ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    NCT FICTION | MARKHYUCK MARKCHAN

    ลำดับตอนที่ #3 : SF | ENQUIRE [3/3]

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 60


    ENQUIRE

    MARK LEE X LEE DONGHYUCK

     

     

     

     

     

     

     

    เช้าวันจันทร์กับการขึ้นรถไฟใต้ดินในช่วงเวลาเร่งรีบ ช่างถือเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดสำหรับลีดงฮยอก เพราะในขบวนรถไฟต่างอัดแน่นไปด้วยผู้คน ทั้งผู้ใหญ่วัยทำงานที่กำลังเร่งรีบเพื่อไปให้ถึงสถานที่ทำงานของตนเองก่อนถึงเวลาเข้างาน พี่นักศึกษาที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านชีทเรียน หรือเหล่าเด็กวัยรุ่นที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งคาดว่าคงกำลังมุ่งหน้าไปเรียนพิเศษเหมือนกันกับดงฮยอก

     

     

    และอีกหนึ่งสิ่งที่เพิ่มความอึดอัดให้กับลีดงฮยอก ก็คือคนที่กำลังยืนซ้อนหลัง แล้วเอาแขนพาดไหล่เขาไปจับเสารถไฟเพื่อทรงตัว

     

     

    เมื่อคืนที่ผ่านมาหลังจากที่วางสายไป ดงฮยอกก็คิดในแง่บวกไว้ก่อนว่าบางทีพี่มาร์คอาจจะแค่โทรมาถามเฉย ๆ ไม่ได้มีเจตนาใด ๆ แอบแฝง แต่เช้าวันนี้เมื่อเดินออกมาจากซอยบ้านของตัวเองเพื่อจะมุ่งหน้าไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ดงฮยอกก็เจอกับมนุษย์แว่นที่มายืนรออยู่ที่หน้ามินิมาร์ทตรงหัวมุมทางเข้าบ้านของตนเอง

     

     

    เมื่อเห็นว่าพี่มาร์คเดินตรงเข้ามาหา ดงฮยอกก็บ่นใส่อีกคนทันทีว่าจะมายืนรอทำไมให้เสียเวลา แต่พี่มาร์คกลับเอาแต่ยิ้มแล้วบอกว่าให้เดินไปด้วยกันจะได้มีเพื่อนคุย ไหนๆก็จะต้องไปที่เดียวกันอยู่แล้ว และอีกอย่างบ้านของพวกเราก็อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่บล็อก

     

     

    เอาเถอะ ผมจะยอมเชื่อเหตุผลของพี่เขาก็ได้ เพราะถึงจะบ่นต่อไปพี่เขาก็คงไม่ฟังผมอยู่ดี

     

     

     “คนเยอะเนอะ”

     

     

    พี่มาร์คพูดขึ้น เมื่อรถไฟวิ่งมาถึงสถานีที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางการค้าของโซล ซึ่งเป็นสถานีที่มีคนลงเป็นจำนวนมาก ทำให้ในขบวนรถไฟนี้ดูโล่งขึ้นไปอย่างถนัดตา แต่คนที่ยืนซ้อนหลังผมอยู่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเขยิบออกไปซักที

     

     

    ไม่รู้หรือไงว่ามาพูดใกล้ ๆ หูมันจั๊กจี้น่ะ!

     

     

     

     

     

    “วันนี้เราเลิกเรียนกี่โมงอ่ะ?

     

    เป็นพี่มาร์คที่เอาแต่ชวนคุยตลอดทางตั้งแต่ในรถไฟใต้ดิน จนตอนนี้เราเดินเข้ามาในตึกของสถาบันกวดวิชาแล้วพี่เขาก็ยังพูดไม่หยุด   

     

    “ห้าโมงมั้ง” ผมตอบ แล้วเดินเข้าไปในลิฟท์โดยมีพี่มาร์คที่เดินตามกันมาแบบติดๆ “แล้วพี่อ่ะ?

     

    “พี่เลิกสองทุ่มแหน่ะ”

     

    “โห เลิกดึกจัง”

     

    “แต่บางวันพี่เลิกดึกกว่านี้อีกนะ” พี่มาร์คตอบ “แล้วแจมินยังไม่มาหรอ”

     

    “มันบอกเดี๋ยวตามมาทีหลังอ่ะ” พี่มาร์คพยักหน้า ก่อนจะหันไปสนใจตัวเลขบนลิฟท์ที่บ่งบอกว่าตอนนี้ลิฟท์วิ่งขึ้นมาใกล้จะถึงชั้นที่พี่มาร์คกดเอาไว้แล้ว

     

    “เสียดายจังวันนี้ไม่ได้กลับบ้านกับดงฮยอกเลย เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรหานะ” พี่มาร์คทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินออกจากตัวลิฟท์ไปเมื่อประตูลิฟท์เปิดออกพร้อมกับคนอื่นๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เนี่ยเมื่อเช้าตอนเรียนอังกฤษเราได้นั่งโต๊ะคอมใกล้ๆกับโต๊ะพี่มาร์คด้วย”

     

    เป็นประจำของช่วงเวลาพักเที่ยง พวกเราสามคน ผม นาแจมิน และคิมโกอึน มักจะมานั่งทานข้าวกลางวันด้วยกัน  และอีกหนึ่งสิ่งที่ผมต้องเจอเป็นประจำตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ โกอึนมักจะพูดถึงแต่เรื่องของพี่มาร์คให้ผมฟังทุกครั้งที่เจอหน้ากัน

     

    “นึกแล้วก็ยังเขินอยู่เลยอ่ะ” โกอึนพูดแล้วเอามือขึ้นมาทาบแก้มของตัวเอง

     

