คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : SF | ENQUIRE [3/3]
ENQUIRE
MARK LEE X LEE DONGHYUCK
เช้าวันจันทร์กับการขึ้นรถไฟใต้ดินในช่วงเวลาเร่งรีบ ช่างถือเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดสำหรับลีดงฮยอก เพราะในขบวนรถไฟต่างอัดแน่นไปด้วยผู้คน ทั้งผู้ใหญ่วัยทำงานที่กำลังเร่งรีบเพื่อไปให้ถึงสถานที่ทำงานของตนเองก่อนถึงเวลาเข้างาน พี่นักศึกษาที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านชีทเรียน หรือเหล่าเด็กวัยรุ่นที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งคาดว่าคงกำลังมุ่งหน้าไปเรียนพิเศษเหมือนกันกับดงฮยอก
และอีกหนึ่งสิ่งที่เพิ่มความอึดอัดให้กับลีดงฮยอก ก็คือคนที่กำลังยืนซ้อนหลัง แล้วเอาแขนพาดไหล่เขาไปจับเสารถไฟเพื่อทรงตัว
เมื่อคืนที่ผ่านมาหลังจากที่วางสายไป ดงฮยอกก็คิดในแง่บวกไว้ก่อนว่าบางทีพี่มาร์คอาจจะแค่โทรมาถามเฉย ๆ ไม่ได้มีเจตนาใด ๆ แอบแฝง แต่เช้าวันนี้เมื่อเดินออกมาจากซอยบ้านของตัวเองเพื่อจะมุ่งหน้าไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ดงฮยอกก็เจอกับมนุษย์แว่นที่มายืนรออยู่ที่หน้ามินิมาร์ทตรงหัวมุมทางเข้าบ้านของตนเอง
เมื่อเห็นว่าพี่มาร์คเดินตรงเข้ามาหา ดงฮยอกก็บ่นใส่อีกคนทันทีว่าจะมายืนรอทำไมให้เสียเวลา แต่พี่มาร์คกลับเอาแต่ยิ้มแล้วบอกว่าให้เดินไปด้วยกันจะได้มีเพื่อนคุย ไหนๆก็จะต้องไปที่เดียวกันอยู่แล้ว และอีกอย่างบ้านของพวกเราก็อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่บล็อก
เอาเถอะ ผมจะยอมเชื่อเหตุผลของพี่เขาก็ได้ เพราะถึงจะบ่นต่อไปพี่เขาก็คงไม่ฟังผมอยู่ดี
“คนเยอะเนอะ”
พี่มาร์คพูดขึ้น เมื่อรถไฟวิ่งมาถึงสถานีที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางการค้าของโซล ซึ่งเป็นสถานีที่มีคนลงเป็นจำนวนมาก ทำให้ในขบวนรถไฟนี้ดูโล่งขึ้นไปอย่างถนัดตา แต่คนที่ยืนซ้อนหลังผมอยู่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเขยิบออกไปซักที
ไม่รู้หรือไงว่ามาพูดใกล้ ๆ หูมันจั๊กจี้น่ะ!
“วันนี้เราเลิกเรียนกี่โมงอ่ะ?”
เป็นพี่มาร์คที่เอาแต่ชวนคุยตลอดทางตั้งแต่ในรถไฟใต้ดิน จนตอนนี้เราเดินเข้ามาในตึกของสถาบันกวดวิชาแล้วพี่เขาก็ยังพูดไม่หยุด
“ห้าโมงมั้ง” ผมตอบ แล้วเดินเข้าไปในลิฟท์โดยมีพี่มาร์คที่เดินตามกันมาแบบติดๆ “แล้วพี่อ่ะ?”
“พี่เลิกสองทุ่มแหน่ะ”
“โห เลิกดึกจัง”
“แต่บางวันพี่เลิกดึกกว่านี้อีกนะ” พี่มาร์คตอบ “แล้วแจมินยังไม่มาหรอ”
“มันบอกเดี๋ยวตามมาทีหลังอ่ะ” พี่มาร์คพยักหน้า ก่อนจะหันไปสนใจตัวเลขบนลิฟท์ที่บ่งบอกว่าตอนนี้ลิฟท์วิ่งขึ้นมาใกล้จะถึงชั้นที่พี่มาร์คกดเอาไว้แล้ว
“เสียดายจังวันนี้ไม่ได้กลับบ้านกับดงฮยอกเลย เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรหานะ” พี่มาร์คทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินออกจากตัวลิฟท์ไปเมื่อประตูลิฟท์เปิดออกพร้อมกับคนอื่นๆ
“เนี่ยเมื่อเช้าตอนเรียนอังกฤษเราได้นั่งโต๊ะคอมใกล้ๆกับโต๊ะพี่มาร์คด้วย”
เป็นประจำของช่วงเวลาพักเที่ยง พวกเราสามคน ผม นาแจมิน และคิมโกอึน มักจะมานั่งทานข้าวกลางวันด้วยกัน และอีกหนึ่งสิ่งที่ผมต้องเจอเป็นประจำตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ โกอึนมักจะพูดถึงแต่เรื่องของพี่มาร์คให้ผมฟังทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
“นึกแล้วก็ยังเขินอยู่เลยอ่ะ” โกอึนพูดแล้วเอามือขึ้นมาทาบแก้มของตัวเอง
“ฟินมากป่ะ” แจมินขัดขึ้น
“แน่นอนสิแจมิน ! ” โกอึนหันไปแว้ดใส่แจมิน แล้วหันกลับมาทำหน้าเพ้อฝันต่อ “ได้นั่งข้างคนที่ชอบใครๆก็ฟินทั้งนั้นแหละ”
