คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : My Pressure
My Pressure
ขณะนี้ขาดแคลนโลหิตทุกกรุ๊ปทั่วประเทศ
วอนประชาชนบริจาคโลหิตช่วยเหลือผู้ป่วยด่วน!!!!!!!!!!
สามารถบริจาคโลหิตได้ที่คลังเลือดกลาง
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย MDU
ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 08:00 น. - 18.00 น. และวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 08.00
น. – 12.00 น.
“มึงงง
ไปบริจาคเลือดกันนนน”
น้ำเสียงติดจะแหลมสูงกว่าผู้ชายวัยรุ่นคนอื่น
ๆ เอ่ยขึ้นกับเพื่อนสนิทของตัวเอง
ก่อนจะยื่นหน้าจอโทรศัพท์ที่มีข้อความเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคโลหิต
เนื่องจากตอนนี้คลังเลือดกลางกำลังขาดแคลนเลือดอย่างหนัก
(ดูจากเครื่องหมายอัศเจรีย์ที่แอดมินเพจคลังเลือดกลางใส่มา)
และด้วยความที่เป็นคนจิตใจดี
เป็นมิตรต่อโลกและสิ่งแวดล้อม อีดงฮยอกคนนี้จึงทนไม่ได้อย่างยิ่งกับวิกฤติครั้งนี้
“
มึงหนักถึงเกณฑ์ที่เขาให้บริจาคหรอ?”
“!!!”
ทันทีที่สิ้นสุดคำถามจากคนที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ กันในห้องเลคเชอร์วิชาเซอร์กิตอะไรสักอย่างนี่แหละจำไม่ได้
ดงฮยอกก็ถึงกับต้องหันไปมองค้อนใส่เพื่อนสนิทของตัวเองทันที
อี!!เจ!!โน่!! นี่มันจะดูถูกกันเกินไปแล้ว!!
“ก็บอกว่าหนักหกสิบกิโลกรัมไง!! หก-สิบ-กิ-โล-กรัม
อะ” ผู้ชายตัวสูง(?)อย่างเขา จะไปหนักแค่สี่สิบห้าได้ยังไง
“เคยบอกหลายรอบแล้วมะ
ว่าเครื่องชั่งใต้หอมึงมันเสีย” เพื่อนตัวขาวพูด “ขนาดกูขึ้นไปชั่งมันยังหนักตั้งหกสิบสอง”
“อ้วนแล้วไม่ยอมรับความจริงหรือเปล่าไออ้วน”
ว่าแล้วก็แกล้งแหย่เพื่อน ก่อนจะยิ้มล้อเลียนจนเหนียงออก
“เดี๋ยวโบกออกไปนอกห้อง”
เจโน่พูด ก่อนจะแกล้งง้างมือขึ้นเล็กน้อยให้อีกคนตกใจเล่น
“ก็กูเคยวัดเครื่องอื่นแล้วหนักห้าสิบแปดไง แต่เครื่องนี้มันหนักขึ้นตั้งห้าโล
มันคงเจ๊งแล้วแหละ”
“เออหน่า
ถึงมันจะเจ๊งแต่ยังไงน้ำหนักกูก็ถึงเกณฑ์เขาอยู่ดีนั่นแหละ” ดงฮยอกเถียง
ก่อนจะจับแขนของเจโน่มาเขย่า ๆ เมื่อเห็นว่าอาจารย์ออกจากห้องไปแล้ว “นะ ๆ ไปด้วยกันเถอะนะ”
“ไม่ได้
กูเป็นโลหิตจาง บริจาคเลือดได้ที่ไหน”
“เอ้า
งั้นไปนั่งให้กำลังใจกันเฉย ๆ ก็ได้ นะโน่นะ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังเอาหน้าไปมุดเข้ากับแขนของเพื่อนตัวเอง
แต่เออ ช่วงนี้เจโน่มันกล้ามใหญ่ขึ้นป่าววะเนี่ย ทำไมจับไปแล้วแน่น ๆ
“เออ
ไปก็ไป” เจโน่พูด “แล้วจะไปวันไหน?”
“วันเสาร์นี้มั้ย
มึงว่างรึเปล่า?”
“ว่าง
ช่วงนี้ไม่ค่อยรับงาน” เพื่อนตัวขาวพูดถึงงานถ่ายแบบของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา
“งั้นวันเสาร์แปดโมงนะ เตรียมร่างกายให้พร้อมด้วย ไม่ใช่ไปแล้วโดนพยาบาลไล่กลับ”
“โอเค!!