    “ฟินมากป่ะ” แจมินขัดขึ้น

     

    “แน่นอนสิแจมิน ! ” โกอึนหันไปแว้ดใส่แจมิน แล้วหันกลับมาทำหน้าเพ้อฝันต่อ “ได้นั่งข้างคนที่ชอบใครๆก็ฟินทั้งนั้นแหละ”

     

    “เห้อ” แจมินถอนหายใจ แล้วแกล้งทำเป็นแหงนหน้ามองเพดาน

     

    “ถอนหายใจทำไมอ่ะ แจมิน”

     

    “เปล๊า ไม่มีอะไร โกอึนอ่ะคิดมาก” แจมินพูดแล้วลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะหันมาพูดกับผม “กูไปซื้อข้าวก่อนนะมึง”

     

    “เออ ๆ” ผมหันไปพยักหน้าให้แจมิน แล้วหันกลับมาพูดกับโกอึน “แล้วโกอึนไม่ไปซื้อข้าวหรอ เดี๋ยวเราเฝ้าโต๊ะไว้ให้”

     

    “งั้นเราไปซื้อข้าวแปปนึงนะ”

     

    โกอึนพูดก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินแล้วเดินออกจากโต๊ะไป ผมได้ส่ายหน้าให้กับความบ้าบอของนาแจมิน ตั้งแต่เป็นเพื่อนกับมันมา ไอ้นี่ล่ะชอบขัดคนอื่นสุด ๆ โดยเฉพาะเวลาที่พวกผู้หญิงในห้องกำลังกรี๊ดรุ่นพี่หล่อ ๆ ในโรงเรียน นาแจมินก็มักจะไปขัดความฟินของพวกหล่อนเสมอ

     

     

    “พี่นั่งด้วยได้ป่ะ” เสียงที่ดังมาจากข้าง ๆ ตัว เรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ เมื่อหันไปก็เจอกับพี่มาร์คที่ยืนตาแป๋วสะพายกระเป๋าเป้อยู่

     

     

    และไม่ต้องรีรอให้ผมตอบตกลง พี่มาร์คก็นั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ ผมทันที นี่มันเหมือนกับที่ห้องสมุดไม่มีผิด ไม่เข้าใจเลยว่าพี่เขาจะพูดว่าขอนั่งด้วยไปทำไมเพราะเดี๋ยวสุดท้ายพี่เขาก็จะนั่งอยู่ดี

     

    “วันนี้พี่ไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนหรอ?

     

    “วันนี้เพื่อนไม่มาอ่ะ”

     

    “โย่วพี่มาร์ค วันนี้ลมอะไรหอบให้มานั่งกับพวกผมเนี่ย?” แจมินพูดขึ้นทั้งๆที่ยังเดินมาไม่ถึงโต๊ะ “มึงสลับที่กับพี่มาร์คเลย ไปนั่งตรงข้ามโกอึนไป เดี๋ยวกูนั่งตรงข้ามพี่มาร์คเอง”

     

    “ทำไมวะ” ผมถาม

     

    “เออน่า บอกให้ไปก็ไปสิวะ”

     

    แจมินทำมือไล่ให้ผมลุกออกจากเก้าอี้ ผมจึงส่งสายตาเคืองๆไปให้มันแล้วลุกออกจากเก้าอี้ของตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวแต่โดยดี

     

     

    ตลอดช่วงพัก เสียงพูดคุยของพี่มาร์คและแจมินยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ผมลืมบอกไปเลยว่าสองคนนี้อยู่ชมรมบาสเก็ตบอลเหมือนกัน เลยทำให้ค่อนข้างที่จะสนิทกัน ส่วนผมและโกอึนก็ได้แต่นั่งกินข้าวไปเงียบ ๆ จะมีตอบบ้างก็ต่อเมื่อโดนถาม มีบางครั้งที่ผมแอบเหลือบมองหน้าโกอึนก็เห็นว่าเจ้าหล่อนกำลังกลั้นยิ้มจนแก้มแทบจะแตก คงมีความสุขมากเลยสินะ ที่มีคนที่แอบชอบมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะด้วยเนี่ย!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากที่อาบน้ำ และทานข้าวเย็นจนเสร็จเรียบร้อย ดงฮยอกก็เลือกที่จะกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง แทนการไปเล่นที่ห้องของพี่แจฮยอนแบบที่เคยทำอยู่เป็นประจำ เนื่องจากช่วงนี้พี่หมูจะต้องอ่านหนังสือสอบไฟนอล และผมเองก็เป็นน้องที่ดี จึงเลือกที่จะไม่ไปรบกวนสมาธิของพี่ชาย

     

    ผมหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดดู ข้างในถุงเต็มไปด้วยหนังสือที่ผมซื้อมา เพราะว่าวันนี้หลังจากที่เลิกเรียนพิเศษ ผมก็โดนนาแจมินชวนกึ่งบังคับให้ไปเดินห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่เรียนพิเศษของ โดยมีคิมโกอึนที่ติดสอยห้อยตามพวกเราไปด้วย หลังจากที่เดินวนไปวนมาจนเกือบจะครบทุกซอกทุกมุมของห้าง ผมก็บังเอิญไปเจอเข้ากับร้านขายหนังสือมือสองร้านหนึ่ง ภายในร้านมีหนังสือมากมายหลายประเภท ทั้งนวนิยาย นิตยสาร ชีวประวัติ การตกแต่งบ้านและสวน รวมถึงหนังสือการ์ตูนต่างๆ และผมก็เจอสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมแทบจะกรี้ดออกมา เหมือนกับสาว ๆ เวลาเห็นอปป้าที่ตัวเองคลั่งไคล้

     

    ร้านนี้มีชินจังเล่มที่ผมกำลังตามหาอยู่ด้วย!

