คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : SF | ENQUIRE [2/3]
ENQUIRE
MARK LEE X LEE DONGHYUCK
การเรียนพิเศษในช่วงสัปดาห์แรกผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ผมเข้าใจในเนื้อหาที่ได้เรียนทุกวิชา และรู้สึกว่าการเรียนพิเศษก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดเอาไว้ มันออกจะสนุกดีด้วยซ้ำ เพราะบางครั้งอาจารย์ก็มักจะแทรกมุขตลก ๆ เข้ามาบ้างเพื่อไม่ให้พวกเราง่วง หรืออาจจะมีบางครั้งที่ผมแอบขำให้กับเพื่อนในห้องเรียนแบบคอมพิวเตอร์ เมื่อพวกเขาเผลอหัวเราะเสียงดังให้กับมุขตลกของอาจารย์ในจอคอมพ์นั้น
นอกจากจะได้รับความรู้ เข้ามาให้เซลล์สมองได้ทำงานแล้ว ในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็ได้รู้จักกับเพื่อนร่วมโลกเพิ่มขึ้นมาอีกถึงสองคน นั่นก็คือ คิมโกอึน เพื่อนสาวข้างบ้านของนาแจมินที่มักจะมาพร้อมกับไอเทมสีชมพูสุดกุ๊งกิ๊ง และพี่มาร์คลี มนุษย์แว่นที่แจมินบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนของผม
พอพูดถึงมนุษย์แว่น ก็นึกถึงความใจกล้าของตัวเองที่ไปขอเบอร์โทรศัพท์ของพี่เขาแบบนั้น...
ถึงแม้ว่าพี่เขาจะมีท่าทีตกใจในตอนแรก และเอาแต่ถามว่าผมจะเอาเบอร์พี่เขาไปทำไม พอผมบอกว่าเพื่อนฝากมาขอ พี่เขาก็ไม่เชื่อ (แล้วจะถามทำไมวะ) แต่สุดท้ายพี่เขาก็ยอมให้เบอร์โทรศัพท์มาอยู่ดี แถมยังมีข้อแลกเปลี่ยน คือผมก็ต้องให้เบอร์พี่แกเหมือนกัน ซึ่งผมที่เป็นคนไม่คิดอะไรมากครับ พี่เขาขอมาผมก็ให้
ตกเย็นวันนั้นหลังจากที่เรียนเสร็จ ผมก็กะว่าจะเอาเบอร์โทรศัพท์ของพี่มาร์คที่ได้มาไปให้โกอึน แต่แจมินมันบอกว่าโกอึนไปเที่ยวต่อกับเพื่อน ๆ ของเธอแล้ว แถมมันยังบอกผมอีกว่าไม่ต้องให้เบอร์พี่มาร์คกับโกอึนหรอก เพราะเดี๋ยวอีกไม่ถึงเดือนโกอึนก็น่าจะเลิกชอบพี่มาร์คแล้ว
ถึงแม้ว่าพอได้ฟังที่แจมินมันบอกแล้วจะรู้สึกงงนิดหน่อย แต่ไม่เข้าใจมาก ๆ ก็เถอะ แต่ผมก็ขอมาแล้วอ่ะ และผมก็ไม่อยากทำผิดคำพูดด้วยกับเพื่อนด้วย
พอวันต่อมา ผมก็เอาเบอร์โทรศัพท์ของพี่มาร์คให้กับโกอึน หลังจากที่ได้มัน เธอก็เอาแต่พูดคำว่าขอบคุณนะดงฮยอกประมาณเกือบสิบครั้งได้ โดยมีนาแจมินนั่งทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ข้างๆอีกตามเคย
“มึงไม่น่าให้เบอร์พี่มาร์คกับโกอึนเลยอ่ะ จริง ๆ นะ” แจมินพูดขึ้น หลังจากที่โกอึนลุกจากโต๊ะกินข้าวในศูนย์อาหาร เพื่อไปเรียนต่อในช่วงบ่าย “แบบ...กูว่ามึงเก็บไว้เอง น่าจะยังดีกว่าอีก”
“ทำไมวะ?”