ไม่โดนไล่กลับแน่นอน เชื่อมือดงฮยอกได้”
표현이 서툰 것도 잘못인가요
ฉันผิดเหรอที่ทำตัวเซ่อซ่าออกไป?
나 차가운 도시에 따뜻한 여잔데
ฉันคือผู้หญิงที่แสนอบอุ่นในเมืองที่แสนเหน็บหนาว
그냥 좋아한단 말도 안 되는가요
แม้แต่การบอกชอบคุณ ฉันก็ทำไม่ได้ใช่ไหม?
솔직하게 난 말하고 싶어요
ฉันอยากจะบอกคุณจากใจจริงเลยนะ
เช้าวันเสาร์ที่แสนสดใสของดงฮยอกเริ่มต้นขึ้นด้วยการตื่นนอนตั้งแต่หกโมงครึ่ง
จากนั้นก็นอนไถทวิตเตอร์ไปเรื่อย ๆ อีกราวครึ่งชั่วโมง
ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อมาให้ทันเวลานัดของเพื่อนรัก และตอนนี้อีดงฮยอกกับอีเจโน่ก็พากันมายืนทำหน้างงอยู่หน้าคลังเลือดกลางของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยตามเวลาที่นัดกันเอาไว้เป๊ะ
ๆ
เพราะว่านี่เป็นการบริจาคเลือดครั้งแรกในชีวิตหลังจากทำใจกล้าอยู่นาน
กลัวเจ็บบ้างแหละ กลัวนู่นกลัวนี่ไปหมด และในที่สุดดงฮยอกก็มาอยู่ที่หน้าคลังเลือดกลางจนได้
แต่เพราะว่ามาเป็นครั้งแรก เขาจึงไม่รู้ว่าจะต้องไปเริ่มที่ตรงไหนดี แต่แล้วเจโน่ก็เสนอขึ้นมาว่าสิ่งแรกที่ควรจะทำ
คือเดินเข้าไปข้างในก่อน แล้วค่อยไปถามพี่พยาบาลเอาน่าจะดีที่สุด
“คือ
ผมจะมาบริจาคเลือดครับ”
ดงฮยอกเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง
ซึ่งมีพยาบาลสองสามคนกำลังนั่งทำงานกันอยู่
“เคยมาแล้วหรือยัง?”
คุณป้าพยาบาลถามขึ้น ก่อนจะยิ้มให้อย่างใจดี
“ไม่เคยครับ”
“ถ้างั้นหนูเอาใบนี้ไปกรอกนะ
เสร็จแล้วก็เอามาให้แม่” คุณป้าพยาบาลที่แทนตัวเองว่าแม่เอ่ยกำชับ ก่อนจะยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นมาให้กัน
ซึ่งดงฮยอกรับกระดาษนั้นมาถือไว้ ก่อนจะเดินกลับไปหาอีเจโน่ที่นั่งรออยู่
แผ่นกระดาษที่ป้าพยาบาลให้มานั้นเป็นเอกสารที่ให้กรอกข้อมูลส่วนตัวต่าง
ๆ ของตัวเรา ตั้งแต่ข้อมูลทั่วไปอย่าง เช่น ชื่อ วันเดือนปีเกิด
รหัสประจำตัวประชาชน ข้อมูลหมู่เลือด ประวัติการบริจาคโลหิต
ไปจนถึงคำถามเกี่ยวกับสุขภาพต่าง ๆ
ดงฮยอกไล่สายตาอ่านคำถามที่ละข้อ
ก่อนจะขีดเครื่องหมายถูกลงในช่อง ใช่ และไม่ใช่ ไปตามความจริง เริ่มตั้งแต่ประวัติการขับถ่าย
การเจาะหู การทำฟัน การผ่าตัด การสูบบุหรี่และสารเสพติด การรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มต่าง
ๆ ไปจนถึงคำถามเรื่องเพศสัมพันธ์ที่เขาขีดช่องไม่ใช่ไปทั้งหมด
ก็มันจะไปมีได้ยังไงล่ะ!! แฟนคนแรกยังไม่เคยมีเลยโว้ย!!
เอ๊ะ… แล้วนี่กูอินอะไร?