     

    โอ้พระเจ้า! นี่มันสุดยอดมากๆ ชินจังเล่มนี้มีขายแค่ในญี่ปุ่น และมันก็ไม่ยอมตีพิมพ์ใหม่แล้วด้วย พระเจ้าครับ ดงฮยอกเจอสิ่งที่ตามหาแล้ว บราโว่! บราโว่!

     

     

    หลังจากที่เดินวนจนทั่วห้าง พวกเราสามคนก็เลือกที่จะมานั่งพักแข้งพักขากันที่ร้านขายไอศกรีม ในระหว่างที่กำลังรอให้พนักงานมาเสิร์ฟ ผมก็หยิบถุงของตัวเองขึ้นมาตรวจดูของที่ตนเองซื้อมา มีทั้งหนังสือที่ได้จากร้านขายหนังสือมือสอง และช็อกโกแลตบาร์อีกสามสี่แท่ง ที่ผมตั้งใจจะซื้อไปให้พี่แจฮยอน

     

    “ดงฮยอกอ่า ช่วยอะไรเราหน่อยได้ป่ะ” โกอึนพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าแจมินลุกออกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ

     

    “อะไรล่ะ?

     

    “แบบ...” โกอึนทิ้งช่วงไว้สักพัก ก่อนจะพูดรัวเร็วจนผมเกือบจะจับใจความไม่ทัน “ดงฮยอกช่วยถามพี่มาร์คให้หน่อยสิว่าชอบคนแนวๆไหนอ่ะ”

     

    “...” ผมเงยหน้าขึ้นจากถุงช็อคโกแลตที่อยู่ตรงหน้า แล้วมองหน้าของโกอึน

     

    “นะๆ ถ้าดงฮยอกถามให้ เดี๋ยวเราเลี้ยงไอติมถ้วยนึง” โกอึนพูดแล้วเอื้อมมือมาจับแขนของผมแล้วเขย่า ๆ แบบที่ชอบทำประจำเวลาจะขอให้ช่วยทำอะไร พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนมาให้

     

    เห้อ... เพื่อนขอร้องแบบนี้ ดงฮยอกก็ต้องช่วยใช่มั้ยล่ะครับ

     

    นี่ดงฮยอกไม่ได้แก่ไอติมฟรีเลยจริงๆนะ!

     

     

     

    ครืด ครืด...

     

    แรงสั่นของโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เรียกความสนใจของผมให้ละจากหนังสือที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา ชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอทำให้คิ้วของผมเริ่มขมวดเข้าหากัน ทั้งๆที่ผมกำลังนินทาอยู่ในใจแท้ๆ  โทรมาได้ถูกเวลาจริงๆ

     

    “ว่าไง”

     

    “ทำไรอยู่อ่ะ”

     

    “อ่านการ์ตูน” ผมตอบ “นี่พี่ถึงบ้านละหรอ”

     

    “อือ ถึงสักพักละ”  

     

    บทสนทนาของพวกเรายังคงดำเนินต่อไปสักพักใหญ่ๆ ทั้งผมและพี่มาร์คต่างก็เป็นฝ่ายหาเรื่องมาชวนกันคุย จนไม่รู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเรานั้นน่าเบื่อ ในระหว่างที่คุยกัน ผมก็ได้ยินเสียงเปิดหน้ากระดาษไปด้วย สงสัยพี่เขาคงกำลังอ่านหนังสืออยู่แหงๆ

     

    พอนึกถึงเรื่องที่โกอึนขอร้องให้ช่วย ผมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ถ้าไม่ถามผมก็จะไม่ได้ไอศกรีมฟรีใช่มั้ย แล้วถ้าอยู่ดีๆผมก็ถามออกไปมันจะดูแปลกๆมั้ยนะ

     

    “เออพี่ ขอถามอะไรหน่อยดิ่” ผมพูดขึ้น ทั้งที่ในใจก็กำลังกล้า ๆ กลัว ๆ

     

    “ถามอะไรหรอ?

     

    “คือ... พี่ชอบคนแบบไหนอ่ะ”

     

    “ฮันแน่ จะถามไปทำไมหรอ” ผมได้แต่เบะปากให้กับน้ำเสียงที่ตอบกลับมาผ่านทางโทรศัพท์ แหม น้ำเสียงช่างมีความสุขเหลือเกินนะพี่แว่น

     

    “โอ้ยพี่” ผมเอ่ยขัดน้ำเสียงล้อเลียนของพี่เขา “ผมถามไปให้เพื่อน พี่รีบๆบอกมาเถอะ”

     

    “ถามให้เพื่อนจริงๆอ่ะ พี่ไม่เชื่อหรอก ขนาดคราวที่แล้วบอกว่าขอเบอร์ไปให้เพื่อน ยังไม่เห็นมีเพื่อนเราคนไหนโทรมาหาพี่เลย”

     

    “ไม่เชื่อก็เรื่องของพี่เหอะ”

     

    “อะๆบอกก็ได้” พี่มาร์คเงียบเสียงไปสักพัก แต่ผมแอบได้ยินนะว่าพี่เขาหัวเราะ “พี่ชอบคนน่ารัก นิสัยดี เป็นตัวของตัวเอง บางทีก็ยิ้มเก่งแต่ส่วนใหญ่จะชอบทำหน้านิ่งๆ แล้วก็ชอบอ่านการ์ตูนด้วย ประมาณนี้แหละ”

     

    “...” แล้วไอ้ชอบอ่านการ์ตูนนี่มันเกี่ยวอะไรวะ

     

    “แต่จริง ๆ แล้วดงฮยอกเป็นแบบไหนพี่ก็ชอบหมดอ่ะ”

     

    “ไอ้บ้า ไปอ่านหนังสือเลยไป” เมื่อได้ฟังคำตอบของพี่มาร์ค ผมก็โวยวายใส่โทรศัพท์ แล้วกดตัดสายทิ้งทันที ไอ้พี่บ้านี่ ก็บอกว่าถามไปให้เพื่อนไง ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเล่า!

