ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปลิดชีพสังหาร

    ลำดับตอนที่ #3 : ฝูงข่าวที่โบยบิน

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 49


    ปลิดชีพสังหาร

    ฝูงข่าวที่โบยบิน



                 สายของบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน การจราจรเริ่มติดขัดตั้งแต่ถนนพระอาทิตย์ถึงถนนข้าวสาร เนื่องจากมีผู้คนออกมาเล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างคับคั่ง……………………………………..



                สุมิตรานั่งดูทีวีด้วยความเบื่อหน่าย เพราะข่าวในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นเทศกาลสงกรานต์และผู้คนที่เล่นน้ำตามถนนหนทาง เธอจึงหยิบนิยายที่เพิ่งซื้อจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 34 เมื่อหลายวันที่ผ่านมา เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ ระหว่างที่กำลังอ่านหน้าแรกของหนังสือ เธอก็ต้องประหลาดใจ เพราะข่าวที่เสนอบนโทรทัศน์ไม่ใช่ข่าวงานสงกรานต์อีกต่อไป แต่เป็นข่าวการตายอย่างเป็นปริศนาของชายแก่ สรุปข่าวได้ว่าที่เกิดเหตุอยู่บนซอยทางที่จะไปสถานีรถไฟ X ใกล้ที่เกิดเหตุไม่พบสิ่งใดตกอยู่ บนร่างกายของผู้ตายไม่มีร่องรอยการทำร้าย ยังไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าผู้ตายเป็นใคร คาดว่าเสียชีวิตมาแล้ว 24 ชั่วโมง


                 สองพ่อลูกนั่งดูข่าวภาคเที่ยงในห้องรับแขกพร้อมกัน หัวข้อในการสนทนาคงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ดังกล่าว

    " ผู้ตายคงจะเป็นคนเร่รนไม่มีหลักแหล่ง ตำรวจสืบหาคนที่เป็นญาติลำบากนะค่ะ "

    " พ..พ…พ..อ….พ่อก็ว่าอยู่ ศพออกจะอืดเสียอย่างนั้น คงไม่มีคนจำได้หรอก " เม็ดเหงื่ออาบเต็มหน้าขณะที่ประวิทย์พูดตอบลูกสาว

    " พ่อร้อนหรือค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปเปิดเครื่องปรับอากาศให้นะ " สุมิตราพูดขึ้นและรีบลุก

    " ไม่ต้องหรอก ประหยัดไฟนะ "




                   สายลมเอื่อย ๆ พัดลอดเข้ามาภายในบ้านทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ แต่อากาศในห้องรับแขกก็ยังร้อน อบอ้าว

    " ตายจริง !!!! " สุมิตราพูดโพลงออกมาอย่างตกใจ

    " มีอะไรหรอ ทำเอาพ่อตกใจหมด "

    " หนูเพิ่งคิดได้ว่าวันเกิดเหตุ คุณพ่อไปรับหนูที่สถานีรถไฟไม่ใช่หรอค่ะ "

    " ไม่รู้สิ พ่อจำไม่ได้แล้ว คนแก่ก็ความจำสั้นอย่างนี้ อย่าถือสาเลยนะ ว่าแต่ลูกมีอะไรหรือเปล่า "

    " เปล่าค่ะ " สุมิตราบอกปัดไป แต่สีหน้ายังครุ่นคิดอยู่

                    การสนทนาระหว่างประวิทย์กับลูกสาวต้องสิ้นสุดลง เพราะเสียงกริ่งหน้าบ้านดังแผ่ซ่านเข้ามาสู่อณู ร่างกายของทั้งสอง อากาศร้อนในตอนบ่ายทำให้สุมิตราสงสัยเหลือเกินว่าใครจะมาเยี่ยมเยือนเธอและพ่อในเวลาเช่นนี้ เธอจึงรีบลุกเดินอาด ๆ ไปยังประตูรั้วหน้าบ้าน

                   แต่สุมิตราก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบแขกที่มายืนกดกริ่งหน้าบ้าน คือดาบตำรวจชาญชัย ที่เธอคุ้นหน้าเขาเป็นอย่างดี

    " สวัสดีค่ะ มาหาคุณพ่อใช่ไหม ท่านอยู่ข้างใน เชิญเข้ามาก่อนสิค่ะ " ขณะสุมิตราพูด เธอก็เปิดประตูรั้วออกเรียบร้อยแล้ว

    " ขอบคุณครับ " ดาบตำรวจตอบรับและพูดเสริมต่อ โดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ถามในทันที

