คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Vol. 1 Ch.6 คนโกหก
ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol. 1 ch.6 คนโกหก
วันนี้มันก็เป็นวันที่น่าเบื่ออีกวัน เธอทะเลาะกับเพื่อน พวกเรามีปากเสียงกันค่อนข้างหนักเกี่ยวกับความชอบจุ้นจ้านของเฟรย์ เธอไม่ค่อยอะไรกับเพื่อนคนนี้นักหรอก แต่บางทีเฟรย์ก็ทำเกินกว่าเหตุ จนตอนนี้ไม่รู้จะขอคืนดียังไง
“น่าลำบากใจจริง......” เมรินทร์บ่นอุบอิบ หมุดบิดกรอนประตูเข้าบ้าน วันนี้ก็ยังคงล็อค แม้เธอยังทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่เปลี่ยน ตั้งแต่พ่อเข้าโรงพยาบาลแม่เริ่มไม่อยู่บ้านหนักขึ้น ถึงกระนั้นค่าใช้จ่ายยังคงไม่พอเลี้ยงครอบครัว
“เฮ้อ”เมรินทร์ถอนหายใจ ความจริงอันน่าเจ็บปวดที่เธอต้องแบกรับ ว่าพวกเราสองคนแม่ลูกใช้ทรัพย์สินของพ่อจนหร่อยหลอ บ้านหลังนี้คงต้องปล่อยไม่ขายไม่ก็โดนยึด ดูจากอย่างแรกที่ไม่มีคนมาซื้อน่าจะโดนยึดมากกว่า เพียงแค่อายุเท่านี้กลับต้องรับภาระหลายสิ่งจนน่าหนักอึ้ง
ทำไมพวกเราถึงต้องประสบพบเจอกับเรื่องแย่ๆ แบบนี้ พวกเราไปทำอะไรไว้กันเหรอพระเจ้า ช่วยบอกหน่อยสิ “ไม่สิ....ไอ้ของแบบนั้นมันจะไปมีจริงได้ยังไง” เมรินทร์บ่นพึมพัมคนเดียวน่าประตู ไม่อยากตื่นมาเจอวันพรุ่งนี้อันแสบเจ็บปวด มันทรมาณและค่อยๆ กัดกินจิตใจเธออย่างช้าๆ จนถึงก้นบึ้ง
หากพระเจ้ามีจริงของแบบนั้นคงกำลังสาปส่งเธอมากกว่า สาปส่งเธอให้พบเจอกับประสบการณ์อันเลวร้าย ที่คนอายุอย่างเธอไม่สมควรต้องพบเจอ โลกนี้มันจะโหดร้ายไปถึงไหน “เฟรย์.....” ถ้าตอนนี้ยังมีเพื่อนสนิทอยู่ข้างกายคงพอบรรเทาลงบ้าง แต่ความเครียดสะสมก่อนหน้านี้ทำให้เธอละบายอารมณ์ลงเกินไปหน่อย จะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย
ในวินาทีนั้น ลูกบิดประตูถูกหมุน ความรู้สึกหนักอึ้งพลันกระทบเข้าร่าง เวลามันผ่านเลยไปอีกแล้ว ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรแท้ๆ
“เอ๊ะ!?” พื้นที่รอบข้างสีขาวโพนเต็มไปด้วยก้อนเมฆ ราวกับอยู่บนท้องฟ้ามิปาน มันคือสวรรค์หรืออะไรงั้นเหรอ อย่าบอกนะบางทีเพราะความวิตกจนทำประสาทหลอนเลยมาอยู่ที่นี่น่ะ
วินานทีนั้นแสงสีขาวสว่างจ้า เฉิดฉาดเข้าตา จนต้องหลบหนังตาปรือ แสบจ้าอย่างบอกไม่ถูก เกิดอะไรขึ้นน่ะ อะไรกำลังจะเกิดขึ้น ความคิดลบพรรณนาอย่างพรั่งพรูนจนหัวแทบระเบิด ความกลัวแล่นเข้าสุดขีด เรื่องบ้าพวกนี้มันมาจากไหน หรือจะถูกลักพาตัว ไม่น่า น่ากลัวนะแบบนั้น
เมรินทร์พลันลืมตาโดยเอาสองมือป้องไว้ พลันเห็นแสงสีขาวรูปมนุษย์ก่อตัวขึ้น มันมีลักษณะเปล่งแสงสีเจิดจ้าแยงตา ทำเอาบอกไม่ถูกเลยว่าแสงเหล่านั้นรวมตัวกันขึ้นมาได้อย่างไร ความหวั่นวิตกและสั่นกลัวแล่นแปร๊บกำลังเข้าหัว ไม่นะ พาฉันออกไปจากที่นี่ที
