ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปลิดชีพสังหาร

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 49


    ปลิดชีพสังหาร

    บทนำ

          แสงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าไปทุกที ฟ้าเริ่มที่จะมืด สรรพสัตว์ล้วนแต่กลับสู่รังนอนของตนเอง แต่ใครจะคิดได้ว่า คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเหมือนกัน บางคนอาจจะจัดสรรเวลาทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ตามที่ต้องการ แต่บางคนอาจจะลืมทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็เป็นได้ อย่างเช่นศาสตราจารย์ประวิทย์ นักวิชาการ ระดับ 7 ประจำกรมศิลปากร และผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะวัตถุ

         ชีวิตประจำวันของประวิทย์คงไม่ต่างอะไรจากมนุษย์เงินเดือนหลายคนนัก ที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่เช้า เพื่อไปทำงาน พอตกเย็นก็กลับบ้าน แถมด้วยงานที่ต้องหอบกลับมาทำที่บ้านด้วย กว่าจะได้พักผ่อนก็ดึกพอสมควร เป็นกิจวัตรที่ต้องปฏิบัติ จนกลายเป็นความเคยชิน ได้พักแค่วันเสาร์และวันอาทิตย์เท่านั้น

         ขณะนี้เป็นเวลาประมาณเกือบสองทุ่มแล้ว เขายังคงนอนหลับไหลอยู่บนเตียง เนื่องจากทำงานจนดึกดื่น จึงต้องนอนผิดเวลาจากปกติ

          เสียงนาฬิกาปลุกรูปฮิปโปโปเต้นระบำดังขึ้น ประวิทย์มีอาการงัวเงีย เอื้อมมือข้างหนึ่งไปที่นาฬิกาปลุกเพื่อปิดเสียง แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปรับลูกสาวที่สถานีรถไฟก่อนสองทุ่ม เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ ลูกสาวจะกลับมาที่บ้านหลังจากเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองหลวง บางครั้งเธอก็ไม่กลับมาโดยอ้างกับผู้เป็นพ่อว่าต้องทำรายงานกับเพื่อนบ้าง หรือมีสอบปลายภาคบ้าง แต่ประวิทย์ก็ไม่เคยที่จะตำหนิลูกเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาต้องการให้ลูกได้ชดเชยในส่วนที่ขาดหายไปในชีวิต เนื่องจากแม่ของเธอเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเด็กๆ จะไม่มาบ้านเสาร์-อาทิตย์ เพื่อสนุกสนานกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยก็ได้ แต่เธอก็ไม่เคยทำให้พ่อผิดหวังเลยสักครั้ง ดูได้จากเกรดเฉลี่ยในแต่ละปีการศึกษาซึ่งเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดี

           ว่าแล้วประวิทย์ก็กระวีกระวาดแต่งตัวไปรับลูกสาวที่สถานีรถไฟในชานเมือง ทันใดนั้นเองที่เขากำลังจะก้าวพ้นจากประตูหน้าบ้านที่เต็มไปด้วยรูปปั้นหินที่สร้างเลียนแบบศิลปะที่มีชื่อเสียง แสงไฟในเมืองก็ดับลงเหมือนตั้งใจ ฝนตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกที่เดียวที่จะมีฝนหลงฤดู ทั้งๆที่จะเข้าฤดูหนาวแล้ว เขาก้าวเท้าเข้าไปในบ้านอีกครั้งเพื่อหยิบของสำคัญมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ และหยิบร่มมาสองคัน เผื่อลูกสาวแสนน่ารักของเขานั้นเอง

           เมื่อเดินไปใกล้ถึงสถานี ฝนก็หยุดตก บนถนนที่จะไปสถานีรถไฟเป็นทางลัดที่คนในละแวกนี้ใช้กันเป็นประจำ แต่คาดการณ์ได้ว่าในอนาคตรัฐบาลจะเข้ามาขอสัมปทานซื้อที่ดินบริเวณนี้ เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ทำให้ชนบทเล็กๆแห่งนี้กลายเป็นย่านธุรกิจทีมีชื่อเสียง ด้วยเหตุผลทางการคมนาคม และสาธารณูปโภคที่สะดวกสบายในอนาคต ประวิทย์จึงตัดสินใจเลือกซื้อหมู่บ้านจัดสรรในย่านนี้ ถึงแม้ราคาจะค่อนข้างสูงก็ตาม