“เห้อ” แจมินถอนหายใจ แล้วแกล้งทำเป็นแหงนหน้ามองเพดาน
“ถอนหายใจทำไมอ่ะ แจมิน”
“เปล๊า ไม่มีอะไร โกอึนอ่ะคิดมาก” แจมินพูดแล้วลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะหันมาพูดกับผม “กูไปซื้อข้าวก่อนนะมึง”
“เออ ๆ” ผมหันไปพยักหน้าให้แจมิน แล้วหันกลับมาพูดกับโกอึน “แล้วโกอึนไม่ไปซื้อข้าวหรอ เดี๋ยวเราเฝ้าโต๊ะไว้ให้”
“งั้นเราไปซื้อข้าวแปปนึงนะ”
โกอึนพูดก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินแล้วเดินออกจากโต๊ะไป ผมได้ส่ายหน้าให้กับความบ้าบอของนาแจมิน ตั้งแต่เป็นเพื่อนกับมันมา ไอ้นี่ล่ะชอบขัดคนอื่นสุด ๆ โดยเฉพาะเวลาที่พวกผู้หญิงในห้องกำลังกรี๊ดรุ่นพี่หล่อ ๆ ในโรงเรียน นาแจมินก็มักจะไปขัดความฟินของพวกหล่อนเสมอ
“พี่นั่งด้วยได้ป่ะ” เสียงที่ดังมาจากข้าง ๆ ตัว เรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ เมื่อหันไปก็เจอกับพี่มาร์คที่ยืนตาแป๋วสะพายกระเป๋าเป้อยู่
และไม่ต้องรีรอให้ผมตอบตกลง พี่มาร์คก็นั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ ผมทันที นี่มันเหมือนกับที่ห้องสมุดไม่มีผิด ไม่เข้าใจเลยว่าพี่เขาจะพูดว่าขอนั่งด้วยไปทำไมเพราะเดี๋ยวสุดท้ายพี่เขาก็จะนั่งอยู่ดี
“วันนี้พี่ไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนหรอ?”
“วันนี้เพื่อนไม่มาอ่ะ”
“โย่วพี่มาร์ค วันนี้ลมอะไรหอบให้มานั่งกับพวกผมเนี่ย?” แจมินพูดขึ้นทั้งๆที่ยังเดินมาไม่ถึงโต๊ะ “มึงสลับที่กับพี่มาร์คเลย ไปนั่งตรงข้ามโกอึนไป เดี๋ยวกูนั่งตรงข้ามพี่มาร์คเอง”
“ทำไมวะ” ผมถาม
“เออน่า บอกให้ไปก็ไปสิวะ”
แจมินทำมือไล่ให้ผมลุกออกจากเก้าอี้ ผมจึงส่งสายตาเคืองๆไปให้มันแล้วลุกออกจากเก้าอี้ของตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวแต่โดยดี
ตลอดช่วงพัก เสียงพูดคุยของพี่มาร์คและแจมินยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ผมลืมบอกไปเลยว่าสองคนนี้อยู่ชมรมบาสเก็ตบอลเหมือนกัน เลยทำให้ค่อนข้างที่จะสนิทกัน ส่วนผมและโกอึนก็ได้แต่นั่งกินข้าวไปเงียบ ๆ จะมีตอบบ้างก็ต่อเมื่อโดนถาม มีบางครั้งที่ผมแอบเหลือบมองหน้าโกอึนก็เห็นว่าเจ้าหล่อนกำลังกลั้นยิ้มจนแก้มแทบจะแตก คงมีความสุขมากเลยสินะ ที่มีคนที่แอบชอบมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะด้วยเนี่ย!
หลังจากที่อาบน้ำ และทานข้าวเย็นจนเสร็จเรียบร้อย ดงฮยอกก็เลือกที่จะกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง แทนการไปเล่นที่ห้องของพี่แจฮยอนแบบที่เคยทำอยู่เป็นประจำ เนื่องจากช่วงนี้พี่หมูจะต้องอ่านหนังสือสอบไฟนอล และผมเองก็เป็นน้องที่ดี จึงเลือกที่จะไม่ไปรบกวนสมาธิของพี่ชาย
ผมหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดดู ข้างในถุงเต็มไปด้วยหนังสือที่ผมซื้อมา เพราะว่าวันนี้หลังจากที่เลิกเรียนพิเศษ ผมก็โดนนาแจมินชวนกึ่งบังคับให้ไปเดินห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่เรียนพิเศษของ โดยมีคิมโกอึนที่ติดสอยห้อยตามพวกเราไปด้วย หลังจากที่เดินวนไปวนมาจนเกือบจะครบทุกซอกทุกมุมของห้าง ผมก็บังเอิญไปเจอเข้ากับร้านขายหนังสือมือสองร้านหนึ่ง ภายในร้านมีหนังสือมากมายหลายประเภท ทั้งนวนิยาย นิตยสาร ชีวประวัติ การตกแต่งบ้านและสวน รวมถึงหนังสือการ์ตูนต่างๆ และผมก็เจอสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมแทบจะกรี้ดออกมา เหมือนกับสาว ๆ เวลาเห็นอปป้าที่ตัวเองคลั่งไคล้
ร้านนี้มีชินจังเล่มที่ผมกำลังตามหาอยู่ด้วย!
โอ้พระเจ้า! นี่มันสุดยอดมากๆ ชินจังเล่มนี้มีขายแค่ในญี่ปุ่น และมันก็ไม่ยอมตีพิมพ์ใหม่แล้วด้วย พระเจ้าครับ ดงฮยอกเจอสิ่งที่ตามหาแล้ว บราโว่! บราโว่!