“สวัสดีค่ะผู้มาจากต่างโลก” เสียงหวืดหวือจับใจความไม่ได้ว่าเป็นชายหรือหญิงดังขึ้น ไอ้เจ้าตัวที่ไม่มีร่างกายแบบนั้นมันพูดได้ยังไงกันน่ะ น่าประหลาด มันกำลังจะทำอะไรกับเธอกัน มันหวังดีหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
“อย่างแรกคือฉันต้องขอโทษด้วยที่ต้องพาคุณมาแบบนี้” แสงสีขาวนั่นตอบโต้ด้วยความขอโทษอย่างสุดสซึ้งตั้งแต่ครั้งแรก พลันความรู้สึกกดดันหลายอย่างบรรเทาลง อย่างน้อยเจ้าแสงสีขาวนี่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คาด
“ทะ ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่กันคะ!?” เมรินทร์เปล่งวาจาดังลั่น มันคือคำตอบที่อยากรู้ ถูกพลัดพลาดจากบ้านเองโดยพละการแล้วยังมาขอโทษเนี่ยนะ ใครกันที่อยากรับคำขอโทษนั่นไว้
แต่แสงนั่นกลับไม่ตอบคำพูดใดๆ กลับมา ดูเหมือนมันเพียงแค่รับฟังเท่านั้น ไม่คิดจะสนทนาหรือเสวนากับฝั่งนี่ด้วย “นะ นี่ตอบมาสิคะ!” เมรินทร์ไม่ได้อารมณ์ดีมากพอจะยืนอยู่ที่นี่ทั้งวัน โดยเฉพาะยิ่งทะเลาะกับเพื่อนมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่
ใช้เวลากว่าสองสามวิ เสียงนั่นจึงตอบกลับมา
“ขอโทษด้วย ทางนี้ไม่สามารถตอบโต้ได้” ในน้ำเสียงหวืดหวือเจือปนความรู้สึกผิดอันน่าแปลกประหลาด หมายความว่ายังไงที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ คราวนี้ความกังวลใจเริ่มกลับมากัดกินส่วนลึกอีกครั้ง มันพูดต่อ “นี่เป็นเพียงแค่ข้อความล่วงหน้าเท่านั้น ฉันทำมันได้แค่นี้จริงๆ”
“หะ หานั่นหมายความว่ายังไง!?” เมรินทร์ใช้น้ำเสียงสะลลึมสะเลือ อย่างบอกนะว่าหมายถึงราวกับส่งข้อความอะไรอย่างนั้นน่ะ เหมือนโทรศัพธ์ที่สามารถฝากข้อความเสียงไว้ได้แต่ไม่สามารถพูดคุย มันไม่ตลกนะ ที่เล่นเอาแต่คุยคนเดียวแบบนั้น
“ฉันรู้ว่าเธอคงเป็นกังวล แต่ได้โปรดฟังถึงสิ่งที่ฉันจะเล่าต่อจากนี้ให้ดีด้วย” คำพูดคำจาของแสงสีขาวยังคงเต็มไปด้วยความขอร้อง รางกับพยายามจะบอกว่าห้ามพลาดสิ่งนี้โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้วตัวเธออาจสูญเสียสิ่งสำคัญไป
เมรินทร์กลืนน้ำลาย อึก กับตัวตนที่พาตัวเองเข้ามาในที่แบบนี้ได้ราวกับปาฎิหารย์มันจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ นอกจากพระเจ้า ไม่ก็ซาตาน เธออาจกำลังถูกมันล่อลวงบางอย่าง แต่มันจะไปมีตัวเลือกอื่นจริงๆ หรอกเหรอที่จะไม่รับฟังมัน นี่อย่าบอกนะเพราะไปสาปแช่งพระผู้เป็นเจ้าเข้าเลยต้องโดนแบบนี้
เมรินทร์เงียบลง เงี่ยหูฟังข้อความต่อจากกนี้อย่างใจจดจ่อพลันคิดตาม