หลังจากตรวจทานดูเอกสารทั้งด้านหน้าด้านหลังแล้วพบว่าตัวเองกรอกข้อมูลลงไปครบถ้วนแล้ว
ดงฮยอกจึงเดินกลับไปยังโต๊ะกลางห้องอีกครั้ง
ซึ่งก็มีผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขากำลังโดนป้าพยาบาลซักถามอะไรอยู่
“เมื่อคืนหนูนอนกี่ทุ่มคะ?”
“เอ่อ
ประมาณเที่ยงคืนค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นตอบเสียงอ้อมแอ้ม “แต่ว่าหนูนอนมากกว่าหกชั่วโมงนะคะ”
“ไม่ได้หรอกลูก
หนุควรจะนอนก่อนเที่ยงคืนนะ วันนี้กลับไปหนูนอนตั้งแต่สี่ทุ่มเลยนะคะ
แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ที่นี่เปิดทุกวัน” คุณป้าพยาบาลพูด
ก่อนจะยื่นมือไปรับเอกสารที่ผู้หญิงคนนั้นส่งให้มาเก็บไว้
“ค่ะ”
เธอคนนั้นว่า ก่อนจะก้มหัวให้ป้าพยาบาลเล็กน้อยและเดินกลับออกไป
ซึ่งก็ถึงคิวที่ดงฮยอกต้องส่งเอกสารบ้าง
“ไม่ได้นอนดึกใช่มั้ยเรา?” ป้าพยาบาลถาม พร้อมกับรับเอกสารจากมือเขาไปตรวจทาน
พลิกอ่านทั้งด้านหน้าและหลัง
“ ไม่ครับ”
เขาตอบไปตามความจริง เพราะเมี่อคืนเผลอหลับไปตั้งแต่สี่ทุ่ม
“งั้นเข้าไปวัดความดันข้างในเลยลูก”
คุณป้าพูด “แต่ว่าเอาเพื่อนเข้าไปด้วยไม่ได้นะจ๊ะ”
“ครับ”
ดงฮยอกรับคำก่อนจะหมุนตัวหันหลังเตรียมจะเดินกลับไปหาเจโน่
แต่แล้วใจก็กระตุกวูบเมื่อเจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอในวันนี้
พี่!!มาร์ค!!
คนที่ยืนอยู่ข้าง
ๆ เลิกคิ้วขึ้นเหมือนประหลาดใจ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้กัน ส่วนดงฮยอกก็ได้แต่มองตามการกระทำนั้นอย่างงุนงงเพราะตอนนี้สมองเหมือนจะไม่ประมวลผลใด
ๆ แล้วตั้งแต่เห็นหน้าอีกฝ่าย ตั้งใจจะรีบเดินหนีไปหาเจโน่ให้มันช่วย
แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อคนตรงหน้ารั้งข้อมือของเขาเอาไว้
사라져 아니 사라지지 마
ไปให้พ้นเลยนะ ไม่สิ! อย่าไปไหนเลยนะ
네 맘을 보여줘 아니 보여주지 마
แสดงให้ฉันเห็นหัวใจของคุณที ไม่สิ!
ไม่ต้องแสดงให้เห็นหรอก
하루 종일 머릿속에 네 미소만
ทุกๆวันรอยยิ้มของเธอมันติดอยู่ในหัวของฉัน
우리 그냥 한번 만나볼래요
เราสองคนมาเจอกันดูสักครั้งไหม?
“มาบริจาคเลือดเหมือนกันเลย”
พี่มาร์คพูดกับเขา
ก่อนจะยื่นมือไปรับเอกสารคืนจากป้าพยาบาลแล้วก้มศีรษะขอบคุณเธอเล็กน้อย
“...”