“โกอึนชอบคนง่ายจะตาย เห็นใครหล่อนางก็ชอบหมดอ่ะ” แจมินพูดอย่างใส่อารมณ์ “สาบานได้จากการเป็นเพื่อนกับยัยนั่นมาตั้งแต่เด็ก”
“อ่าว ก็เห็นว่าน่าจะชอบมากนี่หว่า”
“โอ๊ยยย ตอนโกอึนชอบเจโน่ก็แบบนี่แหละ”
“ห้ะ!!” ผมตาโต “โกอึนเคยชอบเจโน่ด้วยอ่อ”
“เออดิ”
มันพูดแค่นั้น ก่อนจะเอามือปิดปากตัวเองเหมือนกับเพิ่งพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา พอผมถามว่าโกอึนไปรู้จักกับเจโน่ตอนไหนมันก็ไม่ยอมบอก เอาแต่ส่ายหน้าแล้วรีบสะพายกระเป๋าเดินนำผมไปยังที่เรียนพิเศษทันที
อะไรวะ มาทำให้อยากรู้แล้วจากไปแบบนี้ก็ได้หรอ!!
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผมไม่ต้องตื่นเช้า และเบียดเสียดผู้คนในรถไฟใต้ดินเพื่อไปเรียนพิเศษ เพราะผมกับแจมินตกลงกันแล้วว่าพวกเราจะเรียนกันแค่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ และให้วันอาทิตย์เป็นวันหยุดพักผ่อน
หลังจากที่เอาแต่นอนจิ้มโทรศัพท์และนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อที่จะได้ออกไปห้องสมุดใกล้ ๆ บ้าน
ไม่ใช่ว่าผมเป็นหนอนหนังสือหรืออะไรหรอกนะครับ แต่อากาศหน้าร้อนของเกาหลีมันร้อนจริงๆ จะให้เปิดแอร์ที่บ้านทั้งวันก็ไม่ไหว บางที่ผมก็อยากช่วยหม่าม๊าประหยัดบ้างอะไรบ้าง เลยคิดว่าไปนั่งตากแอร์อยู่ที่ห้องสมุดน่าจะดีกว่านอนเหี่ยว ๆ อยู่บนห้อง แถมที่นั่นยังมีหนังสือนิยายสนุก ๆ ให้อ่านด้วย
“ดงฮยอกจะไปไหนหรอลูก?”
ทันทีที่เดินลงบันไดมาจนถึงชั้นหนึ่งของตัวบ้าน หม่าม๊าที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ก็ถามขึ้น พร้อมกับละสายตาจากจอทีวีมามองหน้าผม
“ลูกจะไปห้องสมุดอ่ะ”
“อ๋อ ถ้างั้นอย่ากลับเย็นมากนะครับ”
“คร้าบบบ” ผมตอบก่อนจะเดินไปหยิบรองเท้าจากตู้เก็บรองเท้ามาใส่ แล้วเดินออกจากบ้านไปทันที
หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหน ผมก็จับจองหาที่นั่งอ่านทันที โดยเลือกโต๊ะที่อยู่ติดริมหน้าต่าง เพื่อให้มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลอดเข้ามา ทำให้บริเวณนี้สว่างมากขึ้นไปอีก และที่สำคัญคือที่นั่งตรงนี้อยู่ตรงแอร์พอดี
หนังสือที่ผมเลือกมาเป็นนิยายแปลจากภาษาต่างประเทศ หนังสือเล่มนี้ถูกนำไปดัดแปลงทำเป็นภาพยนตร์แล้ว ซึ่งผมก็ได้นั่งดูกับแจฮยอนฮยอง ลูกพี่ลูกน้องของผมไปเมื่อวานนี้ มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักใส ๆ สองมุมมองของจูลี่ เบเกอร์ และไบรซ์ ลอสกี พอดูจบแล้วมันก็ทำให้ผมคิดอะไรได้หลาย ๆ อย่าง ซึ่งผมคิดว่ามันสนุกดีเลยอยากจะลองอ่านในเวอร์ชั่นหนังสือดูบ้าง
“ขอนั่งด้วยคนดิ”
หลังจากที่นั่งอ่านหนังสือในมือตัวเองไปได้เกือบจะครึ่งเล่ม ก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน เมื่อเงยหน้าขึ้นจากหนังสือก็พบกับมนุษย์แว่นคนเดิมที่คุ้นเคย ในระหว่างที่สมองของผมกำลังประมวลผลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ พี่เขาก็ทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามผมทันที โดยไม่รอให้ผมอนุญาตก่อนแต่อย่างใด
“ขอเบอร์พี่ไปแล้ว ไม่เห็นโทรมาเลยอ่ะ” ว้อท? นี่คือประโยคทักทายของพี่เขาหรอ
“ก็ผมบอกว่าขอไปให้เพื่อนไง”
พี่เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่กลับยิ้มและส่งสายตาเชิงล้อเลียนมาให้ผมแทน ผมเลยทำเป็นไม่สนใจแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือในมือของตัวเองต่อ ส่วนพี่เขาก็หยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าของตัวเองแล้วเริ่มอ่านบ้าง
แต่เอาจริง ๆ เหมือนตอนนี้ผมจะไม่ค่อยมีสมาธิซักเท่าไหร่...
ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องแอบเหล่ไปมองหน้าพี่เขาบ่อย ๆ ด้วย ทั้ง ๆ ที่พยายามจะห้ามตัวเองไม่ให้แอบมองแล้วแท้ ๆ แต่สายตาของผมมันดันไม่ยอมทำตามความคิด สุดท้ายผมก็ยังแอบมองหน้าพี่เขาอยู่ดี นี่เปิดหนังสือค้างอยู่หน้านี้มาเกือบจะสิบนาทีแล้วนะ!!
“หน้าพี่มีอะไรติดอยู่รึเปล่าอ่ะ?”
นั่นไง เหยื่อรู้ตัวแล้วครับผม!!
“เปล่า...” ผมตอบ “คือ...ไม่มีอะไร”
“อ่า โอเค…” พี่เขามองหน้าผมแล้วขำนิดหน่อย ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือของตัวเองตามเดิม
ให้ตายสิ ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าพี่มาร์คตอนกำลังตั้งใจนี่มันดูเท่มาก ๆ ขนาดผมที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังอดที่จะแอบมองพี่เขาไม่ได้ นี่ผมต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ เลยอ่ะ ที่เอาแต่แอบมองหน้าพี่เขาอยู่แบบนี้ ผมคิดว่าบางทีผมควรจะสนใจหนังสือที่อยู่ตรงหน้าให้มากกว่านี้ เพื่อไม่ให้สายตาของผมมันแอบไปมองพี่เขาบ่อย ๆ ก่อนที่พี่เขาจะมองว่าผมเป็นโรคจิตไปซะก่อน
หลังจากที่นั่งสงบจิตสงบใจ จนสามารถดึงสมาธิของตัวเองให้มาจดจ่ออยู่กับหนังสือที่อยู่ตรงหน้าได้ ในที่สุดผมก็อ่านมันจนจบเล่ม เมื่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ก็พบว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ผมก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง ตัวเลขที่หน้าปัดบ่งบอกเวลาว่าขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงครึ่ง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผมควรจะรีบกลับบ้านได้แล้ว
ผมปิดหนังสือ แล้วเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อเช็คดูว่ามีคนโทรเข้าหรือส่งข้อความมาบ้างรึเปล่า ซึ่งก็พบว่ามีเพียงแค่ข้อความจากพี่แจฮยอน ที่ส่งผ่านทางแอพพลิเคชั่นสีเขียวมาบอกให้ผมซื้อขนมและชานมไข่มุกเข้าไปให้ด้วย เมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่จะต้องทำก่อนกลับถึงบ้านแล้ว ผมก็เลือกที่จะปิดหน้าจอโทรศัพท์ แล้วมองไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
พี่มาร์คยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างตั้งใจ ตลอดทั้งวันพี่เขาแทบจะไม่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่ตรงหน้า มีเพียงน้อยครั้งมากที่พี่เขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อกดดูเวลา ชวนผมคุยก่อน หรือแม้กระทั่งลุกไปเข้าห้องน้ำก็ยังน้อยมากจนสามารถนับครั้งได้ เมื่อเห็นว่าอีกคนยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือตรงหน้า และผมเองก็ไม่อยากจะรบกวนสมาธิของพี่เขา ผมจึงตัดสินใจหยิบหนังสือที่ตัวเองเป็นคนเลือกมา แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อที่จะนำมันไปเก็บ ส่วนผมก็จะได้กลับบ้านสักที
“จะไปไหนอ่ะ?” เสียงของพี่มาร์คดังขึ้น เรียกให้ผมที่กำลังจะเดินไปที่ชั้นเก็บหนังสือ ต้องหันกลับไปมอง
“จะไปเก็บหนังสือ” ผมตอบ