     

     

    ผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าไอ้ที่พี่มันบอกเมื่อกี๊น่ะพูดจริงหรือพูดเล่น...

     

    แต่ที่รู้ ๆ คือผมเนี่ยเขินจริง!








    หลังจากวันนั้น ผมก็ต้องมาเรียนพิเศษพร้อมกันกับพี่มาร์คในทุกๆเช้า เพราะพี่เขามักจะมาดักรอผมที่หน้าทางเข้าบ้านทุกวันที่มีเรียนพิเศษ และมีบางครั้งที่ได้กลับบ้านพร้อมกันในวันที่พี่มาร์คเลิกเรียนเวลาเดียวกันกับผม นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่พี่มาร์คมักจะทำอยู่เป็นประจำ ก็คือการโทรศัพท์มาหาผมในช่วงเวลากลางคืน


    พี่มาร์คมักจะโทรมาหาผมในช่วงเวลาสี่ทุ่มของทุกวันไม่เว้นแม้กระทั่งวันอาทิตย์ พร้อมกับเสียงพลิกหน้ากระดาษที่ดังผ่านโทรศัพท์มาให้ได้รับรู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังอ่านหนังสือหรือไม่ก็ทำแบบฝึกหัดอยู่


    บทสนทนาในสายโทรศัพท์ของเราทั้งสองคนนั้นไม่เคยสร้างความรู้สึกน่าเบื่อในความคิดของผม มันออกจะตลกดีด้วยซ้ำ ที่บางครั้งพี่เขาก็มักจะเอาเรื่องตลก ๆ ไร้สาระมาชวนผมคุย ถามนู่นถามนี่ หรือมีบางทีที่พี่เขากวนประสาทผมในตอนที่ผมถามในเรื่องที่โกอึนฝากมาถาม


    โกอึนยังคงขอร้องให้ผมช่วยสอบถามเรื่องต่างๆเกี่ยวกับพี่มาร์คอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยบ่อยเหมือนกับตอนเรียนพิเศษแรกๆก็ตาม เรื่องที่ให้ถามก็มีตั้งแต่เรื่องทั่วๆไป เช่น เกิดวันที่เท่าไหร่ กรุ๊ปเลือดอะไร ชอบกินอะไร  ชอบอ่านหนังสือแนวไหน หรือคำถามเกี่ยวกับคนที่พี่มาร์คชอบ อย่างเช่น ชอบคนเด็กกว่าหรือโตกว่า ชอบคนนิสัยแบบไหน หรืออะไรอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาก็มักจะทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนแปลก ๆ เหมือนกับกำลังนั่งอยู่ในห้องอบซาวน่า


    และเมื่อผมบอกให้โกอึนโทรไปถามพี่มาร์คเอาเอง เจ้าตัวก็บอกว่าไม่กล้าที่จะโทรไปหาพี่เขาก่อนเพราะว่าเขินเกินไป แถมยังบ่นเรื่องที่พี่มาร์คไม่ยอมเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กจนกว่าจะสอบติดมหาวิทยาลัยอีก


    “เดี๋ยวนี่มาด้วยกันทุกวันเลยน้า”


    แจมินทักขึ้นเมื่อเห็นผมและพี่มาร์คเดินเข้ามาในตึกเรียนพิเศษ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสถานที่นัดเจอของผมกับมันในทุกๆเช้า แจมินส่งยิ้มให้พี่มาร์ค ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมพร้อมกับส่งสายตาล้อเลียนมาให้ ผมจึงถลึงตาใส่มันก่อนจะเลือกตอบคำถามของมันด้วยคำถาม เป็นเพราะว่ามันนั่นแหละที่ออกมาก่อนผมทุกเช้าผมเลยได้มากับพี่มาร์คแค่สองคนทุกวันแบบนี้


    “แล้วทำไมเดี๋ยวนี้มึงมาเช้าจังเลยอ่ะ”


    “พอดีไม่อยากไปเป็นก้างใครบางคน ก็เลยมาก่อน” แจมินพูด ก่อนจะยกแขนขึ้นป้องตัวเองเมื่อเห็นว่าผมง้างมือขึ้น “กูล้อเล่น!


    ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ส่งสายตาที่คิดว่าโหดที่สุดในชีวิตกลับไปให้มันแทน แจมินเลยกอดคอผมแล้วลากให้ผมเดินไปรอที่หน้าลิฟท์พร้อมกับมัน โดยมีพี่มาร์คที่เดินตามหลังมาเงียบๆ 

     



     

     


     

    “เอาตรงๆเลยนะดงฮยอก”


    หลังจากที่เอาแต่นั่งเงียบ และให้ความสนใจข้าวที่อยู่ในจานของตัวเองอยู่นานสองนานตั้งแต่เริ่มช่วงพักเที่ยง แจมินก็เริ่มต้นพูดขึ้นเมื่อโกอึนขอตัวลุกออกจากโต๊ะเพื่อไปซื้อน้ำ มันมองไปรอบๆโต๊ะราวกับว่ากำลังมองหาใครบางคน ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผม แล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมแทบจะสำลักข้าวที่กำลังกินอยู่


    “กูว่าพี่มาร์คชอบมึง”


    “...”