“ไปวัดความดันกัน
ป่ะ”
ยังไม่ทันได้ตอบอะไร
พี่มาร์คที่พูดเองเออเองก็ดึงข้อมือของเขาให้ออกตัวเดินตามต่อไปยังห้องวัดความดัน ที่ดงฮยอกก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
ตอนนี้คือไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นรัว ๆ
ก้องไปทั่วหู จนกลัวว่าถ้าอีกคนเข้ามาใกล้มากกว่านี้คงได้ยินแน่ ๆ อยากจะสะบัดมือตัวเองออกจากการเกาะกุมแต่ลึก
ๆ ในใจก็บอกว่าแบบนี้แหละดีแล้ว
เวรเอ๊ย
เจอทีไรใจเต้นแรงจนทำอะไรไม่ถูกทุกที
นี่สินะ
ที่ชาวทวิตเตอร์เรี่ยนเคยบอกเอาไว้ว่า ในแชทแทบจะกลืนกิน เจอกันจริงๆนี่พระกับสีกา
คือ
ทางฝั่งไอ้พี่แว่นนี่ไม่มีความเกร็งหรืออะไรทั้งสิ้น เจอหน้ากันปุ๊บก็จับมือถือแขนเหมือนสนิทกันมาก
ทั้ง ๆ ที่เคยคุยกันแค่ในแชทเประมาณเดือนกว่า ๆ
แล้วสาเหตุที่ทำให้ได้เริ่มคุยกันก็คือการที่เขาจะเข้าแชทเฟชบุ๊คไปด่าเจโน่ ให้มันส่งงานแต่มือถือดันรวนไปเข้าแชทผิด
เลยยาวมาจนถึงตอนนี้ แล้วตัดภาพกลับมาที่ดงฮยอกเองที่เหมือนกำลังจะเป็นใบ้
เหงื่อก็เริ่มซึมตามไรผม ทำได้แค่ยิ้มเจื่อนเมื่ออีกฝ่ายหันมาชวนคุย
“วัดเครื่องข้าง
ๆ กันนี่แหละ สอดแขนเข้าไปจนถึงต้นแขนเลยแบบนี้”
คนพี่อธิบาย
ก่อนจะจับแขนของดงฮยอกให้เข้าที่เข้าทางพร้อมกับกดปุ่มทำงานให้เสร็จสรรพ
หลังจากนั้นก็ไปนั่งที่ของตัวเองที่อยู่ด้านหลังของเขาแล้วเริ่มวัดความดันบ้าง
ผ่านไปสักพัก
หลังจากเครื่องทำการวัดค่าความดันและค่าชีพจรจนเสร็จเรียบร้อย ก็มีกระดาษที่แสดงผลแผ่นเล็ก
ๆ ออกมาจากตัวเครื่อง ดงฮยอกดึงเอากระดาษนั้นออกมาอ่านดู ก่อนจะรู้สึกแปลก ๆ
กับตัวเลขด้าล่างสุดที่ขึ้นไปสูงถึงร้อยยี่สิบ
“เห้ย
ทำไมใจเราเต้นแรงจัง”
เป็นพี่มาร์คที่เอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากหายไปวัดความดันของตัวเองมา
คนโตกว่าฉวยเอากระดาษแผ่นเล็ก ๆ ในมือของเขาไปถือเอาไว้ ก่อนจะดึงมือเขาให้เดินตามออกมานอกห้องวัดความดัน
“...”
“ความดันก็ปกตินี่เรา”
คนตรงหน้ายังคงพูดต่อไป ถึงแม้จะไม่มีสัญญาณตอบรับจากดงฮยอก “ครั้งแรกหรอ? ใจจเราเต้นแรงมากเลยนะเนี่ย”
“หือ?”
“ก็เนี่ย
Pulse ร้อยยี่สิบ ดงฮยอกตื้นเต้นหรอ?”
“เอ่อ...
คือ ” คนเด็กกว่าเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้จะอธิบายให้อีกคนเข้าใจยังไงดี แต่ที่บอกว่าใจเต้นแรงเพราะตื่นเต้นก็ถือว่ามีส่วนถูกอยู่
แต่มันก็แค่นิดเดียว
“กลัวเข็ม?”
“เปล่าครับ”
เขาส่ายหน้า แน่นอนอยู่แล้วว่าคนอย่างดงฮยอกไม่กลัวหรอกกับอีแค่เข็ม
“งั้นเป็นอะไรอ่ะ? ตอนนี้หน้าเราก็แดง
ๆ ด้วยนะ” พี่มาร์คยังคงพูดต่อไป ก่อนจะยกหลังมือขึ้นมาอังหน้าผากเขา
“ก็ไม่ได้ตัวร้อนนี่หว่า”
“คือผม..”
“หรือว่าเขินพี่?”
เดดแอร์เลยครับ…
หลังจากสิ้นสุดคำถามของคนตรงหน้า
เสียงหัวใจที่พยายามอยู่นานกว่าจะเต้นเป็นปกติ
ก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้งจนดงฮยอกต้องผงะก้าวถอยหลังออกไป กลัวอีกคนจะได้ยินเสียงหัวใจที่ดังก้องไปทั่วหูตอนนี้เหลือเกิน
อีกทั้งยังได้แต่ก้มหน้าลงจนแทบจะชิดออกเพราะอยู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วหน้า
อยากจะวิ่งหนีออกไปแต่ก็กลัวชาวบ้านเห็นแล้วเขาจะหาว่าเป็นบ้า
แต่แม่ง...