“เราจะกลับแล้วหรอ งั้นรอพี่ด้วย” พี่มาร์คพูดเองเออเอง แล้วก็รีบกวาดของที่อยู่บนโต๊ะลงกระเป๋าเป้ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบมันขึ้นมาสะพายบ่า
เมื่อเห็นว่าอีกคนเก็บเก้าอี้เสร็จเรียบร้อย ผมจึงเดินนำพี่เขาไปยังชั้นเก็บหนังสือที่ผมหยิบมา แล้วยัดหนังสือกลับเข้าไปตามที่เดิมของมัน ตลอดทางเดินตั้งแต่ชั้นเก็บหนังสือไปจนถึงทางออกของห้องสมุดไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น พี่มาร์คทำเพียงแค่เดินตามผมมาเงียบๆ ส่วนตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าจะชวนพี่เขาคุยเรื่องอะไรดีเหมือนกัน
ผมเดินไปหยิบรองเท้าของตัวเองออกมาจากชั้นเก็บรองเท้า เมื่อสวมรองเท้าเสร็จ จึงเดินออกมาก่อนโดยไม่ได้รอพี่มาร์ค เพราะผมคิดว่าเราควรจะต้องแยกกันที่ตรงนี้ แล้วกลับไปยังบ้านใครบ้านมัน
แต่มันคงจะเป็นความคิดที่ผิด เพราะพี่เขายังวิ่งตามผมมาอยู่ดี...
“ดงฮยอกรอพี่ด้วย”
“นี่พี่จะตามผมมาทำไมเนี่ย?” ผมหันไปพูดกับคนที่วิ่งมาขนาบข้าง พี่มาร์คมีท่าทีหอบเหนื่อยนิดหน่อย ก่อนจะยืดตัวขึ้นจนสุดแล้วหันมามองหน้าผม
“บ้านพี่ก็อยู่ทางนี้เหมือนกัน” พี่เขาเว้นช่วงเพื่อหายใจอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่กลับมองหน้าพี่เขานิ่งๆแทน จึงหลุดหัวเราะออกมา “จริงๆนะ ถ้าไม่เชื่อจะไปดูบ้านพี่เลยก็ได้”
“ตลกละ” ผมพูดแล้วมองหน้าพี่มาร์ค เป็นจังหวะที่สายตาของเรามันสบกันพอดี “เพิ่งรู้จักกัน นี่จะชวนไปบ้านเลยหรอ”
“เอ้า ก็เดี๋ยวเราไม่เชื่อไง ว่าบ้านพี่อยู่ทางนี้จริงๆ”
พี่มาร์คพูดแล้วเอาแต่ยิ้ม ผมเลยได้แต่ส่ายหัวให้กับความคิดตลก ๆ ของพี่เขาแล้วเดินต่อไป ตลอดทางพี่เขาก็เอาแต่ชวนคุยและถามนู้นถามนี่อยู่ตลอด ทั้งเรื่องที่โรงเรียน เรื่องส่วนตัว แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องส่วนสูง มีอย่างที่ไหน มาบอกว่าผมไม่สูงขึ้นเลยตั้งแต่วันแรกที่พี่เขาเจอผมน่ะ นี่ผมสูงขึ้นตั้งหนึ่งเซนเชียวนะ ดีหน่อยที่ผมยั้งมือไว้ทัน ไม่อย่างงั้นคงจะฟาดแขนพี่เขาไปแล้วแน่ๆ
“พี่เดินไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวผมจะไปซื้อของ” ผมพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเราเดินมาถึงหน้าร้านชานมไข่มุก
“ไม่เป็นไร พี่ไปด้วยก็ได้” พี่มาร์คบอกแบบนั้น ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง ในเมื่อไล่ให้พี่เขากลับก่อนก็ไม่ยอมไป เลยได้แต่เดินนำพี่เขาเข้าไปในร้านขายชานมไข่มุก
เมื่อเดินเข้ามาในร้านชานมไข่มุก ผมก็เลือกที่จะสั่งชานมให้ตัวเอง และคาปูชิโน่ให้พี่แจฮยอนอีกหนึ่งแก้ว เมื่อหันไปถามคนข้าง ๆ ว่าจะจะซื้ออะไรมั้ย แต่พี่มาร์คก็ปฏิเสธกลับมา ผมจึงเดินไปที่ชั้นวางขนมในระหว่างรอ เพื่อหาซื้อขนมอะไรสักอย่างไปให้พี่แจฮยอน หลังจากที่เลือกอยู่สักพัก ในที่สุดผมก็ตัดสินใจหยิบช็อกโกแลตบาร์ เยลลี่ ฮันนี่บัทเทอร์ชิพ และขนมปังไส้ช็อกโกแลต ไปจ่ายเงินพร้อมกับชานมและกาแฟของพี่แจฮยอน
“กินมั้ย?” ผมพูดแล้วยื่นแก้วชานมไข่มุกของตัวเองไปตรงหน้าพี่มาร์คเมื่อเราเดินออกมาจากร้านแล้ว แต่พี่เขาสายหน้ากลับมาแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
