ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    NCT FICTION | MARKHYUCK MARKCHAN

    ลำดับตอนที่ #10 : My Pressure

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ค. 61


    My Pressure

    Mark Lee x Lee D.Hyuck 

     


     

    ขณะนี้ขาดแคลนโลหิตทุกกรุ๊ปทั่วประเทศ วอนประชาชนบริจาคโลหิตช่วยเหลือผู้ป่วยด่วน!!!!!!!!!!

    สามารถบริจาคโลหิตได้ที่คลังเลือดกลาง โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย MDU

    ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 08:00 น. - 18.00 น. และวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 08.00 น. – 12.00 น.

     

     

     

    “มึงงง ไปบริจาคเลือดกันนนน”


    น้ำเสียงติดจะแหลมสูงกว่าผู้ชายวัยรุ่นคนอื่น ๆ เอ่ยขึ้นกับเพื่อนสนิทของตัวเอง ก่อนจะยื่นหน้าจอโทรศัพท์ที่มีข้อความเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคโลหิต เนื่องจากตอนนี้คลังเลือดกลางกำลังขาดแคลนเลือดอย่างหนัก (ดูจากเครื่องหมายอัศเจรีย์ที่แอดมินเพจคลังเลือดกลางใส่มา)


    และด้วยความที่เป็นคนจิตใจดี เป็นมิตรต่อโลกและสิ่งแวดล้อม อีดงฮยอกคนนี้จึงทนไม่ได้อย่างยิ่งกับวิกฤติครั้งนี้

    มึงหนักถึงเกณฑ์ที่เขาให้บริจาคหรอ?


    !!!


    ทันทีที่สิ้นสุดคำถามจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันในห้องเลคเชอร์วิชาเซอร์กิตอะไรสักอย่างนี่แหละจำไม่ได้ ดงฮยอกก็ถึงกับต้องหันไปมองค้อนใส่เพื่อนสนิทของตัวเองทันที


    อี!!เจ!!โน่!! นี่มันจะดูถูกกันเกินไปแล้ว!!


    “ก็บอกว่าหนักหกสิบกิโลกรัมไง!! หก-สิบ-กิ-โล-กรัม อะ” ผู้ชายตัวสูง(?)อย่างเขา จะไปหนักแค่สี่สิบห้าได้ยังไง


    “เคยบอกหลายรอบแล้วมะ ว่าเครื่องชั่งใต้หอมึงมันเสีย” เพื่อนตัวขาวพูด “ขนาดกูขึ้นไปชั่งมันยังหนักตั้งหกสิบสอง”


    “อ้วนแล้วไม่ยอมรับความจริงหรือเปล่าไออ้วน” ว่าแล้วก็แกล้งแหย่เพื่อน ก่อนจะยิ้มล้อเลียนจนเหนียงออก


    “เดี๋ยวโบกออกไปนอกห้อง” เจโน่พูด ก่อนจะแกล้งง้างมือขึ้นเล็กน้อยให้อีกคนตกใจเล่น “ก็กูเคยวัดเครื่องอื่นแล้วหนักห้าสิบแปดไง แต่เครื่องนี้มันหนักขึ้นตั้งห้าโล มันคงเจ๊งแล้วแหละ”


    “เออหน่า ถึงมันจะเจ๊งแต่ยังไงน้ำหนักกูก็ถึงเกณฑ์เขาอยู่ดีนั่นแหละ” ดงฮยอกเถียง ก่อนจะจับแขนของเจโน่มาเขย่า ๆ เมื่อเห็นว่าอาจารย์ออกจากห้องไปแล้ว “นะ ๆ ไปด้วยกันเถอะนะ”


    “ไม่ได้ กูเป็นโลหิตจาง บริจาคเลือดได้ที่ไหน”


    “เอ้า งั้นไปนั่งให้กำลังใจกันเฉย ๆ ก็ได้ นะโน่นะ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังเอาหน้าไปมุดเข้ากับแขนของเพื่อนตัวเอง แต่เออ ช่วงนี้เจโน่มันกล้ามใหญ่ขึ้นป่าววะเนี่ย ทำไมจับไปแล้วแน่น ๆ


    “เออ ไปก็ไป” เจโน่พูด “แล้วจะไปวันไหน?


    “วันเสาร์นี้มั้ย มึงว่างรึเปล่า?