ถามกันตรง ๆ แบบนี้เลยหรอวะ
“ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยพี่มาร์ค
อาจจะตื่นเต้นมากไปเฉย ๆ”
ใช้เวลาอยู่สี่ถึงห้าวินาทีกว่าจะดึงสติของตัวเองกลับมาได้
ดงฮยอกก็เอ่ยตอบเสียงนิ่งเรียบออกไปเป็นประโยคยาวที่สุดนับตั้งแต่สนทนากันมา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนที่เขาสัมผัสได้ว่ากำลังจ้องกันอยู่
“แน่ใจนะ?”
“ครับ”
คนเด็กกว่าพยักหน้าหงึกหงัก ถึงอยากจะบอกเหลือเกินว่าที่ใจเต้นแรงนี่ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นกับการมาบริจาคเลือด
แต่เพราะเจอพี่ต่างหาก แต่ก็นั่นแหละ แค่นี่เขาก็ใจเต้นแรงจนเหนื่อยไปหมดแล้ว
“แล้วเอาไงดี”
พี่มาร์คเกาหัวคิ้วของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ “เราไปนั่งพักก่อนมั้ย
แล้วค่อยไปวัดความดันใหม่ ถ้าไปแบบนี้พยาบาลไล่กลับแน่เลย”
“ครับ”
ดงฮยอกพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามมาร์คไปยังเก้าอี้หน้าห้องวัดความดัน
แล้วนั่งลงข้าง ๆ กัน
“ไม่ต้องตื่นเต้นนะ
ค่อย ๆ หายใจเข้าลึก ๆ” คนพี่ว่า ก่อนจะทำท่าสูดลมหายใจเข้าให้เขาดู “ทำตามพี่เร็ว
ฮึบ”
ดงฮยอกมองคนตรงหน้าที่ทำท่าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
พร้อมกับบังคับให้เขาทำตาม ก่อนจะลองสูดลมหายใจเข้าและออกแบบอีกคนบ้าง
แต่ก็ยังไม่กล้ามองคนตรงหน้าอยู่ดี
ทำอย่างนั้นอยู่สักพักจนรู้สึกว่าหัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ ป้าพยาบาลที่เดินออกมาจากห้องวัดความดันก็เอ่ยทักขึ้น
“ทำอะไรกันน่ะลูก?”
“คือน้องเขาตื่นเต้นน่ะครับ
ผมเลยให้น้องเขานั่งพักแล้วค่อยเข้าไปวัดความดันใหม่” พี่มาร์คตอบออกไปอย่างฉะฉาน
“หืม
ไหนเอาใบวัดความดันมาให้ป้าดูหน่อยซิ” คุณป้าพยาบาลพูด
ก่อนจะยื่นมือไปรับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ จากมือพี่มาร์ค “ตายละ ใจเต้นแรงเชียว”
“ครับ” พี่มาร์คพยักหน้าให้ป้าเขา
“ตื่นเต้นล่ะสิเรา แล้วตอนนี้หนูดีขึ้นรึยัง?”