    “อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนั้น” แจมินพูดแล้วชี้หน้าผม เมื่อเห็นว่าผมกำลังจ้องหน้ามัน “กูก็แค่พูดตามสิ่งที่กูเห็น”


    “มึงมโนไปเองแล้วแหละ” ผมบอกแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่มันพูด


    “มึงเชื่อกูดิ” มันพูด “มึงเองก็ชอบพี่มาร์คเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ?


    “ไม่ได้ชอบเว้ย” ผมเถียง


    “มึงอย่า” แจมินพูดแล้ววางช้อนส้อมของตัวเองลง ก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้ามึงไม่ได้ชอบพี่มาร์ค แล้วทำไมมึงต้องมาเรียนพร้อมกับพี่มันทุกวัน ยอมให้พี่มันโทรหาทุกคืน แถมวันอาทิตย์บางทีมึงก็เทกูไปกับพี่มันด้วย! อันหลังนี่กูเคืองมากนะบอกเลย”


    แจมินพูดแล้วหรี่ตามองผมอย่างเอาเรื่อง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป โกอึนก็มานั่งที่เก้าอี้ของตัวเองพร้อมกับแก้วน้ำในมือเสียก่อน ผมจึงเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของมัน แล้วก้มหน้ามองจานข้าวของตัวเองเงียบๆ


    ที่แจมินพูดก็ถูกของมันนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ผมกับพี่มาร์คไปไหนมาไหนด้วยกันแทบทุกวัน อย่างตอนเช้าที่จะต้องออกมาเรียนพิเศษ ผมก็ต้องมาเรียนพร้อมพี่มาร์คทุกวันเพราะพี่เขามาดักรออยู่ที่มินิมาร์ทหน้าทางเข้าบ้าน หรือบางวันที่ได้กลับบ้านพร้อมกัน พี่มาร์คก็มักจะชอบชวนผมแวะเข้าร้านออกนั้นร้านนี้ระหว่างเดินจากสถานีรถไฟใต้ดินไปถึงบ้าน ส่วนวันอาทิตย์ก็จะมีบ้างบางทีที่พี่มาร์คโทรมาชวนให้ผมไปห้องสมุดหรือออกไปซื้อของเป็นเพื่อน


    แต่อย่างพี่มาร์คเนี่ยนะจะชอบผม พี่เขาไม่เคยแสดงท่าทีที่บ่งบอกถึงอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ เวลาคุยกันก็มีแต่จะคอยกวน คอยแหย่กันอยู่นั่น หรือเวลาคุยโทรศัพท์กันแล้วผมถามเรื่องที่โกอึนฝากมาถาม พี่เขาก็เอาแต่แซวจนบางครั้งผมต้องวางสายทิ้งเสียดื้อๆ


     

     ‘แต่จริง ๆ แล้วดงฮยอกเป็นแบบไหนพี่ก็ชอบหมดอ่ะ


     

    จู่ ๆ คำพูดที่พี่มาร์คเคยบอกเมื่อหลายวันก่อนก็ลอยเข้ามาในหัวของผม น้ำเสียงจริงจังที่ส่งผ่านสายโทรศัพท์มานั้นทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนตั้งแต่หน้าลามไปจนถึงใบหู แต่ถึงพี่มันจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่นั่นมันก็แค่หยอกเล่นเฉยๆไม่ใช่รึไง


    เอ๊ะ! หรือพี่มันพูดจริงวะ  


    “ดงฮยอกอ่าน่าแดงจัง เป็นอะไรหรือเปล่าอะ?


    เสียงของโกอึนที่ดังขึ้นเรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์กลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ผมเงยหน้าขึ้นไปมองโกอึนก่อนจะหันมามองแจมินก็พบว่ามันกำลังหรี่ตามองผมอยู่


    “ไม่มีอะไร แค่อากาศมันร้อน...”

    “ร้อนบ้าร้อนบออะไร แอร์เย็นจะตายชัก” แจมินพูดประชดประชันใส่ผม ก่อนจะหันไปพูดกับโกอึน “คนมีความรักก็แบบนี้แหละโกอึน”


    “ห๊า!! ดงฮยอกอ่ะนะ” โกอึนทำตาโตแล้วมองมาทางผม “กับใครหรอ?


    “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!” ผมลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวแล้วเหวี่ยงเป้ขึ้นมาสะพายหลัง ก่อนจะเดินหนีออกมาทันทีเพื่อไม่ให้แจมินและโกอึนแซวผมมากไปกว่านี้


    “เขินแรงจังเลยนะเราอ่ะ!!


    แต่มันก็ยังตะโกนไล่หลังผมมาอยู่ดี...


    ไอ้เพื่อนเลว!! ดงฮยอกจะขอแบนนาแจมินเดี๋ยวนี้เลย!!

     



     



     

     

    “เราอยากไปเดินดูร้านไหนรึเปล่าอ่ะ?


    พี่มาร์คถามขึ้นเมื่อเราสองคนเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าที่พี่มาร์คชวนให้ผมออกมาซื้อของเป็นเพื่อน ห้างที่พี่มาร์คชวนผมมานี้เป็นห้างเปิดใหม่ใกล้ ๆ บ้านของพวกเรา แต่ผมก็ยังไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง เพราะว่าชวนใครก็ไม่มีคนมาด้วย


    “ไม่มีอ่ะ” ผมตอบแล้วส่ายหน้าให้พี่มาร์ค “ว่าแต่พี่ชวนผมมาซื้อปากกาไม่ใช่หรอ”


    “ใช่ๆ” พี่มาร์คตอบ ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองแบบที่ชอบทำเป็นประจำ จากที่ผมแอบสังเกตมา


    “งั้นพี่ก็พาไปดิ”


