ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปลิดชีพสังหาร

    ลำดับตอนที่ #2 : ฝันร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 49


    ปลิดชีพสังหาร

    ฝันร้าย

             ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการกล่าวไว้ว่า อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ เนื่องจากร่างกายของคนเราจะได้นำสารอาหารไปใช้เป็นพลังงาน

             สุมิตราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่อในทฤษฎีดังกล่าว แต่เธอต้องตื่นแต่เช้า เพื่อทำกิจวัตรประจำวันจนไม่มีเวลารับประทานอาหารเช้าอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อย่างดีก็แค่ขนมปังปิ้งและนมหนึ่งแก้ว ก่อนที่จะไปเรียน ทำให้ประวิทย์ห่วงลูกสาวในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

               เช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นอีกครั้งพระอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออกเหมือนเช่นเคย ไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม เหมือนกับที่ประวิทย์เข้าครัวเพื่อลงมือทำอาหารให้กับลูกสาว

               ถึงแม้สองคนพ่อลูกจะไม่ค่อยได้พบปะพูดคุยกันบ่อยนัก แต่การได้นั่งรับประทานอาหารด้วยกันในมื้อเช้าและมื้อเย็น ก็เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเฉกเช่นครอบครัวอื่นๆ ที่เขาทำกัน

              หลังจากที่ประวิทย์ทำอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จัดแจงอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมรับประทานอาหาร

               บ้านพักอาศัยในแถบชานเมืองถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็สะดวกสบายสำหรับคนในยุคที่มีแต่ความเร่งรีบ    หมู่บ้านที่ประวิทย์ตัดสินใจซื้อนั้น ทางผู้จัดสรรได้ออกแบบเป็นสไตล์ยุโรปผสมวิถีชีวิตแบบไทย โดยเน้นสวนหน้าบ้านซึ่งเป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาแก่ผู้พักอาศัย      ทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินเล็ก ๆ สำหรับเดินเข้าประตูหน้าบ้าน ส่วนพรรณไม้ดอกที่ใช้ปลูกสองข้างทางก็ล้วนแต่เป็นพรรณไม้ที่ออกดอกชูช่อตลอดทั้งปี อีกทั้งยังไม่ต้องคอยรดน้ำเหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลเอาใจใส่ ภายในตัวบ้าน ประวิทย์และลูกสาวได้เลือกที่จะทาสีผนังบ้านเป็นโทนสีฟ้า เพื่อให้บ้านดูสว่างและสบายตา วัตถุดิบที่ใช้ทำหน้าต่างก็เลือกเป็นกระจกล้วนๆ ไม่มีเหล็กดัดให้ขวางหูขวางตา แต่ประวิทย์ห่วงเรื่องความปลอดภัย จึงได้ติดตั้งสัญญากันขโมยไว้หน้าบ้าน

              เมื่อสองพ่อลูกตกลงใจว่าอยากได้บ้านในลักษณะนี้ด้วยเป็นทุนเดิม จึงตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ด้วยระบบเงินผ่อนเป็นระยะเวลา 15 ปีเศษ ซึ่งในยุคเศรษฐกิจถดถอยแบบนี้การซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ราคาแพงนับว่าเสี่ยง    เนื่องจากดอกเบี้ยที่ผู้ซื้อต้องจ่ายให้กับธนาคารเพิ่มสูงขึ้น เสมือนเป็นการผลักภาระให้กับคนหาเช้ากินค่ำและเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ฝากเงินซึ่งเป็นคนฐานะปานกลางถึงรวย ไม่ต้องทำอะไรก็สามารถนอนกินดอกเบี้ยอยู่บ้านได้อย่างสบาย ๆ แต่เพื่อความสุขของลูกสาวและตนเอง ประวิทย์ก็ลืมเหตุผลข้อนี้ไปโดยสิ้นเชิง

    " อากาศยามเช้าช่างสดชื่นอะไรอย่างนี้นะ " สุมิตรากล่าวขึ้นอย่าง ลอย ๆ ขณะเดินลงบันไดมายังชั้นล่าง

    " อากาศในชนบทก็ต้องดีกว่าในเมืองอยู่แล้วล่ะ ลูกคงอยู่ที่กรุงเทพฯจนชินคงไม่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์แบบนี้เสียนาน "