คุณป้าหันมาถามเขาบ้าง
“ดีขึ้นแล้วครับ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวหนูเข้าไปวัดความดันใหม่อีกรอบนะลูก
ถ้ามันปกติก็เข้าไปบริจาคเลือดกันได้เลย”
คุณป้าพยาบาลว่าอย่างนั้น พร้อมกับยื่นมือมาตบบ่าของดงฮยอกเบา
ๆ เชิงให้กำลังใจ ก่อนจะขอตัวไปทำงานของตัวเองต่อ
ส่วนดงฮยอกเองก็จะเข้าไปวัดความดันใหม่บ้าง จะได้ไปบริจาคเลือดให้มันเสร็จ ๆ ซักที
나 오늘부터 너랑 썸을 한번 타볼 거야
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ฉันอยากจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา
나 매일매일 네게 전화도 할 거야
แล้วก็ฉันจะโทรหาคุณทุกๆวัน
밀가루 못 먹는 나를 달래서라도
ในช่วงที่ฉันกำลังงดแป้งไดเอตอยู่
너랑 맛있는 걸 먹으러 다닐 거야
เราก็จะออกไปหาอะไรอร่อยๆกินด้วยกัน
넘넘 스윗한 넌 정말 달콤한 걸
หวานมากๆเลย ความรักหวานมากจริงๆ
넘넘 스윗한 넌
หวานมากที่สุดเลย
นับตั้งแต่วันที่ออกไปบริจาคโลหิตมาจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์
แต่เป็นสองสัปดาห์ที่เหมือนเขาจะคิดไปเองว่าเจอพี่มาร์คบ่อยขึ้น ซึ่งจะเป็นความบังเอิญเสียส่วนใหญ่
อย่างเช่นตอนนี้
ที่ดงฮยอกกำลังนั่งแข็งเป็นหินอยู่ตรงข้ามพี่มาร์คที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ อยู่ ๆ
ก็มาขอนั่งด้วยกัน ในร้านข้าวหน้าเนื้อตรงข้ามหอพักของดงฮยอกเอง
วันนั้นหลังจากที่บริจาคเลือดเสร็จดงฮยอกก็ขอตัวแยกกับพี่มาร์คที่หน้าคลังเลือดกลาง
พร้อมทั้งปฏิเสธคำชวนของพี่เขาที่ชวนออกไปหาอะไรทานกันต่อ พร้อมกับบอกออกไปว่ารู้สึกเพลีย
ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้เพลียอะไรเลยสักนิด แต่แค่กลัวว่าถ้าไปต่อกับพี่เขาแล้วจะเขินจนไม่เป็นตัวเองอีกก็แค่นั้น
ซึ่งแน่นอนว่าคนพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ขอตัวไปคุยอะไรกับเจโน่อยู่สักพักก่อนจะแยกย้ายกันไป
เมื่อแยกกับพี่มาร์คออกมาได้แล้ว
เขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดตอนที่ไปวัดความดันแล้วเกือบไม่ได้เข้าไปบริจาคเลือดให้เจโน่เพื่อนรักฟัง
ซึ่งมันก็เอาแต่ขำ และก็ล้อว่าชอบเขาขนาดไหน ใจถึงได้เต้นไปขนาดนั้น
ฮือ ชอบขนาดไหนก็ไม่รู้
รู้แค่ใจเต้นจนเหนื่อยไปหมดเลย ;-;
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน
อาการเกร็งและใจเต้นแรงเวลาเจอพี่มาร์คยังไม่หายไปแต่ก็ถือว่าน้อยลงไปมากโขเมื่อเทียบกับตอนเจอหน้ากันจัง
ๆ ครั้งแรก แต่ถึงอย่างนั้นดงฮยอกก็ยังทำได้แต่ก้มหน้าเล่นมือถือของตัวเอง
พยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทั้งพี่มาร์คที่นั่งเล่นมือถืออยู่ตรงข้ามกัน
กลุ่มผู้หญิงโต๊ะข้าง ๆ ที่กำลังแอบมองมาทางเรา หรือแม้กระทั่งเพลง Some ของ BOLBBALGAN4
ที่กำลังเปิดอยู่
เป็นแค่ร้านข้าวหน้าเนื้อทำไมต้องเปิดเพลงรักหวาน ๆ แบบนี้ด้วยวะ
คนตัวเล็กนึกโวยวายในใจ
ทั้งที่ความจริงต่อให้ร้านมันจะเปิดเพลงสุนทราภรณ์ก็ไม่ได้ผิด แต่เพราะเป็นคนเขินแล้วชอบโวยวายมันก็เลยกลายเป็นแบบนี้
ตอนนี้คือไม่อยากจะกินแล้วข้าว อยากมุดลงใต้โต๊ะให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนี่ก็เหมือนจะรู้ตัวเลยนะว่าทำให้เขาเขิน
แต่ก็ยังแกล้งเอาเท้ามาเขี่ยเท้าเขาอยู่ได้
“กินข้าวเสร็จแล้วกลับหอเลยป่ะ?”
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันถามขึ้น
หลังจากที่พนักงานเอาอาหารมาเสิรฟถึงโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“ครับ”
ดงฮยอกพยักหน้าตอบก่อนจะก้มลงสนใจกับอาหารของตัวเองต่อ
ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้น่าสนใจตรงไหนกับอีแค่ข้าวหน้าเนื้อ แต่ทานต่อไปได้สักพักก็ต้องเงยหน้ามองคนตรงข้ามอีกครั้ง
เมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงอย ๆ
“เราไม่ชอบพี่หรอ?”