    “ว่าง ช่วงนี้ไม่ค่อยรับงาน” เพื่อนตัวขาวพูดถึงงานถ่ายแบบของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา “งั้นวันเสาร์แปดโมงนะ เตรียมร่างกายให้พร้อมด้วย ไม่ใช่ไปแล้วโดนพยาบาลไล่กลับ”


    “โอเค!! ไม่โดนไล่กลับแน่นอน เชื่อมือดงฮยอกได้”

     

     

     

     

    표현이 서툰 것도 잘못인가요

    ฉันผิดเหรอที่ทำตัวเซ่อซ่าออกไป?

    차가운 도시에 따뜻한 여잔데
    ฉันคือผู้หญิงที่แสนอบอุ่นในเมืองที่แสนเหน็บหนาว

    그냥 좋아한단 말도 되는가요
    แม้แต่การบอกชอบคุณ ฉันก็ทำไม่ได้ใช่ไหม?

    솔직하게 말하고 싶어요
    ฉันอยากจะบอกคุณจากใจจริงเลยนะ


     

     

    เช้าวันเสาร์ที่แสนสดใสของดงฮยอกเริ่มต้นขึ้นด้วยการตื่นนอนตั้งแต่หกโมงครึ่ง จากนั้นก็นอนไถทวิตเตอร์ไปเรื่อย ๆ อีกราวครึ่งชั่วโมง ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อมาให้ทันเวลานัดของเพื่อนรัก และตอนนี้อีดงฮยอกกับอีเจโน่ก็พากันมายืนทำหน้างงอยู่หน้าคลังเลือดกลางของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยตามเวลาที่นัดกันเอาไว้เป๊ะ ๆ


    เพราะว่านี่เป็นการบริจาคเลือดครั้งแรกในชีวิตหลังจากทำใจกล้าอยู่นาน กลัวเจ็บบ้างแหละ กลัวนู่นกลัวนี่ไปหมด และในที่สุดดงฮยอกก็มาอยู่ที่หน้าคลังเลือดกลางจนได้ แต่เพราะว่ามาเป็นครั้งแรก เขาจึงไม่รู้ว่าจะต้องไปเริ่มที่ตรงไหนดี แต่แล้วเจโน่ก็เสนอขึ้นมาว่าสิ่งแรกที่ควรจะทำ คือเดินเข้าไปข้างในก่อน แล้วค่อยไปถามพี่พยาบาลเอาน่าจะดีที่สุด


    “คือ ผมจะมาบริจาคเลือดครับ”


    ดงฮยอกเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ซึ่งมีพยาบาลสองสามคนกำลังนั่งทำงานกันอยู่


    “เคยมาแล้วหรือยัง?” คุณป้าพยาบาลถามขึ้น ก่อนจะยิ้มให้อย่างใจดี


    “ไม่เคยครับ”


    “ถ้างั้นหนูเอาใบนี้ไปกรอกนะ เสร็จแล้วก็เอามาให้แม่” คุณป้าพยาบาลที่แทนตัวเองว่าแม่เอ่ยกำชับ ก่อนจะยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นมาให้กัน ซึ่งดงฮยอกรับกระดาษนั้นมาถือไว้ ก่อนจะเดินกลับไปหาอีเจโน่ที่นั่งรออยู่


    แผ่นกระดาษที่ป้าพยาบาลให้มานั้นเป็นเอกสารที่ให้กรอกข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ของตัวเรา ตั้งแต่ข้อมูลทั่วไปอย่าง เช่น ชื่อ วันเดือนปีเกิด รหัสประจำตัวประชาชน ข้อมูลหมู่เลือด ประวัติการบริจาคโลหิต ไปจนถึงคำถามเกี่ยวกับสุขภาพต่าง ๆ


    ดงฮยอกไล่สายตาอ่านคำถามที่ละข้อ ก่อนจะขีดเครื่องหมายถูกลงในช่อง ใช่ และไม่ใช่ ไปตามความจริง เริ่มตั้งแต่ประวัติการขับถ่าย การเจาะหู การทำฟัน การผ่าตัด การสูบบุหรี่และสารเสพติด การรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มต่าง ๆ ไปจนถึงคำถามเรื่องเพศสัมพันธ์ที่เขาขีดช่องไม่ใช่ไปทั้งหมด


     

    ก็มันจะไปมีได้ยังไงล่ะ!! แฟนคนแรกยังไม่เคยมีเลยโว้ย!!


     

    เอ๊ะ แล้วนี่กูอินอะไร?


