้นแล้นของอีกคนทำให้ดงฮยอกรู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะลองปล่อยหมัดใส่ดูสักครั้ง แต่ตอนนี้แค่เรี่ยวแรงจะผลักอีกฝ่ายออกเขายังไม่มี


    “พี่ไม่รู้เลยอ่ะ จริง ๆ นะ”


    “อือ ก็คือเป็นไง” ดงฮยอกอยากจะทึ่งหัวตัวเอง ทำไมเสียงเขาถึงได้สั่นขนาดนี้วะ


    “เป็นอะไรครับ?


    “เป็นแฟนพี่มาร์คครับ พอใจรึยัง” ดงฮยอกพูดกระแทกเสียงก่อนจะพยายามดันตัวเองออกจากคนตรงหน้า


    “พอใจแล้วครับ” พี่มาร์คพูดก่อนจะกดจูบที่ริมฝีปากของเขาแรง ๆ แล้วเอามือมารวบเอวเขาเข้าหาตัวเอง “พี่จูบอีกได้มั้ยอ่ะ?

    .

    .

    .

    “อื้อ”




    END.

    จบแล้วเด้ออิหล่า จบแบบไม่มีสาระและแก่นสารใด ๆ ทั้งนั้น

    มาต่อแล้วหลังจากที่ดองเค็มมานาน คึคึ

    ขอบคุณทุกคนที่ทนอ่านงานเขียนกาก ๆ นี้จนจบนะคะ ฮ่า ๆ

    *คัมแบคครั้งนี้น้องดงหล่อจัง ความเป็นเมนมาร์คของเรานี่สั่นคลอนไปหมดเลย*





     
      CR.SQW
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×