    พี่มาร์คพยักหน้าก่อนจะออกตัวเดินนำดงฮยอกไปเล็กน้อยในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ชะลอความเร็วของตัวเอง จนกลายเป็นว่าตอนนี้ผมกับพี่มาร์คกำลังเดินพร้อมๆกัน ในช่วงจังหวะที่แกว่งแขนไปมา ผมก็ต้องรีบชักมือของตัวเองออก เมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่ไหลปราดผ่านร่างกาย เมื่อมือของเราทั้งสองคนสัมผัสกัน


    เมื่อมาถึงร้านขายเครื่องเขียนที่พี่มาร์คพูดถึง พี่เขาก็บอกให้ผมไปเดินดูของรอบ ๆ ร้านได้ตามสบาย พอเลือกของที่ตัวเองอยากได้แล้วค่อยเดินกลับมาเจอกัน ซึ่งผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย โดยการเดินดูของไปรอบ ๆ ร้าน และทิ้งให้พี่มาร์คเลือกปากกาอยู่ที่โซนเครื่องเขียน


    ผมเดินดูของไปรอบๆร้าน ภายในร้านนี้ก็เหมือนกับร้านขายเครื่องเขียนทั่วๆไป แต่อาจจะแปลกกว่าร้านอื่น ๆ หน่อยก็ตรงที่มีสมุดแฮนเมดลวดลายน่ารักที่เห็นแล้วทำให้นึกถึงโกอึน หรือลายกราฟฟิกแปลก ๆ แนว ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผมได้


    หลังจากที่เลือกสมุดลายที่อยากได้มาสองสามเล่ม ผมก็เดินกลับมาหาพี่มาร์คที่โซนขายปากกาสีและก็พบว่าพี่เขากำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มองปากกาในมือตัวเองสลับไปสลับมาอยู่อย่างนั้น


    “แค่เลือกปากกา  มันต้องเครียดขนาดนี้เลยหรอ” ผมพูดขึ้นเมื่อเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆพี่มาร์ค พี่เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะเบ้ปากเหมือนกับเด็กน้อยมาให้


    “ก็พี่อยากได้ปากกาสีนี้ แต่ไม่รู้จะเลือกยี่ห้อไหนดีอ่ะ”


    พี่มาร์คพูดแล้วชูปากกาไฮไลท์สีเขียวทั้งหมดในมือให้ผมดู เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงจับแขนพี่มาร์ค แล้วออกแรงลากให้พี่เขาเดินตามผมมาที่ชั้นขายปากกาไฮไลท์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งผมเห็นว่ามีปากกายี่ห้อที่ผมชอบจิ๊กพี่แจฮยอนมาใช้อยู่เป็นประจำวางขายอยู่


    “ยี่ห้อนี้ก็ดีนะ มีสองหัวแถมยังมีสีที่พี่อยากได้ด้วย” ผมบอกแล้วหยิบปากกาไฮไลท์สีส้มพีชขึ้นมาเขียนชื่อตัวเองลงบนกระดาษลองปากกาด้วยฝั่งหัวเล็ก


    “ไหนพี่ลองบ้าง”พี่มาร์คพูดแล้วหยิบปากกาไฮไลท์สีเขียวขึ้นมาเขียนลงบนกระดาษบ้าง ก่อนจะสะกิดให้ผมหันไปดูเมื่อตัวเองเขียนเสร็จ


    ผมยื่นหน้าเข้าไปดูกระดาษนั่นทันที เพราะอยากรู้ว่าพี่มาร์คเขียนคำว่าอะไรลงไป ก่อนจะต้องผงะออกมา แล้วหันไปมองหน้าคนที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ข้างๆ


    มีอย่างที่ไหน มาเขียนคำว่าน่ารักลงในชื่อคนอื่นได้หน้าตาเฉยแบบนี้วะ! ไอ้พี่บ้า!!

     

     



     

     

    และหลังจากที่เดินออกมาจากร้านขายเครื่องเขียน พี่มาร์คก็ชวนผมให้อยู่เดินเล่นภายในห้างต่ออีกนิดหน่อย ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะต่อให้กลับบ้านไปผมก็คงจะทำแค่นอนเล่นเกมส์ หรือไม่ก็คงอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนห้องแค่นั้น


    ดงฮยอกเงยหน้าขึ้นจากชั้นวางรองเท้าที่มีรองเท้าสนีกเกอร์รุ่นใหม่ล่าสุดตั้งโชว์อยู่ แล้วเหลือบมองไปยังคนที่กำลังเลือกหมวกอยู่ที่ชั้นฝั่งตรงข้าม ก่อนที่คำพูดของนาแจมินเพื่อนรักที่เคยพูดกับผมเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนจะโผล่เข้ามาในความคิด


    หลังจากที่โดนแจมินแซวเรื่องพี่มาร์คในวันนั้น มันก็เอาแต่แซวผมเรื่องพี่มาร์คอยู่ทุกวัน แถมยังมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็ต้องยอมรับกับมันไปว่าจริง ๆ แล้วผมก็แอบชอบพี่มาร์คอย่างที่มันพูด


     ก็ลองคิดดูสิครับ ว่าถ้าอยู่ดีๆมีใครก็ไม่รู้มาคอยเอาอกเอาใจ มาทำดีใส่ เวลาจะไปเรียนก็ต้องไปพร้อมกัน เวลากลับบ้านก็พาไปเลี้ยงขนมเลี้ยงน้ำแทบทุกวัน แถมยังโทรมากวนใจกันทุกคืนแบบนั้น แล้วใครกันล่ะที่จะไม่หวั่นไหว...


    แต่ถึงผมกับพี่มาร์คจะคุยกันมาเกือบสองเดือนจนตอนนี้มันใกล้จะเปิดเทอมแล้วก็เถอะ แต่ความสัมพันธุ์ของผมกับพี่เขามันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น


     “ตกลงเป็นไง? ไปถึงไหนกันละ?