“ต่อจากนี้ เธอกำลังถูกส่งไปกอบกู้ต่างโลก มันเป็นภารกิจที่สำคัญมาก หากมิเช่นนั้นแล้วทุกคนในโลกใบนั้นจะตายกันหมด” แสงสีขาวยังคงพูดต่อ แต่ใจความต่อจากนี้กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและชวนนึกถึงอย่างแปลกประหลาด ราวกับเจ้านั่นกำลังร้องไห้ออกมาเลย “รวมถึงคนที่อาจเป็นคนสำคัญสำหรับเธอด้วย ฉันไม่อยากให้มันเกิดเรื่องแบบนั้น”
แสงสีขาวนั่นหยุดกึก คนสำคัญแบบไหนกันล่ะ นี่ตัวเธอไปมีความสัมพันธ์กับคนบนโลกอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมคำพูดนั้นมันชวนน่าฉงนเช่นนี้
“เมื่อไปถึงยังต่างโลก จะมีคนกลุ่มหนึ่งมารับเธอ พวกเขาไว้ใจได้” เมรินทร์ทบทวนถึงคำพูดข้างต้น ฉันเชื่อเจ้าแสงสีขาวนี้ได้จริงอย่างนั้นเหรอ ความสงสัยยังคงไม่หายเคลือบแคลง
“สิ่งที่พวกเขาต้องเจอคือจ้าวอสูรกินคน ถึงพวกมันจะอ่อนแอในตอนแรก แต่หากมันได้กลืนกินผู้คนไปเป็นจำนวนมาก มันจะแข็งแกร่งขึ้นจนรับมือได้อย่างยากลำบาก” จินตนาการถึงภาพปีศาจที่กินมนุษย์เป็นอาหาร มันช่างน่าขยะแขยง น่ารังเกลียด นี่เธอกำลังจะต้องไปเจอกับอะไรแบบนั้นงั้นเหรอ เมรินทร์เผลอกอดอกสั่นกลัวจากใจจริง
“บอกพวกเขาซะ ทิศเหนือบูรพาคือตำแหน่งของพวกมัน ไม่ผิดแน่ฉันเห็นมันจากใน—เพราะฉะนั้นบอกให้พวกเขารีบกำจัดมันตั้งแต่ต้นซะ” มีคำพูดขาดหายบางช่วง แต่ก็ยังคงจับใจความได้อยู่ “บอกว่าดาวหางสีครามเป็นคนบอกมา ตรงขึ้นทิศเหนือบูรพายังหุบเขาลูกใหญ่ พวกเขาจะเจอกับตัวอ่อนอสูรกินคน”
เมรินทร์คิ้วกระตุกถึงคีย์เวิร์ดแสนสำคัญนั้น ฉันจะจำมันไว้เป็นอย่างดี เธอคิด
“พวกเขาต้องกำจัดมันให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะแข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีใครต้านทานอยู่” ท้อยคำที่แสดงถึงความกังวลในหัวใจบอกได้เลยว่าเจ้าแสงสีขาวนี่กำลังกลัวอยู่ “อีกอย่างฉันขอบอกถึงเธอเป็นการส่วนตัว”
เมรินทร์แทบหยุดหายใจ นี่มันเป็นข้อความที่ส่งถึงเธอโดยเฉพาะ กับตัวตนที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ทำเอาเกร็งอย่างบอกไม่ถูก เธอพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว
“ฉันไม่มีความแค้นหรือโกรธเกรี้ยวอะไรกับตัวเธอเป็นพิเศษ” ราวกับแทงตรงดิ่งยังใจจริงของเมรินทร์ เหมือนเจ้านี่มันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ราวกับอ่านใจของฉันได้อย่างนั้นเลย เมรินทร์ตกตะลึงภายในหัวใจ
“เธอคือผู้กอบกู้อย่างแท้จริง” แสงนั้นยกย่องเธอราวกับว่าเป็นดั่งฮีโร่ในเทพนิยาย ไม่น่าเชื่อเลยว่าบทบาทนั่นจะมาถึงตัวเธอ
“เธอคือวีระสตรีที่จะช่วยโลกใบนั้น” คำเยินยอนั่นกระตุ้นความรู้สึกพิเศษภายในตัวของเธอ นี่คือเทพนิยายปรัมปราอะไรอย่างนั้นเหรอ ช่างไร้สาระ......แต่ก็กลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่มีใครที่จะช่วยโลกนั้นได้แล้วนอกจากเธอ” เหมือนเห็นรอยยิ้มในเงาสีขาวนั่นอย่างน่าประหลาด “แต่เธอต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ อันตรายมีอยู่ทุกเมื่อ จงตั้งใจฝึกและสดับรับฟังคนข้างจากในสำนัก” เสมือนกับต้องการปลอบใจ ให้คลายความกังวล “เธอทำได้อยู่แล้วไม่มีอะไรต้องกลัวและไม่มีอะไรต้องลังเล”