“ไม่กินจริงๆหรอ อร่อยมากเลยนะ” ผมแกล้งแหย่พี่เขาอีกรอบโดยการทำเป็นดื่มชานมไข่มุกแล้วทำหน้าราวกับว่ามันทำให้ผมสดชื่นมากๆ ก่อนจะทำท่ายื่นแก้วไปตรงหน้าพี่เขาอีกรอบ
แต่คราวนี้ดันไม่เหมือนกับที่ผมคิดเอาไว้ แทนที่พี่เขาจะส่ายหน้าปฏิเสธอีกรอบ กลับกันพี่เขาดันเอื้อมมือมาจับมือผมที่ถือชานมไข่มุกเอาไว้ แล้วก้มหน้าลงมาดื่มมันแบบไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว ไม่รู้ว่าควรจะโทษอากาศหน้าร้อน หรือสายตาของพี่เขาที่กำลังมองมาที่ผมทั้งๆที่ปากก็กำลังคาบหลอดอยู่ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าใบหน้าและหูของผมมันร้อนมากๆ ราวกับว่ากำลังยืนอยู่ใกล้ๆเตาผิง
“อร่อยจริงๆด้วย” พี่มาร์คพูดหลังจากที่ผละออกจากแก้ว แต่ก็ยังไม่ปล่อยมือออกจากผม
นี่มันบ้าอะไรกัน! ทำไมผมจะต้องมาใจสั่นเพราะไอ้พี่บ้านี่ด้วย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมก็นำแก้วกาแฟ และขนมของพี่แจฮยอนไปใส่ไว้ในตู้เย็น แล้วขึ้นไปตามพี่แจฮยอนให้ลงมาทานข้าวตามคำสั่งของหม่าม๊า
ทันทีเปิดประตูเข้าไปในห้องของพี่แจฮยอน ก็พบกับเจ้าของห้อง ที่กำลังนั่งทำสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่าพี่แจฮยอนกำลังแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ ที่ยากเกินกว่าเด็กม.ปลายปีหนึ่งแบบผมจะเข้าใจ
ผมกับพี่แจฮยอนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พี่แจฮยอนเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของคุณลุง ซึ่งคุณลุงก็เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของพ่อผม พวกเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ นั่นทำให้พวกเราสนิทกันมาก ราวกับว่าเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ พี่แจฮยอนอายุมากกว่าผมสามปี และตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่หนึ่ง
“พี่หมู ม๊าให้มาตามไปกินข้าว” ผมพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าพี่แจฮยอนยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากโจทย์คณิตศาสตร์ที่อยู่ตรงหน้า
“น้องหมูกลับมาแล้วหรอ” พี่แจฮยอนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม แล้วเอี้ยวตัวมากอดเอวผมไว้ ก่อนจะเอาหน้าของตัวเองมาซุกเข้ากับหน้าท้องของผม “ได้ซื้อกาแฟมาให้เค้าป่ะ”
“ซื้อ” ผมตอบ “แต่กินกาแฟตอนนี้ แล้วจะนอนตอนไหนอ่ะ”
“ไม่นอน! ถ้านอนแล้วจะเอาอะไรไปสอบ”
“ตลกเถอะ” ผมพูด แล้วดันหน้าพี่แจฮยอนออกจากหน้าท้องของตัวเอง
“ล้อเล่นน่า พรุ่งนี้มีสอบบ่าย เดี๋ยวเค้าค่อยนอนตอนเช้าก็ยังได้”
“ถ้างั้นก็ลงไปกินข้าวได้แล้ว” ผมพูดแล้วดึงพี่หมูให้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ “กินข้าวเสร็จแล้วค่อยมาอ่านต่อก็ได้”
“โอเคๆ แต่เดี๋ยวเค้าไปล้างหน้าแปปนึงนะ” พี่แจฮยอนพูด แล้วเดินเซๆเหมือนคนเพิ่งตื่นเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็ก
ครืด ครืด...