     

    หลังจากตรวจทานดูเอกสารทั้งด้านหน้าด้านหลังแล้วพบว่าตัวเองกรอกข้อมูลลงไปครบถ้วนแล้ว ดงฮยอกจึงเดินกลับไปยังโต๊ะกลางห้องอีกครั้ง ซึ่งก็มีผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขากำลังโดนป้าพยาบาลซักถามอะไรอยู่


    “เมื่อคืนหนูนอนกี่ทุ่มคะ?


    “เอ่อ ประมาณเที่ยงคืนค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นตอบเสียงอ้อมแอ้ม “แต่ว่าหนูนอนมากกว่าหกชั่วโมงนะคะ”


    “ไม่ได้หรอกลูก หนุควรจะนอนก่อนเที่ยงคืนนะ วันนี้กลับไปหนูนอนตั้งแต่สี่ทุ่มเลยนะคะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ที่นี่เปิดทุกวัน” คุณป้าพยาบาลพูด ก่อนจะยื่นมือไปรับเอกสารที่ผู้หญิงคนนั้นส่งให้มาเก็บไว้


    “ค่ะ” เธอคนนั้นว่า ก่อนจะก้มหัวให้ป้าพยาบาลเล็กน้อยและเดินกลับออกไป ซึ่งก็ถึงคิวที่ดงฮยอกต้องส่งเอกสารบ้าง


    “ไม่ได้นอนดึกใช่มั้ยเรา?” ป้าพยาบาลถาม พร้อมกับรับเอกสารจากมือเขาไปตรวจทาน พลิกอ่านทั้งด้านหน้าและหลัง


    “ ไม่ครับ” เขาตอบไปตามความจริง เพราะเมี่อคืนเผลอหลับไปตั้งแต่สี่ทุ่ม


    “งั้นเข้าไปวัดความดันข้างในเลยลูก” คุณป้าพูด “แต่ว่าเอาเพื่อนเข้าไปด้วยไม่ได้นะจ๊ะ”


    “ครับ” ดงฮยอกรับคำก่อนจะหมุนตัวหันหลังเตรียมจะเดินกลับไปหาเจโน่ แต่แล้วใจก็กระตุกวูบเมื่อเจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอในวันนี้


     

    พี่!!มาร์ค!!


     

    คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เลิกคิ้วขึ้นเหมือนประหลาดใจ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้กัน ส่วนดงฮยอกก็ได้แต่มองตามการกระทำนั้นอย่างงุนงงเพราะตอนนี้สมองเหมือนจะไม่ประมวลผลใด ๆ แล้วตั้งแต่เห็นหน้าอีกฝ่าย ตั้งใจจะรีบเดินหนีไปหาเจโน่ให้มันช่วย แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อคนตรงหน้ารั้งข้อมือของเขาเอาไว้

     

     

    사라져 아니 사라지지
    ไปให้พ้นเลยนะ ไม่สิ! อย่าไปไหนเลยนะ

    맘을 보여줘 아니 보여주지
    แสดงให้ฉันเห็นหัวใจของคุณที ไม่สิ! ไม่ต้องแสดงให้เห็นหรอก

    하루 종일 머릿속에 미소만
    ทุกๆวันรอยยิ้มของเธอมันติดอยู่ในหัวของฉัน

    우리 그냥 한번 만나볼래요
    เราสองคนมาเจอกันดูสักครั้งไหม?

     

     

    “มาบริจาคเลือดเหมือนกันเลย”  พี่มาร์คพูดกับเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับเอกสารคืนจากป้าพยาบาลแล้วก้มศีรษะขอบคุณเธอเล็กน้อย


    “...”


    “ไปวัดความดันกัน ป่ะ”

     

    ยังไม่ทันได้ตอบอะไร พี่มาร์คที่พูดเองเออเองก็ดึงข้อมือของเขาให้ออกตัวเดินตามต่อไปยังห้องวัดความดัน ที่ดงฮยอกก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ตอนนี้คือไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นรัว ๆ ก้องไปทั่วหู จนกลัวว่าถ้าอีกคนเข้ามาใกล้มากกว่านี้คงได้ยินแน่ ๆ อยากจะสะบัดมือตัวเองออกจากการเกาะกุมแต่ลึก ๆ ในใจก็บอกว่าแบบนี้แหละดีแล้ว

     

    เวรเอ๊ย เจอทีไรใจเต้นแรงจนทำอะไรไม่ถูกทุกที

     