หลังจากที่เดินวนจนทั่วห้าง พวกเราสามคนก็เลือกที่จะมานั่งพักแข้งพักขากันที่ร้านขายไอศกรีม ในระหว่างที่กำลังรอให้พนักงานมาเสิร์ฟ ผมก็หยิบถุงของตัวเองขึ้นมาตรวจดูของที่ตนเองซื้อมา มีทั้งหนังสือที่ได้จากร้านขายหนังสือมือสอง และช็อกโกแลตบาร์อีกสามสี่แท่ง ที่ผมตั้งใจจะซื้อไปให้พี่แจฮยอน
“ดงฮยอกอ่า ช่วยอะไรเราหน่อยได้ป่ะ” โกอึนพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าแจมินลุกออกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
“อะไรล่ะ?”
“แบบ...” โกอึนทิ้งช่วงไว้สักพัก ก่อนจะพูดรัวเร็วจนผมเกือบจะจับใจความไม่ทัน “ดงฮยอกช่วยถามพี่มาร์คให้หน่อยสิว่าชอบคนแนวๆไหนอ่ะ”
“...” ผมเงยหน้าขึ้นจากถุงช็อคโกแลตที่อยู่ตรงหน้า แล้วมองหน้าของโกอึน
“นะๆ ถ้าดงฮยอกถามให้ เดี๋ยวเราเลี้ยงไอติมถ้วยนึง” โกอึนพูดแล้วเอื้อมมือมาจับแขนของผมแล้วเขย่า ๆ แบบที่ชอบทำประจำเวลาจะขอให้ช่วยทำอะไร พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนมาให้
เห้อ... เพื่อนขอร้องแบบนี้ ดงฮยอกก็ต้องช่วยใช่มั้ยล่ะครับ
นี่ดงฮยอกไม่ได้แก่ไอติมฟรีเลยจริงๆนะ!
ครืด ครืด...
แรงสั่นของโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เรียกความสนใจของผมให้ละจากหนังสือที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา ชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอทำให้คิ้วของผมเริ่มขมวดเข้าหากัน ทั้งๆที่ผมกำลังนินทาอยู่ในใจแท้ๆ โทรมาได้ถูกเวลาจริงๆ
“ว่าไง”
“ทำไรอยู่อ่ะ”
“อ่านการ์ตูน” ผมตอบ “นี่พี่ถึงบ้านละหรอ”
“อือ ถึงสักพักละ”
บทสนทนาของพวกเรายังคงดำเนินต่อไปสักพักใหญ่ๆ ทั้งผมและพี่มาร์คต่างก็เป็นฝ่ายหาเรื่องมาชวนกันคุย จนไม่รู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเรานั้นน่าเบื่อ ในระหว่างที่คุยกัน ผมก็ได้ยินเสียงเปิดหน้ากระดาษไปด้วย สงสัยพี่เขาคงกำลังอ่านหนังสืออยู่แหงๆ
พอนึกถึงเรื่องที่โกอึนขอร้องให้ช่วย ผมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ถ้าไม่ถามผมก็จะไม่ได้ไอศกรีมฟรีใช่มั้ย แล้วถ้าอยู่ดีๆผมก็ถามออกไปมันจะดูแปลกๆมั้ยนะ
“เออพี่ ขอถามอะไรหน่อยดิ่” ผมพูดขึ้น ทั้งที่ในใจก็กำลังกล้า ๆ กลัว ๆ
“ถามอะไรหรอ?”
“คือ... พี่ชอบคนแบบไหนอ่ะ”
“ฮันแน่ จะถามไปทำไมหรอ” ผมได้แต่เบะปากให้กับน้ำเสียงที่ตอบกลับมาผ่านทางโทรศัพท์ แหม น้ำเสียงช่างมีความสุขเหลือเกินนะพี่แว่น
“โอ้ยพี่” ผมเอ่ยขัดน้ำเสียงล้อเลียนของพี่เขา “ผมถามไปให้เพื่อน พี่รีบๆบอกมาเถอะ”
“ถามให้เพื่อนจริงๆอ่ะ พี่ไม่เชื่อหรอก ขนาดคราวที่แล้วบอกว่าขอเบอร์ไปให้เพื่อน ยังไม่เห็นมีเพื่อนเราคนไหนโทรมาหาพี่เลย”
“ไม่เชื่อก็เรื่องของพี่เหอะ”
“อะๆบอกก็ได้” พี่มาร์คเงียบเสียงไปสักพัก แต่ผมแอบได้ยินนะว่าพี่เขาหัวเราะ “พี่ชอบคนน่ารัก นิสัยดี เป็นตัวของตัวเอง บางทีก็ยิ้มเก่งแต่ส่วนใหญ่จะชอบทำหน้านิ่งๆ แล้วก็ชอบอ่านการ์ตูนด้วย ประมาณนี้แหละ”
“...” แล้วไอ้ชอบอ่านการ์ตูนนี่มันเกี่ยวอะไรวะ
“แต่จริง ๆ แล้วดงฮยอกเป็นแบบไหนพี่ก็ชอบหมดอ่ะ”
“ไอ้บ้า ไปอ่านหนังสือเลยไป” เมื่อได้ฟังคำตอบของพี่มาร์ค ผมก็โวยวายใส่โทรศัพท์ แล้วกดตัดสายทิ้งทันที ไอ้พี่บ้านี่ ก็บอกว่าถามไปให้เพื่อนไง ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเล่า!
ผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าไอ้ที่พี่มันบอกเมื่อกี๊น่ะพูดจริงหรือพูดเล่น...
แต่ที่รู้ ๆ คือผมเนี่ยเขินจริง!
หลังจากวันนั้น ผมก็ต้องมาเรียนพิเศษพร้อมกันกับพี่มาร์คในทุกๆเช้า
เพราะพี่เขามักจะมาดักรอผมที่หน้าทางเข้าบ้านทุกวันที่มีเรียนพิเศษ และมีบางครั้งที่ได้กลับบ้านพร้อมกันในวันที่พี่มาร์คเลิกเรียนเวลาเดียวกันกับผม
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่พี่มาร์คมักจะทำอยู่เป็นประจำ ก็คือการโทรศัพท์มาหาผมในช่วงเวลากลางคืน
พี่มาร์คมักจะโทรมาหาผมในช่วงเวลาสี่ทุ่มของทุกวันไม่เว้นแม้กระทั่งวันอาทิตย์
พร้อมกับเสียงพลิกหน้ากระดาษที่ดังผ่านโทรศัพท์มาให้ได้รับรู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังอ่านหนังสือหรือไม่ก็ทำแบบฝึกหัดอยู่
บทสนทนาในสายโทรศัพท์ของเราทั้งสองคนนั้นไม่เคยสร้างความรู้สึกน่าเบื่อในความคิดของผม
มันออกจะตลกดีด้วยซ้ำ ที่บางครั้งพี่เขาก็มักจะเอาเรื่องตลก ๆ ไร้สาระมาชวนผมคุย
ถามนู่นถามนี่ หรือมีบางทีที่พี่เขากวนประสาทผมในตอนที่ผมถามในเรื่องที่โกอึนฝากมาถาม
โกอึนยังคงขอร้องให้ผมช่วยสอบถามเรื่องต่างๆเกี่ยวกับพี่มาร์คอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยบ่อยเหมือนกับตอนเรียนพิเศษแรกๆก็ตาม
เรื่องที่ให้ถามก็มีตั้งแต่เรื่องทั่วๆไป เช่น เกิดวันที่เท่าไหร่ กรุ๊ปเลือดอะไร
ชอบกินอะไร ชอบอ่านหนังสือแนวไหน
หรือคำถามเกี่ยวกับคนที่พี่มาร์คชอบ อย่างเช่น ชอบคนเด็กกว่าหรือโตกว่า
ชอบคนนิสัยแบบไหน หรืออะไรอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาก็มักจะทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนแปลก
ๆ เหมือนกับกำลังนั่งอยู่ในห้องอบซาวน่า
และเมื่อผมบอกให้โกอึนโทรไปถามพี่มาร์คเอาเอง
เจ้าตัวก็บอกว่าไม่กล้าที่จะโทรไปหาพี่เขาก่อนเพราะว่าเขินเกินไป
แถมยังบ่นเรื่องที่พี่มาร์คไม่ยอมเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กจนกว่าจะสอบติดมหาวิทยาลัยอีก
“เดี๋ยวนี่มาด้วยกันทุกวันเลยน้า”
แจมินทักขึ้นเมื่อเห็นผมและพี่มาร์คเดินเข้ามาในตึกเรียนพิเศษ
ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสถานที่นัดเจอของผมกับมันในทุกๆเช้า แจมินส่งยิ้มให้พี่มาร์ค
ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมพร้อมกับส่งสายตาล้อเลียนมาให้
ผมจึงถลึงตาใส่มันก่อนจะเลือกตอบคำถามของมันด้วยคำถาม
เป็นเพราะว่ามันนั่นแหละที่ออกมาก่อนผมทุกเช้าผมเลยได้มากับพี่มาร์คแค่สองคนทุกวันแบบนี้
“แล้วทำไมเดี๋ยวนี้มึงมาเช้าจังเลยอ่ะ”
“พอดีไม่อยากไปเป็นก้างใครบางคน ก็เลยมาก่อน” แจมินพูด
ก่อนจะยกแขนขึ้นป้องตัวเองเมื่อเห็นว่าผมง้างมือขึ้น “กูล้อเล่น!”
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
แต่ส่งสายตาที่คิดว่าโหดที่สุดในชีวิตกลับไปให้มันแทน แจมินเลยกอดคอผมแล้วลากให้ผมเดินไปรอที่หน้าลิฟท์พร้อมกับมัน
โดยมีพี่มาร์คที่เดินตามหลังมาเงียบๆ
“เอาตรงๆเลยนะดงฮยอก”
หลังจากที่เอาแต่นั่งเงียบ และให้ความสนใจข้าวที่อยู่ในจานของตัวเองอยู่นานสองนานตั้งแต่เริ่มช่วงพักเที่ยง
แจมินก็เริ่มต้นพูดขึ้นเมื่อโกอึนขอตัวลุกออกจากโต๊ะเพื่อไปซื้อน้ำ มันมองไปรอบๆโต๊ะราวกับว่ากำลังมองหาใครบางคน
ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผม แล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมแทบจะสำลักข้าวที่กำลังกินอยู่
“กูว่าพี่มาร์คชอบมึง”
“...”
“อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนั้น” แจมินพูดแล้วชี้หน้าผม
เมื่อเห็นว่าผมกำลังจ้องหน้ามัน “กูก็แค่พูดตามสิ่งที่กูเห็น”
“มึงมโนไปเองแล้วแหละ” ผมบอกแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่มันพูด
“มึงเชื่อกูดิ” มันพูด “มึงเองก็ชอบพี่มาร์คเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ?”
