ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #7 : Vol. 1 Ch.7 ในโลกอันไร้ความสงบ

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 67


    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol. 1 Ch.7 ในโลกอันไร้ความสงบ

     

     

     

    เสียงจิ้งหรีดร้อง การเสียดสีของใบไม้ทำเอาสะดุ้งเฮือก สัมผัสได้ถึงอันตรายขึ้นมาเลย วังเวงเปล่าเปลี่ยว ในผืนที่แห่งนี้ เพียงคนเดียว

     

    “มะ ไม่เอานะ” เมรินทร์หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ สาวน้อยค่อยๆ เช็ดน้ำตาลุกยืนออกเดิน ไม่รู้เป้าหมาย ไม่รู้ตำแหน่ง เพียงแค่ย่างก้าวต่อไปเรื่อยๆ

     

    “ฮ ฮึก ฮือ” ปาดน้ำตาไหลอาบนองทั่ว กลิ่นของเครื่องในสัตว์ เหม็นคลุ้มเข้าจมูก “แง๊— ฮืออ—” น้ำมูกไหลพลันย้อมด้วยความสิ้นหวัง มันไม่มีอะไรเลย เพียงแค่หุบเขา ป่าไม้เงียบกริบ ไร้สัญญาณของมนุษย์ มีเพียงแค่แว่วสัตว์ป่าที่คอยจับจ้องจะกินเธอ

     

    รองเท้าที่ไม่ได้มีไว้เพื่อเหยียบย่ำในที่ทุรันดาร ฉีกขาดออกจากการเสียดสีของใบไม้กิ่งไม้ จนหลุดรุ่ยใช้การไม่ได้ จำใจต้องยอมถอดออก ต้องใช้เท้าเปล่าย่ำเข้ายังโขดหินอันแหลมคม ฝ่าเท้ามีเลือดไหลซิบ แสบเจ็บปวดด้วยความทรมาณ

     

    พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า จะว่ายังไงดี บอกว่าโชคช่วยก็ไม่ถูกนักที่ไม่เจอสัตว์ร้ายจนถึงตอนนี้ แต่ก็ไร้วี่แววของความช่วยเหลือ หรือความหวังที่จะเอาชีวิตรอด “อ อยากกลับบ้าน” คำพูดพรรณนาพลั่งพลูนออก ความเจ็บปวด วังเว แทบทำเอาทนแทบไม่ไหว

     

    “ฮึก จะ จะมืดแล้ว” สาวน้อยเงยหน้าขึ้นเหนื่อท้องฟ้า ยามเย็นของพระอาทิตย์เริ่มตกลงสูหุบเขา เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้ก็ยังคงวนเดียนอยู่แต่กับที่ ไม่ไปไหน ไม่มีใครสักคนเลยเหรอที่จะช่วยเธอในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวางนี่ หากเปรียบดั่งเทพนิยาย นี่ก็เป็นเรื่องราวหนึ่ง แล้วใครกันเล่าที่ควรจะมาเป็นตัวเอกในตอนนี้

     

    แซ่ก แซก— สาวน้อยเดินแหวกผ่านป่าหนึ่ง จนมาเจอเข้ากับบางสิ่ง เธอเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ลำธาร น้ำพุไหลตกสาดแอ่งน้ำ มันเป็นวิวทิศน์ที่อันงดงามราวกับอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวสักหนแห่งหนึ่ง หากไม่อยู่ตัวคนเดียวล่ะก็คงเพลิดเพลินกับบรรยากาศนี้เสียแล้ว

     

    เธอลองดมกลิ่นกายของตัวเองดู มันเหม็นหึ่งอย่างถึงที่สุด จนต้องเอาขยับหน้าหนี หากได้อาบน้ำสักหน่อยคงดีไม่น้อย หรือว่าเธอจะลองอาบทั้งอย่างนี้ดู แถวนี้มันช่างเปล่าเปลี่ยวดูไร้ผู้คน น้ำตกไหลเชี่ยวนี่คงพอช่วยประคองชีวิตของเธอไม่ให้ขาดน้ำ