    นี่สินะ ที่ชาวทวิตเตอร์เรี่ยนเคยบอกเอาไว้ว่า ในแชทแทบจะกลืนกิน เจอกันจริงๆนี่พระกับสีกา

     

    คือ ทางฝั่งไอ้พี่แว่นนี่ไม่มีความเกร็งหรืออะไรทั้งสิ้น เจอหน้ากันปุ๊บก็จับมือถือแขนเหมือนสนิทกันมาก ทั้ง ๆ ที่เคยคุยกันแค่ในแชทเประมาณเดือนกว่า ๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้ได้เริ่มคุยกันก็คือการที่เขาจะเข้าแชทเฟชบุ๊คไปด่าเจโน่ ให้มันส่งงานแต่มือถือดันรวนไปเข้าแชทผิด เลยยาวมาจนถึงตอนนี้ แล้วตัดภาพกลับมาที่ดงฮยอกเองที่เหมือนกำลังจะเป็นใบ้ เหงื่อก็เริ่มซึมตามไรผม ทำได้แค่ยิ้มเจื่อนเมื่ออีกฝ่ายหันมาชวนคุย

     

    “วัดเครื่องข้าง ๆ กันนี่แหละ สอดแขนเข้าไปจนถึงต้นแขนเลยแบบนี้”


    คนพี่อธิบาย ก่อนจะจับแขนของดงฮยอกให้เข้าที่เข้าทางพร้อมกับกดปุ่มทำงานให้เสร็จสรรพ หลังจากนั้นก็ไปนั่งที่ของตัวเองที่อยู่ด้านหลังของเขาแล้วเริ่มวัดความดันบ้าง


    ผ่านไปสักพัก หลังจากเครื่องทำการวัดค่าความดันและค่าชีพจรจนเสร็จเรียบร้อย ก็มีกระดาษที่แสดงผลแผ่นเล็ก ๆ ออกมาจากตัวเครื่อง ดงฮยอกดึงเอากระดาษนั้นออกมาอ่านดู ก่อนจะรู้สึกแปลก ๆ กับตัวเลขด้าล่างสุดที่ขึ้นไปสูงถึงร้อยยี่สิบ


    “เห้ย ทำไมใจเราเต้นแรงจัง”


    เป็นพี่มาร์คที่เอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากหายไปวัดความดันของตัวเองมา คนโตกว่าฉวยเอากระดาษแผ่นเล็ก ๆ ในมือของเขาไปถือเอาไว้ ก่อนจะดึงมือเขาให้เดินตามออกมานอกห้องวัดความดัน


    “...”


    “ความดันก็ปกตินี่เรา” คนตรงหน้ายังคงพูดต่อไป ถึงแม้จะไม่มีสัญญาณตอบรับจากดงฮยอก “ครั้งแรกหรอ? ใจจเราเต้นแรงมากเลยนะเนี่ย”


    “หือ?


    “ก็เนี่ย Pulse ร้อยยี่สิบ ดงฮยอกตื้นเต้นหรอ?


    “เอ่อ... คือ ” คนเด็กกว่าเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้จะอธิบายให้อีกคนเข้าใจยังไงดี แต่ที่บอกว่าใจเต้นแรงเพราะตื่นเต้นก็ถือว่ามีส่วนถูกอยู่ แต่มันก็แค่นิดเดียว


    “กลัวเข็ม?


    “เปล่าครับ” เขาส่ายหน้า แน่นอนอยู่แล้วว่าคนอย่างดงฮยอกไม่กลัวหรอกกับอีแค่เข็ม


    “งั้นเป็นอะไรอ่ะ? ตอนนี้หน้าเราก็แดง ๆ ด้วยนะ” พี่มาร์คยังคงพูดต่อไป ก่อนจะยกหลังมือขึ้นมาอังหน้าผากเขา “ก็ไม่ได้ตัวร้อนนี่หว่า”


    “คือผม..”


    “หรือว่าเขินพี่?