    "  หนูคิดอยู่เสมอเลยว่าพอหนูเรียนจบปริญญาตรีเมื่อไร จะต้องกลับมาทำงานในบ้านเกิดของเราค่ะพ่อ " สุมิตราพูดโดยมีสีหน้าครุ่นคิดการณ์ไกล

    ประวิทย์ยังคงง่วนอยู่ในครัว เพื่อเตรียมยกอาหารมายังโต๊ะหน้าโทรทัศน์

    " เดี๋ยวหนูช่วยนะค่ะพ่อ " สุมิตราอาสา

             ขณะที่สุมิตราพูดจบ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังมาจากมือถือของพ่อเธอ ยังไม่ทันที่ประวิทย์จะได้ตอบรับคำ ช่วยเหลือของลูกสาว เขาก็วิ่งตรงไปยังโทรศัพท์และกดปุ่มรับสาย เพื่อเป็นการไม่เสียมารยาท สุมิตราจึงเดินเลี่ยงไปที่ครัว แล้วยกจานอาหารมาตั้งโต๊ะ

              อาหารเช้าในวันนี้ล้วนแต่เป็นของโปรดเธอแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นไข่ลูกเขย ยำแมงกะพรุน และตบท้ายด้วยของหวาน อย่างบัวลอยไข่หวาน ที่มีรสหอมหวานน่าลิ้มลอง

             เธอยกอาหารไปตั้งโต๊ะ และเดินอมยิ้มไปตลอดทาง

    " บ่ายโมงใช่ไหมครับ " ประวิทย์พูดอย่างร้อนรน

             ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปลายสาย คือ เจ้านายที่สำนักงาน คงโทรเรียกเขาไปทำงานที่ยังค้างคาให้เสร็จ ถึงแม้ วันนี้จะเป็นวันหยุดของเขาก็ตาม

    " ครับ ๆ เดี๋ยวผมจะไปให้เร็วที่สุด " ประวิทย์มีสีหน้าวิตกกังวลขณะที่พูดสาย

    " มีธุระอะไรหรอค่ะพ่อ " ลูกสาวถามอย่างเป็นห่วง

              หลังจากกดวางสาย ประวิทย์ก็เดินวนไปมาอย่างคนวิตกจริต เมื่อเขาได้ยินเสียงลูกสาว เขาจึงตื่นจากภวังค์

    " คือพ่อต้องเข้าไปสำนักงานตอนบ่ายโมง เจ้านายเขามีนัดประชุมผู้ช่วยผู้บริหารทุกคน สงสัยจะเป็นธุระสำคัญ "

    " ถึงจะเป็นธุระสำคัญอะไร ทำไมต้องมานัดในวันหยุดพักผ่อนของพ่อล่ะ " สุมิตราพูดอย่างโมโห

    " แค่วันธรรมดายังเครียดไม่พอ แถมยังเอาวันหยุดพักผ่อนของพ่อไปอีก อย่างนี้เขาเรียกว่าใช้แรงงานเกินควรนะค่ะ "    สุมิตราแจงละเอียดยิบ

              ประวิทย์ฟังสิ่งที่ลูกสาวพูด แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าเป็นการแสดงเพื่อเห็นด้วย ก่อนที่จะเข้าไปสวมกอดลูกสาวด้วยความเอ็นดู แล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวอย่างรักใคร่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า

    " ที่พ่อทำไปก็เพื่อลูกสาวของพ่อ ถึงแม้บางครั้งพ่ออาจจะงานยุ่ง จนไม่มีเวลาให้ลูก แต่พ่อก็ไม่ใช่ไม่รักลูกนะ พ่อทำงานหาเงินมา แม้จะต้องแลกกับหยาดเหงื่อ และเวลาที่ไม่เป็นส่วนตัว บ่อยครั้งที่พ่อรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง พ่อที่จะนึกเสมอว่ายังมีแม่ของลูก และลูกเป็นกำลังใจให้พ่อเสมอ พ่อจึงทำงานต่อไปอย่างมุ่งหวัง และมีความสุขกับงานที่ทำ "

    " หนูรักพ่อค่ะ " ขณะที่พูด เธอกระชับมือเข้าไปกอดพ่อให้แน่นขึ้น ดวงตาของเธอรับรู้ได้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ น้ำตาในครั้งนี้ไม่ใช่น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้หรือเสียใจเหมือนกับครั้งที่แม่เธอหายตัวไป แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ

              เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ทั้งคู่ต่างช่วยกันล้างจาน ทำงานบ้าน ซึ่งนับว่าเป็นกิจกรรมของครอบครัวที่พอเจอได้ยากในสมัยนี้ ที่พ่อแม่มักจะเห็นแต่วัตถุนิยม ตามใจลูก ลูกอยากได้หรือต้องการสิ่งใด ก็ใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง จนบางครั้งลืมมองไปว่าความรักความอบอุ่นของพ่อแม่ต่างหากที่ลูกต้องการ เพราะความรักเป็นสิ่งที่เงินไม่สามารถซื้อได้

               นาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยง ประวิทย์รีบเร่งในการแต่งตัวเพื่อไปประชุมที่สำนักงาน เขาเตรียมเอกสาร พร้อมแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นก็จัดแจงยัดใส่กระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่เป็นแบบหูหิ้ว รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ตอนนี้ดูไม่ออกว่าเป็นรูปทรงอะไร เนื่องจากเอกสารที่ระดมใส่เข้าไป ทำให้กระเป๋าพองโต บิดเบี้ยวไม่ได้รูปเหมือนครั้งที่ซื้อมาใหม่ ๆ

               เมื่อแต่งตัวเสร็จ ประวิทย์ก็เดินลงบันไดมายังชั้นล่าง ขณะที่สุมิตรากำลังยุ่งกับการเล็มใบต้นตะโกดัดที่นำมาปลูกในสวนหลังบ้าน เขาจึงไม่ได้เข้าไปเพราะเห็นว่าลูกสาวกำลังยุ่งอยู่ จึงตะโกนไปแทน

    " พ่อไปก่อนนะลูก บางทีอาจจะกลับดึก ไม่ต้องรอนะ "

    " เดี๋ยวก่อนค่ะพ่อ " สุมิตราพูดขึ้นขณะที่เดินเข้าไปยังห้องครัวมุ่งตรงไปที่ตู้เย็น แล้วหยิบนมขึ้นมา กล่องหนึ่ง คว้าได้รสใดก็รีบวิ่งมา

    " เผื่อพ่อหิว จะได้ดื่มระหว่างทางไปสำนักงาน " สุมิตรายื่นนมกล่องให้พ่อแล้วยิ้ม     ประวิทย์รับมาด้วยความเต็มใจ แล้วยิ้มตอบเช่นกัน พร้อมกับพูดว่า

    " เรานี่รู้ใจพ่อ ขอบใจนะ "

               เมื่อพูดจบประวิทย์ก็เดินออกไปเปิดประตูหน้าบ้าน แล้วเข้าไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับ ในรถยนต์กระบะนิสสันสีบอลแบบตอนเดียว ใช้เวลาไม่กี่นาที รถกระบะก็ถูกกลืนไปกับถนนหน้าหมู่บ้าน ทิ้งไว้แต่เขม่าสีดำที่พวยพุ่งมาจากท่อไอเสียรถยนต์

                ขณะที่สุมิตรากำลังจะปิดประตูรั้วหน้าบ้าน รถยนต์โตโยต้าสีน้ำตาลเข้ม มีไซเลนติดอยู่บนตัวรถ เธอเดาออกว่าคงจะเป็นรถตำรวจในท้องที่ซึ่งออกตรวจบริเวณหมู่บ้านในช่วงบ่าย แต่วันนี้ดูจะไม่ใช่ตำรวจที่คุ้นหน้า

                รถหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านพอดี หลังจากนั้นนานพอสมควรกว่านายตำรวจคนหนึ่งจะออกมาจากรถด้านที่นั่งคนขับ เธอมองนายตำรวจคนนั้นอย่างพินิจพิจารณา ลักษณะท่าทางแต่งตัวเรียบร้อย เสื้อผ้าดูเข้ารูป แต่คงจะไม่ใช่ตำรวจยศใหญ่ยศโตอะไรนัก

    " สวัสดีครับ ผมดาบตำรวจชาญชัย ประจำหน่วยสืบสวนสอบสวน และพิสูจน์หลักฐานจากสภ.อ.อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ครับ " ตำรวจพูดด้วยท่าทางสุภาพ และเป็นมิตร พร้อมแสดงบัตรเจ้าหน้าที่

                สุมิตราสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากนายตำรวจพูดจบ เพราะเธอมัวแต่ใจลอยคิดถึงเหตุผลที่ตำรวจมาถึงบ้านเธอในวันนี้