เมรินทร์กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว มีความรู้สึกคล้อยตามคำพูดสรรเสิญอย่างเว่อวัง มันช่างน่าจับใจความและน่าค้นหา
“ทำภารกิจนั่นให้สำเร็จซะ แล้วกลับมาที่เดิม ตรงที่ที่เธอมายังโลกนี้” แสงสีขาวยังคงปลุกใจอย่างไม่หยุดยั้ง
ฝ่ายผู้รับฟังทำสีหน้าเข้มขึ้น ตึงเครียดมากยิ่งเสียกว่าเดิม พยักหัวขึ้นลงอย่างอัตโนมัติ เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าภารกิจนี่มันยิ่งใหญ่เสียเพียงใด
“ขอให้จงโชคดีในต่างโลก ฉันอยู่เคียงข้างเธอเสมอ”
เมรินทร์หัวใจเต้นระรัวต่อคำพูดทิ่งท้ายนั่น อะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่อาจเหนือจินตนาการเกินกว่าจะรับไหว เธอกัดฟันแน่นเกร็งตัวแข็งตื้อ ฉันจะต้องไม่เป็นอะไร ฉันจะต้องไม่เป็นอะไร เมรินทร์ท่องคำพูดทิ้งไว้ในหัว
ภาพรอบข้างกำลังเปลี่ยนไปแล้ว ก้อนเมฆสีขาวเริ่มจางหาย “ค่ะ ฉันจะพยายามให้ถึงที่สุด” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถตอบโต้กลับมาได้แต่เธอกลับตอบไปโดยไม่รู้ตัว มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ร่วม ตอนนี้ภารกิจที่ยิ่งใหญ่อยู่ในมือเธอ ไม่เคยมีภาระหนักอึ้งขนาดนี้มาก่อน กับชีวิตของทั้งโลกอีกใบ
“วิวทิวทัศน์มันเปลี่ยนไปแล้ว” ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วิ แต่ราวกับยาวนานเกินกว่าเป็นชั่วโมง ทำเอาตื่นตะลึงอย่างบอกไม่ถูก มันคืออาการของเธอเองหรือว่าเพราะเวลาของสภาพแวดล้อมรอบข้างมันช้าลงกัน
ป่าหุบเขาล้อมรอบทั่วทุกอสรทิศ แสงแดดแยงเข้าตาจนต้องเอามือบางบัง ภายใต้เบื้องล่างเธอมีสัญลักษณ์หวู่ต้า(ธาตุทั้งห้า) เป็นดาวห้าแฉกอยู่ใต้ฝ่าเท้า
โดยไม่ทันได้คิดอะไรตอบโต้ มีบางอย่างอยู่ตรงหน้าเธอ ราวกับตัวจระเข้ยักษ์มหึมา แต่มันแปลกกับจระเข้ทั่วไป มันมีตุ่มใหญ่อยู่ทั่วตัว มีเคี้ยวที่ดุร้าย แววตาอันร้ายกาจจ้องมองมาทางนี้ มันสอบตากับเธอ และวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับการตะปบเหยื่อ
“กรี๊ด!!!” เมรินทร์ล้มก้นจั้มเบ้า ไหนบอกว่าอยู่ข้างเดียวกันไง ทำไมล่ะ ทำไมถึงส่งเธอมายังที่แบบนี้แต่แรกกัน แค่ดูจากขนาดเขี้ยวมโหราฬนั่นก็รู้แล้วว่าแรงงับทีเดียวสามารถ หั่นเธอเป็นครึ่งท่อนได้อย่างแน่นอน
พลันที่เจ้าอสูรจระเข้นั่นอ้าปาก ฟันแหลมคมเขี้ยวสะท้อนกับพระอาทิตย์ จะเขมือบเธออยู่แล้ว นี่เธอจะตายตั้งแต่วินาทีแรกที่มายังต่างโลกเนี่ยนะ มันคือเรื่องบ้างอะไรกัน