     

    เดดแอร์เลยครับ

     

    หลังจากสิ้นสุดคำถามของคนตรงหน้า เสียงหัวใจที่พยายามอยู่นานกว่าจะเต้นเป็นปกติ ก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้งจนดงฮยอกต้องผงะก้าวถอยหลังออกไป กลัวอีกคนจะได้ยินเสียงหัวใจที่ดังก้องไปทั่วหูตอนนี้เหลือเกิน อีกทั้งยังได้แต่ก้มหน้าลงจนแทบจะชิดออกเพราะอยู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วหน้า อยากจะวิ่งหนีออกไปแต่ก็กลัวชาวบ้านเห็นแล้วเขาจะหาว่าเป็นบ้า

     

    แต่แม่ง... ถามกันตรง ๆ แบบนี้เลยหรอวะ

     

    “ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยพี่มาร์ค อาจจะตื่นเต้นมากไปเฉย ๆ”


    ใช้เวลาอยู่สี่ถึงห้าวินาทีกว่าจะดึงสติของตัวเองกลับมาได้ ดงฮยอกก็เอ่ยตอบเสียงนิ่งเรียบออกไปเป็นประโยคยาวที่สุดนับตั้งแต่สนทนากันมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนที่เขาสัมผัสได้ว่ากำลังจ้องกันอยู่

      

    “แน่ใจนะ?

     

    “ครับ” คนเด็กกว่าพยักหน้าหงึกหงัก ถึงอยากจะบอกเหลือเกินว่าที่ใจเต้นแรงนี่ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นกับการมาบริจาคเลือด แต่เพราะเจอพี่ต่างหาก แต่ก็นั่นแหละ แค่นี่เขาก็ใจเต้นแรงจนเหนื่อยไปหมดแล้ว

     

    “แล้วเอาไงดี” พี่มาร์คเกาหัวคิ้วของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ “เราไปนั่งพักก่อนมั้ย แล้วค่อยไปวัดความดันใหม่ ถ้าไปแบบนี้พยาบาลไล่กลับแน่เลย”


    “ครับ” ดงฮยอกพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามมาร์คไปยังเก้าอี้หน้าห้องวัดความดัน แล้วนั่งลงข้าง ๆ กัน


    “ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ค่อย ๆ หายใจเข้าลึก ๆ” คนพี่ว่า ก่อนจะทำท่าสูดลมหายใจเข้าให้เขาดู “ทำตามพี่เร็ว ฮึบ”


    ดงฮยอกมองคนตรงหน้าที่ทำท่าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พร้อมกับบังคับให้เขาทำตาม ก่อนจะลองสูดลมหายใจเข้าและออกแบบอีกคนบ้าง แต่ก็ยังไม่กล้ามองคนตรงหน้าอยู่ดี ทำอย่างนั้นอยู่สักพักจนรู้สึกว่าหัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ ป้าพยาบาลที่เดินออกมาจากห้องวัดความดันก็เอ่ยทักขึ้น


    “ทำอะไรกันน่ะลูก?


    “คือน้องเขาตื่นเต้นน่ะครับ ผมเลยให้น้องเขานั่งพักแล้วค่อยเข้าไปวัดความดันใหม่” พี่มาร์คตอบออกไปอย่างฉะฉาน


    “หืม ไหนเอาใบวัดความดันมาให้ป้าดูหน่อยซิ” คุณป้าพยาบาลพูด ก่อนจะยื่นมือไปรับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ จากมือพี่มาร์ค “ตายละ ใจเต้นแรงเชียว”


    “ครับ” พี่มาร์คพยักหน้าให้ป้าเขา


    “ตื่นเต้นล่ะสิเรา แล้วตอนนี้หนูดีขึ้นรึยัง?” คุณป้าหันมาถามเขาบ้าง


    “ดีขึ้นแล้วครับ”


    “ถ้างั้นเดี๋ยวหนูเข้าไปวัดความดันใหม่อีกรอบนะลูก ถ้ามันปกติก็เข้าไปบริจาคเลือดกันได้เลย”


    คุณป้าพยาบาลว่าอย่างนั้น พร้อมกับยื่นมือมาตบบ่าของดงฮยอกเบา ๆ เชิงให้กำลังใจ ก่อนจะขอตัวไปทำงานของตัวเองต่อ ส่วนดงฮยอกเองก็จะเข้าไปวัดความดันใหม่บ้าง จะได้ไปบริจาคเลือดให้มันเสร็จ ๆ ซักที

     

     

     

     

    오늘부터 너랑 썸을 한번 타볼 거야
    ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันอยากจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา


    매일매일 네게 전화도 거야
    แล้วก็ฉันจะโทรหาคุณทุกๆวัน

     