“หือ?”
เขาเลิกคิ้วขึ้นให้กับประโยคของคนพี่ อะไรของเขาวะ เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลย
“ก็ที่เราคุยกันในแชท
เธอดูเป็นคนกวน ๆ อ่ะ แต่พอเจอตัวจริงทำไมไม่ค่อยคุยกับพี่เลย”
พี่มาร์คยังคงตัดพ้อต่อไป “พี่ถามอะไรเราก็ตอบแต่ครับ ๆ หน้าพี่ก็ไม่มอง เหมือนเราไม่อยากจะคุยกับพี่อ่ะ”
“คือ...” ดงฮยอกเลิ่กลั่ก
พยายามกลืนน้ำลายหนืดลงคอ ไม่รู้จะอธิบายให้อีกคนเข้าใจยังไงดีว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเขินจนทำตัวไม่ถูกต่างหาก
ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยด้วยสักหน่อย ทำไงดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“เนี่ย
ตอนนี้เราก็ยังไม่ยอมพูดกับพี่อ่ะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะพี่”
เขารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีแล้วเอ่ยขัดออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดตัดพ้ออะไรมากไปกว่านี้เพราะตอนนี้โต๊ะข้าง
ๆ เริ่มจะหันมามองทางเราสองคน
“แล้วทำไมเวลาคุยกันต้องหลบตาพี่ด้วยอ่ะ?”
“คือ...”
“หรือว่าเราจะเขินพี่แบบที่เจโน่บอกจริง
ๆ ?”
เดดแอร์กันอีกรอบ…
หลังจากจบประโยคที่ดูเหมือนจะพูดกับตัวเองของพี่มาร์ค(แต่เขาได้ยินเต็ม
ๆ) ความเงียบก็เข้ามาครอบงำเราทั้งสองคนอีกรอบ ดงฮยอกทดความผิดของเจโน่เอาไว้ในใจ
ก่อนจะรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้ามที่กำลังมองหน้าเขาอยู่เหมือนกัน
“ตกลงว่าเราเขินพี่ใช่ป่ะ?”
ยังอีก ยังไม่เลิกขยี้อีก
ดงฮยอกไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ก้มหน้าลงจ้วงข้าวเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย
อยากจะรีบ ๆ กินให้มันหมดจะได้หนีไปซักที เขินจะเป็นบ้าอยู่แล้วเนี่ย โว้ย
จ้องกันอยู่ได้
“เห้ย ไม่ต้องเขินพี่ขนาดนั้นก็ได้”
พี่มาร์คพูดก่อนจะเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาไว้
“ไอ่ไอ้เอิ๋น (ไม่ได้เขิน)” พูดออกไปทั้งที่ข้าวยังอยู่ในปาก
พยายามจะบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแต่เหมือนอีกคนจะไม่ยอมเขาง่าย ๆ
“แหนะ”
“อะไรอีก!!” คราวนี้ขอโวยวายออกเสียงบ้าง
จะไม่ทนแล้วนะ
“ขี้เขินจังเรา”
คนพี่ว่า
ก่อนจะยิ้มแปล้ออกมาอย่างอารมณ์ดี ขัดกับดงฮยอกที่ตอนนี้อยากจะมุดโต๊ะเหลือเกิน
รู้ว่าขี้เขินแล้วก็ยังแกล้งให้เขินอยู่ได้ จะร้องไห้แล้วนะ
“พี่มีวิธีที่จะทำให้เราไม่เขินพี่ด้วยนะ”
“...”
“มาเป็นแฟนพี่ดิ เดี๋ยวจะทำให้เขินทุกวันจนชินไปเองอะ สนใจรึเปล่า?”
-END-
ก็เลือกกันเอาเองเลยจ้า ว่าอยากให้พี่มาร์คเขาช่วยทำให้หายเขินรึเปล่าาา
เป็นฟิคที่ไม่มีสาระอีกแล้ว ฝากทุกท่านติชมด้วย
(แอบไปเขียนฟิคโปรเจ็คมาด้วย ได้อ่านกันมั้ยเอ่ย)
สุดท้ายนี่ ก็ เลิ้บยูวทุกคนนะต๊ะ
ขอให้แฮปปี้กับวันจันทร์
ความคิดเห็น