“ไม่ได้ชอบเว้ย” ผมเถียง
“มึงอย่า” แจมินพูดแล้ววางช้อนส้อมของตัวเองลง
ก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้ามึงไม่ได้ชอบพี่มาร์ค แล้วทำไมมึงต้องมาเรียนพร้อมกับพี่มันทุกวัน
ยอมให้พี่มันโทรหาทุกคืน แถมวันอาทิตย์บางทีมึงก็เทกูไปกับพี่มันด้วย! อันหลังนี่กูเคืองมากนะบอกเลย”
แจมินพูดแล้วหรี่ตามองผมอย่างเอาเรื่อง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป
โกอึนก็มานั่งที่เก้าอี้ของตัวเองพร้อมกับแก้วน้ำในมือเสียก่อน
ผมจึงเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของมัน แล้วก้มหน้ามองจานข้าวของตัวเองเงียบๆ
ที่แจมินพูดก็ถูกของมันนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ผมกับพี่มาร์คไปไหนมาไหนด้วยกันแทบทุกวัน
อย่างตอนเช้าที่จะต้องออกมาเรียนพิเศษ ผมก็ต้องมาเรียนพร้อมพี่มาร์คทุกวันเพราะพี่เขามาดักรออยู่ที่มินิมาร์ทหน้าทางเข้าบ้าน
หรือบางวันที่ได้กลับบ้านพร้อมกัน พี่มาร์คก็มักจะชอบชวนผมแวะเข้าร้านออกนั้นร้านนี้ระหว่างเดินจากสถานีรถไฟใต้ดินไปถึงบ้าน
ส่วนวันอาทิตย์ก็จะมีบ้างบางทีที่พี่มาร์คโทรมาชวนให้ผมไปห้องสมุดหรือออกไปซื้อของเป็นเพื่อน
แต่อย่างพี่มาร์คเนี่ยนะจะชอบผม พี่เขาไม่เคยแสดงท่าทีที่บ่งบอกถึงอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ
เวลาคุยกันก็มีแต่จะคอยกวน คอยแหย่กันอยู่นั่น
หรือเวลาคุยโทรศัพท์กันแล้วผมถามเรื่องที่โกอึนฝากมาถาม พี่เขาก็เอาแต่แซวจนบางครั้งผมต้องวางสายทิ้งเสียดื้อๆ
‘แต่จริง ๆ แล้วดงฮยอกเป็นแบบไหนพี่ก็ชอบหมดอ่ะ’
จู่ ๆ คำพูดที่พี่มาร์คเคยบอกเมื่อหลายวันก่อนก็ลอยเข้ามาในหัวของผม
น้ำเสียงจริงจังที่ส่งผ่านสายโทรศัพท์มานั้นทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนตั้งแต่หน้าลามไปจนถึงใบหู
แต่ถึงพี่มันจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่นั่นมันก็แค่หยอกเล่นเฉยๆไม่ใช่รึไง
เอ๊ะ! หรือพี่มันพูดจริงวะ
“ดงฮยอกอ่าน่าแดงจัง เป็นอะไรหรือเปล่าอะ?”
เสียงของโกอึนที่ดังขึ้นเรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์กลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองโกอึนก่อนจะหันมามองแจมินก็พบว่ามันกำลังหรี่ตามองผมอยู่
“ไม่มีอะไร แค่อากาศมันร้อน...”
“ร้อนบ้าร้อนบออะไร แอร์เย็นจะตายชัก” แจมินพูดประชดประชันใส่ผม
ก่อนจะหันไปพูดกับโกอึน “คนมีความรักก็แบบนี้แหละโกอึน”
“ห๊า!! ดงฮยอกอ่ะนะ” โกอึนทำตาโตแล้วมองมาทางผม
“กับใครหรอ?”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!”
ผมลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวแล้วเหวี่ยงเป้ขึ้นมาสะพายหลัง
ก่อนจะเดินหนีออกมาทันทีเพื่อไม่ให้แจมินและโกอึนแซวผมมากไปกว่านี้
“เขินแรงจังเลยนะเราอ่ะ!!”
แต่มันก็ยังตะโกนไล่หลังผมมาอยู่ดี...
ไอ้เพื่อนเลว!! ดงฮยอกจะขอแบนนาแจมินเดี๋ยวนี้เลย!!
“เราอยากไปเดินดูร้านไหนรึเปล่าอ่ะ?”