    밀가루 먹는 나를 달래서라도
    ในช่วงที่ฉันกำลังงดแป้งไดเอตอยู่

    너랑 맛있는 먹으러 다닐 거야

    เราก็จะออกไปหาอะไรอร่อยๆกินด้วยกัน

    넘넘 스윗한 정말 달콤한
    หวานมากๆเลย ความรักหวานมากจริงๆ

    넘넘 스윗한
    หวานมากที่สุดเลย

     

     

     

     

     

    นับตั้งแต่วันที่ออกไปบริจาคโลหิตมาจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์ แต่เป็นสองสัปดาห์ที่เหมือนเขาจะคิดไปเองว่าเจอพี่มาร์คบ่อยขึ้น ซึ่งจะเป็นความบังเอิญเสียส่วนใหญ่


    อย่างเช่นตอนนี้ ที่ดงฮยอกกำลังนั่งแข็งเป็นหินอยู่ตรงข้ามพี่มาร์คที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ อยู่ ๆ ก็มาขอนั่งด้วยกัน ในร้านข้าวหน้าเนื้อตรงข้ามหอพักของดงฮยอกเอง


    วันนั้นหลังจากที่บริจาคเลือดเสร็จดงฮยอกก็ขอตัวแยกกับพี่มาร์คที่หน้าคลังเลือดกลาง พร้อมทั้งปฏิเสธคำชวนของพี่เขาที่ชวนออกไปหาอะไรทานกันต่อ พร้อมกับบอกออกไปว่ารู้สึกเพลีย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้เพลียอะไรเลยสักนิด แต่แค่กลัวว่าถ้าไปต่อกับพี่เขาแล้วจะเขินจนไม่เป็นตัวเองอีกก็แค่นั้น ซึ่งแน่นอนว่าคนพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ขอตัวไปคุยอะไรกับเจโน่อยู่สักพักก่อนจะแยกย้ายกันไป


    เมื่อแยกกับพี่มาร์คออกมาได้แล้ว เขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดตอนที่ไปวัดความดันแล้วเกือบไม่ได้เข้าไปบริจาคเลือดให้เจโน่เพื่อนรักฟัง ซึ่งมันก็เอาแต่ขำ และก็ล้อว่าชอบเขาขนาดไหน ใจถึงได้เต้นไปขนาดนั้น


     

    ฮือ ชอบขนาดไหนก็ไม่รู้ รู้แค่ใจเต้นจนเหนื่อยไปหมดเลย ;-;


     

    ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน อาการเกร็งและใจเต้นแรงเวลาเจอพี่มาร์คยังไม่หายไปแต่ก็ถือว่าน้อยลงไปมากโขเมื่อเทียบกับตอนเจอหน้ากันจัง ๆ ครั้งแรก แต่ถึงอย่างนั้นดงฮยอกก็ยังทำได้แต่ก้มหน้าเล่นมือถือของตัวเอง พยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทั้งพี่มาร์คที่นั่งเล่นมือถืออยู่ตรงข้ามกัน กลุ่มผู้หญิงโต๊ะข้าง ๆ ที่กำลังแอบมองมาทางเรา หรือแม้กระทั่งเพลง Some ของ BOLBBALGAN4 ที่กำลังเปิดอยู่

     

    เป็นแค่ร้านข้าวหน้าเนื้อทำไมต้องเปิดเพลงรักหวาน  ๆ แบบนี้ด้วยวะ

     

    คนตัวเล็กนึกโวยวายในใจ ทั้งที่ความจริงต่อให้ร้านมันจะเปิดเพลงสุนทราภรณ์ก็ไม่ได้ผิด แต่เพราะเป็นคนเขินแล้วชอบโวยวายมันก็เลยกลายเป็นแบบนี้ ตอนนี้คือไม่อยากจะกินแล้วข้าว อยากมุดลงใต้โต๊ะให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนี่ก็เหมือนจะรู้ตัวเลยนะว่าทำให้เขาเขิน แต่ก็ยังแกล้งเอาเท้ามาเขี่ยเท้าเขาอยู่ได้


    “กินข้าวเสร็จแล้วกลับหอเลยป่ะ?” คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันถามขึ้น หลังจากที่พนักงานเอาอาหารมาเสิรฟถึงโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

    “ครับ”


    ดงฮยอกพยักหน้าตอบก่อนจะก้มลงสนใจกับอาหารของตัวเองต่อ ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้น่าสนใจตรงไหนกับอีแค่ข้าวหน้าเนื้อ แต่ทานต่อไปได้สักพักก็ต้องเงยหน้ามองคนตรงข้ามอีกครั้ง เมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงอย ๆ


    “เราไม่ชอบพี่หรอ?