เมรินทร์ปากคดแทบเป็นรูปตัวยู มือแขนมาบังไว้ราวกับจะบอกว่าอย่าเข้ามาทางนี้ แต่ดูเหมือนเจ้าเดรัชฉานนั่นจะไม่ฟังสิ่งใดทั้งนั้น ปากกว้างแหวกออก และหุบตัวลง
“ซือกู่ฉี(พิฆาตทมิฬเมฆา)” สิ้นนามเรียกขานกระบวนท่า หัวของจระเข้ยักษ์พลันหลุดออก เลือดสีแดงฉานไหลทะลักท่วมตัวเมรินทร์ มันทั้งเหม็นสาบและน่าขยะแขยง แต่อย่างน้อยเธอก็รอดมาได้
เมริทร์มองชายตรงหน้า เขาตัวสูงและมีใบหน้าที่คมเข้ม สวมชุดจีนเด่นตะหง่า สะบัดกระบี่เปื้อนเลือดของตนออก นี่คือคนของโลกนี่อย่างที่เจ้าแสงสีขาวนั่นบอกอย่างนั้นเหรอ และเมื่อเธอหันมองรอบๆ ก็พบกับผู้ชายอีกสามคนที่มีบรรยากาศคล้ายกันอยู่รอบด้าน
เมรินทร์ตาค้าง นอกจากนั้นยังมีศพของอสูรจระเข้อีกนับไม่ท้วนนอนจมกองเลือดอยู่ นี่เป็นฝีมือของพวกเขาอย่างนั้นเหรอ หมายความว่านี่เธอถูกช่วยเอาไว้แล้ว เป็นอย่างที่เข้าแสงสีขาวนั่นพูดไม่มีผิด ค่อยยังชั่วที่มันไม่โกหก
เมรินทร์ตกตะลึงกับใบหน้าอันหล่อเหลาของชายทั้งสี่ หากบอกว่าพวกเขาคือบอยแบรนด์กรุ๊ปใครต่างก็เชื่อเลยล่ะ จนเธอแทบพูดไม่ออกตอนแรก แต่ยังจำคำพูดของแสงสีขาวนั่นได้ เธอต้องบอกพวกเขา “อ่ะ เอ่อคือว่า พวกคุณคะฉันมีเรื่อง—.....”
ก่อนทันจะพูดจบ พวกเขายกมือห้ามไว้ เมรินทร์รู้สึกแปลกใจต่อการกระทำของเขา ไม่นานเขาก็เดินมาใกล้ทางนี้ และเอาบางสิ่งในเป้ของเขาออกมา
“เจ้าจงทดสอบระดับพลังปราณซะ” ชายในใบหน้าคมเข้มพูดอย่างไม่ใยดี เขาไม่สนคำพูดของเมรินทร์ด้วยซ้ำ เพียงแค่แบหยิบลูกแก้วบางอย่างขึ้นมาตรงหน้า
“อะ เอ๊ะ ทะ ทำอะไรเหรอคะ?” เมรินทร์มีสีหน้าเบิกโพลง เงยหน้าถามอย่างอดสงสัย แต่พวกเขาควรจะเชื่อใจได้อย่างที่เจ้าแสงสีขาวนั่นบอก เธอเพียงแค่ยังไม่รู้วิธีการของพวกเขา
“นางช่างยุ่งยากนัก” ชายในแว่นกรอบตาพูดขึ้น เขาพ่นลมหายใจราวกับมันเป็นเรื่องน่ารำคาญและเสียเวลา
“เชียงฉือเจ้าควรทำภารกิจของจ้าวสำนักให้สำเร็จ แม้นางจะโง่งมเพียงใด” ชายหนุ่มที่มีกล้ามมัดโตจนแลบออกมาจากแขนเสื้อ ตวาดอย่างอดเสียไม่ได้
“ฮะฮะ ข้าไม่อยากยุ่งกับนางเลยให้ตายสิ” ชายที่ตัวเล็กสุดกล่าว เขามีรูปร่างเพรียวบางราวงดงามราวกับผู้หญิง
“ทำมันซะ ข้าไม่อยากเสียเวลามากกว่านี้” ชายใบหน้าคมเข้มตรงหน้า พูดอย่างตรึงเครียดขึ้น สัมผัสถึงความอยากฆ่าของเขาที่ออกมาเลย ฮี๊— เมรินทร์แทบถอยผละออกมาอย่างรวดเร็ว
ตึก ชนเข้ากับขาของชายร่างเพรียวบาง “หลงสั่วเจ้านี่ยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งยาก” เขาหัวเราะราวกับมันเป็นเรื่องตลก
เขาหันหมอบลง กระซิบข้างหู “วางมือลงบนนั้นซะ”
“คะ?” เมรินทร์ยังคงหันซ้ายขวาอย่างมึนงง ใบหน้าของชายร่างเล็กเรียวคมงดงาม ยิ้มยิ่งฟัน แม้ภายนอกจะดูอ่อนโยนแต่ว่ากลับน่ากลัวอย่าบอกไม่ถูก “ข้าบอกให้วางมือลงบนนั้นไง!!!”