     

    พูดถึงอย่างนั้นก็ค่อยๆ บรรจงถอดเสื้อผ้าออก ทีละชิ้น ผิวเปล่งปรั่งสะท้อนกับเงาของดวงจันทร์ที่เริ่มทอประกาย เธอไม่เคยอาบน้ำกลางแจ้งแบบนี้มาก่อน มันช่างน่าตื่นเต้นและอับอายในเวลาเดียวกัน ทว่าทำยังไงได้ล่ะ ตัวเลือกไม่ได้มีมากแบบที่คิด นี่เป็นทางเดียวที่จะเอาชีวิตรอดได้ หากเดินตัวเหม็นๆ ต่อมีหวังตายจากกลิ่นตัวแน่แท้

     

    จุ่มขาหน้าก่อนอันดับแรก “ย เย็น” สัมผัสถึงอุณหภูมิที่พลันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตัวแข็งทื้อ แค้ก็รู้สึกถึงความสบายไหลแล่นเข้ามา “ฮิฮิ” เธอเริ่มสนุกกับมันทีละน้อย ก้าวอย่างรวดเร็วชะโลมน้ำท่วงร่วง

     

    เดินเตาะแตะมุ่งไปตรงกลางของน้ำตก อ้าแขนรับมวลน้ำตกอย่างเย็นเฉียบ ความร้อนคลายออก ร่างกายผ่อนคลายจากอาการตึงขึ้นเรื่อยๆ “อู้ย—”แม้จะแสบตรงบริเวณบาดแผลที่ถูกเสียดสีกับกิ่งไม้ใบหญ้าอยู่บ้างแต่ก็พอทนได้

     

    หัวจุ่มยังธารน้ำตก ความคิดต่างๆ แล่นเข้ามาในหัว ต่อจากนี้ควรทำอย่างไรดีล่ะ การเอาชีวิตรอด.... ไม่เคยคิดมาก่อนด้วยสิ ทั้งวิชาลูกเสือหรือเนตรนารี มันจะช่วยได้จริงๆ เหรอกับโลกที่มีสิ่งเหนือธรรมชาติแบบนั้น

     

    “คนพวกนั้น.....” เมรินทร์นึกถึงใบหน้าของชายทั้งสี่ ภายนอกพวกเขาสง่างามมีสกุลก็จริง แต่ภายในกลับมีนิสัยใจคอโหดร้าย เอาอะไรมาให้แตะก็ไม่รู้ แล้วยังตัดสินคนอื่นตั้งแต่ทีแรกอีก พวกเขาเชื่อใจได้ คำพูดนั้นลอยเข้าหัว กลับไอ้คนแบบนั้นเนี่ยนะ ไม่มีทางซะหรอก เจ้าแสงสีขาวนั่นก็โกหกเราด้วยอีกคนสินะ

     

    เฮ้อ— มือพลันถูร่างถอดหายใจยาวเยียด ควรจะไปที่ไหนต่อดีล่ะ หรือควรจะนอนพักอยู่แถวนี้ก่อน ในป่าก็ดูอันตรายด้วยสิ เคยฟังมาบ้างว่าหากเดินตามริมคลองหรือลำธาณจะเจอกับหมู่บ้าน แต่หากเจอคนที่เป็นประเภทเดียวกับชายทั้งสี่คนนั้นหรือคนที่อันตรายยิ่งกว่าล่ะจะทำอย่างไร

     

    ความวิตกกังวลแล่นเข้าหัว สุดท้ายตัดสินใจนอนบนลำธาณก่อนล่ะกัน อย่างน้อยก็มีน้ำกิน อากาศก็ดูเย็นสบาย ถึงยุงจะชุมเยอะก็ช่วยไม่ได้

     