    " ค..ค…ค่ะ สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณตำรวจมีธุระอะไรหรือเปล่าค่ะ ถึงได้มาในวันนี้ " สุมิตราพูดออกไปอย่างร้อนรน จนลิ้นเธอพันกัน

    " มีธุระนิดหน่อยครับ ไม่ทราบว่า คุณประวิทย์เจ้าของบ้านหลังนี้อยู่หรือเปล่าครับ "

    " คุณพ่อเพิ่งออกไปทำงานเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ คุณตำรวจมีธุระอะไรก็ฝากดิฉันไว้ก็ได้ค่ะ เพราะกว่าคุณพ่อจะกลับก็คงจะค่ำ ๆ "

               นายตำรวจมองหน้าสุมิตราด้วยท่าทางงงเล็ก ๆ แล้วจึงเอ่ยปากถาม

    " คุณประวิทย์ทำงานวันอาทิตย์ด้วยหรือครับ "

    " เผอิญที่สำนักงานโทรมาตาม บอกว่ามีประชุมธุระสำคัญค่ะ "

    " ถ้าอย่างนั้น ฝากเรียนคุณประวิทย์ว่า ดาบตำรวจชาญชัยมาหา มีธุระสำคัญจะพูดด้วยครับ "

    " ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะเรียนให้คุณพ่อทราบทันที ที่ท่านมานะค่ะ "

             เมื่อสุมิตราพูดจบ นายตำรวจก็กล่าวลา และเข้าไปนั่งยังตำแหน่งคนขับ บนรถมีตำรวจอีกนายหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์กีฬา เธอรู้สึกคุ้นหน้านายตำรวจที่นั่งเบาะผู้โดยสาร แต่เธอยังไม่ทันที่จะได้ถาม ดาบตำรวจชาญชัยก็สตาร์ทรถยนต์และขับจากไปเสียแล้ว

              สุมิตราเดินเข้าไปในบ้าน หลังจากปิดประตูรั้วหน้าบ้านเสร็จเรียบร้อย ระหว่างเดินเข้าบ้านเธอก็คิดว่า ตำรวจจะมามีธุระอะไรกับพ่อของตนเอง ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงแมวดังเหมียว ๆ มันเดินมาคลอเคลียพันแข้งพันขา เธอรู้สึกรำคาญ สุมิตรานึกขึ้นได้ว่าลืมให้อาหารเจ้ามู่ลี่จอมขี้เกียจตั้งแต่เช้า เมื่อกินอาหารเสร็จเจ้ามู่ลี่จะเดินอุ้ยอ้ายไปนอนในกรงอย่างว่าง่าย แล้วจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนอาหารมื้อต่อไป แทบจะเป็นนิสัยของมู่ลี่ จึงทำให้มันดูอ้วนตุ๊ต๊ะ และเดินไม่ค่อยจะไหว

              เวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนโกหก สุมิตรามองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เธอมองนาฬิกาซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง และพลอยนึกไปว่าพ่อคงเปรียบเสมือนเวลา12.00น. ที่เข็มสั้นและเข็มยาวจะชี้ตรงกัน ซ้อนทับกันพอดี เสมือนว่าพ่อจะเคียงข้างเธอตลอดเวลาไม่ว่าเธอจะทุกข์หรือสุข ความสัมพันธ์ของพ่อและเธอยิ่งแน่นแฟ้นกันมากขึ้นทุกวัน แต่ความรู้สึกที่เธอมีต่อแม่เปรียบเสมือนเวลา 6.00 น. ที่เข็มยาวและเข็มสั้นต่างชี้กันคนละทาง เสมือนความสัมพันธ์ของเธอกับแม่ห่างเหินกันไกล ไม่มีวันจะมาบรรจบกันเลย ตั้งแต่แม่หายตัวไปตอนที่สุมิตราอายุเพียง3ขวบ เหมือนแม่หนีเธอกับพ่อไปและทิ้งให้พวกเขาต้องเผชิญกับโลกแห่งความจริงที่แสนจะเจ็บปวด บางครั้งสุมิตราก็คิดว่าแม่เห็นแก่ตัวที่ทอดทิ้งเธอและพ่อไปเหมือนคำพังเพยโบราณที่ว่าไว้ว่า ตัดช่องน้อยแต่พอตัว แต่เมื่อเธอคิดทบทวนหาเหตุผลมาแก้ต่างแทนแม่ คงจะเป็นเพราะแม่มีเหตุผลบางอย่างที่จำเป็นต้องทำแบบนี้ คิดได้เช่นนี้เธอกับพ่อก็สบายใจ และพร้อมที่จะต่อสู้บนโลกใบนี้กันสองคนพ่อลูก