พี่มาร์คถามขึ้นเมื่อเราสองคนเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าที่พี่มาร์คชวนให้ผมออกมาซื้อของเป็นเพื่อน
ห้างที่พี่มาร์คชวนผมมานี้เป็นห้างเปิดใหม่ใกล้ ๆ บ้านของพวกเรา แต่ผมก็ยังไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง
เพราะว่าชวนใครก็ไม่มีคนมาด้วย
“ไม่มีอ่ะ” ผมตอบแล้วส่ายหน้าให้พี่มาร์ค “ว่าแต่พี่ชวนผมมาซื้อปากกาไม่ใช่หรอ”
“ใช่ๆ” พี่มาร์คตอบ
ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองแบบที่ชอบทำเป็นประจำ จากที่ผมแอบสังเกตมา
“งั้นพี่ก็พาไปดิ”
พี่มาร์คพยักหน้าก่อนจะออกตัวเดินนำดงฮยอกไปเล็กน้อยในตอนแรก
แต่สุดท้ายก็ชะลอความเร็วของตัวเอง
จนกลายเป็นว่าตอนนี้ผมกับพี่มาร์คกำลังเดินพร้อมๆกัน ในช่วงจังหวะที่แกว่งแขนไปมา
ผมก็ต้องรีบชักมือของตัวเองออก เมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่ไหลปราดผ่านร่างกาย เมื่อมือของเราทั้งสองคนสัมผัสกัน
เมื่อมาถึงร้านขายเครื่องเขียนที่พี่มาร์คพูดถึง
พี่เขาก็บอกให้ผมไปเดินดูของรอบ ๆ ร้านได้ตามสบาย พอเลือกของที่ตัวเองอยากได้แล้วค่อยเดินกลับมาเจอกัน
ซึ่งผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย โดยการเดินดูของไปรอบ ๆ ร้าน และทิ้งให้พี่มาร์คเลือกปากกาอยู่ที่โซนเครื่องเขียน
ผมเดินดูของไปรอบๆร้าน ภายในร้านนี้ก็เหมือนกับร้านขายเครื่องเขียนทั่วๆไป
แต่อาจจะแปลกกว่าร้านอื่น ๆ หน่อยก็ตรงที่มีสมุดแฮนเมดลวดลายน่ารักที่เห็นแล้วทำให้นึกถึงโกอึน
หรือลายกราฟฟิกแปลก ๆ แนว ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผมได้
หลังจากที่เลือกสมุดลายที่อยากได้มาสองสามเล่ม
ผมก็เดินกลับมาหาพี่มาร์คที่โซนขายปากกาสีและก็พบว่าพี่เขากำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
มองปากกาในมือตัวเองสลับไปสลับมาอยู่อย่างนั้น
“แค่เลือกปากกา
มันต้องเครียดขนาดนี้เลยหรอ” ผมพูดขึ้นเมื่อเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆพี่มาร์ค
พี่เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะเบ้ปากเหมือนกับเด็กน้อยมาให้
“ก็พี่อยากได้ปากกาสีนี้
แต่ไม่รู้จะเลือกยี่ห้อไหนดีอ่ะ”
พี่มาร์คพูดแล้วชูปากกาไฮไลท์สีเขียวทั้งหมดในมือให้ผมดู
เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงจับแขนพี่มาร์ค แล้วออกแรงลากให้พี่เขาเดินตามผมมาที่ชั้นขายปากกาไฮไลท์อีกด้านหนึ่ง
ซึ่งผมเห็นว่ามีปากกายี่ห้อที่ผมชอบจิ๊กพี่แจฮยอนมาใช้อยู่เป็นประจำวางขายอยู่
“ยี่ห้อนี้ก็ดีนะ มีสองหัวแถมยังมีสีที่พี่อยากได้ด้วย”
ผมบอกแล้วหยิบปากกาไฮไลท์สีส้มพีชขึ้นมาเขียนชื่อตัวเองลงบนกระดาษลองปากกาด้วยฝั่งหัวเล็ก
“ไหนพี่ลองบ้าง”พี่มาร์คพูดแล้วหยิบปากกาไฮไลท์สีเขียวขึ้นมาเขียนลงบนกระดาษบ้าง
ก่อนจะสะกิดให้ผมหันไปดูเมื่อตัวเองเขียนเสร็จ
ผมยื่นหน้าเข้าไปดูกระดาษนั่นทันที เพราะอยากรู้ว่าพี่มาร์คเขียนคำว่าอะไรลงไป
ก่อนจะต้องผงะออกมา แล้วหันไปมองหน้าคนที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ข้างๆ
มีอย่างที่ไหน มาเขียนคำว่าน่ารักลงในชื่อคนอื่นได้หน้าตาเฉยแบบนี้วะ! ไอ้พี่บ้า!!
และหลังจากที่เดินออกมาจากร้านขายเครื่องเขียน
พี่มาร์คก็ชวนผมให้อยู่เดินเล่นภายในห้างต่ออีกนิดหน่อย ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะต่อให้กลับบ้านไปผมก็คงจะทำแค่นอนเล่นเกมส์
หรือไม่ก็คงอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนห้องแค่นั้น
ดงฮยอกเงยหน้าขึ้นจากชั้นวางรองเท้าที่มีรองเท้าสนีกเกอร์รุ่นใหม่ล่าสุดตั้งโชว์อยู่
แล้วเหลือบมองไปยังคนที่กำลังเลือกหมวกอยู่ที่ชั้นฝั่งตรงข้าม ก่อนที่คำพูดของนาแจมินเพื่อนรักที่เคยพูดกับผมเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนจะโผล่เข้ามาในความคิด
หลังจากที่โดนแจมินแซวเรื่องพี่มาร์คในวันนั้น
มันก็เอาแต่แซวผมเรื่องพี่มาร์คอยู่ทุกวัน แถมยังมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็ต้องยอมรับกับมันไปว่าจริง
ๆ แล้วผมก็แอบชอบพี่มาร์คอย่างที่มันพูด
ก็ลองคิดดูสิครับ
ว่าถ้าอยู่ดีๆมีใครก็ไม่รู้มาคอยเอาอกเอาใจ มาทำดีใส่ เวลาจะไปเรียนก็ต้องไปพร้อมกัน
เวลากลับบ้านก็พาไปเลี้ยงขนมเลี้ยงน้ำแทบทุกวัน แถมยังโทรมากวนใจกันทุกคืนแบบนั้น แล้วใครกันล่ะที่จะไม่หวั่นไหว...
แต่ถึงผมกับพี่มาร์คจะคุยกันมาเกือบสองเดือนจนตอนนี้มันใกล้จะเปิดเทอมแล้วก็เถอะ
แต่ความสัมพันธุ์ของผมกับพี่เขามันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น
“ตกลงเป็นไง? ไปถึงไหนกันละ?”