    “ฮึก ฮือ” น้ำตาไหลรินออกอีกครั้ง ทำไมต้องมาเจอเรื่องน่ากลัวถึงเพียงนี้ สาวน้อยหยิบเสื้อของตัวเองมาขยี้กับน้ำชำระล้างคาบเนื้อกับเครื่องในสัตว์ออก รอยหยดน้ำตาไหลเปรอะมือระหว่างที่กระทำ มันพอช่วยได้บ้าง ถึงยังมีบางส่วนติดคาบฝังลึกอยู่ เธอผึ่งมันไว้กับกิ่งไม้ข้างๆ นั่งเหม่อลอยบนโขดหินด้วยความหนาวสั่น

     

    ตอนกลางคืนที่นี่หนาวใช่เล่น ความเย็นจับขั้วหัวใจ จนแทบทนรอไม่ไหวเอาเสื้อที่ยังคงพอแห้งๆ หมาดๆ สวมใส่ มันเย็น แต่ก็ดีกว่านั่งเปลือยเปล่าอยู่อย่างนี้ เธอมองไปยังรองเท้าหลุดรุ่ย ตอนนี้มันใช้การไม่ได้เสียแล้ว กิ่งไม้คมๆ กับก้อนหินหนา บาดเท้าอย่างง่ายดาย พอหงายฝ่าเท้าดูออกก้มีแต่รอยฟกช้ำ กับรอยเลือด เธอจะไปต่อได้ไหวในสภาพอย่างนี้เหรอ

     

    แค่คิดก็เหนื่อยแทบแย่ ไม่มีทางเลยที่จะเอาชีวิตรอด กับตัวเธอที่เป็นเด็กยุคสมัยใหม่ อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ มันช่างโหดร้ายราวกับพระเจ้าเอามาโยนทิ้งไว้ยังกลางเปล่าเขา “พ่อ แม่—” เมรินทร์รำพึงถึงคนที่เธอรัก หากก่อนหน้านี้ได้บอกความรู้สึกคงดีไม่น้อย ป่านนี้แม่คงเป็นห่วงแย่ จะเศร้าลำบากถึงเพียงไหนกันนะ ยากจะคิดจินตนาการ

     

    เสียงกิ่งไม้เสียดสีกัน มีบางสิ่งกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ ฟังจากเสียงมีมากกว่าหนึ่ง บอกไม่ได้เลยว่านั่นเป็นตัวอะไร

     

    “ค— ใครน่ะ!?” เธอเบิกตาด้วยความตกอกตกใจ ขวั่นสั่นผวา สักพักเงาของดวงจันทร์ก็สะท้อนภาพฉายผ่าน เงาเลือนรางของผู้คนปรากฏขึ้น ชายในผ้าโพกหัวสีฟางกับกลุ่มคนอีกสองสามที่แต่งกายคล้ายเขาโผล่ออกมา

     

    สาวน้อยมีรอยยิ้มออกนั่นอาจเป็นความหวังเดียวของเธอในการรอดชีวิต คนที่จะมาช่วยเธอให้พ้นจากสถานการณ์บ้าๆ นี่ แล้วเอาอาศัยอยู่ยังที่นี่ “คนเหรอคะ ช่วยด้วยค่ะคือว่า—ฮิ๊” สาวน้อยกรีดร้องด้วยความตกใจ รอยแสยะฟันของพวกเขาน่ากลัวเบิกออก พวกผู้คนรอบๆ ต่างแลบลิ้นด้วยใบหน้าหิวกระหาย

     

    “ฮิฮิ ข้าดูนางมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แต่เห็นไม่ชัดนักเพราะมันมืด” ชายหน้าบากตรงกลางพูดด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย “พอมาตรงนี้แล้วนางก็ไม่เลวเช่นกัน ฮี่ฮี่” พวกเขาต่างคลางลำคอแทบพร้อมเพียงกัน ใบหน้าโฉดชั่ว ทั่งสีหน้ากิริยามารยาท แม้แต่เด็กก็ดูออกว่าพวกเขาคือคนเลว

     