             สุมิตราก้าวพ้นประตูหน้าบ้านเข้ามา ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อสิ่งที่พบเห็นตรงหน้าเธอนั้นล้วนเป็นสีขาว และข้าวของเฟอร์นิเจอร์ล้วนหายไปหมดสิ้น

             ทางเดิน ผนัง โคมไฟ ประตู เป็นสีขาวทั้งหมด

              ทันใดนั้นเองที่เธอกำลังเดินสำรวจรอบๆ บ้านว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเธอ สุมิตราได้ยินเสียงพูดคุยของใครบางคนดังมาจากห้องรับแขก เธอเดินไปตามเสียงนั้นปรากฏว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเธอ คือ แม่ของสุมิตรานั้นเอง

               ถึงเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไร แต่เธอก็ยังจำใบหน้าของแม่เธอได้เป็นอย่างดี ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา กรุณา แต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง สังเกตได้จากรอยตามใบหน้าที่เห็นได้ชัด แสดงถึงการทำงานอย่างตรากตรำ

                แม่ของสุมิตรา กำลังสนทนากับผู้ชายแปลกหน้าที่เธอเองไม่เคยรู้จักมาก่อน อายุน่าจะประมาณย่างๆ สี่สิบ แต่ที่น่าตกใจ คือ มีชายร่างกายกำยำ ล่ำสัน สูงสง่าสองคน ใบหน้าคลุมด้วยผืนผ้าไหมพรมถักสีดำ เห็นแค่ดวงตาสองข้างเหมือนกลุ่มมาเฟีย ยืนไขว้หลังประกบแม่ของเธอขณะการสนทนา

                สุมิตราเดินเข้ามาใกล้เพื่อฟังการสนทนาในครั้งนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะที่เดินไปนั้นเธอก็สะดุดกับกองหนังสือที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น

                เธอลุกขึ้นมา เพราะกลัวว่ากลุ่มคนในห้องรับแขกจะมองเห็นเธอ แต่ สุมิตราคิดผิด คนในห้องกลับไม่หันมาสนใจมองเสียงดังกล่าวเลย สุมิตราคิดว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าพวกเขามองไม่เห็นเธอ เธอจึงไม่ต้องกลัวอีกต่อไป จึงเดินเข้าไปท่ามกลางวงสนทนา และจับตาดูโดยไม่ไหวติง แต่ชายแปลกหน้าที่นั่งตรงข้ามแม่ของสุมิตรานั้น เป็นชายรูปร่างค่อนข้างสันทัด เธอเห็นไม่ค่อยชัดนัก เหมือนภาพกำลังจะลางเลือน บางครั้งก็มีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นระหว่างการสนทนา แต่ส่วนที่เป็นใบหน้าของชายแปลกหน้าก็มีผ้าไหมพรมถักสีดำคลุมอยู่ เห็นแค่ตาสองข้างเช่นชายร่างยักษ์สองคน

    " นี่แกคิดทบทวนดีแล้วหรอ ฉันจะให้โอกาสแกคิดดูอีกทีนะ ตกลงว่ายังไง" ชายแปลกหน้าพูดด้วยท่าทางใจร้อน

    " ฉันพูดคำไหน คำนั้น ฉันไม่มีทางทรยศต่อองค์กรแน่นอน " หญิงคนดังกล่าวพูดขึ้นอย่างเฉียบขาด แสดงอาการไม่หวั่นไหวในคำพูดของชายแปลกหน้า

             ชายแปลกหน้าหันไปสบตากับชายร่างยักษ์ สุมิตราคาดว่าน่าจะเป็นลูกน้อง
             
            ทันใดนั้น ชายร่างใหญ่ยักษ์ 2 คน ก็ดึงตัวแม่ของเธอให้ยืนขึ้น แล้วลากไปยังประตูหน้าบ้าน  โดยหญิงคนนั้นไม่มีท่าทีขัดขืนแต่เดินตามไปด้วยดี พร้อมหันหน้ามามองชายแปลกหน้าคนดังกล่าว พร้อมถมน้ำลายรดหน้าเขา แล้วพูดขึ้นว่า