    แจมินถามขึ้นในขณะที่มือของมันก็กำลังพลิกเนื้อหมูสามชั้นในเตาย่างไปด้วย มันมาหาผมถึงบ้านในเช้าวันอาทิตย์แล้วชวนกึ่งบังคับให้ผมออกไปเดินห้างเป็นเพื่อนมัน ก่อนจะมาจบลงที่ร้านชาบูแบบนี้


    “ก็ไม่ไง” ผมตอบ “พี่น้องกัน”


    “พี่น้องบ้าอะไรวะ ตัวติดกันขนาดนี้” แจมินพูดก่อนจะตะเกียบในมือขึ้นมาชี้หน้าผม “นี่พวกมึงยังไม่เป็นแฟนกันอีกหรอ”


     “ก็พี่มันไม่ขอป่ะวะ...” ผมตอบเสียงเบาพร้อมกับเขี่ยหมูในเตาไปด้วย “บอกชอบกูยังไม่เคยเลย”


    “มึงก็บอกก่อนเลยดิ” มันพูด “แมนๆเตะบอลครัชแบบดงฮยอกจะกลัวอะไรอ่ะครับ กะอีแค่บอกชอบผู้ชายก่อนแค่นั้นเอง”


    “...”


    “เอางี้นะ พวกมึงเคยจับมือกันมั้ย” มันถามขึ้น ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหน้าให้มันเป็รคำตอบ “งั้นถ้าแบบเดิน ๆ อยู่แล้วพี่มันจับมือมึงเมื่อไหร่ มึงก็บอกชอบพี่เขาไปเลย”


    “บอกชอบพ่อง...” ผมบอกแล้วแย่งเนื่อหมูในจานของมันมา แต่มันก็ยังคงไม่สนใจแล้วเอาแต่ไซโคผมเรื่องพี่มาร์ค


    “งั้นขอเป็นแฟนไปเลยดีกว่า” มันบอก ก่อนจะยกนิ้วโป่งแล้วทำท่าทางเหมือนกับในโฆษณาชวนเชื่อที่เคยเห็นในทีวี “เชื่อกูว่าเวิร์ก”

     

     



     

     

    “วันนี้เหม่อจังเลย เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ยหืม?


    เสียงของพี่มาร์คที่ดังขึ้นข้าง ๆ ตัวเรียกสติของผมให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนข้างๆตัว ก่อนจะพบว่าพี่เขากำลังเลิกคิ้วมองผมอยู่


    คิ้วโก่งๆแบบนั้น นี่มันตลกชะมัด...


    “เปล่าๆ ไม่ได้เป็นอะไร...” ผมตอบก่อนจะต้องหลบสายตาของพี่มาร์ค เมื่อรู้สึกว่าพี่เขาจ้องตาผมนานเกินไป


    “ไปกินไอติมร้านนี้กัน”


    พี่มาร์คพูดก่อนจะจับมือผมให้เดินไปพร้อมๆกับพี่เขา เพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านไอศกรีมที่ตัวเองบอก ผมก้มลงมองมือของเราที่กำลังจับกันอยู่ ก่อนที่คำพูดของแจมินจะโผล่เข้ามาในความคิดของผมอีกครั้ง


    ถ้าผมบอกมันออกไปเลย มันจะดีรึเปล่านะ? แล้วถ้าบอกไปแล้วพี่เขาไม่ได้คิดเหมือนกันกับผมขึ้นมาล่ะ เราจะต้องกลายเป็นคนไม่รู้จักกันรึเปล่า?


    แต่เอาวะ! อีดงฮยอกคนนี้มีคติประจำใจคือ สิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ เพราะฉะนั้นถ้าอะไรมันจะเกิด  มันก็ย่อมดีเสมอทั้งนั้นแหละ!


    “พี่มาร์ค” ผมหยุดเดินก่อนจะกระตุกแขนของพี่มาร์คให้หันกลับมา พี่เขามองผมงงๆก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว แต่ทว่าก็ได้ยินชัดเจนในหูของผม


    “มีอะไรรึเปล่า...”


    “...”


    “วันนี้แปลกๆนะเราเนี่ย” พี่มาร์คพูดก่อนจะเอามือขึ้นมาทาบกับหน้าผากของผม “ก็ไม่ได้ไม่สบายนี่นา แล้วเป็นอะไรอ่ะ?


    “เป็นแฟนกันเหอะ”


    “ห๊ะ...”


    “...”


    หลังจากที่ผมพูดประโยคนั้นออกไป พี่มาร์คก็มองหน้าผมอย่างตกใจพร้อมกับทำตาโตเป็นไข่ห่าน ผมสังเกตได้ว่าคิ้วของพี่เขาขมวดมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับสายตาที่กำลังล่อกแล่กไปมาเหมือนกับคนทำตัวไม่ถูกแบบนั่น ยิ่งทำให้ผมใจแป่วไปกันใหญ่


    “เดี๋ยวนะ...” พี่มาร์คพูดขึ้นหลังจากที่ตั้งสติได้ ก่อนจะมองหน้าผมด้วยสายตาอึ้งๆ “นี่เราขอพี่เป็นแฟนก่อนได้ไงอ่ะ”


    อ่าว ชิบหายแล้วไง...


    อีดงฮยอกเอ๊ย! พี่เขาต้องไม่ชอบแกแน่ๆ ทั้งทำเสียงเข้มแบบนั้น แถมยังมองกันด้วยสายตาแปลกๆอีก ตอนนี้ดงฮยอกกลัวจนไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้วนะ เหงื่อก็ไหลจนรู้สึกว่ามือเปียกไปหมดแล้วเนี่ย เห็นมั้ยล่ะว่าดงฮยอกไม่น่าเชื่อคำพูดของนาแจมินเลย พรุ่งนี้ผมจะไปหักคอมันแต่เช้าเลยคอยดูสิ!!