    “กรี๊ด—!!!” เธอกรี๊ดร้องดังลั่นป่า เมื่อมีคนหนึ่งชักมีดสะท้อนสีเงินตรงหน้า “เอา เอาสาวน้อย เจ้าจะหนีก็ได้ ว่ะฮ่าฮ่า” เขาหัวเราะด้วยความสะใจดั่งปีศาจ พลันสบเข้ากับดวงตาอำมหิตย์

     

    เมรินทร์ลุกขึ้นหน้าตั้ง วิ่งเหยียบฝีเท้าด้วยความเร็วสุดบรรยาย ทว่าพวกมันไม่กังวลเลยแม้แต่นิด ราวกับว่าแม้จะต่อให้ก่อนก็มั่นใจแน่ว่าตามทัน เธอก็แค่หนูติดกับตั้งแต่แรกแล้ว มันไม่มีทางหนีที่จะหนีหรอด ป่าแห่งนี้เป็นของพวกเขา

     

    เท้าแสบแผลก้าวเดินด้วยความเจ็บปวด ทุกย่างก้าวต่างเต็มไปด้วยบาดแผลจากใบไม้และโขดหินอันแหลมคม มันทรมาณ แสบ ร้อน ทว่าก็รู้ตัว มาหยุดตรงนี้ไม่ได้ หากโดนกลุ่มชายฉกรรณ์เหล่านี้จับ คงไม่จบแค่ความตายเป็นแน่แท้

     

    “ฮ๊— ทำไม ทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดกับฉัน” พลางทุกวินาทีอันมีค่า เธอบ่นรำพึงถึงความโชคร้ายของตน ฉันไม่ควรมาอยู่ที่นี่ คนพวกนี้ทำไมต้องมาคุกคามเรา พวกมันต้องการอะไร พระเจ้าช่วยหนูด้วย พ่อแม่ ใครก็ได้

     

    “เจอตัวแล้ว!” ชายใบหน้าเงาคล้ายปีศาจโผล่พรวดขึ้นมาต่อหน้าต่อตา มันเข้ามาดักหน้าเธอ กรี๊ด— ราวกับเห็นผี เธอกรีดร้องดังลั่น หมุนตัวหนีไปทางซ้ายด้วยความรวดเร็ว

     

    “ฮิฮี่ มาเล่นวิ่งไล่จับกัน” เขาหัวเราะเยาะ สาวน้อยเบี่ยงไปอีกทาง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่เอาจริงเท่าใดนักราวกับกำลังเล่นสนุก

     

    “แฮร่!!!” จากมุมมืด ชายคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามาอย่างฉุกละหุก กรี๊ด— เธอล้มลง ก่อนคลานลุกขึ้นวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต อะดีนนาลีนหลั่งสุดขีด พร้อมภาพความโหดร้ายที่เข้ามาในหัว พวกนี้มันเพียงแค่ต้องการจะเล่นสนุกเพียงเท่านั้น

     

    พวกมันสองตัวเดินเคียงคู่กันจากข้างหลัง เสียงหัวเราะลั่นไล่มาตามท้าย พวกมันที่เหลือหายไปไหน นี้ไม่ใช่เวลามาหาคำตอบ แต่ต้องรีบหนีโดยเร็ว โอกาสรอดยังมี หากพวกคนชั่วยังช่างใจอยู่เช่นนี้ล่ะก็

     

    ปึง!!! ทันใดนั้นมีมือหนึ่งจับที่ขาเธอไว้ ด้วยความที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วทำให้สะดุดกับพื้น ร่างกายเป็นรอยเลือดบาดแผลไหล่ทั่ว “อ โอ้ย—” เมรินทร์สติเลือนรางด้วยความมึนงง เพราะกระแทกกับพื้น ปลายสายตามองสาเหตุที่ทำให้เธอล้มลง กรี๊ด—!!!