    " ฉันตายซะดีกว่า ไอ้งี่เง่าเอ๋ย " ชายแปลกหน้าง้างมือตบหน้าหญิงคนดังกล่าว แล้วแสยะยิ้มอย่างเจ็บใจ

              สุมิตราเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า

    " แกทำอะไรแม่ฉัน " แต่เหมือนชายแปลกหน้าไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดเลย สุมิตราจึงง้างมือตบเข้าตรงส่วนที่เป็นใบหน้า ทันทีที่เธอตบ มือของเธอทะลุผ่านหน้าของเขาไป เสมือนชายแปลกหน้าคนนี้เป็นวิญญาณที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง

              ชายร่างยักษ์สองคน เดินมาถามว่าจะให้จัดการผู้หญิงคนนี้อย่างไร

    " นำอีนี่ไปขึ้นรถก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี " ชายแปลกหน้าตะโกนบอกอย่างอารมณ์เสีย

    " ครับนายท่าน " ชายทั้งสองคนขานรับคำสั่ง แล้วจึงลากร่างที่นอนสลบบนแทบเท้าของชายแปลกหน้า บนใบหน้าของเธอบวมแดง และฟกช้ำบริเวณโหนกแก้มด้านซ้าย เนื่องจากถูกตบเมื่อสักครู่ แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด ยอมถูกลากไปบนพื้นสีขาวด้วยดี แต่ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บแค้น

               สุมิตราเห็นสภาพแม่ของเธอ แต่ก็รู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรแม่ของเธอได้ เมื่อคิดเช่นนั้น น้ำตาแห่งความเสียใจก็ไหลอาบบนใบหน้าของเธอ

               ขณะที่เธอกำลังร้องไห้ ชายแปลกหน้าได้เดินตามชายร่างยักษ์สองคนและแม่ของเธอไปติดๆ อย่างรีบร้อนที่ประตูหน้าบ้าน

               เมื่อได้สติเธอจึงวิ่งตามกลุ่มคนเหล่านี้ไปที่ประตู  เธอวิ่ง แต่ทำไมหนทางจากห้องรับแขกและประตูหน้าบ้านมันดูไกลยิ่งนัก วิ่งตามเท่าไรก็ไม่ถึง เหมือนยิ่งวิ่งยิ่งไกลออกไปเรื่อย ๆ ใช้เวลานานกว่าที่สุมิตราจะวิ่งไปถึงประตู เธอเอื้อมมือบิดลูกบิดประตู แล้วก้าวเท้าเข้าไป แต่ทันใดนั้นร่างของเธอก็ตกลงสู่ที่มืด อันแสน เคว้งคว้างว่างเปล่า แต่เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดใดเลย เพราะเธอกำลังลอยอยู่นั้นเอง ลอยนิ่งไปมาเปรียบเสมือนเธออยู่บนกาแล็กซีที่ปราศจากอากาศ และสิ่งมีชีวิต

             เหมียว เหมียว ๆๆ

             สุมิตราสะดุ้งตื่นขึ้น เหงื่ออาบเต็มร่างกายของเธอจนชุ่ม เม็ดเหงื่อบนใบหน้ากำลังไหลจากหน้าผากลงสู่แก้มทั้งสองข้างอย่างช้า ๆ ตามแรงโน้มถ่วงของโลก หลังเธอแนบกับเสื้อด้วยหยาดเหงื่อที่เปียกชุ่มจนรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ

    " นี่ฉันฝันไปจริง ๆ ใช่ไหม เจ้ามู่ลี่ " สุมิตรารำพึงรำพันกับแมวตัวอ้วนที่กระโดดมานั่งตักได้เมื่อสักครู่ ขณะที่เธอลุกขึ้นนั่งบนโซฟาที่เธอนอนช้า ๆ

            เสียงวิทยุชุมชนกระจายเสียงเพลงชาติไทยดังลั่นหมู่บ้าน บอกเวลาหกโมงเย็นพอดี

            เธอดีใจเหลือเกินที่เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน ไม่ใช่ความจริง เพราะมันเป็นความฝันที่ช่างแสนโหดร้ายในชีวิต

            ในใจของสุมิตราบอกกับตนเองว่า…….ฝันร้ายกลายเป็นดี…….ฝันร้ายกลายเป็นดี………………………..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×