    " ผมไม่ได้รับโทรศัพท์จากคุณประวิทย์มาหลายวันแล้ว กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น เลยรีบรุดหน้ามาที่นี้ทันทีครับ "

    " เผอิญดิฉันลืมเสียสนิทเลยค่ะ จึงไม่ได้เรียนให้คุณพ่อทราบ ขอโทษด้วยนะค่ะ " สุมิตรารีบกล่าวอย่างหน้าถอดสี ราวกับสำนึกผิด

                   เธอก้าวเข้าสู่ภายในบ้านได้โดยไม่ต้องเปิดประตู คงเพราะอากาศร้อนในเดือนนี้ เธอจึงเปิดประตู เพื่อถ่ายเทอากาศ แล้วมีมู่ลี่ลายดอกทิวลิปคอยกั้นไว้ไม่ให้ยุงเข้า ขณะที่ดาบตำรวจชาญชัยก็เดินตามเธอมาติดๆ อย่างสุภาพ

    " สวัสดีครับคุณประวิทย์ "

    " อ้าว ……คุณชาญชัยนี่เอง เป็นไงมาไง ถึงมาบ้านผมได้ " ประวิทย์พูดทักทายตามประสาคนรู้จัก

    " ครับ ผมไม่ขอพูดอ้อมค้อมนะ คือว่าคุณคงทราบดีแล้วว่าได้เกิดการตายอย่างเป็นปริศนาของชายหลายคนในถนนลัดทางจะไปสถานีรถไฟ X "

    " แล้วคดีนี้มันมาเกี่ยวอะไรกับคุณพ่อค่ะ " สุมิตราโพลงถามออกไปอย่างวิตก

    " ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ให้การตรงกันว่าเห็นคุณประวิทย์เดินผ่านหน้าบ้านของพวกเขาในเวลาค่ำของวันเกิดเหตุ " ดาบตำรวจกล่าวอย่างเรียบเฉย แต่แฝงไว้ด้วยความกระหายอย่างให้คดีปิดลง

    " แต่ดิฉันเป็นพยานได้ค่ะว่าคุณพ่อไปรับดิฉันที่สถานีรถไฟ "

    " และคุณพอจะจำได้หรือเปล่าว่าตอนนั้นเป็นเวลากี่โมง "

    " คงจะซักประมาณ สองสามทุ่มค่ะคุณตำรวจ ดิฉันก็ไม่ค่อยมั่นใจเพราะมันนานมาแล้ว "

    " คุณตำรวจครับ ชาวบ้านในบริเวณจะเห็นผมอยู่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะผมต้องใช้เส้นทางลัดเพื่อจะไปรับลูกสาวที่ชานชาลารถไฟอยู่แล้ว " ประวิทย์พูดออกไปอย่างมีเชิงเหนือตำรวจ

    " แต่ทางหน่วยชันสูตรบอกว่าผู้ตายตายมาแล้ว24ชั่วโมง ก็แสดงว่าตรงกับเวลาที่คุณเดินทางไปรับลูกสาวพอดี " ตำรวจตอบกลับ

    " แล้วอย่างไรค่ะ คุณตำรวจก็เลยเหมาเอาว่าคุณพ่อมีส่วนรู้เห็นในคดีนี้ว่าอย่างนั้นเถอะ "

    " ขอโทษด้วยนะครับ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขอเชิญคุณประวิทย์ไปให้การเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจด้วย ครับ "

    " เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ คุณพ่อไปเถอะค่ะ เพราะถึงอย่างไรคุณพ่อก็ไม่มีส่วนรู้เห็น "

                    ประวิทย์ไม่ตอบขณะที่ลูกสาวพูดจบ แต่กลับนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งราวกับว่าไม่มีชีวิต เดินตามคุณตำรวจไปโดยที่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาซักคำเดียว

                    ข่าวยังคงโหมกระพือเรื่องการตายอย่างเป็นปริศนาอย่างรวดเร็วเหมือนนกติดปีกบิน คดีกำลังเริ่มต้นขึ้น ด้วยความกระหายอยากของสื่อสารมวลชนจึงทำให้เรื่องนี้ดังไปทั่วประเทศ ดับกระแสเทศกาลสงกรานต์ไปเลยทีเดียว

                    การสอบสวนเป็นไปอย่างราบรื่น ประวิทย์ให้การกับทางตำรวจจึงทำให้เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี แต่มี เหตุการณ์หลายอย่างที่ขัดต่อคำให้การของชาวบ้านในบริเวณนั้น สุมิตราได้ติดตามไปยังสถานีตำรวจเพื่อดูความคืบหน้า