    “เรามาแย่งขอก่อนแบบนี้ได้ไงอ่ะ!


    ห้ะ...


    “วันนี้พี่กะว่าจะบอกชอบเราแล้วแท้ๆ แต่เรามาขอพี่เป็นแฟนก่อนแบบนี้ แล้วพี่จะทำยังไงอ่ะ” น้ำเสียงของพี่มาร์คเปลี่ยนเป็นงอแง ก่อนจะทำท่าเบะปากที่ผมรู้สึกว่ามันน่าหมั่นไส้ที่สุดในโลก


    “ผะ.. ผมจะไปรู้ด้วยหรอ ก็พี่ไม่ยอมบอกผมสักทีอ่ะ” ผมบอก “แล้วนี่ตกลงจะเป็นมั้ย ถ้าไม่ตอบผมกลับบ้านแล้วนะ!


    “เป็นดิๆ” พี่มาร์คตอบก่อนจะเอามือมาพาดไหล่ผมแล้วก้มลงมากระซิบที่ข้างๆหูให้ผมได้รู้สึกจั๊กจี้เล่น “ไม่เป็นได้ไงอ่ะ แอบชอบมาตั้งนานแล้วนะคนนี้เนี่ย”


    “โอ๊ย ทำไรเนี่ย” ผมโวยวายแล้วปัดมือพี่มาร์คออกจากไหล่ “คนเยอะแยะ”


    “งี้ถ้าคนไม่เยอะทำได้ใช่ป่ะ”


    พี่มาร์คพูดแค่นั้น  ก่อนจะต้องร้องโอดโอยเมื่อผมหันไปทุบไหล่ของพี่เขาดังปั่ก แต่แล้วก็ต้องเอามือมารวบแขนของผมไว้อีก เมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะง้างมือขึ้นไปทุบพี่เขาอีกครั้ง 


    “ล้อเล่นน่า” พี่มาร์คพูดแล้วมองตาผม จนผมเป็นฝ่ายที่ทนสายตานั่นไม่ไหวเลยต้องเสหลบไปเสียก่อน แต่พี่มันก็ไม่วายเอามือมาขยี้ผมของผมแทนอยู่ดี “เขินแรงเหมือนกันนะเราเนี่ย”

     

     

     

     

     

     

     

     

    “จะสั่งอะไรก็สั่งเลยนะ” พี่มาร์คพูดแล้วเดินจูงมือผมให้เข้าไปนั่งด้านในสุดของร้านขายไอศกรีม หลังจากที่พี่มาร์คตกลงเป็นแฟนผม พี่เขาก็ทำตัวให้ผมรู้สึกหมั่นไส้เพิ่มมากขึ้นด้วยการเอาแต่ยิ้มจนผมรู้สึกว่าอยากจะบี้หน้าออกพี่เขาให้แบนเสียเหลือเกิน


    “งี้จะสั่งเยอะแค่ไหนก็ได้ใช่ป่ะ” ผมถามในขณะที่มือก็กำลังพลิกเมนูไปด้วย


    “แล้วแต่เลยครับ” พี่มาร์คพูดแล้วเอื่อมมือมาหยิกแก้มผม จนผมรู้สึกเหมือนแก้มของผมกำลังจะยืดติดมือพี่เขาไป


    “นี่ดงฮยอกพี่มีอะไรจะบอก”


    “ห้ะ” ผมเงยหน้าขึ้นจากเมนูไปมองหน้าพี่มาร์ค “อะไรหรอ”


    “ยื่นหน้ามาใกล้ๆดิ” พี่มาร์คพูดแล้วทำท่ากวักมือ เหมือนกำลังเรียกให้ผมเข้าไปใกลล้ๆ ซึ่งผมก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยไม่ได้เอะใจเลยว่ะ...


    “จุ๊บ”


    ...ไอ้พี่มาร์คมันจะจุ๊บแก้มผม


    หลังจากที่จุ๊บเสร็จ ไอ้พี่มาร์คก็รีบลุกออกจากโต๊ะไปทันที ทิ้งให้ผมได้แต่นั่งอ้าปากพะงาบๆเพราะทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อะไรวะ นี่ขนาดเพิ่งเป็นแฟนกันวันแรก ยังมาขโมยหอมแก้มกันแบบนี้ ถ้านานกว่านี้จะไม่ยิ่งกว่านี้เรอะ


    คอยดูนะ ถ้ากลับมาดงฮยอกจะด่าให้ไอติมละลายเลย!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    END. 



    talk : นี่ขี้เกียจอ่านหนังสือจนเขียนฟิคเสร็จเลยอ่ะ 555555555

    ในที่สุดเราก็เขียนจบ ดีใจกับเราหน่อยเร้ววว 

    ก่อนอื่นต้องกราบขอบคุณพล็อตเรื่องจากพี่หมอเจี๊ยบ ลลนา

    ที่เคยมาพูดออกรายการว่าเคยช่วยเพื่อนจีบผู้ชายที่เรียนพิเศษด้วยกัน

    แต่สุดท้ายดันไปชอบผู้ชายคนนั้นเองด้วยนะคะ

    (เหมือนเราเลยแหละ)


    และก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เค้ามาเม้นด้วยนะคะ

    ถ้างงเดี๋ยวจะเข้ามาแก้ให้เน้อออ 

    ไอเลิฟยูวววววว

     

     

     

     

    CR.SQW
     
    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×