     

    เธอกรีดร้องออกมาอีก เมื่อเห็นภาพชายคนหนึ่งกำลังเลียต้นขาของตัวเองอยู่เบื้องล่าง พวกมันดูเหมือนพร้อมเต็มทน ขึ้นกดไหล่ของเธอไว้ไม่ให้ลุกขึ้น

     

    “ม ม่าย ไม่ ไม่ ไม่ จะทำอะไรน่ะ!?” เธอส่ายหน้าหนีซ้ายขวาด้วยความกล้ว พลันน้ำตาบนแก้มไหลริน สีหน้าซีด เลือดขาดสี ไม่อยากจินตนาการถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อจากนี้

     

    “สาวน้อย เธอก็น่าจะรูดีนี่” มันแสยะยิ้ม น้ำลายไหลหกลงเปื้อนเปรอะใบหน้า กรี๊ด— มือข้างหนึ่งใส่แรงกดลง กระดุมเม็ดบนหลุดออก

     

    “ย อย่า อย่าน้า!!!!” ร่างกายดิ้นรนสู้เต็มที่ ไม่เคยใช้แรงเฮือกสุดท้ายมากขนาดนี้มากก่อนเลย อยากออกไปจากที่นี่ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ พระเจ้าช่วยหนูด้วย

     

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายดิ้นพล่านก็ทำเอาเสียอารมณ์ มันเดาะลิ้น “ชิ—” พลางขยับปากพะงาบๆ “อยู่นิ่งๆ สิโว้ย!” แม้จะตะโกนดังลั่นแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ทำตามสักนิด แหงอยู่แล้ว ใครจะบ้าทำตามกัน เขาความหาสิ่งรอบข้างเผื่อมีอะไรใช้ได้บ้าง

     

    “เจอละ” หินก้อนหนึ่งบนฝ่ามือ ง้างออกและกระแทกมันเข้ากับศรีษะ ปั่ก— สติของเธอเริ่มสิ้นลงจากการกระทบกระเทือน ร่างกายเริ่มเกร็งชัก บิดงอด้วยความเจ็บปวด ในที่สุดก็ไร้เรี่ยวแรงขยับได้อีก

     

    “เฮ้ย อย่าพึ่งฆ่านางสิว่ะ” เพื่อนข้างหลังตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้ฆ่านาง” เขาจ้องยังเด็กสาวตรงหน้า “ข้ายั้งมือไว้อยู่”

     

    พลางสายตาเลือนรางจ้องเข้าที่ปีศาจทั้งหลาย แม้ยังคงรับรู้อยู่แต่ก็เต็มทน ตายเสียยังดีกว่าจะมาสัมผัสเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ทว่าแค่ตายก็ยังทำไม่ได้ เพียงแค่จ้องมองจดจำมันอย่างไร้การต่อต้านใดๆ

     

    “อะ— อะไรว่ะ!!!” เสียงของความอึกกะทึกดังระงง มันดังมาจากเหล่าชายฉกรรณ์ เธอไม่อาจมองเห็นแจ่มชัดเลยว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น

     

    โพล๊ะ! ตึ่ง! ส๊วบ! เสียงดังลั่นของการปะทะระอุขึ้นอย่างเนืองๆ พลันความรู้สึกโดนกดทับที่หน้าท้องหายไป มันยืนขึ้นข้างๆ และล้มกลิ้ง เสียงสุดท้ายแล่นเข้าหูกับภาพร่างของคนที่ใหญ่โต

     

    “จะ เจ้ามันโจรภูเขาเหรี๋ยนซ—” โผ๊ละ เสียงบางอย่างมันระเบิดออก คล้ายกับก้อนเนื้อที่ถูกทุบ เหมือนที่เธอเคยได้ยินมาจากในตลาด

     

    ความรู้สึกเหมือนโดนยกขึ้นจากพื้น การเคลื่อนที่ของทิวทัศน์ กำลังเดินไปข้างหน้า จนท้ายที่สุดดวงตาทั้งสองข้างของเธอก็หลับลง

     

     

     

    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol. 1 Ch.7 ในโลกอันไร้ความสงบ จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×