           ขณะเดินไปตามถนนแคบๆ รถสวนกันได้2เลน เขาก็คิดว่าใจจริงตนเองก็อยากจะลาออกจากการทำงาน เพราะเหน็ดเหนื่อยมาก ทั้งปัญหาของเพื่อนร่วมงานที่คอยจะมาหยิบยืมเงินให้ปวดหัว กิริยามารยาทของลูกน้องที่ไม่เคารพผู้อาวุโส และผู้บริหารที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยม ซึ่งขัดกับความคิดในปัจจุบันที่เป็นแบบสมัยนิยมไปแล้ว จึงทำให้มีเรื่องขัดใจกับเจ้านายอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่ไม่ยอมลาออกก็เพราะต้องหาเงินส่งลูกเรียน และภาระที่จะต้องผ่อนบ้านอีก15ปีตามสัญญาซื้อขาย  เมื่อนึกถึงเหตุผล 2ข้อดังกล่าว เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้

           ทันใดนั้นเองที่ประวิทย์กำลังเดินใจลอย เสียงหนึ่งก็ดังใกล้เข้ามาทุกที เหมือนเสียงฝีเท้าของคนวิ่งกระทบกับฝนที่ขังอยู่ตามพื้นถนน เมื่อประวิทย์หันหลังกลับไปนั้น เขาก็ประจันหน้ากับชายคนหนึ่ง

    " แกเป็นใคร ต้องการอะไรจากฉันกันแน่ " ประวิทย์พูด ขณะที่เหงื่อซึมอาบเต็มหน้า

    " อย่ามาพูดอ้อมค้อม ฉันรู้ว่าแกมีสิ่งนั้นอยู่ ส่งมาซะดีๆ " เสียงชายฉกรรจ์ที่แหบพร่าตะคอกใส่

    " บอกว่าไม่มี ฉันว่าเราเคยตกลงเรื่องนี้ไปแล้วไม่ใช้หรือ "

    ชายคนดังกล่าวแต่งตัวมอซอ ไม่มีสง่าราศี เหมือนพวกวณิพกเดินดิน พบเห็นได้ตามสะพานลอย หน้าตาดูท่าจะไม่ใช่คนร้าย

    " ถ้าแกต้องการอย่างนั้นก็ได้ " ชายคนดังกล่าวพูด ก่อนที่จะแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย

    " แกจะทำอะไรฉัน "  ประวิทย์พูดอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งมีสีหน้าประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

    " ถามได้ ฉันก็จะทำอย่างที่แกทำกับฉันไง "

           ชายคนดังกล่าวไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าบางสิ่งในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วฟาดผ่านไปยังใบหน้าของประวิทย์ เขาพยายามเอื้อมมือหมายที่จะไปจับคอของชายแปลกหน้า เพื่อป้องกันตัวเอง แต่เขาก็ทำพลาด ขณะนั้นเกิดแสงบางอย่างแผ่ออกจากตัวของประวิทย์ ส่งผลให้บริเวณใกล้เคียงเกิดรัศมีของแสงแผ่ไปเช่นกัน ซึ่งอาจจะเรียกความสนใจได้จากเพื่อนบ้าน แต่ก็คิดผิดเพราะแสงนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเองร่างของเขาก็นอนล้มลงกับพื้น แน่นิ่งไม่ไหวติง

           ชายแปลกหน้ายังคงเดินต่อไปบนถนน หลังเหตุการณ์นั้นสิ้นสุดลง เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ แต่แสงสว่างจากหลอดไฟที่ตกกระทบบนพื้นถนนกลับดูผิดแปลก  เนื่องจากได้สะท้อนเงาของชายแปลกหน้าคนนี้แตกต่างไปจากเดิม  ที่เกิดเหตุเมื่อสักครู่กลับไม่พบร่างของประวิทย์เหมือนเช่นเคย แต่กลับเป็นร่างชายชราคนแปลกหน้าที่ผอมแห้ง นัยต์ตาเปิดโพลงจ้องมองแสงจันทร์ ริมฝีปากเปิดอ้า ช่างเป็นภาพที่ชวนสยองต่อผู้ที่ได้พบเห็นยิ่งนัก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×