“ฮิ๊!” เมรินทร์สะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ เขาก็ตวาดข้างหูจนแสนแก้วหูไปหมด เขาหัวเราะเยาะออกมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนรอบข้างยกเว้นชายที่ชื่อหลงสั่วที่ยังคงมีสีหน้าตึงเข้ม เมรินทร์พอทำความเข้าใจได้จึงรีบทำตามแต่โดยดี
ทว่าเมื่อเธอวางมือลงบนลูกแก้วกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ทุกคนต่างถอนหายใจพร้อมกัน เฮ้อ มีสีหน้าบูดเบี้ยวราวกับกำลังมาเสียเที่ยว “นางไม่มีลมปราณ ภารกิจนี่ช่างเสียเปล่า” พวกเขาต่างหันหน้าเดินกลับโดนไม่สนใจเมรินทร์
“ถอนตัว” หลงสั่วคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่ม พูดขึ้น
เมรินทร์คิ้วกระตุกทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้ แต่หากไม่ทำอะไรสักอย่างพวกเขาจะจากไปและเธอจะอยู่อย่างเดียวดาย “ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ”
หลงสั่วยังคงถอนหายใจต่อเนื่อง “มีอะไร ข้ามิอยากเสวนากับพวกไร้ลมปราณ”
“ระ รอเดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันได้รับข้อความจากดาวหางสีครามมา” เมรินทร์ค้นหาคำพูดด้วยเวลาอันกระชั้นชิด ที่พอจะทำให้เธอรอดจากสถานการณ์อันน่าหวาดกลัวนี่ “เขาบอกให้พวกคุณขึ้นไปยังทิศเหนือบูรพาหลังหุบเขาเพื่อกำจัดสัตว์อสูรกินคนค่ะ”
เหล่าชายทั้งสี่คนทำหันมองหน้ากันอย่างกับมันเป็นเรื่องไร้สาระ “พูดบ้าๆ ดาวหางสีครามคืออะไร” เมรินทร์ดวงตาเบิกโพลง จากปฏิกิริยาของพวกเขาบอกได้เลยว่าไม่ใจถึงสิ่งที่เธอพูด “เทพพิทักษ์ของพวกเราคือสุริยะเพลิง”
เมรินทร์เหงื่อไหลซกเต็มหลัง แววตาสิ้นหวังเต็มประดา ทำไมข้อมูลของพวกเราถึงไม่ตรงกัน
“พวกข้าไม่มีเวลากับพวกสติไม่สมประกอบ” หลังจากทิ้งทวนคำพูดนั่น ทั้งสี่คนกระโดดขึ้นต้นไม้ด้วยย่างก้าวเดียว พริบตาร่างอันเลือนลางของพวกเขาก็หายลับจากสายตาของเมรินทร์ ทิ้งไว้ความเว้งว้างโดดเดี่ยวท่ามกลางสีนกร้องของป่าเขา
เมรินทร์ที่ตอนนี้นั่งล้มกับพื้น ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงของอสูรนิ่งค้างเต่ง หันมองรอบด้านซ้ายขวาโดยกรามยังอ้าคว้าง ไร้สัญญาณของมนุษย์และเต็มไปด้วยบรรยากาศอันตรายของป่า ตอนนี้เธออยู่คนเดียว เจ้าแสงสีครามโป้ปดเธอเข้าแล้ว
ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol. 1 ch.6 คนโกหก จบ
ความคิดเห็น