    " ตอนนั้นเวลาสองทุ่มห้านาที ผมเดินไปรับลูกสาวที่สถานีรถไฟ X "

    " คุณใช้เส้นทางใดไปสถานีรถไฟ " พนักงานสอบสวนถาม

    " คำถามนี้คุณตำรวจถามผมหลายครั้งแล้วนะครับ "

    " คุณประวิทย์ คุณกรุณาให้ความร่วมมือกับทางตำรวจด้วยครับ เพราะการสอบสวนกำลังเป็นไปตาม เป้าหมายที่วางไว้ "

    " เส้นทางลัดถนนเลียบเมืองทางด้านทิศตะวันออก " เขาตอบอย่างเบื่อหน่ายสังเกตได้จากสีหน้า

    "…………"

                   การสอบสวนดำเนินต่อไปเสมือนหนทางที่ไม่มีที่สิ้นสุดเสียที นักข่าวจากสถานีข่าวหลายสำนักรอทำข่าวอยู่ข้างล่างสถานีตำรวจอย่างใจจดใจจ่อ

    " ผมเสียใจจริงๆครับคุณสุมิตรา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความจำเป็นต้องคุมขังผู้ต้องการไว้ก่อนเพื่อผลต่อ รูปคดี ทางเรายังไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนร้าย แต่มีพยานปากเอกหลายคนให้การตรงกันเราจึงมีความจำเป็นต้องทำ "

                    น้ำตาแห่งความเสียใจเออล้นท่วมนัยน์ตาของเธออีกครั้งหนึ่ง เพราะ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเสมือนชีวิตเธอขาดที่ที่พึ่งในชีวิต แต่เสียงแห่งสวรรค์ก็ดังขึ้น เหมือนชุบชีวิตเธออีกครั้ง

    " ผมว่าผู้หมวดไม่ด่วนสรุปไปหน่อยหรือครับ เพราะพยานรู้เห็นเองก็อยู่ในสภาพที่ให้การไม่ได้ตามกฎหมายกันหลายคน เช่น ยายแก่บ้านคุณสมศักดิ์ที่สติเลอะเลือน ………….. "

    " คุณลืมไปแล้วหรือว่าห้ามกล่าวถึงพยานที่เรากันไว้เพื่อให้ปากคำ "

    " ขอโทษจริงๆครับผู้หมวด "

    " แต่อย่างไรก็ยังไม่เหมาะสม แค่เรียกมาให้การก็น่าจะพอ คุณเองก็รู้จักกับคุณประวิทย์อยู่แล้ว คงไม่ต้องกลัวว่าเขาจะหนีไปไหนหรอก "

    " ครับ ๆ "

    " แล้วทางคุณประวิทย์มีญาติมาด้วยหรือเปล่า "

    " นั่งอยู่ในที่เก้าอี้หน้าสถานีตำรวจครับ ร้องไห้ใหญ่เลย "

                  นายตำรวจเดินออกมายังหน้าสถานี เรียกหาญาติของคุณประวิทย์ ทันทีที่ สุมิตราเงยหน้าขึ้นมา นายตำรวจก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า

    " อ้าว…..เธอเองหรอสุมิตรา "

    " เมืองแมน…..ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอเธอ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีติดยศเสียแล้วเพื่อนเรา "     สุมิตรายิ้มทั้งน้ำตา

    " ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า คุณพ่อเธอไม่ต้องอยู่โรงพักแล้ว กลับบ้านได้แล้ว ไม่ต้องร้องไห้หรอก เพื่อนกันมีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ เราประจำอยู่ที่สภ.อ.นี้ "

                เมื่อเพื่อนสมัยเรียนมาเจอกัน ต่างคนต่างก็คุยถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน จนลืมความทุกข์ความลำบากใจจนหมดสิ้น พร้อมที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป

                 นักข่าวที่รอทำข่าวอยู่นั้น ต่างเข้าลุ่มล้อมสองพ่อลูกขณะก้าวลงจากสถานีตำรวจ โดยสัมภาษณ์ด้วยคำถามต่าง ๆ นานา แต่สุมิตราก็พึงระลึกเสมอว่าทั้งหมดจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีและต่อตัวของพ่อเธอ ก็อย่าได้พูดอะไรออกไปผ่านสื่อเลยจะดีกว่า คิดได้เช่นนั้นเธอและพ่อก็เดินขึ้นรถของเมืองแมนจากไปอย่างรวดเร็ว รถแล่นออกไปเหลือแต่นักข่าวที่ต้องรอเก้อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×