    “หือ?” เขาเลิกคิ้วขึ้นให้กับประโยคของคนพี่ อะไรของเขาวะ เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลย


    “ก็ที่เราคุยกันในแชท เธอดูเป็นคนกวน ๆ อ่ะ แต่พอเจอตัวจริงทำไมไม่ค่อยคุยกับพี่เลย” พี่มาร์คยังคงตัดพ้อต่อไป “พี่ถามอะไรเราก็ตอบแต่ครับ ๆ หน้าพี่ก็ไม่มอง เหมือนเราไม่อยากจะคุยกับพี่อ่ะ”


    “คือ...” ดงฮยอกเลิ่กลั่ก พยายามกลืนน้ำลายหนืดลงคอ ไม่รู้จะอธิบายให้อีกคนเข้าใจยังไงดีว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเขินจนทำตัวไม่ถูกต่างหาก ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยด้วยสักหน่อย ทำไงดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


    “เนี่ย ตอนนี้เราก็ยังไม่ยอมพูดกับพี่อ่ะ”


    “ไม่ใช่แบบนั้นนะพี่” เขารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีแล้วเอ่ยขัดออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดตัดพ้ออะไรมากไปกว่านี้เพราะตอนนี้โต๊ะข้าง ๆ เริ่มจะหันมามองทางเราสองคน


    “แล้วทำไมเวลาคุยกันต้องหลบตาพี่ด้วยอ่ะ?


    “คือ...”


    “หรือว่าเราจะเขินพี่แบบที่เจโน่บอกจริง ๆ ?


     

    เดดแอร์กันอีกรอบ

     

    หลังจากจบประโยคที่ดูเหมือนจะพูดกับตัวเองของพี่มาร์ค(แต่เขาได้ยินเต็ม ๆ) ความเงียบก็เข้ามาครอบงำเราทั้งสองคนอีกรอบ ดงฮยอกทดความผิดของเจโน่เอาไว้ในใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้ามที่กำลังมองหน้าเขาอยู่เหมือนกัน


    “ตกลงว่าเราเขินพี่ใช่ป่ะ?


    ยังอีก ยังไม่เลิกขยี้อีก

     

    ดงฮยอกไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ก้มหน้าลงจ้วงข้าวเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย อยากจะรีบ ๆ กินให้มันหมดจะได้หนีไปซักที เขินจะเป็นบ้าอยู่แล้วเนี่ย โว้ย จ้องกันอยู่ได้


    “เห้ย ไม่ต้องเขินพี่ขนาดนั้นก็ได้” พี่มาร์คพูดก่อนจะเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาไว้


    “ไอ่ไอ้เอิ๋น (ไม่ได้เขิน)” พูดออกไปทั้งที่ข้าวยังอยู่ในปาก พยายามจะบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแต่เหมือนอีกคนจะไม่ยอมเขาง่าย ๆ


    “แหนะ”


    “อะไรอีก!!” คราวนี้ขอโวยวายออกเสียงบ้าง จะไม่ทนแล้วนะ


    “ขี้เขินจังเรา”


    คนพี่ว่า ก่อนจะยิ้มแปล้ออกมาอย่างอารมณ์ดี ขัดกับดงฮยอกที่ตอนนี้อยากจะมุดโต๊ะเหลือเกิน รู้ว่าขี้เขินแล้วก็ยังแกล้งให้เขินอยู่ได้ จะร้องไห้แล้วนะ


    “พี่มีวิธีที่จะทำให้เราไม่เขินพี่ด้วยนะ”


    “...”


    “มาเป็นแฟนพี่ดิ เดี๋ยวจะทำให้เขินทุกวันจนชินไปเองอะ สนใจรึเปล่า?







    -END-




    ก็เลือกกันเอาเองเลยจ้า ว่าอยากให้พี่มาร์คเขาช่วยทำให้หายเขินรึเปล่าาา

    เป็นฟิคที่ไม่มีสาระอีกแล้ว ฝากทุกท่านติชมด้วย

    (แอบไปเขียนฟิคโปรเจ็คมาด้วย  ได้อ่านกันมั้ยเอ่ย)

    สุดท้ายนี่ ก็ เลิ้บยูวทุกคนนะต๊ะ

    ขอให้แฮปปี้กับวันจันทร์









     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×