แรงสั่นสะเทือนจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงเรียกให้ผมต้องเอามือไปหยิบมันขึ้นมา ผมกดไสลด์หน้าจอแล้วนำมันมาแนบหูทันทีโดยไม่ได้ดูก่อนว่าใครคือคนในสาย เพราะคนที่โทรมาหาผมส่วนใหญ่ก็จะมีแค่ พ่อ หม่าม๊า พี่แจฮยอน แล้วก็แจมิน
“ว่า?”
“พรุ่งนี้เราจะออกจากบ้านกี่โมงอ่ะ”
เสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ ฟังดูไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่ที่รู้ๆคือมันไม่ใช่เสียงของนาแจมินแน่นอน เพราะต่อให้แจมินมันไม่สบายเสียงแหบเสียงแห้งขนาดไหน ผมก็ยังจดจำเสียงของเพื่อนตัวเองได้อยู่ดี ผมจึงตัดสินใจละโทรศัพท์ออกจากใบหู เพื่อดูรายชื่อของคนที่โทรเข้ามา และก็พบว่าเจ้าของเสียงในสาย คือบุคคลที่อยู่กับผมมาตลอดทั้งวัน
พี่มาร์ค...
“พี่โทรมาทำไมเนี่ย ? ” ผมถามกลับไปเสียงเรียบ
“ก็จะโทรมาถามว่าพรุ่งนี้จะไปขึ้นรถไฟกี่โมงไง”
“เจ็ดโมงครึ่งมั้ง” ผมตอบกลับไป
“...หรอ” พี่เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงอันเบาหวิว
“มีอะไรอีกป่ะ”
“ไม่มีละ”
“นี่พี่โทรมาหาผม เพื่อจะถามแค่เนี้ยอ่ะนะ”
“ก็ตอนก่อนแยกกันพี่ลืมถามไง แล้วพี่โทรไปหาเราไม่ได้หรอ...” เสียงของพี่เขาที่ตอบกลับมามันฟังดูอ้อมแอ้มจนผมอดที่จะขำไม่ได้ ป่านนี้พี่เขาคงกำลังทำหน้าเหมือนลูกหมาโดนขัดใจ แบบที่ชอบทำอยู่แหง ๆ แค่นึกก็ขำแล้ว
“เออๆ อยากโทรก็โทรมาเหอะ” ผมตอบกลับไป พอดีกับที่พี่แจฮยอนออกมาจากห้องน้ำพอดี “แค่นี้นะ ผมไปกินข้าวละ”
“อื้อ ฝันดีนะ” พี่เขาพูดแค่นั้นก่อนจะตัดสายไป ปล่อยให้ผมยืนกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง เพราะใจเต้นแรงจนเหมือนกับว่ามันจะเด้งออกมาอยู่แบบนั้น
นี่ขนาดตัวไม่อยู่ ยังจะส่งเสียงมาทำให้ใจเต้นแบบนี้ก็ได้หรอมาร์คลี
TBC.
ครบร้อยเปอร์เซนต์แล้วววว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ ซึ้งใจมาก ฮืออ ;-;
ภาษาอาจจะแปลกๆไปบ้าง เพราะยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ต้องขอโทษด้วยนะคะ
ถ้ามีคำผิดหรืออ่านแล้วงงก็บอกกันได้เน้อ เริ้บทุกคน
ความคิดเห็น