แจมินถามขึ้นในขณะที่มือของมันก็กำลังพลิกเนื้อหมูสามชั้นในเตาย่างไปด้วย
มันมาหาผมถึงบ้านในเช้าวันอาทิตย์แล้วชวนกึ่งบังคับให้ผมออกไปเดินห้างเป็นเพื่อนมัน
ก่อนจะมาจบลงที่ร้านชาบูแบบนี้
“ก็ไม่ไง” ผมตอบ “พี่น้องกัน”
“พี่น้องบ้าอะไรวะ ตัวติดกันขนาดนี้”
แจมินพูดก่อนจะตะเกียบในมือขึ้นมาชี้หน้าผม “นี่พวกมึงยังไม่เป็นแฟนกันอีกหรอ”
“ก็พี่มันไม่ขอป่ะวะ...”
ผมตอบเสียงเบาพร้อมกับเขี่ยหมูในเตาไปด้วย “บอกชอบกูยังไม่เคยเลย”
“มึงก็บอกก่อนเลยดิ” มันพูด “แมนๆเตะบอลครัชแบบดงฮยอกจะกลัวอะไรอ่ะครับ
กะอีแค่บอกชอบผู้ชายก่อนแค่นั้นเอง”
“...”
“เอางี้นะ พวกมึงเคยจับมือกันมั้ย” มันถามขึ้น ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหน้าให้มันเป็รคำตอบ
“งั้นถ้าแบบเดิน ๆ อยู่แล้วพี่มันจับมือมึงเมื่อไหร่ มึงก็บอกชอบพี่เขาไปเลย”
“บอกชอบพ่อง...” ผมบอกแล้วแย่งเนื่อหมูในจานของมันมา
แต่มันก็ยังคงไม่สนใจแล้วเอาแต่ไซโคผมเรื่องพี่มาร์ค
“งั้นขอเป็นแฟนไปเลยดีกว่า” มันบอก
ก่อนจะยกนิ้วโป่งแล้วทำท่าทางเหมือนกับในโฆษณาชวนเชื่อที่เคยเห็นในทีวี “เชื่อกูว่าเวิร์ก”
“วันนี้เหม่อจังเลย เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ยหืม?”
เสียงของพี่มาร์คที่ดังขึ้นข้าง ๆ ตัวเรียกสติของผมให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนข้างๆตัว ก่อนจะพบว่าพี่เขากำลังเลิกคิ้วมองผมอยู่
คิ้วโก่งๆแบบนั้น นี่มันตลกชะมัด...
“เปล่าๆ ไม่ได้เป็นอะไร...”
ผมตอบก่อนจะต้องหลบสายตาของพี่มาร์ค เมื่อรู้สึกว่าพี่เขาจ้องตาผมนานเกินไป
“ไปกินไอติมร้านนี้กัน”
พี่มาร์คพูดก่อนจะจับมือผมให้เดินไปพร้อมๆกับพี่เขา
เพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านไอศกรีมที่ตัวเองบอก ผมก้มลงมองมือของเราที่กำลังจับกันอยู่
ก่อนที่คำพูดของแจมินจะโผล่เข้ามาในความคิดของผมอีกครั้ง
ถ้าผมบอกมันออกไปเลย มันจะดีรึเปล่านะ? แล้วถ้าบอกไปแล้วพี่เขาไม่ได้คิดเหมือนกันกับผมขึ้นมาล่ะ
เราจะต้องกลายเป็นคนไม่รู้จักกันรึเปล่า?
แต่เอาวะ! อีดงฮยอกคนนี้มีคติประจำใจคือ สิ่งใดที่เกิดขึ้น
สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ เพราะฉะนั้นถ้าอะไรมันจะเกิด
มันก็ย่อมดีเสมอทั้งนั้นแหละ!
“พี่มาร์ค” ผมหยุดเดินก่อนจะกระตุกแขนของพี่มาร์คให้หันกลับมา
พี่เขามองผมงงๆก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว
แต่ทว่าก็ได้ยินชัดเจนในหูของผม
“มีอะไรรึเปล่า...”
“...”
“วันนี้แปลกๆนะเราเนี่ย”
พี่มาร์คพูดก่อนจะเอามือขึ้นมาทาบกับหน้าผากของผม “ก็ไม่ได้ไม่สบายนี่นา
แล้วเป็นอะไรอ่ะ?”
“เป็นแฟนกันเหอะ”
“ห๊ะ...”
“...”
หลังจากที่ผมพูดประโยคนั้นออกไป
พี่มาร์คก็มองหน้าผมอย่างตกใจพร้อมกับทำตาโตเป็นไข่ห่าน
ผมสังเกตได้ว่าคิ้วของพี่เขาขมวดมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับสายตาที่กำลังล่อกแล่กไปมาเหมือนกับคนทำตัวไม่ถูกแบบนั่น
ยิ่งทำให้ผมใจแป่วไปกันใหญ่
“เดี๋ยวนะ...” พี่มาร์คพูดขึ้นหลังจากที่ตั้งสติได้
ก่อนจะมองหน้าผมด้วยสายตาอึ้งๆ “นี่เราขอพี่เป็นแฟนก่อนได้ไงอ่ะ”
อ่าว ชิบหายแล้วไง...
อีดงฮยอกเอ๊ย! พี่เขาต้องไม่ชอบแกแน่ๆ ทั้งทำเสียงเข้มแบบนั้น
แถมยังมองกันด้วยสายตาแปลกๆอีก ตอนนี้ดงฮยอกกลัวจนไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้วนะ
เหงื่อก็ไหลจนรู้สึกว่ามือเปียกไปหมดแล้วเนี่ย
เห็นมั้ยล่ะว่าดงฮยอกไม่น่าเชื่อคำพูดของนาแจมินเลย
พรุ่งนี้ผมจะไปหักคอมันแต่เช้าเลยคอยดูสิ!!
“เรามาแย่งขอก่อนแบบนี้ได้ไงอ่ะ!”
ห้ะ...
“วันนี้พี่กะว่าจะบอกชอบเราแล้วแท้ๆ แต่เรามาขอพี่เป็นแฟนก่อนแบบนี้ แล้วพี่จะทำยังไงอ่ะ”
น้ำเสียงของพี่มาร์คเปลี่ยนเป็นงอแง ก่อนจะทำท่าเบะปากที่ผมรู้สึกว่ามันน่าหมั่นไส้ที่สุดในโลก
“ผะ.. ผมจะไปรู้ด้วยหรอ ก็พี่ไม่ยอมบอกผมสักทีอ่ะ” ผมบอก “แล้วนี่ตกลงจะเป็นมั้ย
ถ้าไม่ตอบผมกลับบ้านแล้วนะ!”
“เป็นดิๆ” พี่มาร์คตอบก่อนจะเอามือมาพาดไหล่ผมแล้วก้มลงมากระซิบที่ข้างๆหูให้ผมได้รู้สึกจั๊กจี้เล่น
“ไม่เป็นได้ไงอ่ะ แอบชอบมาตั้งนานแล้วนะคนนี้เนี่ย”
“โอ๊ย ทำไรเนี่ย” ผมโวยวายแล้วปัดมือพี่มาร์คออกจากไหล่ “คนเยอะแยะ”
“งี้ถ้าคนไม่เยอะทำได้ใช่ป่ะ”
พี่มาร์คพูดแค่นั้น ก่อนจะต้องร้องโอดโอยเมื่อผมหันไปทุบไหล่ของพี่เขาดังปั่ก
แต่แล้วก็ต้องเอามือมารวบแขนของผมไว้อีก
เมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะง้างมือขึ้นไปทุบพี่เขาอีกครั้ง
“ล้อเล่นน่า” พี่มาร์คพูดแล้วมองตาผม จนผมเป็นฝ่ายที่ทนสายตานั่นไม่ไหวเลยต้องเสหลบไปเสียก่อน แต่พี่มันก็ไม่วายเอามือมาขยี้ผมของผมแทนอยู่ดี “เขินแรงเหมือนกันนะเราเนี่ย”
“จะสั่งอะไรก็สั่งเลยนะ”
พี่มาร์คพูดแล้วเดินจูงมือผมให้เข้าไปนั่งด้านในสุดของร้านขายไอศกรีม
หลังจากที่พี่มาร์คตกลงเป็นแฟนผม พี่เขาก็ทำตัวให้ผมรู้สึกหมั่นไส้เพิ่มมากขึ้นด้วยการเอาแต่ยิ้มจนผมรู้สึกว่าอยากจะบี้หน้าออกพี่เขาให้แบนเสียเหลือเกิน
“งี้จะสั่งเยอะแค่ไหนก็ได้ใช่ป่ะ”
ผมถามในขณะที่มือก็กำลังพลิกเมนูไปด้วย
“แล้วแต่เลยครับ” พี่มาร์คพูดแล้วเอื่อมมือมาหยิกแก้มผม
จนผมรู้สึกเหมือนแก้มของผมกำลังจะยืดติดมือพี่เขาไป
“นี่ดงฮยอกพี่มีอะไรจะบอก”
“ห้ะ” ผมเงยหน้าขึ้นจากเมนูไปมองหน้าพี่มาร์ค “อะไรหรอ”
“ยื่นหน้ามาใกล้ๆดิ” พี่มาร์คพูดแล้วทำท่ากวักมือ
เหมือนกำลังเรียกให้ผมเข้าไปใกลล้ๆ ซึ่งผมก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยไม่ได้เอะใจเลยว่ะ...
“จุ๊บ”
...ไอ้พี่มาร์คมันจะจุ๊บแก้มผม
หลังจากที่จุ๊บเสร็จ ไอ้พี่มาร์คก็รีบลุกออกจากโต๊ะไปทันที ทิ้งให้ผมได้แต่นั่งอ้าปากพะงาบๆเพราะทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อะไรวะ นี่ขนาดเพิ่งเป็นแฟนกันวันแรก ยังมาขโมยหอมแก้มกันแบบนี้
ถ้านานกว่านี้จะไม่ยิ่งกว่านี้เรอะ
คอยดูนะ ถ้ากลับมาดงฮยอกจะด่าให้ไอติมละลายเลย!!
END.
talk : นี่ขี้เกียจอ่านหนังสือจนเขียนฟิคเสร็จเลยอ่ะ 555555555
ในที่สุดเราก็เขียนจบ ดีใจกับเราหน่อยเร้ววว
ก่อนอื่นต้องกราบขอบคุณพล็อตเรื่องจากพี่หมอเจี๊ยบ ลลนา
ที่เคยมาพูดออกรายการว่าเคยช่วยเพื่อนจีบผู้ชายที่เรียนพิเศษด้วยกัน
แต่สุดท้ายดันไปชอบผู้ชายคนนั้นเองด้วยนะคะ
(เหมือนเราเลยแหละ)
และก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เค้ามาเม้นด้วยนะคะ
ถ้างงเดี๋ยวจะเข้ามาแก้ให้เน้อออ
ไอเลิฟยูวววววว
ความคิดเห็น